ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dream ความฝันในเปลดิน

    ลำดับตอนที่ #4 : บทเพลงแห่งความสงัด

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.พ. 49


    4…
    บทเพลงแห่งความสงัด

     ใคร ๆ ก็พูดถึงแต่เฌอรีแอน...

    นักเรียนเข้าใหม่ หน้าตาสวยประหลาด ที่คุยกับเพื่อนคนโน้นทีคนนี้ที และหัวเราะอย่างร่าเริงตลอดเวลา

    เธอเข้ากับเพื่อนได้อย่างรวดเร็ว แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า เรอันไม่อยากได้ยินเอาเสียเลย


     ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม...


     “ฉันไปใส่คอนแทคเลนซ์สีม่วงดีกว่า เหมือนเฌอรีแอนไง ตาแป๋วแหวว น่ารักชะมัดเลย” นั่นไง เขาได้ยินคนพูดถึงเธออีกแล้ว


     คราวนี้เป็นเพื่อนผู้หญิง 3-4 คน จับกลุ่มคุยกันในระหว่างหยุดพักครึ่งชั่วโมง รออาจารย์เข้าบรรยายคาบต่อไป

    ส่วนคนที่ถูกพูดถึงนั้นไม่ได้อยู่ในห้อง เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอหายไปไหนทั้งวัน


     “ใช่ ดูประหลาด และก็มีเสน่ห์ดีเน๊อะ” อีกคนเห็นด้วย


     “เธอรู้รึเปล่าว่า เจ้าหล่อนมีเชื้อสายอะไร ฉันสงสัยจัง ทำไมถึงหน้าตาแปลก สีผม สีตา ผิวพรรณ อะไรก็ดูไม่ธรรมดา”


     “รู้สึกว่าเธอจะเป็นพวกลูกครึ่งนะ ได้ข่าวว่า เธอเป็นพวกลูกเศรษฐีผู้ดีเก่าทางยุโรปที่ย้ายมาเรียนที่นี่ ไม่รู้จริงรึเปล่า แต่ว่าที่ผ่านมาเธอย้ายโรงเรียนบ่อยมาก”


     “อาจจะมีปัญหาก็ได้...?” อีกคนสนับสนุนเชิงถาม


     “เอ...แต่ไม่น่าใช่ ก็เธอเข้ากับเพื่อนได้ดีจะตาย การเรียนก็ดี ไม่เห็นน่าจะมีปัญหาอะไรเลย จะติดก็อยู่ที่ครอบครัว”


     ฟังถึงตรงนี้เรอันนึกถึงแฟ้มประวัตินักเรียนของเฌอรีแอน ที่อาจารย์ใหญ่เคยให้เขาอ่าน เมื่อพบกับเธอในฐานะเพื่อนนักเรียนเป็นครั้งแรก


     ผู้ปกครอง -


     ที่อยู่  -


     เธอไม่ได้ใส่ชื่อผู้ปกครองและที่อยู่ แล้วเข้ามาเรียนได้อย่างไร? มันเป็นแฟ้มประวัติที่ไม่สมบูรณ์


     และอย่างจงใจด้วยสิ!


     “หรืออาจจะเป็นข่าวลือก็ได้ ท่าทางเธอก็ไม่เห็นคุณหนูเลย ไม่เคยวางฟอร์ม

    และก็ชอบทำอะไรแปลก ๆ เหมือนเด็กไม่ยอมโตมากกว่า วันก่อนไล่ต้อนลูกปัดจนตัวเองตกน้ำ”

    เรอันพอจะนึกภาพออก เธอคงจะโผล่หัวขึ้นมา หัวเราะเริงร่าตามเคย


     “ใช่ อย่างวันนี้ก็นั่งอยู่หน้ากระจกนูนตรงที่จอดจักรยานข้างตึก A ตั้งแต่เช้าแล้ว”

    คนพูดบุ้ยใบ้ไปข้างล่างนอกหน้าต่าง เขาหมายถึงที่จอดจักรยานที่ใกล้ที่สุดสำหรับตึกเรียนที่พวกเขาอยู่


     “เมื่อวาน ฉันได้ยินเธอถามอาจารย์ที่ปรึกษาถึงเรื่องงานพิเศษนะ ถ้าเป็นลูกสาวเศรษฐีจริงคงไม่สนใจหรอก”


     เด็กหนุ่มฟังการสนทนาเงียบ ๆ ใจหนึ่งนึกถึงงานศิลปะที่ต้องทำตั้งแต่สัปดาห์ก่อนและกำหนดส่งบ่ายนี้

    แต่เขายังไม่ได้เริ่มและตอนนี้ก็ไม่มีสมาธิเอาเสียเลย ทำไมเขาต้องมัวแต่คิดตามคำพูดเหล่านั้นนะ? มันทำให้เขาอยากรู้เรื่องของเธอ...


     “ได้ยินมาว่า มาร์คกำลังจีบอยู่?” คราวนี้คนพูดลดระดับเสียงเบาลง แต่เรอันก็ยังได้ยิน ทั้งกลุ่มชายหางตาไปยังเด็กหนุ่มท่าทางนักเลง ซ่าส์ระเบิดที่กำลังคุยโอ่กับเด็กสาวอีกคน


     “ใช่ ดีเตอร์ก็ด้วย” จบประโยค ทั้งกลุ่มก็เปลี่ยนทิศองหางตาไปยังเด็กหนุ่มอีกคนที่นั่งหน้ายุ่งอยู่หลังกรอบแว่นหนาเทอะทะและหนังสือที่หนากว่า


     “แต่ฉันว่า หมดสิทธิ์ทั้งคู่”


     แล้วการสนทนาพร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคักก็เป็นอันจบไปด้วยอาจารย์ที่เดินเข้ามา แต่ความคิดกลับไปกลับมาในสมองของเขายังไม่จบไปด้วย


     จนถึงพักเที่ยง...


     แทนที่จะทำงานศิลปะอย่างที่ตั้งใจไว้ แต่พอมารู้ตัวเขาก็ยืนอยู่ตรงที่จอดจักรยานข้างตึก A เสียแล้ว

    เรอันมองเด็กสาวจากเบื้องหลัง เธอกำลังนั่งชันเข่าบนราวเหล็กสำหรับพิงจักรยาน หันหน้าเข้าไปในกระจก แล้วก้มลงทำอะไรง่วนอยู่


     จากด้านหลังเขาเห็นเพียงพวงผมสีทองเงาเป็นประกายยาวตรง คลุมเต็มแผ่นหลังในเสื้อยืดที่เขาจำได้ว่าเธอสวมใส่เป็นประจำ

    กับกางเกงยีนส์สีซีด ๆ ตัวเดิมนั่นแหละ แต่ในกระจกเบื้องหน้า เขาเห็นใบหน้าขาวนวลที่ผิดรูปไปเพราะความโค้งนูนของมัน คิ้วเข้มจัดตัดกับผมม้าที่ตัดสั้นเหนือหน้าผาก ต่ำลงมาเป็นขนตางอนยาวที่หุบต่ำ

    ด้วยว่าเธอกำลังมองแผ่นกระดานแผ่นใหญ่ที่วางอยู่บนเข่าอย่างตั้งใจ และไม่สนใจกับอะไรรอบข้าง หรือคนผ่านไปผ่านมาเหลียวมอง


     ลักษณะนี้...เธอเป็นลูกเศรษฐีผู้ดีเก่ายุโรปจริงหรือ?


     เรอันถามตัวเองแล้วยิ้ม มันเกี่ยวอะไรกับเขาหรือเนี่ย? ไม่เห็นเกี่ยวสักหน่อย! เด็กหนุ่มถอนใจและขยับตัวเพื่อเดินจากไป

    แต่ว่าในขณะเดียวกัน เฌอรีแอนเงยหน้าขึ้นมาเห็นเขาพอดี เธอยิ้มกว้างให้เขาด้วยใบหน้าสดใสในกระจกโค้ง ๆ นั้น

    แล้ววางแผ่นกระดานกับดินสอกำมือหนึ่งไว้ข้าง ๆ ตัว หันมาทักทายเขา


     “ฮาย...ฉันกำลังวาดรูปอยู่ ที่จะส่งตอนบ่ายนี้ไง”


     “เขาให้วาดรูปลายเส้น พอตเทรดของแม่ไม่ใช่หรือ?” เรอันถามด้วยความสงสัย เขายังจำคำสั่งที่อาจารย์ให้เมื่อสัปดาห์ก่อนได้อย่างแม่นยำ

    คือ การวาดรูปเหมือนใบหน้าแม่ด้วยดินสอและแรเงาขาวดำ


     แต่ดูเธอกำลังทำอะไร...?


     “อืม...ใกล้เสร็จแล้ว มาดูสิ” เขาเดินเข้าไปใกล้ ๆ เด็กสาวก้มลงหยิบงานขึ้นมาอวดแล้วยิ้มกว้าง


     “อะไรนี่...นี่มันรูปเธอไม่ใช่หรือ?” เขาโวยวาย


     ในกระดาษสีขาวบนกระดานแผ่นใหญ่ ตรงกลางมีรูปลายเส้นดินสอที่วาดไว้อย่างบรรจง ลงเข้มและอ่อน

    โดยเส้นที่ต่อกัน ไขว้กัน ซ้อนทับกัน หรือกลืนหายกับความขาวที่ว่างเปล่าของพื้นกระดาษ จนกลายเป็นภาพเหมือนของเด็กสาวตรงหน้า

    เพียงแต่เป็นใบหน้าที่กว้างกลางผิดสัดส่วน เพราะเป็นภาพที่สะท้อนออกมาจากกระจกนี่เอง

    หากเค้าโครงหน้าช่างเหมือนจริงราวกับภาพวาดโดยจิตรกรอาชีพ และที่น่าแปลกกว่านั้นคือ

    กรอบของกระจกนูนที่เธอขีดเส้นโค้ง ๆ ใส่ลงไปด้วย พร้อมกับวงรีที่ล้อมอยู่รอบนอกสุด คล้าย ๆ จะเป็นรูปดวงตา

    แต่ยังวาดไม่เสร็จ


     “รูปแม่...แม่ของฉัน” เธอบอกเขาอย่างภูมิใจ


     “แม่ลูกคงหน้าเหมือนกัน แต่แม่เธอหน้าอ้วนกว่า เธอขี้เกียจวาดรูปแม่เลยวาดตัวเองในกระจกนูนงั้นหรอ?” เรอันเดาพร้อมกับหัวเราะในความคิดขี้โกงแบบเด็ก ๆ ของเธอ


     “ไม่ใช่จ๊ะ” เฌอรีแอนค้อน “ก็อาจารย์ไม่ได้บอกว่าให้วาดใหญ่เล็กแค่ไหนนี่

    ฉันก็เลยวาดใหญ่มาก...มาก ใหญ่จนล้นกระดาษเห็นแต่ดวงตา เพราะว่าฉันไม่เคยเห็นหน้าแม่

    ไม่รู้ว่าแม่หน้าตาเป็นอย่างไร นึกไม่ออก ก็เลยวาดรูปในจินตนาการ ว่าเป็นดวงตาของแม่...ที่คอยเฝ้ามองดูฉันตลอดเวลา...”

    เฌอรีแอนอธิบายแจ้ว ๆ ในขณะที่เรอันเงียบ เขาเพิ่งจะรู้ เธอไม่เคยเห็นหน้ามารดาหรอกหรือ


     เขามองหน้าเธอ และมองรูปอีกครั้ง


     เธอเป็นคนเก่งที่ไม่ใช่มีแค่ฝีมือ และความเข้มแข็ง...ไม่ใช่เป็นเหมือนเด็กที่เอาแต่เล่นบ้า ๆ ร่าเริงตลอดเวลา

    อย่างบุคลิกที่เธอแสดงออกอยู่ภายนอกอย่างฉาบฉวย...เขาคิดในใจอย่างชื่นชม เธอแก้ปัญหาได้เยี่ยม


     มันเป็นผลงานที่มีเสน่ห์ประหลาดแบบเดียวกับตัวเธอ


     แล้วเขาล่ะ?


     “เรอัน เธอวาดเสร็จหรือยัง?”


     “ยัง...ไม่ได้เริ่มเลย”


     “อะไรกัน เดี๋ยวส่งแล้วนะ”


     เด็กหนุ่มไม่กล้าบอกว่า เขาไม่อยากวาดเพราะเขาไม่มีแม่

    แม่เขาตาย...เขาขี้เกียจคิดถึงแม่ กลัวความเจ็บปวด กลัวความเสียใจ กลัวอดีต

    แต่ตอนนี้เขารู้สึกละอายใจเหลือเกิน ขณะที่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งตรงหน้าเขาไม่มีแม่ และไม่เคยเห็นหน้าแม่ด้วยซ้ำ...

    แต่เธอทำได้!


     “เพราะเธอไม่มีแม่รึเปล่า?” เฌอรีแอนถามเขาตรง ๆ ซึ่งมันก็ตรงใจดำเหลือเกิน! เธอยังจำได้เขาเคยบอกไว้อย่างนั้น


     “อืม” เรอันตอบอย่างใจลอย


     “เธอนึกออกไหมล่ะ ในมโนนึก ในความจำ ลองหลับตา...แล้ววาดสิ”


     “ไม่หรอก ฉัน...นึกไม่ออก ตอนแรกคิดว่าจะวาดแบบอิมเพรสชั่นนิส ที่เคยถนัดส่งไป แต่ไม่อยากเริ่มทำสักที...”


     “เริ่มสิ ไม่เริ่มก็ไม่มีงาน...งั้น เรอัน...เธอวาดฉันสิ”


     เรอันมองหน้าเด็กสาวอย่างไม่เข้าใจ


     “เธอมองแม่ผ่านฉันไง...ฉันจะเป็นแม่เธอให้ 2 ชั่วโมง”


     เฌอรีแอนอธิบาย


     เด็กหนุ่มยิ้ม เขาไม่รู้ว่ามันจะได้ผลรึเปล่า


     แต่เขาก็จะลองดู...


     “เอาสิ!”


     ในที่สุดเด็กหนุ่มสาว 2 คนผู้ไม่มีแม่ ก็มีรูปแม่ส่งทันเวลาบ่าย อาจารย์ชอบรูปวาดของทั้ง 2 มาก...

    แล้วรูป 2 รูปก็ได้ติดคู่เคียงข้างกันในห้องนิทรรศการของมหาวิทยาลัย


     “ผมเข้าใจว่า ผู้หญิงสาวในรูปอิมเพรสชั่นนีสรูปนี้ ถอดวิญญาณจากผู้หญิงคนเดียวกันกับรูปเรียวรีสข้าง ๆ ได้อย่างสวยงาม”

    อาจารย์ศิลปะผู้เชี่ยวชาญจากต่างรัฐคนหนึ่งออกความเห็นวิจารณ์เกี่ยวกับภาพ 2 ภาพ

    โดยไม่รู้ที่มาของมัน และออกปากชมเจ้าหน้าที่ที่ติดงานนี้ไว้คู่กัน ระหว่างการเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยในอีกหลายปีต่อมา...


     “เรอันเป็นเอดส์” มีคนเตือนเฌอรีแอนบ่อย ๆ เมื่อเห็นเธอสนิทกับเขา เรอันก็รู้ ถึงแม้ว่ามันจะเกินจริงไปหน่อย

    เพราะอาการของเขายังไม่ปรากฏอยู่ในระยะที่เรียกว่าเอดส์ จริง ๆ ก็ตาม แต่ใคร ๆ ก็บอกว่าอย่างนั้น

    “เธอไม่ควรไปยุ่งกับเขามากนัก...มันอันตราย!”


     ใช่แล้ว...! มันอันตราย


     ตัวเรอันเอง ก็พยายามจะไม่ยุ่งกับเธอ


     แต่ว่า...


     “เรอัน...” เสียงเรียกอย่างสดใสดังขึ้นไม่ไกลนัก ทำให้เจ้าของซึ่งสะดุ้งจากความคิดที่กำลังล่องลอยไปไกลกลับคืนมาอีกครั้ง

    เขากำลังอยู่ในห้องนอนเล็ก ๆ ยันศอกกับขอบหน้าต่าง เท้าคาง

    มองออกไปยังความกว้างใหญ่ของแปลนทดลองอย่างเหม่อลอย และตอนนี้เขากำลังหาต้นเสียงนั้น...


     มันเป็นเช้าวันอาทิตย์ที่เงียบสงบ อากาศเย็นจัด แม้ว่าแดดอ่อน ๆ จะส่องลงมา แต่ก็ไม่สามารถขับไล่ความหนาวเย็นไปได้สักเท่าไรเลย

     เพราะย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว นักศึกษาส่วนใหญ่กลับบ้านของตนในรัฐต่าง ๆ ทำให้คนในหอพักเหลือน้อยนิด บริเวณโดยรอบผู้คนก็บางตาไม่มาก

    แต่ที่แปลนทดลองไม่เห็นมีใครเลยเท่าที่เด็กหนุ่มจะกวาดสายตามองหาได้ จนสุดถึงเรือนกระจกหลังใหญ่นั่น

     และถัดไปก็เป็นแปลนทดลองปลูกพืชไร่ ซึ่งอยู่ห่างไกลเกินไป

    ถ้าหากใครจะเรียกเขาอยู่ถึงโน่น เขาคงไม่ได้ยินแน่ หรือหูเขาฝาดไป


     “เรอัน...ฉันอยู่นี่” ไม่ใช่สักหน่อย เขาจำได้ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของเฌอรีแอน

    แต่เธออยู่ไหน?

     ในเมื่อแปลนดอกไม้ก็มีแต่ดอกไม้ ดอกไม้ และก็ดอกไม้เต็มไปหมด มีคูน้ำคั่น

    แล้วบริเวณสวนของหอพักก็ว่างเปล่า นกจากม้าหิน 2 ตัว ก็ไม่มีอะไรอีกบนสนามหญ้าโล่ง ๆ


     เธอคงเล่นตลกอะไรกับเขาสักอย่าง เมื่อเห็นเขาเหม่ออยู่ตรงนี้โดยบังเอิญ เขาแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เดี๋ยวก็ต้องโผล่ออกมา


     ใช่...โผล่ออกมาจริง ๆ ด้วย


     “ไม่หากันเลยหรือไง?” เด็กสาวทำหน้าคว่ำก้าวออกมายืนอยู่หน้ากลุ่มดอกทานตะวันยักษ์...คงจะใหญ่จริง ๆ เพราะมันสามารถบังเธอได้ทั้งตัว

    จากมุมมองที่เขาอยู่ชั้น 2 อย่างน้อยมันก็สูงท่วมหัวเธอ ภาพที่เห็นทำให้นึกถึงเจ้าหญิงหัวแม่มือ ทัมบาลิน่า ผู้มีตัวเล็กกระจ้อยร่อย ที่ผจญภัยในป่ากว้าง


     วันนี้เธอดูทะมัดทะแมงในชุดเสื้อยืด กางเกงยีนส์ตัวเก่ง ผมยาวถูกรวบจนตึงเป็นมวยพับอยู่เบื้องหลัง ผมหน้าม้าถูกติดกิ๊บขึ้นไปแนบศีรษะอยู่ 2 ข้าง เผยให้เห็นหน้าผากนูนเกลี้ยงเกลา คิ้วโค้งยังคงเข้มจัด เหนือดวงตาใสแจ๋วกลมโตคู่เดิม


     “มาทำอะไรตรงนี้?” เรอันถามอย่างสงสัย


     “งานพิเศษ...เธอพักอยู่นี่หรือ?” เธอย้อนถาม


     “อืม...งานอะไรน่ะ”


     “ดูแลแปลนทดลองพืชดอกของนักศึกษาเกษตร ทำได้ 2-3 วันแล้ว สนุกจัง มีดอกไม้ตั้งเยอะ แบบแปลก ๆ ก็มี จะลองลงมาดูไหม?”


     “เอาสิ”


     เรอันเป็นเอดส์ เธอไม่ควรยุ่งกับเขามากนัก มันอันตราย...

    ประโยคนั้นผุดขึ้นในความคิดของเด็กหนุ่ม มันทำให้เขาไม่สบายใจนัก ถ้าหากเขาจะสนิทกับเฌอรีแอนมากกว่านี้

    ที่ผ่านมา...อาจเป็นเพราะความเข้ากับคนง่าย ช่างพูดช่างคุยและความมีน้ำใจของเธอ

    ทำให้เขาคุยกับเธอเรื่องสัพเพเหระบ่อย ๆ จนเกิดประโยคนั้นขึ้นมาเตือนเธอจากเพื่อน ๆ ผู้หวังดี...


     “อืม...ไม่ดีกว่า”


     “ทำไมล่ะ อากาศดีจะตาย น่าจะลงมา มัวอุดอู้อยู่แต่ในห้องแคบ ๆ เบื่อตายเลย เร็ว ๆ นะ ฉันมีสัตว์เลี้ยงซ่อนอยู่ จะให้ดูด้วย”


     “อะไรน่ะ สัตว์เลี้ยง?”


     “มาสิ อยู่ที่เรือนกระจกโน้นแน่ะ” เธอใช้นิ้วโป้งชี้ข้ามไหล่ไปเรือนเพาะชำเบื้องหลง เรอันยิ้ม...

     เขาแพ้เธอจนได้!


     ไม่ถึงนาทีเด็กหนุ่มก็ลงมาทางบันไดหนีไฟเล็ก ๆ ข้างห้องพัก ถึงพื้นแล้ววิ่งไปถึงลำคลอง เฌอรีแอนยืนรออยู่แล้ว


     “กระโดดข้ามมาไหวไหม?”


     “ข้ามคลองนี่หรือ?” มันไม่ใช่คลองกว้างนัก แต่ก็ไม่แคบจนจะกระโดดข้ามได้ง่าย ๆ ถ้าไม่ใช่ระดับนักกีฬากระโดดไกลล่ะก็...ยากเชียวล่ะ


     “ไม่มีสะพานหรอก ไม่งั้นเธอต้องอ้อม โน่น” โน่น...คือระยะทางราว 4 ช่วงตึก สุดพื้นที่เขตทดลองเพาะชำ


     “ไม่เห็นยาก เธอก็ทำอย่างนี้นะ” เธอวิ่งกลับไปเป็นระยะไกล “แล้วก็วิ่งเร็ว ๆ”

    อธิบายพร้อมท่าประกอบโดยวิ่งด้วยขาเรียวยาวสมส่วนในกางเกงยีนส์ตัวเก่ง ด้วยความเร็วราวนักกีฬา กลับมายังคลอง

    เขาเข้าใจว่าเธอจะหยุด...แต่ไม่...


     

     “ระวัง!”


     “YES...! เป็นอย่างไร สอบผ่านไหม?”


     เธอทำได้...


     “เก่งแฮะ” เรอันอุทานมากกว่าชมเฉย ๆ


     “แหม ก็เล่นบ่อย ๆ เรอัน เธอก็ทำได้ วิ่งจากไกล ๆ นะ แล้วก็ก้าวขา กระโดด ถีบตัว...แกว่งแขน   แรง ๆ เหมือนเป็นตุ้มถ่วงน้ำหนัก แขม่วพุงไว้ แล้วก็ลอยข้ามมา ถ้าไม่ข้ามก็ลงน้ำ... ไม่ลึกหรอก แต่เปียก...” เธอหัวเราะเสียงดังกังวานใส


     คงเคยลงไปแล้วสิถึงรู้...เรอันคิด


     ใช่...เขาลองทำดู ก็ทำได้ ไม่เห็นยากเลยจริง ๆ


     “ของยาก ก็ต่อเมื่อใจคิดว่ามันยาก!” ที่เธอพูดก็ถูกเสียด้วย


     “เธอเป็นนักกีฬาหรือ?”


     “เปล่า ฉันไม่ชอบเล่นกีฬา”


     “หืม?”


     “ทำไมล่ะ ทำเสียงเหมือนไม่เชื่อ ก็ฉันไม่ชอบจำกฎกติกา มารยาท วุ่นวาย ฉันไม่เก่งในโรงยิมหรอก ตื่นเต้นเกิน พิธีรีตองมาก มีเหรียญคล้องเป็นเดิมพัน

    ฉันอาจกระโดดสูง กระโดดไกล ปีนต้นไม้เก่ง แต่ก็แค่นั้น ฉันเก่งอยู่ในโลกที่เป็นอิสระเท่านั้นแหละ”


     “งานเธอต้องทำอะไรมั่ง?” เรอันชวนคุย


     “ก็ไม่มีอะไรมาก แค่ดูแลเรื่องชลประทานต้นกล้าในเรือนกระจกกับพืชในแปลน วันอาทิตย์เขาหยุดกันหมดเหลือฉันคนเดียว แต่ก็ไม่หนักหนาอะไรหรอกนะ

    มันเป็นระบบตั้งเวลาอัตโนมัติอยู่แล้ว ฉันเพียงแต่ดูแลอย่าให้มันผิดพลาดเท่านั้น

    แล้วก็วัดความสูง นับจำนวนดอก จดลงในบันทึก วันอื่น ๆ มีคนช่วยกันทำตั้งเยอะ ฉันก็มาตอนเย็นหลังเลิกเรียน”


     เด็กหนุ่มสาวเดินมาถึงเรือนกระจก เขาเคยแต่เห็นอยู่ไกล ๆ ไม่เคยเข้าไป หรือเดินเข้ามาใกล้ เพิ่งจะรู้ว่ามันมีขนาดใหญ่แบบนี้
     เฌอรีแอน ไขกุญแจเปิดเข้าไปภายใน...


     ในความใสของอาคาร พืชพรรณต่าง ๆ พากันเปล่งความสดใสสีเขียวออกมาทักทายเขากับแสงสว่างที่ส่องผ่านลงมา

    ในความสงัด เรอันได้ยินเสียงฝีเท้าของเขากับเฌอรีแอน ซึ่งเดินลับหายเข้าไปในพุ่มไม้ซึ่งเขาไม่รู้จักมันอย่างชำนาญทาง

    ด้วยการที่เธอได้ซุกซนซอกซอนไปทั่วมาก่อน


     เรอันหยุดนิ่ง เก็บภาพต่าง ๆ ไว้อย่างชื่นชม เขาชักชอบที่นี่แล้วสิ เสียงของเฌอรีแอนก็เงียบหายไปเหมือนกัน

    สักพักใหญ่เขาจึงสงสัย


     “เฌอรีแอน” เขาลองเรียกดู


     “อยู่นี่” เธออยู่ตรงนั้นนั่นเอง


     “นี่ไง สัตว์เลี้ยงที่จะให้ดู” เด็กสาวยื่นมือออกมาแต่ยังเอามืออีกข้างประกบไว้ เป็นฝาหอย


     “เดี๋ยว! สัญญาก่อนว่า เห็นแล้วจะไม่บี้มันตายนะ มันบอบบางมากเลย น่ารักด้วย” เธอขอสัญญาราวกับว่าเขาจะต้องใจดำกับสัตว์เลี้ยงของเธออย่างแน่นอน


     “สัญญา” เขาตอบไปอย่างนั้น สงสัยว่ามันตัวอะไรกันแน่?


     เด็กสาวค่อย ๆ เปิดมือที่ประกบอยู่ออก เพื่อนร่วมโลกตัวเล็กกระจ้อยร่อยสีเขียวสดใส มีลายจุดกลม ๆ เป็นระยะทั่วลำตัวที่เป็นปล้อง ๆ ต่อกันเหมือนรถไฟขบวนจิ๋ว

    ขาเล็ก ๆ ของมันกำลังเดินกระดึ๊บ ๆ อยู่ในอุ้งมือสีเลือดฝาดน้อย ๆ ของเจ้าของ อย่างไม่สนใจกับแขกผู้มาเยือน


     “หนอน?”


     “ใช่ หนอนผีเสื้อ ฉันเก็บได้จากต้นส้มเล็ก ๆ โน่นแน่ะ ความจริงเป็นหน้าที่ของฉันอีกอย่างที่ต้องกำจัดแมลงและหนอนนะ

    ฉันเพิ่งเจอตัวเดียว ฉันฆ่าไม่ลง เลยแอบเลี้ยงไว้ รอมันกลายเป็นผีเสื้อ สนุกดี อยากรู้ว่า มันจะเป็นผีเสื้อสีอะไร”


     เขาเห็นแววตาเธอกำลังฝันไปไกลอย่างมีความสุข


     “มันเลี้ยงยากนะ ใบไม้อื่น ๆ มันไม่กิน ฉันเลยต้องขโมยเด็ดใบจากต้นส้มมาให้มันกิน ถ้าเจ้านายรู้โดยไล่ออกแน่เลย”


     เธอชวนคุย ขณะที่เอาสัตว์เลี้ยงน่ารักของเธอใส่กระป๋องนมใบใหญ่ ซึ่งได้รับการระบายสีเป็นรูปบ้านหลังน้อยที่เต็มไปด้วยใบยอดสีเขียวอ่อนของต้นส้ม เมื่อปิดฝาที่เจาะรูเล็ก ๆ จนพรุน เพื่อมันจะได้มีอากาศหายใจ แล้วซุกไว้ใต้โต๊ะทำงาน


     “ในนี้เงียบจัง”


     “เพราะเน๊อะ”


     “อะไรนะ?”


     “อ๋อ ฉันว่ามันเงียบ เพราะดี”


     “อะไรเพราะ?” เธอยิ่งพูด เขายิ่งงงหนักขึ้น


     “ฉันหมายถึง...ความเงียบมันเพราะดี เธอลองนั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวด้วยความเงียบใต้ต้นไม้ เธอจะได้ยินเสียงเพลงแห่งความเงียบสงัด THE SONG OF SILENT ไง...

    ในความสงัด เธอจะได้ยินเสียงต่าง ๆ มากมาย จากทั้งอดีต และความฝันที่ออกมาจากใจของเธอเอง และหนึ่งในเสียงนั้นคือบทเพลง ซึ่งจินตนาการของเธอจะเป็นผู้ให้กำเนิดมัน...ลองดูสิเรอัน แล้วเธอจะเข้าใจที่ฉันพูด...


     “อาจจะพอเข้าใจ...”


     เข้าใจว่าเธอแปลกดีเหลือเกิน อย่างเธอน่าจะเรียนปรัชญา หรือเป็นศิลปินที่ดี เขาคิด เธอสนใจสิ่งละอันพันละน้อยรอบ ๆ ตัวที่ไม่มีใครเห็นค่า หรือมองข้าม เธอช่างฝัน ช่างจินตนาการ...


     เขาจำไม่ได้ว่าเคยเป็นคล้าย ๆ แบบนี้หรือเปล่า เมื่อตอนเป็นเด็ก มันคงนานแสนนานจนเขาได้ลืมมันไปแล้ว แต่มันหายไปไหนตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

    หรือว่าเวลาขโมยมันไปจากเขาทีละน้อย...ทีละน้อยอย่างไม่รู้สึกตัวจนสูญไป เพื่อแลกกับการเผชิญต่อโลกของความโหดร้ายที่เกิดขึ้นจริงแห่งการเติบโต...?


     ทันใดนั้นเอง เสียงสปริงดีดตัว หรืออะไรบางอย่างที่คล้าย ๆ อย่างนั้นดังขึ้น เฌอรีแอนรีบจูงเขาแล้ววิ่งไปโดยไม่อธิบาย ตรงไปที่ทางออก เรอันได้แต่วิ่งตาม


     “ทำไมหรือ?”


     “เดี๋ยวเปียก” ขาดคำ ละอองน้ำจากรูเล็ก ๆ บนท่อเล็ก ๆ ที่ขดอยู่ที่พื้นก็พากันพ่นออกมาทั่วทุกทิศทุกทาง จนเป็นไอหมอกขาว ๆ ลอยอยู่ กลิ่นไอดินและต้นไม้ โชยกรุ่นมาอย่างแรงจนแปลกจมูก


     “เกือบไป ถึงเวลารดน้ำพอดี” แล้วเธอก็ไม่พ้นหัวเราะเสียงกังวานสดใสตามเคย


     เฌอรีแอนสนิทกับเขาเกินไป...


     เรอันรู้สึกอย่างนั้น หลังจากที่รู้ว่าเธอทำงานอยู่ในแปลนดอกไม้ เขาก็มักจะกระโดดข้ามคูน้ำเล็ก ๆ มาคุยกับเธอ โดยเฉพาะวันอาทิตย์ เขาสามารถช่วยงานเธอได้บ้าง เธอคุยสนุก ช่างพูด ช่างเจรจา


     เขาถามคำเดียว เธอก็จะอธิบายได้ยืดยาว แต่ช่างน่าฟัง...เธอชวนเขาคุยถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ได้ทั้งวัน


     จนเขาเริ่มรู้สึกกลัว...


     และความกลัวของเขาก็เหมือนเป็นกำแพงบาง ๆ ที่เป็นเขตแดนของมิตรภาพที่เธอมอบให้ และมันก็หนาขึ้นเรื่อย ๆ ตามกาลเวลาที่ผ่านไปทุกวัน...ทุกวัน

    ถ้าเป็นไปได้...


     เขาไม่อยากรู้จักเธอซะเดี๋ยวนี้ เพื่อที่จะไม่ต้องเสียใจภายหลัง


     เรอันย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ...เขาเป็นโรคติดต่อร้ายแรง!


     เขาย้ำกับตัวเองเสมอ...


     ย้ำความทุกข์ทรมาน...เสมอ


     “เรอัน...” อาจจะอุปทา แต่เขาได้ยินเสียงเธอเรียกจากเบื้องล่างอีกแล้ว


     เรอันหงุดหงิดแกมรำคาญโดยไม่รู้สาเหตุ หรืออาจจะรู้ก็ได้...บางที...เด็กหนุ่มทำเป็นไม่ได้ยิน วันนี้เป็นวันอาทิตย์

    และอาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์ที่สองแล้วที่เขาไม่ได้ลงไปเดินเล่นและช่วยงานเธออย่างเคย


     เฌอรีแอนก็ไม่เข้าใจ...เธอไม่เข้าใจว่าเขาเป็นอะไรไป ดูห่างเหินและเฉยชาจนแปลก แต่เธอจะไม่มีวันเข้าใจ


     ไม่มีใครเจ้าใจหรอก


     ตัวเรอันเอง...ก็ยังไม่เข้าใจ


     เรอันนอนก่ายหน้าผากอยู่บนเตียง...แล้วเขาก็ลุกขึ้นคว้าเสื้อคลุมได้ก็เดินออกไป ไปไหนก็ได้ ให้ไกลจากแปลนดอกไม้นั่น ไกลจากเด็กผู้หญิงคนนั้น!


     เขาไม่อยากมีแม้ความรู้สึกว่าเธอมีตัวตนอยู่ใกล้ ๆ ห้องพักเขา


     เรอันเดินเรื่อยเปื่อยในแคมปัส ผ่านสนามเบสบอล หอสมุด พิพิธภัณฑ์ หอศิลปะ ตึกเรียนของคณะต่าง ๆ แล้ววนกลับมา

    จนพบกับโบสถ์หลังเล็ก ๆ ประจำมหาวิทยาลัย หลังคาทรงโค้งไฮเปอร์โบลา แบบสถาปัตยกรรมโมเดิร์นคลุมอยู่บนยอดสุด มีไม้กางเขนกขนาดดใหญ่จนบนจุดเด่น


     ท่ามกลางความเงียบเขาได้ยินเสียงบาทหลวงกำลังอ่านตอนหนึ่งในพระคัมภีร์...เสียงนั้นทำให้เขาชะงักฝีเท้าลง แล้วหยุดนั่งลงข้าทางตรงประตูข้างเล็ก ๆ ของโบสถ์...


     เรื่องราวของอิบบราฮิม ดำเนินต่อไปจนจบตอน


     “...พระเจ้าสถิตกับท่านเสมอ ขอให้ท่านจงรักเพื่อนมนุษย์ทุกคนดุจรักตัวท่านเอง”


     “อาเมน” เสียงนักศึกษาผู้เป็นคริสต์ศาสนิกชนแคทอลิกขานรับพร้อมกันอยู่ภายใน และรวมทั้งเรอันที่นั่งอยู่ภายนอก
     เขาขานรับอย่างเหม่อลอย


     จริงหรือ? จริงหรือที่พระเจ่าให้เขารักทุกคน?


     เรอันนึกถึงตอนหนึ่งของการสนทนากับจิตแพทย์ ผู้ศึกษาเกี่ยวกับสภาพจิตของผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เมื่อสองสัปดาห์ก่อน เพื่อให้ข้อมูลทางสถิตกับหน่วยพัฒนาและฟื้นฟูสภาพจิตของผู้ป่วย


     “...สรุปว่า ตอนนี้คุณมีปัญหาเกี่ยวกับสายตาบุคคลรอบข้างที่มองคุณ ไม่แปลก...เพราะสภาพคนปกติยังแคร์สังคมที่เขาอยู่ จริงไหม? เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกส่วนตัว และเราก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่พอที่จะสร้างค่านิยมใหม่ในโลก หรือถ้าทำอย่างนั้นได้ก็สร้างโลกใหม่ซะยังจะง่ายกว่า และคุณต้องเข้าใจนะโรคภูมิคุ้มกันเสื่อมนี่เป็นโรคใหม่สำหรับโลกของเรา ยังต้องการเวลาที่จะศึกษาทำความเข้าใจและปรับตัวกับสังคม ผ่านปัญหานี้ไปก่อน...

     คุณรักใครบ้างไหม?”


     ประโยคคำถามนี้ ทำให้เรอันนิ่ง เขามองอยู่ที่หน้าจิตแพทย์คนนั้น แต่เขารู้ว่าเขากำลังคิดถึงใคร


     เขาไม่เข้าใจ ทำไม คำตอบของประโยคนี้ที่ผุดขึ้นในความคิดของเขา คือ เธอ...


     เฌอรีแอน


     ไม่ใช่...เขาสนิทกับเธอต่างหาก


     เธอสนุกสนาน ร่าเริง คุยง่าย ไม่คิดมาก และอะไรอีกหลาย ๆ อย่างที่ทำให้เขานึกถึง


     แต่ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน!


     “ไม่มีฮะ” เรอันได้ยินเสียงตัวเองตอบไปแผ่วเบา


     “หมายความว่า คุณไม่มีเกิลเฟรนด์ และยังไม่สนใจใครเลยหรือ?”


     “ฮะ”


     “ขอโทษนะ เคยมีความรักแล้วอกหักบ้างไหม? อาจไม่ใช่เพราะเกี่ยวกบโรคก็ได้”


     “ไม่ครับ”


     ผู้เป็นจิตแพทย์ก้มหน้าก้มตาจดบันทึกในแฟ้มเล่มโตแล้วเงยหน้าขึ้นถามเขา


     “เคยคิดจะแต่งงานไหม? หมายถึง เมื่อเรียนจบทำงานแล้ว” เขาขยายความเมื่อเห็นเด็กหนุ่มทำหน้าสงสัย


     “หืม?” เรอันยังไม่คลายคิ้วที่ขมวดอยู่ “ได้หรือ?”


     “ได้... แต่อาจไม่ปกติ เพราะอย่างน้อยก็มีลูกด้วยกันไม่ได้ และผู้หญิงคนนั้นคงต้องเสียสละมาก...เธอคงรักคุณจริง ๆ คนไข้บางรายที่เคยเจอ แต่งงานหลังจากรู้ว่า ฝ่ายหนึ่งเป็นเอดส์แต่เขาคงหาทางป้องกันอย่างดี และไปตรวจเลือดทุกสองเดือน จนตอนนี้ยังไม่พบว่าตัวสามีมีเชื้อไวรัสเลย ทั้งที่ภรรยาถึงขั้นแสดงอาการแล้ว”


     “ผมคงไม่โชคดีแบบนี้”


     “ก็ไม่แน่ แต่การที่คุณไม่รักใคร หมายถึง ไม่มีแฟนก็ดีแล้วจะได้ไม่มีปัญหาตามมา ที่ฉันเล่าคู่นั้นเป็นเพียงคู่เดียวที่ไม่มีปัญหาด้วยกัน แต่ก็มีปัญหากับสังคมอยู่ดี...ส่วนนอกนั้น...” จิตแพทย์ผู้มีแววตาเย็นชา ไร้ชีวิตชีวา ดูทึบทึม ยักไหล่และเว้นคำพูดไว้แค่นั้น แล้วก้มหน้าก้มตาจดบันทึกง่วนตามเคย


     แต่เรอันพอจะเดาต่อได้

     “พระเจ้าคงไม่อยากให้คุณมีความรักละมัง...”


     เรอันได้ยินเขาบ่นเบา ๆ แต่มันทำให้เขารู้สึกจุกที่ลำคอ


     เสียงออแกนบรรเลงเพลงสวดเงียบไป เรียกสติเรอันคืนมาจากความคิด เขาเดาว่าภายในคงรับศีลเสร็จแล้ว อีกไม่นานพิธีคงเลิก นับเป็นเวลานานเท่าไรแล้วนะที่เขาไม่ได้เข้าโบสถ์และรับศีลในพิธีทางศาสนา ตั้งแต่ตอนที่เสียพ่อไป แม่ก็พาเขากับน้องสาวไปนาน ๆ ครั้ง เขายังจำแววตาของคนในโบสถ์ที่มองครอบครัวของเขาได้อย่างแม่นยำ และเขาก็ถูกลงมติไม่ให้ดื่มไวน์ถ้วยเดียวกับผู้คนอื่น ๆ...จนทุกวันนี้ ขณะที่เวลาตกใจอุทานว่าพระเจ้า แต่เขาเกือบลืมด้วยซ้ำไปว่าเขาเป็นคาทอลิก


     เรอันนั่งรอจนกระทั่งคนทยอยกันออกมาจากโบสถ์จนหมด ต่างแยกย้ายกันออกไป โดยไม่มีใครสนใจว่า มีเด็กหนุ่มน้อยคนหนึ่งนั่งเงียบเหงาโดดเดี่ยวอยู่ตรงนั้น


     เขายืนขึ้นเดินอ้อมไปหน้าโบสถ์ แล้วแง้มประตูเข้าไป...


     เสียงออแกนบรรเลงแผ่วเบา นักดนตรีกำลังซ้อมเพลงของเขาอย่างไม่สนใจอะไร เรอันเดินเข้าไปนั่งคุกเข่าอยู่เป็นเวลานาน...


     “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า” เขาได้แต่ภาวนา ขออย่าให้ข้าต้องทรมานใจมากกว่านี้ อย่าให้เฌอรีแอนใกล้เขามากกว่านี้เลย เขากลัวเหลือเกิน กลัวทรมาน...


     “ในนามของพระบิดา...พระบุตรและพระจิต...อาเมน”


     เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นเขามองไปยังกึ่งกลางกางเขนที่แขวนอยู่ตรงหน้า มันคล้ายกับว่าเขากำลังจ้องมองกับสายตาคู่หนึ่งที่เพ่งมายังใบหน้าเขา แววตานั้นดุดัน ทรงอำนาจแกมเฉยเมยเย็นชา ราวกับว่าเขาเป็นผู้ทำผิด ผู้เป็นบาป ผู้แพ้...


     เสียงหนึ่งดังอยู่ไกลแสนไกล ไกลออกไปกว่ารัศมีของเสียงออแกน ประดุจหนึ่งเสียงก้องจากก้นหุบเหวลึก สะท้อนก้องราวกับฟ้าคำรามแล้วค่อย ๆ ใกล้เข้ามากระซิบอยู่ริมหูของเขา...เสียงออแกนแผกเพี้ยนไป กลายเป็นเสียงสวดมนต์สาปแช่งแห่งซาตานจากขุมนรก

     มันเป็นคำสาปของพระเจ้า
     ที่ห้ามเจ้ารักใคร...
     หากเจ้าผิดบาปไซร้
     รักจักกลายเป็นความตาย...
     หรือฝันร้าย...ที่ไม่อาจลืม!

     เรอันสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างร้อนรนตอนกลางดึก เหงื่อซึมทั่วหน้าและร่างกาย ทั้ง ๆ ที่หน้าต่างเปิดแง้มให้ลมหนาวได้พัดเข้ามา จนเย็นไปทั่วทั้งห้อง


     เขาทบทวนดูในความมืด เป็นเพราะเช้าวานนี้เขาไปโบสถ์นั่นเอง ทำให้ติดใจเก็บมาฝัน...


     เด็กหนุ่มนอนไม่หลับอีกเลย

     ห้ามเจ้ารักใคร...


     งั้นหรือ?


     แม้แต่รักก็ยังไม่ได้เลยหรือ?


     ทำไมชีวิตเขาถึงได้ทรมานแบบนี้นะ


     หากเจ้าผิดบาปไซร้


     รักจักกลาย เป็นความตาย


     หรือฝันร้ายที่ไม่อาจลืม


     ฝันร้าย!


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×