คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ในรอยร้าวของดวงดาว
ในรอยร้าวของดวงดาว
แล้วผมก็รู้ว่า ความ 'เสียใจ' แท้จริงแล้วเป็นความรู้สึกเช่นไร
ผมร้องไห้..
น้ำตามันไหลออกมาเองโดยที่ไม่รู้ตัว
ไม่มีเสียงสะอื้นใด ๆ หากความรู้สึกเสียใจอย่างรุนแรงประดันขึ้นมาจนท่วมท้นไปทั่วทั้งกาย และแม้แต่ทั้งวิญญาณก็ถูกมันครอบงำไปหมดสิ้น
ผมตัวสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุมได้ และคล้ายกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังบีบเค้นลำคออย่างรุนแรงจนทบอาเจียน
ผมสำลักน้ำขมฝาดที่เอ่อล้นจากภายในขึ้นมาจุกที่ลำคออันตื้นตัน..
คนที่เคยรู้ว่า คำว่า 'ตื้น' 'ตัน' เป็นความรู้สึกเช่นไรละก็ เขาผู้นั้นย่อมเข้าใจว่าผมในขณะนี้รู้สึกเช่นไร
มันเป็นความตื้นตันที่ขมขื่น และโศกเศร้าอย่างสุดแสน
.
ผมเสียใจ
มาก
เกินกว่าที่จะพรรณนาด้วยภาษา
ในความเงียบสงัดและวังเวง จนน่าสะพึงกลัว
ผมกอด 'มัน' ไว้แน่นแนบอก
ผมได้แต่กอด 'มัน' ราวกับเป็นไม้ท่อนสุดท้ายกลางทะเลคลั่ง เป็นสิ่งล้ำค่าสูงสุดในชีวิต
และผมคิดว่าคงไม่มีสิ่งใดที่จะโยกคลอนความรู้สึกของคนได้มากกว่านี้อีกแล้ว
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งออกมาอบอวลอยู่ในประสาทสัมผัสของผม แต่ในความรู้สึกส่วนลึก ผมปานว่าได้กลิ่นไอแห่งกายของผู้เป็นเจ้าของ 'มัน'
มันเป็นเพียงอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกาย
แขนที่ถูกตัดเสมอไหล่
สีดำสนิท อาบด้วยโลหิตเหนียวข้นสีแดงเข้ม
..................................................................................................................................
สิ่งแรกที่ผมลืมตาขึ้นมาพบเห็น ณ ขณะนั้น
แสงเรืองๆ สีม่วงดูแปลกประหลาดในความสลัวสะท้อนให้เห็นดวงหน้าเรียวของหญิงสาวสีดำผู้ไร้เส้นผมนั่งหลับตานิ่งอยู่ข้างกาย
เหมือนครั้งแรกที่พบเธอ
กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้ง ผมกำลังฟุบอยู่บนผืนทรายหนาจนเรียกได้ว่า หลุมทรายลึก มันเป็นบริเวณแคบ ๆ ไม่ใหญ่ไปกว่าผืนพรมสำเร็จรูปขนาดมาตรฐาน และถูกล้อมด้วยผาหินสูงลิบลิ่วจนต้องตั้งบ่าแหงนคอมองเห็นท้องฟ้าอยู่ไกลลิบ ๆ จนแสงสว่างลงมาแทบไม่ถึง
ผมยังไม่ตาย
ยังไม่ตายจริง ๆ หรือนี่
หรือที่ผ่านมาทั้งหมด ตั้งแต่พบซาฟรีรีนา หญิงสาวสีดำผู้ไร้เส้นผม
.เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ขอบผา
มิตรภาพ
ตำนานแห่งหญิงสาวผู้เสียสละ
เสียงระเบิด การตามล่าของคนพวกนั้น
ล้วนเป็นความฝัน
นี่ผมเพิ่งตื่นจากคืนนั้นที่เขาปีนขึ้นมาจากหุบเหวแล้วพบเธอในคืนพระจันทร์เต็มดวงหรือเปล่าหนอ ?
"ซาฟรีรีนา" ผมเรียกเธอเบา ๆ อย่างไม่แน่ใจ
ลำคอตีบตันแห้งผาก
เธอลืมตาขึ้น
แล้วมองดูผม
ดวงหน้าแบบนั้น..รอยยิ้มแบบนั้น
สายตาแบบนั้น
ผมรู้ได้ในทันที ถ้าตอนนี้ผมไม่ได้ฝันอยู่ละก็ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นล้วนเป็นความจริง !
"ที่นี่ที่ไหน ?" ผมถามพร้อมกับขยับตัวขึ้นอย่างยากลำบาก
ร่างกายแทบทุกส่วนปวดร้าวและเจ็บระบมเหมือนมีใครที่มองไม่เห็นกำลังรุมซ้อมผมอยู่เงียบ ๆ อย่างทารุณ
มองไปรอบ ๆ
ด้วยแสงสลัวจากวัตถุเปล่งแสงสีม่วงประหลาด
มันเป็นสถานที่แปลกประหลาด
ที่นี่ไม่เหมือนก้นเหวที่ตกลงไปครั้งแรกหลังจากยานเกิดอุบัติเหตุ
ที่นั่น ยังคงเป็นหินระเกะระกะพอให้ปีนป่าย เพื่อขอความช่วยเหลือได้ ซุกตัวหลบซ่อนความหนาวเย็นและสายลมได้
แต่นี่ หลุมลึกแห่งนี้ ไม่มีอะไรเลย
ไม่มีหินก้อนเล็กก้อนน้อย ไม่มีเถาดอกไม้ฟารารา ไม่มีสายลม ไม่มีความชื้นแม้สักน้อยนิด
ไม่มีเสียงแม้เพียงการเคลื่อนไหวของแมลงตัวเล็ก ๆ
นอกจากชั้นทรายละเอียดราวกับฝุ่นหนาลึกอย่างยิ่งที่ผมคิดว่ามันคงช่วยชีวิตผมเอาไว้กับกำแพงหินหนาทึบเรียบสนิท
เหมือนขนมวุ้นที่ถูกมีดตัดทั้ง 4 ด้าน มีเพียงร่องรอยแตกกว้างพอที่คนตัวเล็ก ๆ สักคนจะแทรกเข้าไปได้
และยาวขนานกันทั้งสองด้านขึ้นไปตามความสูงจนสุดสายตา
"รอยร้าวของดวงดาว
" คำตอบราบเรียบ แสนจะธรรมดา...
แต่แววตาสีแดงใสคู่นั้นบอกอะไรได้มากมาย
อย่างน้อยก็ ความสิ้นหวัง
แม้ว่าผมจะไม่รู้ว่ารอยร้าวของดวงดาวคืออะไร
มันแย่พอ ๆ กับตกลงไปในปล่องภูเขาไฟในโลกหรือเปล่านี่
?
"มันคือปรากฎการณ์ทางธรณีวิทยาอย่างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นบนดวงดาวนี้ และเท่าที่ข้าทราบ ยังไม่เคยมีใครสามารถขึ้นไปได้หากไร้การช่วยเหลือจากเบื้องบน เพราะไม่มีทางออกใด ๆ เราอยู่ต่ำกว่าระดับแผ่นดินปกติของดาวมากเกินกว่าที่จะประมาณได้
ส่วนรอยแตกแคบลึกทั้งสองด้านนี่ยาวตลอดเส้นรอบวงของดวงดาว
หมายความว่า ถ้าท่านเดินเข้าไปในช่องแคบด้านขวานี้ไปเรื่อย ๆ ในที่สุดท่านจะพบว่าตัวเองเดินออกมายังจุดเดิมจากรอยแตกด้านซ้ายมือ !
อย่างไรก็ตาม ท่านก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้อยู่ดี เนื่องเพราะบางตอนรอยร้าวนี้จะตีบแคบจนเกือบตัน หากบางตอนก็กว้างพอ ๆ กับที่ที่เราอยู่นี่
และในบางระดับก็ต่ำจนกลายเป็นเหวลึกอีกชั้นหนึ่ง ในขณะที่บางระดับกลับกลายเป็นผาสูงอีกชั้นเช่นกัน
หรือในความเป็นจริงเป็นอย่างไรก็ยังไม่มีใครพิสูจน์แน่ชัด
."
ในความหมายที่เธอพยายามอธิบายมาทั้งหมด
มันแปลได้อยู่อย่างเดียวว่า 'พวกเรากำลังรอความตาย' !
"เธอ
ตามผมลงมาใช่ไหม ?"
"
." เธอนิ่งงันไป ก่อนที่จะพยักหน้าน้อย ๆ แทนคำตอบ
"เธอรู้มาก่อน
ทั้ง ๆ ที่รู้หรือ ?
ทำไม ?
"
"
เพื่อน
เราเป็นเพื่อนกัน
.!"
คำตอบนั้นหนักแน่น และรอยยิ้มนั้นบริสุทธิ์
.จริงใจ
.
ผมได้แต่หลับตาลง ทิ้งน้ำหนักตัวซบกับผนังหินธรรมชาติอันมโหฬารที่ข้างกายอย่างหมดเรี่ยวแรง
.
ความจริง
.ผมไม่ต้องถามเธอก็น่าจะเดาได้ ผมพลาดตกลงมาคนเดียว
ผมรู้
แต่เธอ
เธอน่าจะหนีรอดไปเสียได้ กลับกระโดตามผมลงมา
!
เพียงเพราะ 'เพื่อน'
.
เธอบ้า !
.
เธอบ้าใช่ไหม ?
.ผมเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างรุนแรง แล้วนี่ จะเกิดอะไรขึ้นกับชาวคองกา
หากหัวหน้าเผ่าของเขาสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยระหว่างวิกฤตการณ์อะไรก็ไม่รู้นั่น
.
และ
.และ
ผมพาเธอมา
. 'ตาย' !
"อย่าโทษตัวเอง
ท่านไม่ได้ผิดอะไร
." เหมือนเธอจะรู้ถึงความรู้สึกนึกคิดของเขา จึงปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเพียงเบา ๆ
"ท่านเคยถามข้าใช่ไหมว่า มนุษย์พวกนั้นต้องการอะไร
" ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์ใด ๆ อีกแล้วที่จะมาพูดกันถึงเรื่องภายนอก
หากเธอคล้ายดั่งหยิบยกขึ้นมาเพื่อเป็นเรื่องเล่า เพื่อพูดคุยกันดีกว่าที่จะนิ่งเฉยอยู่ และรอความตายไปอย่างทรมาน
.
ทรมานจากความกดดันภายใต้การแล่นวนของความคิด
"ท่านเคยเห็นวัตถุส่องแสงนี่หรือไม่ ?"
ผมจับตามองวัตถุต้นกำเนิดแสงสีม่วงใสประหลาดที่วางอยู่ตรงหน้าเธอ
"ไม่เลย
ผมคิดว่ามันคงไม่มีบนโลก"
"มันคือหินหรือสารประกอบของธาตุไฟชนิดหนึ่ง ซึ่งพบอยู่ใต้แผ่นดินอันโหดร้ายของพวกเรา ในป่าหินแถบนี้เท่านั้น
เราเรียกมันว่า 'หินไฟแห่งการแลเห็น'
นานมาแล้ว เราใช้มันในการทำนายเรื่องราวในอนาคต เชื่อกันว่า ผู้ที่มีพลังพิเศษเมื่อรวมกับพลังของมันจะทำให้เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า
หากมนุษย์จากดาวโลกเคยวิจัยและพบว่ามันสามารถถลุงได้แร่ธาตุชนิดหนึ่งที่ทำปฏิกิริยานิวเคลียร์แล้วให้พลังงานดีกว่า ปลอดภัยกว่าธาตุกัมมันตภาพรังสีที่มีอยู่บนดาวดวงอื่น
แหล่งกำเนิดขุมพลังงานอันมหาศาลหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่ !"
ด้วยคำอธิบายสั้น ๆ ผมก็เข้าใจทุกอย่าง
.
ผมไม่แปลกใจเลย ถ้ามนุษย์คาดหวังในการล้างผลาญพลังงานจากทรัพยากรต่างดาว เพื่อกอบโกยเอาผลประโยชน์สู่โลก
ผมนึกถึงประวัติศาสตร์โลก
นานแสนนานมาแล้ว
ณ แผ่นดินอันโหดร้ายเช่นกัน ดูเหมือนว่าสวรรค์จะประทานบางสิ่งบางอย่างเพื่อทดแทนความอุดมสมบูรณ์ทางอาหาร
.
ทะเลทรายบนโลกเคยโอบอุ้มแหล่งทรัพยากรสำคัญ
น้ำมันเชื้อเพลิง
ต้นกำเนิดพลังงานที่สำคัญที่สุดในยุคนั้น ..
เมื่อถูกมนุษย์ค้นพบ
วัตถุดิบธรรมชาติที่สะสมฝังตัวอยู่มานานกว่าที่มนุษย์คแรกจะเกิดมาก็หมดลงด้วยน้ำมือมวลมนุษยชาตินั่นเอง
ปรากฎการณ์ขนานกำลังจะเกิดขึ้นที่นี่
และด้วย 'ปรากฎการณ์ขนาน'
ผมก็ทำนายได้โดยไม่ต้องใช้ 'หินไฟแห่งการแลเห็น' เลยว่า อีกไม่นาน คงมี 'ศูนย์วิจัยพลังงาน' ของชาวโลกบนป่าหินแห่งนี้
วัฒนธรรมสากลก็จะถูกเผยแพร่
และสำหรับชาวคองกา
หากว่าพวกเขาฉลาดพอและปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว
การเจรจาก็จะมีขึ้น..สิ่งที่ตามมาคือ พวกเขาจะกลายพันธุ์ และกลายวัฒนธรรม จนถูกเรียกว่า 'พัฒนา' อย่างรวดเร็ว
พัฒนา
พัฒนา
พัฒนา
พัฒนา
เหรอ
ผมเกลียดคำนี้
มันเป็นคำที่หลอกลวงสิ้นดี !
ไม่มีใครตัดสินได้ว่า มันคือการ 'พัฒนา' 'กำลังพัฒนา' หรือ 'ด้อยพัฒนา' เอาอะไรมาวัดกันได้ ในเมื่อมันมี 'คู่ประกบ' ที่เกิดขึ้นอยู่ คือ 'ความเสื่อม'
!
ณ ที่แห่งใด มีการพัฒนาเกิดขึ้นเท่าใด
ความเสื่อม
.ที่มักเคลื่อนไหวอย่างไร้ตัวตน
ก็เกิดขึ้นมากเท่านั้น !
ผมอยากเรียกความรวมของมันว่า 'การเปลี่ยนแปลง' เสียจะดีกว่า
หรือถ้าพวกเขาไม่ฉลาดพอ
.พวกเขาก็ย่อมต้องเปลี่ยนแปลงอยู่ดี หากเป็นการเตรียมตัวเพื่อที่จะกลายเป็นชนชั้นแรงงานในเหมืองพลังงานต่อไป
เหมืองที่ 'มนุษยโลก' ครอบครอง !
"
พวกเขาคิดว่าเราไม่รู้เรื่อง
เราเถื่อน
เราโง่ หากเขาไม่รู้ว่ามนุษย์กินคนอย่างเราไม่โง่จนไม่รู้ว่าเรายืนอยู่บนอะไร !
หากเราได้แต่ปกป้อง
ราไม่กล้าพอที่จะปลุกมันขึ้นมา
เพราะเรารู้ว่า มันจะกลายเป็นปีศาจที่ไม่อาจควบคุม จะนำแต่ภัยพิบัติมาให้และในที่สุดมันจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างแต่มนุษย์ผู้ควบคุมมันเอง !"
เพียงแค่ฟัง
.ผมขนลุกชันไปทั้งตัว
"
แต่เมื่อข้าส่งความเพื่อขอเจรจากลับไปยังทำเนียบท่านประธานาธิบดีโลก
จึงมีงานมาจากโลก 2 กลุ่ม หนึ่งคือ สำรวจแหล่งธาตุไฟที่ปรารถนา และอีกหนึ่งคือ ทำลายข้า !" เสียงที่เล่านั้นเปล่งออกมาเต็มไปด้วยความรู้สึก
"
และผู้ขัดขวางทั้งมวล
เพราะพวกเขาเริ่มระแวงว่าเราไม่ได้โง่อย่างที่เคยคิด"
ผมพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ถอนหายใจ
"
ข้าก็ได้เล่าเรื่องให้ท่านฟังจนจบสิ้นแล้ว
แต่จะไปมีประโยชน์อะไรกันเล่า ในเมื่อ
" น้ำเสียงอันเศร้าสร้อยนั้นขาดห้วงไป
มันฟังดูสิ้นหวังอย่างบอกไม่ถูก
แสงจากท้องฟ้าอันไกลลิบลับค่อย ๆ เปลี่ยนสีไป จนกระทั่งหรี่ลงจนกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มอย่างรวดเร็ว
.
ความมืดมิดจากธรรมชาติทำให้แสงสีม่วงจาก "หินไฟแห่งการแลเห็น" สว่างเรืองขึ้นมาอย่างประหลาด
"ท่านยังเจ็บอยู่มากไหม?"
"ไม่แล้ว" ผมตอบไม่ตรงกับความจริงนัก
มันบรรเทาลงมากแล้ว หากทุกครั้งที่ขยับตัวเพียงนิดเดียว หรือแม้เพียงถอนหายใจเบา ๆ ความปวดร้าวก็แล่นไปทั่วทั้งกาย
"ท่านควรนอนพักผ่อน
." สัมผัสแผ่วเบาที่หน้าผากทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
"ถ่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตให้นานที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้
เราจะต้องออมพลังงานโดยการนอนหลับหรือหยุดนิ่ง
.
หรือเราอาจทำได้แค่อย่างมาก ช่วยกันภาวนาให้เกิด ปาฏิหาริย์"
เธอฝืนหัวเราะแผ่วเบาขณะที่ช่วยพยุงผมให้นอนราบลงกับทรายที่นุ่มละเอียดนั้น แล้วฝังต้นกำเนิดแสงสีม่วงลงในกองทรายที่โกยขึ้นมาอย่างลวก ๆ
ฉับพลัน ความมืดมิดก็เข้าครอบคลุมปริมณฑลที่เราสองมนุษย์ต่างดวงดาวเหลือชีวิตอยู่ตามลำพัง
ผมได้ยินเสียงขยับตัวลงนอนข้างกายไม่ห่างออกไปเกินมือเอื้อมถึงของซาฟีรีนา ก่อนที่ความเงียบ
มืด
และความว่างเปล่าจะแผ่อานุภาพที่ไม่อาจต้านทานได้กลืนกินเราจนหมดสิ้น
. . .
เงียบ
ความเงียบสงัดครอบคลุมไปทั่วทั้งบริเวณแคบๆ
มันเป็นความสงัด สงบ อย่างแท้จริง จนผมก็เพิ่งเคยสัมผัสความน่ากลัวของมันเป็นครั้งแรก
มันเงียบมากจนผมคงคิดว่าหูพิการไปถ้าหากไม่ได้ยินเสียงหายใจ และหัวใจที่เต้นอยู่เป็นจังหวะ ผมบอกไม่ถูกเลยว่า
ผมกำลังคิดถึงอะไรบ้าง
มันเหมือนมีภาพต่าง ๆ กะเทาะออกมาจากความทรงจำแล่นไหลเวียนวนอยู่ในสมองของผม วูบวาบเข้ามาแล้วก็หายไป เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ไม่มีวันจบสิ้น
หรือบางทีก็ว่างเปล่าหรือสับสน จนผมไม่รู้ว่าผมคือใคร
หรือว่าผมยังมีตัวตนอยู่
นี่เองหรือ คือความทรมานจากความกดดันภายใต้การแล่นวนของความคิด
บ้าตาย
ผมเข้าใจคำว่า 'บ้าตาย' เมื่อนั้นเอง
มันมีจริง ๆ ด้วย
ผมอาจจะคลุ้มคลั่งขึ้นมา ถ้าไม่ใช่ว่า ตลอดเวลา เมื่อสุดสิ้นความคิดในระยะหนึ่ง
ผมก็ย้อนกลับมาคิดคำนึงถึงคนข้างกายที่กำลังหลับสนิทนิ่งไม่ไหวติงอยู่
ซาฟรีรีนา
.
หญิงสาวสีดำผู้ไร้เส้นผม
เพื่อน
(ผมไม่รู้ว่ามีคำขยายใด ๆ ที่มีค่าเพียงพอต่อคำนามนั้นหรือไม่ นอกจาก
'ของผม' ) เพื่อนของผม
เพื่อน
ที่แม้ว่า มิตรภาพจะเพิ่งถือกำเนิดมาเพียงไม่กี่คาบเวลา
และแม้ว่าเราจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงด้วยพงศ์เผ่า ความคิด และการดำรงอาศัย หากบางที มันอาจจะยั่งยืนกว่า 'เพื่อนมนุษย์โลก' ด้วยกันก็ได้
.จะมีใคร หรือเพื่อนผมคนไหน ที่ยอมกระโดดตามผมลงมาเหมือนเธอบ้างไหม
ผมยังสงสัยอยู่
เวลาผ่านไป
และผ่านไป
สำหรับคืนนี้
เวลาผ่านไปเท่าไรผมไม่อาจรู้ได้
มันอาจเป็นเวลายาวเกือบทั้งคืนแล้วหรือเพียงแค่เศษเสี้ยวเวลาเพียงไม่กี่วินาที หากสำหรับผู้ที่กำลังนอนรอความตาย
มันยาวนาน และทรมาน เหลือเกิน
ผมพยายามหลับ ทั้งที่ไม่ยอมหลับ
หากสิ้นเรี่ยวแรงแม้เพียงลืมตาขึ้นมา
แต่จะมีประโยชน์อะไรเล่า
มันก็ไม่ผิดอะไรกันแม้แต่น้อย ในความมืดมิดที่ไร้แสง
.
.
.
ความคิดเห็น