ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ซาฟรีรีนา

    ลำดับตอนที่ #7 : หนี

    • อัปเดตล่าสุด 2 ก.พ. 49


    หนี



     

     ทันใดนั้นเอง  เสียงระเบิดกึกก้องของอาวุธชนิดใดชนิดหนึ่งดังมาจากอีกฟากของหน้าผาสีแดงเพลิงของพลังงานความร้อนพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า 

    เสียงหัวเราะหยุดลงทันควันในเสี้ยววินาทีต่อมา  เหมือนคนข้างกายจะรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่น่ากลัว 

    เธอผุดขึ้นอย่างร้อนรนพร้อมกับฉุดเขาให้ลุกขึ้นตาม กลับหัวคบเพลิงลงปักพื้น  แล้วออกวิ่งอย่างรวดเร็วในความสลัวด้วยฝีเท้าเงียบกริบ


     จากพื้นราบเรียบอันน้อยนิดบนยอดผาสู่ทางลาดชันที่ทอดไปถึงเงามืดทะมึนในชะง่อนหิน 

    แม้ว่ามันจะชันจนเกือบจะตั้งฉากอยู่แล้วในความคิดของเขา  แต่ซาฟรีรีนายังคงเคลื่อนไหวต่อไปอย่างคล่องแคล่ว  ไร้เสียงราวกับเงา 

    ในขณะที่อัลทรอยกลับหลงอยู่ในเงามืดและเคลื่อนที่ช้าลงทุกครั้งที่ก้าวต่อไป  สองมือของเขายังเกาะเกี่ยวเถาไม้ฟาราราแก่ ๆ อย่างหวาดระวัง

    มีเพียงสัมผัสเบา ๆ ที่ต้นแขนที่ทำให้เขารู้ว่าเธอยังอยู่ข้างกายไม่กลไปจากเขา

     เธอเริ่มหยุดนิ่งในความมืดและเงียบ  แนบหูกับผาหินและหลับตาลง  หลังจากเงียบงันช้านาน  เขาจึงได้ยินเสียงกระซิบเบาแสนเบาอยู่ริมหู

     "อย่าปล่อยมือ  เกาะข้าไว้  ข้าจะนำทางท่าน …อย่าส่งเสียง  ใช้ปลายเท้าและอุ้งเท้าหนีบเถาไม้นี่ไว้ …มันเหนียวพอจะรับน้ำหนักท่าน  มาทางนี้…"

     "….เออ…."


     "อย่าเพิ่งถามอะไร  เราอยู่ในอันตราย….เรากำลังถูกล้อม !"

     อัลทรอยทำตามที่เธอบอกต่อไปได้ระยะหนึ่ง  เสียงจากเบื้องบนหลังคาหินธรรมชาติก้อนมหึมานั้นมีเสียงพูดดังขึ้น….เขาก็ต้องแปลกใจ…

     เขาฟังออก…  'มนุษย์โลก'  พวกเดียวกับเขานี่เอง!

     ทางเราได้ตัวแล้ว  แต่ไม่ใช่คนที่ท่านหัวหน้าหน่วยต้องการ …ใช่…เรามาสายไป …มันรู้ตัวก่อน…ส่งกำลังมาโดยด่วน"

     มันทำให้เขายิ่งงุนงงมากขึ้น

     ทำไมเธอต้องหนีคนเหล่านี้  ?

     ทำไมพวกเขาต้องการตัวเธอ ?

     แล้วนี่… ทำไมเขาต้องหนีมนุษย์โลกพวกเดียวกัน ? 

     ทั้ง ๆ ที่  ถ้าเขาต้องการกลับโลก…เขาย่อมต้องติดต่อพวกเขา  ในเมื่อมีโอกาส เขากลับต้องหลบซ่อนตัว ???

     "เถาวัลย์ประหลาดพวกนี้จะเป็นประโยชน์ในการแกะรอย…" เสียงนั้นยังลอยลงมาห่างจากตำแหน่งเดิมเล็กน้อย

     คำพูดประโยคนั้นทำให้หญิงสาวนิ่งเงียบไปอีกพักใหญ่  ก่อนที่จะพยายามคลำหาอะไรบางอย่าง…

     เสียงจากเบื้องบนก็ดังขึ้นอีก

     "ได้ร่องรอยแล้ว…เราจะต้องลงไปข้างล่าง...ใช่…อันตราย…ส่งเครื่องมือมาด่วน"

     "จับเจ้าเส้นนี้ไว้ให้แน่น"  เสียงกระซิบร้อนรนพร้อมกับยัดเยียดบางสิ่งบางอย่างไว้ในมือของเขา 

    มันเป็นเถาฟาราราเส้นหนึ่งที่ยังเป็น ๆ มีขนาดใหญ่มากจนมือใหญ่ยังต้องกำสองมือจึงจะรอบ  และมีน้ำยางธรรมชาติหล่อลื่นเป็นเมือกเหนียวติดมือ

     "กระโดดลงไป…รูดตัวไปตามเส้นนี้  มีผาหินอยู่ต่ำกว่าที่ที่เรายืนนี่อีกขั้นหนึ่ง  มันลึกพอสมควร  พอถึงข้างล่าง  กระตุกมันบอกข้า  ข้าจะตามลงไป  ระวังตัวด้วย…"

     "เธอ…"

     "อย่าเพิ่งเป็นห่วง…ข้าตามท่านลงไปแน่นอน"

     อัลทรอยทำตามที่เธอบอกทุกอย่าง  ความมืดทำให้เขาไม่รู้สึกหวาดเสียวต่อความสูงจนน่าใจหายอันนั้น 

    จวบจนเท้าของเขาสัมผัสถึงเยื่อไม้อ่อนนุ่มเย็นเยือกและความมืดมิดเบื้องล่าง  จึงรู้ว่ามันสูงจนเขาประมาณไม่ได้ !

     เขานิ่งอยู่ในความมืดและสงัดอยู่พักใหญ่  ก่อนจะกระตุกเชือกบอกรหัสที่เธอให้ไว้

     นี่เขาผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่มาได้อย่างไร…  ในสภาพไร้น้ำหนักไม่ผิดอะไรกับของหล่น…

    เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า  ในขณะที่ปล่อยตัวลง จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปในชีวิต หรือเขากำลังคิดถึงอะไร แต่เขารู้สึกว่ามันนานมาก 

    นานแสนนานราวกับหล่นลงไปในหุบเหวที่ไม่มีก้น  ไม่มีจุดจบสิ้น…



     ไม่นานนักเขาก็รู้สึกถึงน้ำหนักที่ลงมายังดงเยื่อไม้ข้าง ๆ ที่เขายืนอยู่

     "ยังเดินต่อไปไหวไหม ?"  เป็นคำถามที่ไม่รอคำตอบ  เธอจูงมือเขาเคลื่อนไหวต่อไป…

     "ซาฟรีรีนา"  เขากลับคว้าข้อมือเธอไว้  "บอกได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ?"

     "…." เธอถอนหายใจในความมืดมิดที่มองไม่เห็นอะไรเลย…  "ผู้บุกอรุกอันแข็งแกร่งและโหดร้าย…กำลังมาถึง….พร้อมกับอานุภาพการทำลาย

     "ทำไม ?"

     "ได้โปรดเถอะ  อย่าเพิ่งถาม…พวกเรา….ที่ตรงเสียงคำรามของปีศาจนั่น…สีแดงของพลังแห่งปีศาจ…เมืองของเรากำลังจะถูกทำลาย…  เราสองคนก็ยังอยู่ในอันตราย..."

     "ผมจะช่วย…ให้ผมช่วยได้ไหม ?"

     "…."

     "อย่าลืม….เราเป็นเพื่อนกัน และผมมาจากโลก…"

     หญิงสาวนิ่งงันไป…ครุ่นคิดถึงสิ่งใดเขาไม่ทราบ….แต่แล้วก็ถอนหายใจอีกครั้ง

     "…ถึงท่านจะเป็นมนุษย์โลกเหมือนพวกเขา…  แต่ความรู้สึก…สัญชาติญาณ  บอกข้าตั้งแต่ต้นว่าท่านไม่ได้เป็นผู้ทำลาย….

    ท่านไม่เหมือนพวกเขา….และท่านไม่ได้มีอานุภาพการทำลายล้างที่จะต่อสู้สงครามได้… 

    ท่านไม่มีอำนาจอะไรเลย  เมื่อเทียบกับความโลภของมนุษย์พวกนั้น…"

     "ผมไม่เข้าใจ…พวกเขาต้องการอะไร"

     "ท่านไม่รู้บ้างเลยจริง ๆ?"

     "ไม่รู้จริง ๆ"

     "แล้วข้าจะเล่าให้ฟัง….ท่านมาทางนี้…"

     เธอเคลื่อนไหวอีกครั้งอย่างคล่องแคล่ว…

     โดยลืมอะไรบางอย่าง…

     อะไรบางอย่างที่เป็นเหตุแห่งการเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงชีวิตเธอ ….

     เขาผู้ไม่เคยคุ้นภูมิประเทศ ไม่เคยคุ้นต่อความมืด …

    เขาจะไม่เห็นอะไรเลย  ผิดกับการใช้สัญชาติญาณแห่งการเอาตัวรอดเหมือนดั่งสัตว์พันธุ์หนึ่งที่มีชีวิตอยู่ในธรรมชาติ  ชนเผ่าคองกาหลบหนีภัยในความมืดเพื่อปิดบังตัวโดยใช้ข้อได้เปรียบทางสีผิวอันดำสนิทไม่ผิดอะไรกับเงา  

     หากมนุษย์โลกอย่างอัลทรอย …เมื่อผู้ที่เคยชินต่อการมองเห็นทางกายภาพถูกตัดขาดประสาทรับรู้ทางสายตา  ก็ราวกับเขาไม่มีอะไรอยู่อีก

     มันมืดมิดยิ่งกว่าอยู่ในกล่องปิดผนึกสักสิบชั้น…

     ตรงนั้นเป็นเพียงทางแคบ ๆ ที่ด้านหนึ่งเป็นหินแข็งขนาดมหึมา…ส่วนอีกข้างหนึ่ง…คือ ความว่างเปล่า

     ลมสงบ…หากความเย็นเยือกแบบอับ ๆ แห้ง ๆ ทำให้เขาแทบหายใจไม่ออก

     "ระวัง…ตรงนั้นเป็น…"

     ยังไม่ทันขาดคำ…เท้าที่กำลังก้าวออกไปเพื่อพบกับหินแข็งกลับพบกับความโล่งว่าง 

    แต่ไม่ทันเสียแล้ว น้ำหนักที่ถ่วงลงบนเท้านั้นจึงโถมดิ่งลงไปยังความว่างเปล่า !

     "อัลทรอย !"  เสียงร้องเรียกอย่างตกใจดังก้องกังวาลขึ้น  และสะท้อนกลับไปกลับมาในสติสัมปชัญญะสุดท้าย

     แล้วความมืดเสียยิ่งกว่าความมืดมิดในหุบเหวก็ครอบคลุมเขาจนหมดสิ้น…

     ทันใดนั้นเอง  เสียงระเบิดกึกก้องของอาวุธชนิดใดชนิดหนึ่งดังมาจากอีกฟากของหน้าผาสีแดงเพลิงของพลังงานความร้อนพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า 

    เสียงหัวเราะหยุดลงทันควันในเสี้ยววินาทีต่อมา  เหมือนคนข้างกายจะรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่น่ากลัว 

    เธอผุดขึ้นอย่างร้อนรนพร้อมกับฉุดเขาให้ลุกขึ้นตาม กลับหัวคบเพลิงลงปักพื้น  แล้วออกวิ่งอย่างรวดเร็วในความสลัวด้วยฝีเท้าเงียบกริบ


     จากพื้นราบเรียบอันน้อยนิดบนยอดผาสู่ทางลาดชันที่ทอดไปถึงเงามืดทะมึนในชะง่อนหิน 

    แม้ว่ามันจะชันจนเกือบจะตั้งฉากอยู่แล้วในความคิดของเขา  แต่ซาฟรีรีนายังคงเคลื่อนไหวต่อไปอย่างคล่องแคล่ว  ไร้เสียงราวกับเงา 

    ในขณะที่อัลทรอยกลับหลงอยู่ในเงามืดและเคลื่อนที่ช้าลงทุกครั้งที่ก้าวต่อไป  สองมือของเขายังเกาะเกี่ยวเถาไม้ฟาราราแก่ ๆ อย่างหวาดระวัง

    มีเพียงสัมผัสเบา ๆ ที่ต้นแขนที่ทำให้เขารู้ว่าเธอยังอยู่ข้างกายไม่กลไปจากเขา

     เธอเริ่มหยุดนิ่งในความมืดและเงียบ  แนบหูกับผาหินและหลับตาลง  หลังจากเงียบงันช้านาน  เขาจึงได้ยินเสียงกระซิบเบาแสนเบาอยู่ริมหู

     "อย่าปล่อยมือ  เกาะข้าไว้  ข้าจะนำทางท่าน …อย่าส่งเสียง  ใช้ปลายเท้าและอุ้งเท้าหนีบเถาไม้นี่ไว้ …มันเหนียวพอจะรับน้ำหนักท่าน  มาทางนี้…"

     "….เออ…."


     "อย่าเพิ่งถามอะไร  เราอยู่ในอันตราย….เรากำลังถูกล้อม !"

     อัลทรอยทำตามที่เธอบอกต่อไปได้ระยะหนึ่ง  เสียงจากเบื้องบนหลังคาหินธรรมชาติก้อนมหึมานั้นมีเสียงพูดดังขึ้น….เขาก็ต้องแปลกใจ…

     เขาฟังออก…  'มนุษย์โลก'  พวกเดียวกับเขานี่เอง!

     ทางเราได้ตัวแล้ว  แต่ไม่ใช่คนที่ท่านหัวหน้าหน่วยต้องการ …ใช่…เรามาสายไป …มันรู้ตัวก่อน…ส่งกำลังมาโดยด่วน"

     มันทำให้เขายิ่งงุนงงมากขึ้น

     ทำไมเธอต้องหนีคนเหล่านี้  ?

     ทำไมพวกเขาต้องการตัวเธอ ?

     แล้วนี่… ทำไมเขาต้องหนีมนุษย์โลกพวกเดียวกัน ? 

     ทั้ง ๆ ที่  ถ้าเขาต้องการกลับโลก…เขาย่อมต้องติดต่อพวกเขา  ในเมื่อมีโอกาส เขากลับต้องหลบซ่อนตัว ???

     "เถาวัลย์ประหลาดพวกนี้จะเป็นประโยชน์ในการแกะรอย…" เสียงนั้นยังลอยลงมาห่างจากตำแหน่งเดิมเล็กน้อย

     คำพูดประโยคนั้นทำให้หญิงสาวนิ่งเงียบไปอีกพักใหญ่  ก่อนที่จะพยายามคลำหาอะไรบางอย่าง…

     เสียงจากเบื้องบนก็ดังขึ้นอีก

     "ได้ร่องรอยแล้ว…เราจะต้องลงไปข้างล่าง...ใช่…อันตราย…ส่งเครื่องมือมาด่วน"

     "จับเจ้าเส้นนี้ไว้ให้แน่น"  เสียงกระซิบร้อนรนพร้อมกับยัดเยียดบางสิ่งบางอย่างไว้ในมือของเขา 

    มันเป็นเถาฟาราราเส้นหนึ่งที่ยังเป็น ๆ มีขนาดใหญ่มากจนมือใหญ่ยังต้องกำสองมือจึงจะรอบ  และมีน้ำยางธรรมชาติหล่อลื่นเป็นเมือกเหนียวติดมือ

     "กระโดดลงไป…รูดตัวไปตามเส้นนี้  มีผาหินอยู่ต่ำกว่าที่ที่เรายืนนี่อีกขั้นหนึ่ง  มันลึกพอสมควร  พอถึงข้างล่าง  กระตุกมันบอกข้า  ข้าจะตามลงไป  ระวังตัวด้วย…"

     "เธอ…"

     "อย่าเพิ่งเป็นห่วง…ข้าตามท่านลงไปแน่นอน"

     อัลทรอยทำตามที่เธอบอกทุกอย่าง  ความมืดทำให้เขาไม่รู้สึกหวาดเสียวต่อความสูงจนน่าใจหายอันนั้น 

    จวบจนเท้าของเขาสัมผัสถึงเยื่อไม้อ่อนนุ่มเย็นเยือกและความมืดมิดเบื้องล่าง  จึงรู้ว่ามันสูงจนเขาประมาณไม่ได้ !

     เขานิ่งอยู่ในความมืดและสงัดอยู่พักใหญ่  ก่อนจะกระตุกเชือกบอกรหัสที่เธอให้ไว้

     นี่เขาผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่มาได้อย่างไร…  ในสภาพไร้น้ำหนักไม่ผิดอะไรกับของหล่น…

    เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า  ในขณะที่ปล่อยตัวลง จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปในชีวิต หรือเขากำลังคิดถึงอะไร แต่เขารู้สึกว่ามันนานมาก 

    นานแสนนานราวกับหล่นลงไปในหุบเหวที่ไม่มีก้น  ไม่มีจุดจบสิ้น…



     ไม่นานนักเขาก็รู้สึกถึงน้ำหนักที่ลงมายังดงเยื่อไม้ข้าง ๆ ที่เขายืนอยู่

     "ยังเดินต่อไปไหวไหม ?"  เป็นคำถามที่ไม่รอคำตอบ  เธอจูงมือเขาเคลื่อนไหวต่อไป…

     "ซาฟรีรีนา"  เขากลับคว้าข้อมือเธอไว้  "บอกได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ?"

     "…." เธอถอนหายใจในความมืดมิดที่มองไม่เห็นอะไรเลย…  "ผู้บุกอรุกอันแข็งแกร่งและโหดร้าย…กำลังมาถึง….พร้อมกับอานุภาพการทำลาย

     "ทำไม ?"

     "ได้โปรดเถอะ  อย่าเพิ่งถาม…พวกเรา….ที่ตรงเสียงคำรามของปีศาจนั่น…สีแดงของพลังแห่งปีศาจ…เมืองของเรากำลังจะถูกทำลาย…  เราสองคนก็ยังอยู่ในอันตราย..."

     "ผมจะช่วย…ให้ผมช่วยได้ไหม ?"

     "…."

     "อย่าลืม….เราเป็นเพื่อนกัน และผมมาจากโลก…"

     หญิงสาวนิ่งงันไป…ครุ่นคิดถึงสิ่งใดเขาไม่ทราบ….แต่แล้วก็ถอนหายใจอีกครั้ง

     "…ถึงท่านจะเป็นมนุษย์โลกเหมือนพวกเขา…  แต่ความรู้สึก…สัญชาติญาณ  บอกข้าตั้งแต่ต้นว่าท่านไม่ได้เป็นผู้ทำลาย….

    ท่านไม่เหมือนพวกเขา….และท่านไม่ได้มีอานุภาพการทำลายล้างที่จะต่อสู้สงครามได้… 

    ท่านไม่มีอำนาจอะไรเลย  เมื่อเทียบกับความโลภของมนุษย์พวกนั้น…"

     "ผมไม่เข้าใจ…พวกเขาต้องการอะไร"

     "ท่านไม่รู้บ้างเลยจริง ๆ?"

     "ไม่รู้จริง ๆ"

     "แล้วข้าจะเล่าให้ฟัง….ท่านมาทางนี้…"

     เธอเคลื่อนไหวอีกครั้งอย่างคล่องแคล่ว…

     โดยลืมอะไรบางอย่าง…

     อะไรบางอย่างที่เป็นเหตุแห่งการเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงชีวิตเธอ ….

     เขาผู้ไม่เคยคุ้นภูมิประเทศ ไม่เคยคุ้นต่อความมืด …

    เขาจะไม่เห็นอะไรเลย  ผิดกับการใช้สัญชาติญาณแห่งการเอาตัวรอดเหมือนดั่งสัตว์พันธุ์หนึ่งที่มีชีวิตอยู่ในธรรมชาติ  ชนเผ่าคองกาหลบหนีภัยในความมืดเพื่อปิดบังตัวโดยใช้ข้อได้เปรียบทางสีผิวอันดำสนิทไม่ผิดอะไรกับเงา  

     หากมนุษย์โลกอย่างอัลทรอย …เมื่อผู้ที่เคยชินต่อการมองเห็นทางกายภาพถูกตัดขาดประสาทรับรู้ทางสายตา  ก็ราวกับเขาไม่มีอะไรอยู่อีก

     มันมืดมิดยิ่งกว่าอยู่ในกล่องปิดผนึกสักสิบชั้น…

     ตรงนั้นเป็นเพียงทางแคบ ๆ ที่ด้านหนึ่งเป็นหินแข็งขนาดมหึมา…ส่วนอีกข้างหนึ่ง…คือ ความว่างเปล่า

     ลมสงบ…หากความเย็นเยือกแบบอับ ๆ แห้ง ๆ ทำให้เขาแทบหายใจไม่ออก

     "ระวัง…ตรงนั้นเป็น…"

     ยังไม่ทันขาดคำ…เท้าที่กำลังก้าวออกไปเพื่อพบกับหินแข็งกลับพบกับความโล่งว่าง 

    แต่ไม่ทันเสียแล้ว น้ำหนักที่ถ่วงลงบนเท้านั้นจึงโถมดิ่งลงไปยังความว่างเปล่า !

     "อัลทรอย !"  เสียงร้องเรียกอย่างตกใจดังก้องกังวาลขึ้น  และสะท้อนกลับไปกลับมาในสติสัมปชัญญะสุดท้าย

     แล้วความมืดเสียยิ่งกว่าความมืดมิดในหุบเหวก็ครอบคลุมเขาจนหมดสิ้น…

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×