ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ซาฟรีรีนา

    ลำดับตอนที่ #9 : ความมืด... ความเงียบ... ความหิว... ความกลัว...

    • อัปเดตล่าสุด 19 ก.พ. 49


    ความมืด... ความเงียบ... ความหิว...  ความกลัว...






    มันมาอีกแล้ว…

     เสียงแปลกประหลาดนั้นดังขึ้นในความมืด  เบาแสนเบา  หากกังวาลเสียงแทงขึ้นในความสงัดอย่างน่าสะพึงกลัว

     เงียบ..มันเงียบหายไป…

     แล้วก็กลับมาอีกครั้ง…

     โครกคราก…เหมือนการเคลื่อนที่ของของเหลวบางอย่าง…ใกล้ ๆ กับผมนี่เอง…
     ไม่ใช่…  มันดังออกมาจากตัวผมต่างหาก !

     พร้อม ๆ กันนั้น  ผมก็รู้สึกเสียวปลาบที่ช่องท้อง…  มันเป็นสัญญาณเริ่มต้นก่อนที่จะปวดแสบจนผมต้องงอตัวลง

     มันไม่มีปีศาจหรือสัตว์ประหลาดตัวไหนสิงอยู่ในร่างผม แล้วคอยกินอวัยวะภายในเหมือนในนิยายสยองขวัญเลย 

    (แม้ว่าเรื่องที่คุณอ่านอยู่นี่ออกจะแปลกประหลาดและเกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาวก็เหอะ)

     ผมเพิ่งนึกได้ในตอนนั้นเองว่า  ผมจะไม่เป็นบ้าตายอย่างเดียว….

     ผมกำลังจะบ้าตายและหิวตายไปพร้อม ๆ กัน…

     ใช่ ผมเป็นสิ่งมีชีวิต…

     และคุณสมบัติของสิ่งมีชีวิตอย่างที่สองรองจากการมีตัวตนก็คือ  ต้องการอาหาร !
     ไม่รู้เหมือนกันว่า  ผมไม่ได้กินอะไรมาเป็นเวลานานเพียงไรแล้ว 

    นอกจากเท่าที่จำความได้  ครั้งสุดท้ายคือน้ำหวานจากดอกไม้ฟาราราที่เธอให้บนยอดผา

     และนี่เราตกอยู่ในรอยร้าวของดวงดาวมากี่วันแล้ว  กี่คืนมาแล้ว ที่ผมนอนทนอยู่กับปีศาจแห่งความมืด…ความเงียบ…และพายุแห่งความคิด

     ผมคิดไปถึงบทเรียนชีววะวิทยาสมัยประถมขึ้นมาอย่างเลา ๆ 

     'มนุษย์โลกขาดอากาศ  3  นาที…ตาย  ขาดน้ำ  3  วัน..ตาย  ขาดอาหาร…' 

     ผมจำไม่ได้แล้ว  ผมกำลังขาดทั้งน้ำและอาหาร  และมิติของเวลาที่นี่ก็ต่างกับโลกจนผมไม่รู้เหมือนกันว่าจุดจบของผมมันอยู่ใกล้แค่ไหนแล้ว…

     หิวตาย…

     ไม่ใช่เรื่องสนุกเลยจริง ๆ มันคงทรมานจนแทบกินเนื้อตัวเอง…!  ผมเริ่มเข้าใจประเพณีการกินอันโหดร้ายของชนเผ่าคองกาเจ้าของถิ่นเมื่อตอนนี้เอง…

     มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน…

     ผมพยายามคิดถึงแต่เรื่องดี ๆ เพื่อลบล้างความคิดอันน่ากลัวนั้น…  

     คิดถึงเรื่องตลกแทบทุกเรื่องที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิต…แต่ผมไม่รู้สึกอยากหัวเราะเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว

     เสียงร้องของท้องก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง  เพื่อย้ำเตือนมรณกรรมที่กำลังมาถึง….หากครั้งนี้กลับเป็นเสียงเบากว่าและดังขึ้นนอกกายผม

     ซาฟรีรีนาจะหิวเหมือนผมหรือเปล่าหนอ  ในเมื่อเสียงนั้นมาจากตัวเธอ

     'ชนเผ่าคองกาเป็นสิ่งมีชีวิตพันธุ์หนึ่งในป่าหินกันดาร  ซึ่งอดทนต่อความหิวโหยอย่างโหดร้ายได้มากที่สุด….' 

    มันเป็นประโยคแรกที่ผมรู้จักกับเผ่าคองกา  ในสารานุกรมต่างดาว  และในขณะนี้มันก็ได้ผุดขึ้นมากลางสมองอย่างที่ผมเองก็ควบคุมไม่ได้  '

    …ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ส่งผลถึงประเพณีการกินอยู่อันเป็นที่เลื่องลือถึงความเหิ้ยมโหดและอำมหิตที่สุด  โดยการกินมนุษย์พวกเดียวกัน….'

     ผมเริ่มกระสับกระส่าย  และพยายามที่สุดที่จะหยุดความคิดนั้น  …หากกลับไม่สามารถบังคับได้…

     คงไม่มีใครโทษผมใช่ไหม…

     ได้โปรดเข้าใจผม…ผู้ซึ่งกำลังนอนรอความตายด้วยความหิวโหยจนแทบคลุ้มคลั่ง …



     ในที่แคบ ๆ กับเพื่อนคนหนึ่ง….

     ซึ่งเป็นมนุษย์กินคน…

     เคยดูดเลือดผม…

     และเคยกินแม่ตัวเอง…!

     ผมจะคิดอะไรได้บ้างในเวลานี้?

     ทันใดนั้นเอง  เสียงขยับตัวของคนข้างกายใกล้เข้ามาจนเกือบชิดแล้วหยุดอยู่แค่นั้นชั่วขณะ

     ผมระงับอาการเสียวสันหลังไว้ไม่ได้  รู้สึกว่าความตายมันใกล้เข้ามาอยู่ข้างกายนี่เอง..

    แต่แล้วเมื่อผมได้ยินเสียงหายใจเบา ๆ สม่ำเสมออยู่ตรงหัวไหล่  ผมกลับยิ้มในความมืดต่อความช่างระแวงของตัวเอง

     '…เราไม่เคยกินเพื่อน…'  คำพูดของเธอก้องอยู่ในหู   ทำให้ผมสบายใจขึ้น…

     "ท่านนอนไม่หลับหรือ….?"  ผมสะดุ้งสุดตัวด้วยเสียงถามเรียบเรื่อยแผ่วเบา  "….ข้านอนไม่หลับเหมือนกัน…แต่เราต้องพยายามแม้ว่าจะทรมานเหลือเกิน…"

     ความละอายต่อความคิดระแวงที่ผมมีต่อเธอทำให้ผมรีบหลับตาลง  นิ่งเฉย และพยายามบังคับลมหายใจให้สม่ำเสมอที่สุดเท่าที่จะทำได้….

     "ท่านหลับแล้ว?"

     "…."

     เวลาผ่านไปอีกระยะอย่างเชื่องช้า 

    ผมยังไม่สามารถข่มใจให้หลับได้อยู่นั่นเอง 

    ความคิดฟุ้งซ่านมันกำเริบอีกแล้ว …และดูเหมือนจะมากขึ้นเรื่อยๆ  อย่างน่ากลัว… 

    ถ้าผมไม่ได้ยินเสียงอันน่าสยดสยองนั่นเสียก่อน  มันกระตุ้นความหวาดระแวงให้ก่อตัวขึ้นอย่างรุนแรง…

     ในมโนภาพท่ามกลางความมืดมิดสุดที่จะคาดเดา…

     แรกสุดผมได้ยินการเคลื่อนไหวบางอย่าง… 

    และความรู้สึกบอกผมว่า ซาฟรีรีนากำลังลุกขึ้นและเคลื่อนตัวห่างออกไป…ไปยังรอยร้าวยาวแคบลึกนั่น

     เธอเงียบไปอีกพักใหญ่   เหมือนกำลังคิดทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

     ในขณะที่ผมก็กำลังคาดเดาเรื่อยเปื่อยตามความเปลี่ยนแปลงของเสียงที่เกิดขึ้นเป็นระยะ

     และต่อมา….  

     เสียงประหลาดเบาแสนเบาจนต้องแนบหูกับพื้นฟัง...

     มันเกิดขึ้นตรงนั้นเอง...   หากทำให้ผมนึกไม่ออกว่ามันเป็นเสียงของอะไร
     อะไรกับอะไรเสียดสีกัน…เหมือนอะไรบางอย่างขูดกับหิน…

     โลหะ…

     โลหะกับหิน…

     กรีดซ้ำไปซ้ำมา และทุก ๆ ครั้งมันจะแหลมยาวขึ้น…ยาวขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนสะท้านเข้าไปก้องอยู่ในกระดูกสันหลังของผม…

     ผมไม่น่าเลย…ไม่น่านึกถึงเสียงลับมีดแล่เนื้อในห้องครัว…!

     หยุดไปแล้ว…

     เธอเคลื่อนตัวใกล้เข้ามา…แล้ว…แล้วคุกเข่าคร่อมตัวอยู่เหนือร่างผมนั่นเอง…ผมกลั้นลมหายใจ  แข็งตัวนิ่งอยู่กับที่…

     เสียงถอนหายใจของเธอ  ทำให้ผมขนลุกไปทั้งตัว  และยิ่งเมื่อมีสัมผัสแผ่วเบาลูบไล้อยู่ที่   ใบหน้า…จนมาถึงลำคอ…!

     '….การดูดเลือดจนหมดร่างจะเป็นอย่างแรก  ก่อนกรรมวิธีชำแหละเพื่อไม่ให้มีการเปรอะเปื้อน 

    และเป็นการสิ้นเปลืองต่อเลือดที่ไหลทิ้งโดยเปล่าประโยชน์…เหยื่อจะชาจนไม่รู้สึกเจ็บปวดนัก…

    และอีกประการ…สามารถเก็บเหยื่อที่ยังเป็น ๆ ได้หลายวันไม่ต้องกลัวการเน่าเปื่อย !….'

     เสียงแห่งคำบอกเล่าของเธอดังก้องกลับไปกลับมาอยู่ในห้วงความคิดชั่วขณะนั้น…

     แต่….

     'เราไม่เคยกินเพื่อน'  ผมพยายามที่สุดในการทำให้ประโยคนี้เข้ามาแทนที่ในห้วงความคิด

     แต่…เธออาจจะลืมประโยคพื้น ๆ นั้นแล้วก็ได้ !

     ผมไม่แน่ใจธรรมชาติของมนุษย์กินคนยามโหยหิวเลย  ได้แก่ภาวนาให้เธอฆ่าผมให้ตายเสียก่อน …

    ผมกลัวที่จะต้องค่อย ๆ เสียเลือดเนื้ออวัยวะไปทีละส่วน…ทีละส่วน…จนชิ้นสุดท้ายทั้งที่ยังมีลมหายใจอยู่

     มือเรียวบางเคลื่อนที่มาจนถึงช่วงไหล่…แล้วผมก็เริ่มรับรู้ถึงใบหน้าที่โน้มลงมา จนริมฝีปากอ่อนนุ่มวางอยู่ที่ข้างแก้มใกล้กับซอกคอ… 

    ผมได้แต่นอนแข็งตัวใกล้ลมหายใจรอรับเขี้ยวคมที่กำลังจะฝังลงมา




     …
     …
     เธอยังคงนิ่งอยู่เช่นนั้น… แล้วกับห่างออกไป…

     ไม่มีเขี้ยวคม…  

     ไม่มีการดูดเลือด… 

     ไม่มีอะไรที่น่ากลัวเกิดขึ้นทั้งสิ้น  นอกจาก...

     เธอจูบผม !

     แต่เมื่อผมเริ่มสัมผัสกับน้ำอุ่น  ๆ  รสเค็ม  หยดลงมาที่ใบหน้าและรดบนริมฝีปากที่แห้งแตกของผมจึงลืมตาขึ้น 

    แม้จะพบเพียงความมืดมิดไม่ผิดอะไรกับหลับตา  หากสัญชาติญาณบอกว่า  เธอกำลังร้องไห้..

     "เป็นอะไรหรือเปล่า…ไม่สบายตรงไหน" ผมต่อสู้กับความเจ็บปวดเพื่อขยับตัวลุกขึ้นมาด้วยความกังวลต่อเธอ

     ความกลัวจนแทบเสียสติเมื่อครู่อันตรธานไปหมดสิ้น…

     มันไม่ผิดอะไรกับเมื่อเวลาคุณฝันร้ายเห็นภูตผีปีศาจจนตกใจตื่นขึ้นมากลางดึก… 

    แล้วไม่แน่ใจว่าเพื่อนเราที่นอนข้าง ๆ ตะแคงหันหลังให้คุณอยู่คือปีศาจที่หลุดออกจากฝันร้ายเมื่อครู่หรือไม่.. 

    ได้แต่จินตนาการความสยดสยองเมื่อเขาพลิกตัวหันหน้าปีศาจมาจัดการกับคุณ…จนกว่าเขาจะพลิกตัวกลับมาให้คุณได้เห็นหน้าเพื่อนคนเดิม…

    ถึงได้หัวเราะในความคิดบ้าๆ  ของตัวเอง…

     "…ข้านอนไม่หลับ…"  เสียงแหบเครือแผ่วเบาอยู่ในความมืดได้เพียงชั่วครู่ก่อนที่แสงสีม่วงประหลาดจะส่องแสงอีกครั้ง  

     ซาฟรีรีนาขุดไฟแห่งการแลเห็นขึ้นมาอีกครั้ง…

    แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแสงสลัวเรือง ๆ หากจากความมืดมิดกว่านรกที่ผ่านมา  มันกลับทำให้ผมปีติในสัมผัสอย่างบอกไม่ถูก

     "ผมเข้าใจอาการ…เรากำลังจะเสียสติ  เพราะความมืด  เงียบ  และหยุดนิ่งของร่างกาย…แม้ว่าจะช่วยออมพลังงานทางกายได้ก็ตาม"

     "…ข้ารู้…ตามหลักจิตวิทยา…เรามีแต่ตายกับตายไปก่อนเท่านั้นเอง  แต่ขณะเดียวกัน…พลังงานในร่างกายเราก็กำลังจะดับลงไปด้วยตามธรรมชาติ…"  เธอปาดน้ำตาทิ้ง 

    "ท่านหิวมากใช่ไหม…"  สายตาที่เหม่อมองมาอย่างอ่อนโยนนั้น  ทำให้ผมต้องมองต่ำลงเพื่อหลบสายตา…สายตาที่มันกำลังตัดพ้อ…

     แววตานั้นของเธอกำลังร้องไห้แล้วพูดว่า 'ท่านไม่ไว้ใจข้า..ท่านไม่ไว้ใจเพื่อนของท่าน…มิตรภาพของเรา !'  

     ผมละอายเหลือเกิน…

     "ข้าก็เหมือนกัน…ถ้าเรายังไม่สามารถออกไปจากนรกแห่งนี้ได้ภายใน  4-5  คืนจันทร์… ท่านจะตาย…แต่…

    ข้ารู้ได้พลังชีวิตของข้าเริ่มอ่อนแรงลงทุกที  ด้วยเพราะข้าเพิ่งเสร็จจากการจำศีลและยังไม่ได้รับอาหารเพียงพอ

    ในอีกคืนจันทร์…หรืออย่างมาก 2  คืนจันทร์  หากข้ายังไม่ได้อาหารและน้ำอย่างมากมาย  ข้าจะเสียสติ  คลุ้มคลั่งและกลายเป็นปีศาจไป …

     ข้า…ข้ากลัวเหลือเกิน…ที่จะต้องอยู่กับท่านในสภาวะแบบนั้น…

     ข้ารู้…ท่านต้องกลัวข้า เกลียดข้าแน่นอน"  เธอเริ่มร้องไห้ออกมาอีกครั้งหนึ่ง  ผมจับมือเธอไว้เพียงเพื่อให้กำลังใจ….

     น่าแปลกที่ตอนนี้  แม้ว่าผมได้รับรู้ธรรมชาติที่แท้จริงของเธอ  และมันแปลได้อยู่อย่างเดียวว่าจุดจบของผมคืออะไร หากผมไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย…

     "…และไม่เกิน 3 คืนจันทร์…ข้าต้องตายอย่างน่าสยดสยอง…เพราะสัญชาตญาณแห่ง     คองกาที่ใครก็ไม่อาจบังคับภาวะนั้นได้… 

    ก่อนอดตาย  …เราจะกินเนื้อตัวเอง !!!"

     ผมนึกภาพนั้นไม่ออกเลยจริง ๆ …และสงสารเธออย่างบอกไม่ถูก

     ในที่สุดผมดึงเธอเข้ามากอดไว้เพื่อปลอบโยน ลูบน้ำตาออกไปจากดวงหน้าสีดำเนียนนุ่มนั้นอย่างแผ่วเบา

     "อย่าร้องไห้  ไม่หรอก  ผมไม่มีวันเกลียดเธอ…ผมยินดีให้เธอกิน…

    จำไม่ได้หรือ  เธอบอกเอง…ว่าการกินคือการถ่ายทอดวิญญาณ  ผมก็จะได้อยู่ในตัวเธอ  เป็นเพื่อนเธอตลอดไป..ไม่ดีหรือ"

     "ไม่…จะไม่มีวันเป็นแบบนั้นแน่นอน…เราจะต้องไม่ตายอย่างตายเปล่า…ไม่มีใครจะมากินร่างเราต่อไป…ไม่…โอ…ไม่…อย่างน้อย…ท่านต้องรอด… 

    และพกพาวิญญาณของข้าไป…ข้าจะไม่ทำให้ท่านต้องมาตายอยู่ที่นี่แน่"

     ตอนนั้น  ผมไม่ได้เข้าใจนัยแห่งประโยคนั้นเลยจนนิดเดียว 

     '…พกพาวิญญาณของข้าไป...' 

    หากผมเข้าใจมันก่อนหน้านี้ละก็  ผมจะไม่มีความเสียใจอันยิ่งใหญ่ที่ต้องแบกไว้จนสุดสิ้นสุดชีวิตแบบนี้อย่างแน่นอน

     "เธอมีวิธี ?"

     "ข้าไม่แน่ใจ…แต่ต้องลองดู"  เธอปาดน้ำตาพร้อมอาการงอแงแบบเด็ก ๆ ออกไปอย่างรวดเร็ว ลักษณะความหลักแหลมของผู้นำเข้ามาแทนที่อย่างมหัศจรรย์ 

    "…ด้วยเทคโนโลยีของพวกท่าน  สามารถช่วยเหลือท่านออกจากที่นี่ได้หรือไม่…"

     "อือ…มียานลำเล็กขนาดแคปซูลที่อาจจะลงจอดได้  ผมไม่แน่ใจเรื่องระยะทางความสูงและข้อจำกัดของการขึ้นลงในที่แคบขนาดนี้…

    บางทีอาจจะต้องใช้เครื่องมือปีนเขาประเภทรอก ยกอัตโนมัติ  แต่อาจจะต้องต่อเชือกระหว่างทาง…"

     "ข้าคงไม่สามารถนำท่านออกไปจากที่นี่พร้อมข้า  เพราะข้ารู้  ท่านปิดบังความจริงกับนางพยายามจำเป็นอย่างข้าไม่ได้หรอก…

    ท่านบาดเจ็บมาก  เพราะฉะนั้นท่านต้องรอข้าอยู่ที่นี่  ข้าจะนำพวกเขาและเทคโนโลยีจากโลกมาช่วยท่านให้ได้ 

    พวกเขาคงวนเวียนหาตัวข้าอยู่ไม่ไกลจากที่ที่เราตกลงมานัก  ข้าใช้เวลา  1  คืนจันทร์ในการออกไปจากความลึกนี่  …

    2  คืนจันทร์ในการตามหามนุษย์โลก  และหลอกล่อพวกเขามาช่วยท่านให้ได้  …พวกเขาคงหาทางช่วยท่านขึ้นไปได้ภายในคืนจันทร์เดียว…"

     "เดี๋ยวก่อน…มันจะไม่อันตรายเกินไปหน่อยหรือ เธอจะขึ้นไปได้อย่างไร … แล้วเธอแน่ใจหรือว่าพวกเขาจะไม่ฆ่าเธอทิ้งทันทีที่พบเห็น"

     "เรื่องหลังเอาไว้แก้ปัญหาเฉพาะหน้า…ข้าก็ยังไม่รู้  แต่ข้าพอมีวิธีออกไปจากที่นี่…"  


     เธอลุกขึ้นไปยังที่ช่องแคบด้านหนึ่ง 

    แล้วผมก็ได้รู้ว่าเสียง 'โลหะขูดหิน'  ที่ผมคิดถึงการลับมีดเกิดขึ้นเพราะอะไร 

    มันคือมีดจริง ๆ เสียด้วย …มีดสั้นอันเท่าฝ่ามือ

     "ปกติพวกเรามีมีดพกประจำตัวคนละอัน  ใช้ประโยชน์สารพัด  ตั้งแต่การป้องกันตัว  หาอาหาร  และป่ายปีน…ท่านตามข้ามา"

     ผมตามเธอเดินลึกเข้าไปในซอกแคบนั้น  ซึ่งแคบเข้าทุกทีทุกที  ในเงาสลัวผมเห็นเธอเอาหลังพิงกับผาหินด้านหนึ่ง 

    และขาทั้งสองข้างยกลอยไปยันกับผาหินอีกด้านหนึ่งโดยมีมีดในมือเป็นตัวยึดให้สามารถขยับตัวถัดขึ้นสูงไปได้เรื่อย ๆ 

     "เราจะใช้ความแคบของมันให้เป็นประโยชน์  ข้าจะใช้วิธียันขาไว้แบบนี้แล้วถัดตัวขึ้นไป  หากว่าพบกับความกว้างที่เพิ่มขึ้นในบางช่วง 

    ก็จะใช้มีดนี่จัดการปีนต่อไปให้ได้ หรืออาจขยับตัวทางแนวนอนหาที่ที่มีความแคบเพียงพอที่จะถัดตัวขึ้นไปได้…


     ...ไม่…ได้โปรดอย่าค้าน…

    ข้ารู้ว่ามันอันตรายเพราะมันสูงมากกว่าภูเขาหรือชะง่อนหินผาธรรมดาอย่างมหาศาล  แต่ข้าไม่อาจทนรอความตายอยู่ที่นี่ 

    เราต้องลองดู  เราจะมัวแต่รอการค้นหาของมนุษย์โลกไม่ได้ 

    บางที  เพราะว่าพวกเขายังไม่รู้หรือนึกไม่ถึงหรือไม่มีวันคาดคิดได้เลยว่าจะมีสถานที่แบบนี้อยู่ในโลกแห่งความจริงเลยก็ได้…

     ...ได้โปรดเถอะ…ข้าไม่อยากหมดกำลังใจ"

     ผมจะพูดอะไรได้…

     ผมอยากเป็นฝ่ายขึ้นไปเสียเอง  หากเพียงลองเอาหลังยันกับหินอันเย็นเยียบ  ความเจ็บปวดก็แล่นพล่านไปทั่ว…

     "ข้ารู้ว่าท่านกำลังคิดอะไรอยู่  ท่านจะตกลงมาภายในระยะไม่เกิน  2-3อึดลมหายใจแรก…"

     "โอเค   ผมคงไม่สามารถ…แต่ว่า  เธอเอานี่ติดตัวไปด้วย  มันอาจจะช่วยเธอจากมนุษย์พวกนั้นได้"

     มันเป็นไมโครชิพขนาดเล็กที่สุด อันเป็นข้อมูลบรรจุบัตรประจำตัวประชาชน และใบอนุญาตต่างๆ  ของผม    ซึ่งมนุษย์โลกทุกคนหรือบนดาวที่เจริญแล้วต้องมีติดไว้ที่ซอกหู

     "…คือรหัสของผม"  ผมก็ได้บอกรหัสประจำตัวของผมและของเพื่อนผมอีกคน…  ดิม  "  พยายามพบเขา…

    หรือขโมยวิทยุสื่อสารให้ได้แล้วติดต่อถึงเขา  เมื่อบอกข่าวของผมเสร็จ  เธอจะต้องรีบหนีให้เร็วที่สุด  เข้าใจไหม…

     อย่าปรากฏตัวให้ใครเห็นเป็นอันขาด  นอกจาก  ดิม ผมแน่ใจว่าเขาจะไม่เป็นอันตรายกับเธอ  และอาจช่วยเธอได้เมื่อจำเป็น 

    ถ้าไม่สามารถติดต่อเขาได้  อย่าเป็นห่วงผม…. 

    ลืมผมไปซะ… 

    ผมอาจจะตายก่อน  4  วันก็ได้  เอาตัวรอดนะ  เข้าใจไหม  นอกจาก ดิม เท่านั้น  ดิม…เขาเป็นเพื่อนผม  จำรหัสของเขาได้ไหม?"

     "ได้…" 

    เธอทวนรหัสนั้นด้วยเสียงแผ่วเบา 

    ผมเห็นน้ำตาใสบางเริ่มซึมออกมาอีก  ผมไม่อยากเห็นเลย  มันจะทำให้ผมตายเร็วขึ้น  "ข้าคงต้องไป  ตอนนี้…ในขณะที่ข้ายังมีกำลังอยู่…"

     "เราคงต้องลาจากกันแค่นี้  และอาจจะไม่ได้พบกันอีก…ตลอดไป"

     "อย่าพูดแบบนั้น  เมื่อผมถึงข้างบนนั่น  ข้าจะตามหาเธอให้พบให้ได้  ไม่ต้องห่วง"

     เธอได้แต่ยิ้มเศร้าสร้อย  เหมือนรู้ล่วงหน้าว่าคำพูดของผมอาจจะไม่มีวันเป็นจริงขึ้นมาก็ได้…

    ผมสงสารเธออย่างยิ่ง  แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าดึงเธอมากอดไว้แน่นอีกครั้ง  เงยหน้าแล้วกดศรีษะของเธอให้หน้าแนบไว้กับลำคอผม

     ผมไม่ต้องพูดอะไรเลย  เธอก็เข้าใจ… 

     ผมขบกรามเบา ๆ ทนกับความเจ็บแปลบจากคมเขี้ยวที่ฝังลงมา

     …ผมให้เธอดูดเลือดผม…

     และเมื่อเส้นเลือดเริ่มกระตุกน้อย ๆ เป็นช่วง ๆ ผมก็กดเธอไว้อีกครั้ง

     "อีกสักนิดเถอะ  ไม่เป็นไรผมทนได้…"

     เธอค่อย ๆ ดูดเลือดเขาอย่างปราณีตบรรจงเหมือนจะไม่ยอมให้เลือดทุกหยาดหยดที่ผ่านสู่ลำคอไปอย่างไร้ความหมาย 

    หรือเพียงเพื่อเป็นอาหารประทังชีวิตอีกต่อไป  และยังคงนิ่งอยู่นาน  เมื่อหยุดแล้วมันทำให้เขาไม่ต้องห้ามเลือดเลย…

     "ขอบคุณ…"
     .
     .
     .
     ...



     นั่นคือคำพูดที่เธอบอกผมเป็นครั้งสุดท้าย 

    ก่อนที่จะไต่ผนังในซอกแคบตามวิธีที่เธอบอก  จนลับหายไปกับความมืดมิดในความสูงไกลเกินกว่าที่อำนาจแสงเรือง ๆ ของหินไฟแห่งการแลเห็นจะอนุญาตให้ผมแลเห็น 

    ผมพิงผนังหนาในวอกตรงนั้นอย่างหมดเรี่ยวแรงและสลบไปในที่สุด  เมื่อมีเศษหินและผงดินหล่นลงมากระทบตัวผม  จึงรู้สึกตัวเป็นระยะ ๆ มันเป็นสัญญาณว่าเธอกำลังเคลื่อนไหวอยู่

     จนกระทั่งแสงสลัวของกลางวันที่เบื้องบนเล็ดลอดลงมา  ผมพยายามลืมตาเพ่งมองตรงไปที่เธอจากไปอีกครั้ง  แต่ก็ไม่มีร่างสีดำที่ต้องการเห็นแม้แต่เงา

     ความโหยหิวปลุกผมขึ้นอีกครั้งเมื่อแสงสีม่วงเรืองขึ้นในความมืด… 

     ผ่านกลางวันไปแล้ว… 

     เธอก็คงอยู่สูงมาก  ผมสำนึกได้ว่าไม่มีทางที่จะได้เห็นอีก  จึงคืบคลานออกมา…
     .
     .
     .


     'การรอคอยเป็นสิ่งที่ทรมานที่สุดในบรรดาการเล่นตลกของกาลเวลา'  

     …ผมเห็นด้วยจริง ๆ 

     ความระแวงสงสัยมาสิงสู่จิตใจผมอีกครั้ง  เมื่อนึกว่า  ผมอาจจะถูกเธอทอดทิ้งให้อยู่เดียวดายจนตายไปอย่างเงียบ ๆ

    แต่ผมก็จะไม่ตำหนิเธอเลยจริง ๆ ซาฟรีรีนาเป็นตำแหน่งเทพีศักดิ์สิทธ์ของเผ่า…เธอน่าที่จะเห็นความสำคัญส่วนรวมมากกว่า…

     ความเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง เดียวดาย ต่างพากันเวียนว่ายวนอยู่รอบตัวจนผมรู้สึกว่างเปล่าราวกับผมไม่ได้มีตัวตนอยู่ในโลก  ผมยอมรับตรงนี้เอง  ว่าผมเลวเหลือเกินที่คิดว่าซาฟรีรีนากำลังทิ้งผม...  

    เธอทิ้งผม 

    เธอทิ้งผมไปแล้ว 

    แต่ทว่า...โดยไม่มีเหตุผล 

    ในส่วนลึกที่สุดของจิตใจ ผมยังเชื่อว่าเธอจะกลับมา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×