ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ซาฟรีรีนา

    ลำดับตอนที่ #14 : ขนนกสีขาวที่ปลิวหายไปในท้องฟ้าสีน้ำเงินม่วง

    • อัปเดตล่าสุด 8 ก.พ. 49


    ขนนกสีขาวที่ปลิวหายไปในท้องฟ้าสีน้ำเงินม่วง

    ท้องฟ้าสามสีของยามเย็นนี้ดูเวิ้งว้างกว้างใหญ่ 

    เสียงลมหวีดหวิวฟังเหมือนดนตรีที่มีทำนองแสนเศร้าสร้อย 

    ฝุ่นทรายเม็ดหยาบปลิวมาปะทะใบหน้าที่พ้นออกจากผ้าคลุมทำให้แสบผิวและระคายเคืองจนผมอดที่จะหลี่ตาลงไม่ได้ 

    ผาหินขนาดใหญ่ตั้งขวางอยู่ข้างหน้า  เงาทะมึนของมันตัดกับเส้นขอบฟ้าดูคล้ายราชสีห์หมอบคำรามราวกับรูปปั้นของพระเจ้า

    นี่เองหน้าผาหินรูปสิงห์หมอบ 

    ผมชะลอความเร็วของยานเข้าไปยังใต้ชะง่อนหินที่ยื่นออกมาเหมือนอุ้งเท้าของสิงห์ที่ดูอีกทีก็คล้ายร่มขนาดใหญ่ 

    นี่ก็คงเป็นเพิงพักของนักเดินทางโบราณ ผมดูนาฬิกาเพื่อเทียบเวลาตามที่ดิมสั่งนักสั่งหนา 

    เขาสมกับเป็นนักสำรวจหนุ่มที่มีอนาคตไกลจริง ๆ คำนวนอะไรแทบไม่เคยพลาดเลย  ครั้งนี้ก็เช่นกัน

    ใจผมเต้นผิดจังหวะทันทีเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่บนยอดสุดของผาหิน 

    ตรงที่เป็นหัวของสิงห์มีเงาร่างระหงสีดำในผ้าคลุมสีขาวบางเบาแผ่วพลิ้วในสายลมอยู่เดียวดาย...

    คนที่เฝ้าคิดถึงอยู่ตลอดเวลา  ด้วยความรู้สึกที่แตกต่างผสมกันจนไม่มีวันเข้าใจได้...
    ทั้งสงสัย  เป็นห่วง  รู้สึกผิด  เสียใจ  หวาดกลัว  แปลกประหลาด  น่าทึ่ง  เคารพนับถือ  และรัก 

    รักโดยไม่คิดจะแบ่งประเภทว่ารักแบบเพื่อน  พี่น้องหรือคนรัก ผมไม่รู้... ผมรักเธอ...  คนที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา  ศรัทธา  ความรัก  มิตรภาพและความจริงใจ... 




    ในที่สุดผมก็ได้พบเธออีกครั้ง 

    ผมจำไม่ได้ว่าผมปีนขึ้นไปได้อย่างไร 

    จนเธอได้มายืนอยู่ตรงหน้าผมจริง ๆ  นัยน์ตาสีแดงเข้มใสกระพริบถี่ ๆ ไล่ละอองน้ำที่แต่งแต้มอยู่บนขนตาประกายสีเงิน 

    รอยยิ้มอ่อนหวานค่อย ๆ คลี่บานบนดวงหน้าเนียนสีดำสวย 

    “ท่านมาแล้ว...  มาแล้วจริง ๆ”

    “...” 

    เหมือนมีคำพูดนับไม่ถ้วนที่ตลอดการเดินทางผมเฝ้าทบทวนเพื่อมาบอกเธอก่อนจากกัน 

    แต่ขณะนี้ผมกลับพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว  ไม่แต่เท่านั้น  ยังทำอะไรไม่ถูกอีกด้วย

    “ขอบคุณท่าน”

    “ ? “ …

    “ขอบคุณท่านที่มาที่นี่...

    หมายถึงที่มายังดวงดาวแห่งนี้  ทำให้ข้ารู้ว่ามีมนุษย์อย่างท่านอยู่... 

    และหมายถึงที่ท่านมาพบข้าที่นี่...เป็นครั้งสุดท้าย  ...ข้าดีใจเหลือเกิน”

    “ผมเข้าใจว่าเธอกลับไปยังบ้านของเธอแล้ว  ทำไมมีเพียงเธอคนเดียวที่ยังอยู่ที่นี่”

    “ความจริง  มันสมควรเป็นเช่นนั้น   คนอื่น ๆ กลับไปหมดแล้ว 

    เหลือแต่ข้า...เป็นความต้องการของข้าส่วนตัวของข้าเอง...ที่จะรอพบท่าน... ข้าไม่ได้เป็นซาฟรีรีนาแล้ว... “

    “เกิดอะไรขึ้น... ทำไมถึง...” ผมพยายามถาม 

    ในขณะที่เธอพยายามกลบเกลื่อนพร้อมรอยยิ้มแจ่มใส...

    “เมื่อข้าไม่ใช่ซาฟรีรีนา...  ตอนนี้ข้าไม่มีแม้แต่คำเรียกหา...  จริงสิ  ท่านตั้งชื่อให้ข้าได้ไหม”

    “ได้แน่นอน... สัญญา...คำแรกที่พบกันอีกครั้งจะเป็นชื่อเธอ”

    “พบกันอีกครั้งเหรอ...”  รอยยิ้มนั้นจางลงไปวูบหนึ่งแทบไม่สามารถสังเกตุเห็น  แต่แล้วกลับเบ่งบานอีกครั้งอย่างงดงาม    “สัญญานะ  ข้าจะรอ...”

    ...

    “เจ็บมากไหม” ผมค่อย ๆยื่นมือออกไปสัมผัสตรงส่วนหัวไหล่ที่เคยมีแขนติดอยู่อย่างแผ่วเบา   

    ภายใต้ผ้าคลุมสีขาวบาง ๆ เบาราวปุยนุ่นพาดพันซ้อนกันหลายชั้นนั้นว่างเปล่าจนน่าใจหาย 

    เพื่อผม... เธอสละได้ถึงเพียงนี้...

    “ไม่เจ็บแล้ว”

    “ผม... ขอโทษ”  ผมอยากร้องไห้  ผมเสียใจ  ผมอยากสารภาพ

    “ขอโทษทำไม...  ข้ายินดี...”

    “ผม...” ผมอยากสารภาพว่าผมไม่ได้กิน...

    “ข้าต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณ ที่ท่านให้เกียรติข้า 

    วันนี้...ถึงข้าตายไป  แม้ไม่ได้สืบทอดวิญญาณทั้งหมดร่างเพื่อสืบทอดตำแหน่งซาฟรีรีนา...ก็ไม่นับว่าตายเปล่าอย่างที่มาตาโบลาทำนายแล้ว...

    นับแต่บัดนี้ไปท่านจะพกพาวิญญาณของข้าไป...

    กลับไปยังโลกของท่าน  และไม่ว่าจะเป็นที่ใด เวลาใด  ข้าจะสถิตอยู่กับท่าน 

    ข้าจะอยู่ในตัวท่านตลอดไป...ข้าดีใจเหลือเกิน  และข้าดีใจที่สุดที่สถิตวิญญาณแห่งข้าเป็นท่าน  มนุษย์ผู้มีความรักและความฝัน”

    “ผมไม่ได้กิน...  เธอยังไม่ได้อยู่ในผมเลย  ยังเลย...” ผมตะโกนก้องกังวาลสารภาพความผิดที่ติดค้างคาใจอยู่มาตลอดเวลาและมันจะคงติดไปตลอดชาติ

    แต่...

    ด้วยรอยยิ้มอ่อนหวานขนาดนั้น  ด้วยดวงตาสีแดงใสที่ทอแววแห่งความฝันอย่างนั้น   ผมได้แต่กล้ำกลืนคำพูดนั้นลงไปพร้อมกับน้ำลายเหนียว ๆ อย่างฝืดคอ

    แล้วนี่ผมจะสารภาพกับเธอได้อย่างไรดี ... !?!

    ได้โปรดเถอะ... 

    อย่ามองผมด้วยสายตาที่สวยงามนั้นเลย 

    ขอร้องล่ะ  มันสร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสในความรู้สึกผม  หนักหนากว่าอาการปวดหัวที่เกิดขึ้นเป็นริ้ว ๆ ในตอนนี้เสียอีก 

    แล้วเธอก็ค่อย ๆ เอื้อมมือข้างเดียวขึ้นมากดผมเบา ๆ ให้โน้มตัวและก้มศีรษะลง 

    มือข้างที่เหลือลูบคลำตรงกลางกระหม่อมด้านหลังเบา ๆ มือบางนุ่มนิ่มเสยลึกเข้าไปในปอยผมจนถึงหนังศีรษะ 

    ผมหลับตาลง...ความรู้สึกของผมเหมือนมีมนต์วิเศษของนางฟ้ามาเสกให้ความเจ็บปวดบรรเทา

     “ท่านปวดศีรษะ ? ปวดมากใช่ไหม...”

    ไม่รู้ว่า...เป็นเพราะผมขมวดคิ้วนิ่วหน้าจนเธอสังเกตุเห็น...

    ในตอนนั้นผมไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรทำไมเธอถึงรู้อะไรมากมาย

    “เพราะข้าแท้ ๆ ... “

    “ก่อนขึ้นยานกลับโลก  ท่านต้องหาแพทย์ที่ไว้ใจได้สักคนเป็นการลับ  ให้เขาดูแลแก้ไขให้กับท่าน...

    อย่าลืม...ว่าทุกอย่างต้องเป็นความลับ...แล้วท่านจะเป็นปรกติเอง”

    หรือเธอเห็นอะไร...  ที่หัวผมมีอะไร...

    ผมกำลังจะถามแต่เธอกลับส่ายหน้าปฎิเสธ แล้วแตะริมฝีปากผมเบา ๆ ไม่ให้ถามอะไร...

    อีกแล้วหรือ...  เธอรู้อะไร  ทำไมเธอบอกไม่ได้...?

    เหมือนดิม...

    พวกเขาเก็บความลับอะไรไว้  ที่ผมไม่สามารถรู้ได้

    เหมือนหมอกับญาติผู้ป่วยที่อาการหนักสาหัสใกล้เสียชีวิตช่วยกันปกปิดความจริงกับญาติผู้ป่วยอย่างไรอย่างนั้น

    แต่ที่ประหลาดใจ  ทำไมเธอถึงทำท่าราวกับ...  ราวกับว่าพยายามกล้ำกลืนความเสียใจเหลือประมาณ 

    แต่แววตากลับทอประกายของความปลื้มปิติ ยินดีกับบางอย่าง  มันเป็นความขัดแย้งที่ผมไม่เข้าใจ 

    โดยเฉพาะ...เสียงแผ่วเบาที่แทบจะเลือนหายไปกับสายลม

    “โอ... ไม่ผิดเลยจริง ๆ  ข้ารู้อยู่แล้วว่า ท่านไม่มีทางหักหลังข้า ข้าเชื่อมั่นเช่นนั้นมาตลอด  แล้วท่านก็ไม่ทำให้ข้าผิดหวังเลย...

    ข้าดีใจที่สุด...ข้าขอแค่พิสูจน์ความจริงอันนี้ให้หายกังวลแล้วข้าก็ไม่ต้องการอะไรอีก  ข้าจะได้จากไปอย่างมีความสุข...” 

    คำพูดทั้งหมดนั่น  ผมไม่เข้าใจแม้แต่คำเดียว 

    แต่ถ้าเธอไม่แม้แต่ยอมให้ถาม  ถึงอย่างไรเธอก็คงไม่ยอมเล่าให้ผมฟัง...

    เอาเถอะ...แล้วค่อยให้ดิมหาหมอให้สักคนตรวจดูให้นอกโรงพยาบาลทีหลังแล้วกัน...

    ดังนั้นผมได้แต่ปัดความรู้สึกสงสัยอยากรู้อยากเห็นทิ้งไป...

    เมื่อผมเงยหน้าขึ้นไป  ก็ได้พบกับธารน้ำเล็ก ๆ สองสายบนใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้ง 

    มันสะท้อนกับแสงสุดท้ายบนท้องฟ้าเป็นประกายระยิบระยับอยู่สองข้างแก้มเป็นภาพที่ผมคงไม่มีวันลืม 

    มือเรียวบางข้างเดียวนั้นหยุดชะงักค้างตรงหน้า   มันกลับสวยงามได้รูปอีกครั้งแต่เมื่อมองระยะใกล้มันเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นนับไม่ถ้วน 

    เหมือนผิวส่วนอื่น ๆ ที่พ้นผ้าสีขาวนั้น  โดยเฉพาะบนศีรษะไม่เว้นแม้แต่ใบหน้าที่บัดนี้เหลืองเพียงร่องรอยจาง ๆ...ทำให้ผมรู้สึกสงสารจนบอกไม่ถูก  

    ผมกลั้นใจดึงเธอเบา ๆ   ...ร่างบางในผ้าขาวราวขนนกก็ปลิวลงมาอยู่ในอ้อมแขน
     
    เธอซุกหน้าฝังแนบกับอกผมสงบนิ่งอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน 

    ราวกับความฝัน...

    แต่ร่างกายนุ่มนิ่มอบอุ่นที่ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดอยู่บนตัวผมนั้นเป็นความจริง...

    เสียงหายใจแผ่วเบาก็เป็นความจริง...

    สัมผัสจังหวะของหัวใจที่เต้นอยู่นั้นยิ่งตอกย้ำว่าเป็นความจริง...

    มันเป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถใช้ภาษาอะไรมาบรรยายได้  แต่ถ้าเป็นไปได้  ผมอยากปกป้องเธอตลอดไป...

    เราทั้งสองต่างไม่ได้พูดอะไรอีกเลย  ได้แต่นิ่งสงบอยู่อย่างนั้นนานแสนนานราวกับตลอดไป...

    ภายใต้บรรยากาศเวิ้งว้างของท้องฟ้าที่เปลี่ยนสีไปเรื่อย ๆ ลำแสงสุดท้ายแคบลง  แคบลงจนเกือบจะจางหายไป 

    สีน้ำเงินไล่สีส้ม ฟ้าและขาวออกไปทีละน้อย ๆ 
     
    ผมลืมไปเลยเวลาผ่านไปแค่ไหนแล้ว 

    ลืมแม้กระทั่งคำสัญญาที่ให้ไว้กับดิมที่ย้ำนักย้ำหนาเกี่ยวกับเรื่องเวลา 

    ผมลืมแม้กระทั่งว่าต้องกลับไป 

    ร่างบางในวงแขนต่างหากที่รู้สึกตัวก่อนด้วยอาการสะดุ้งน้อยๆ เธอใช้แขนข้างเดียวดันตัวห่างออกไป 

    ชั่ววูบนั้น...มันน่าแปลกที่ผมรู้สึกอ้างว้างเดียวดายและเศร้าเสียใจอย่างบอกไม่ถูก

    “ท่านต้องไปแล้ว” เธอพูดพร้อมกับหันไปยังทิศที่พระจันทร์กำลังจะขึ้น  แสงสีเงินยวงทอประกายอ่อนนุ่มฉายชัดเป็นแถบสีขาวจางๆ อยู่ที่ขอบฟ้า

    “ไม่...”

    “ท่านต้องไป...สุดท้ายท่านก็ต้องไป... ไปเสียตั้งแต่ตอนนี้...ไปในขณะที่ข้ายังส่งท่านได้จนลับสายตา...ขอให้ข้าได้อยู่บนนี้ใช้สายตาส่งท่านไปได้หรือไม่...”

    “แล้วเธอ...”

    “...”  เธอส่งรอยยิ้มบาง ๆ มา...เท่านั้น

    “เธอกลับบ้าน ?”

    “...”  คราวนี้ไม่ใช่รอยยิ้ม  หากเป็นแววตาที่แสนเศร้าสร้อย...

    ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่...

    มันต้องมีปัญหาอะไรสักอย่าง …

    มันต้องมีอะไรร้ายแรงแน่ ๆ การที่เธอไม่เป็นซาฟรีรีนามันต้องมีเหตุผลสำคัญยิ่ง... 
    ผมปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรงเมื่อพยายามคิดมาถึงตรงนี้...

    แต่คิดไม่ออกว่าทำไม...

    ผมลืมอะไรบางอย่างไปแน่ ๆ

    ...มันต้องมีอะไรที่สำคัญมาก ๆ และน่าจะเกี่ยวกับผมด้วย...แล้วผมจะทิ้งมันไปได้อย่างไร  ผมอยากปกป้องเธอ... 

    ผมตัดสินในวินาทีนั้น...

    “ผมจะไม่กลับโลก...ผมจะอยู่ที่นี่...!!! ”

    “ไม่ได้! ท่านต้องไป...ไปเดี๋ยวนี้ด้วย...ไป...ไปสิ!” เธอใช้แขนเพียงข้างเดียวผลักผมออกห่าง  สีหน้าร้อนรนสับสนและเจ็บปวด...

    “งั้นเราไปด้วยกัน! “  ผมดึงมือข้างนั้นมา  นี่ผมพูดจริง ๆ นะ  ผมยังไม่ได้คิดว่าต้องทำหรือควรทำอย่างไร เป็นไปได้แค่ไหน  แต่ผมรู้ว่าผมจะทำ...

    ...แต่ว่า...  ร่างบอบบางในผ้าสีขาวแผ่วพริ้วบางเบายิ่งกว่าขนนกนั้นกลับตรึงแน่นอยู่กับที่ได้อย่างน่าอัศจรรย์...

    มือเรียวบางนุ่มนิ่มอบอุ่นกลับแข็งขืนดึงกลับไปพร้อมกับการส่ายหน้าช้า ๆ 

    “ข้าไปกับท่านอยู่แล้ว...” บนใบหน้ากลับมีรอยยิ้มอ่อนหวานอีกครั้ง   ดูอบอุ่นราวกับแม่ที่กำลังปลอบขวัญลูกน้อย

    “อย่าลืมว่า...ข้าได้ฝากวิญญาณส่วนหนึ่งไว้กับท่าน  ท่านจะพกพาวิญญาณของข้าไปทุกหนแห่ง 

    จำไว้...ข้าสถิตอยู่ในตัวท่าน...หากวันใดที่ท่านคิดถึงข้า  ของเพียงแค่ท่านมองเงาตัวเอง  ได้ย่อมได้เห็นข้า  เพราะข้าจะอยู่ในตัวท่านตลอดไป...

    แม้ความตายก็ไม่อาจพรากเราจากกัน !”

    ผมตัวแข็งค้าง  ความตั้งใจทั้งหมดที่มีหลอมละลายและระเหยไปจนหมดสิ้น  พร้อม ๆ กับคำสารภาพที่ท่องมาเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง...

    ผมเกลียดชังตัวเองเหลือเกิน...

    ผมได้แต่หลบสายตาเธออย่างขี้ขลาด...แหงนมองท้องฟ้าที่เปลี่ยนสีไปจนจะกลายเป็นสีน้ำเงินอมม่วงทั่วทั้งผืนแล้ว...

    ดวงดาวนับหมื่นนับล้านกระจายตัวกันอยู่ราวกับพระเจ้าโปรยปรายเพชรขนาดต่าง ๆ แต่งแต้มประดับไว้แข่งกันกระพริบระยิบระยับชัดเจนเพราะพระจันทร์ดวงกลมโตยังส่องแสงเงินยวงของเธอมาไม่ถึง 

    แต่สัญญาณของแสงที่แสนจะงดงามนั้นชัดเจนขึ้นทุกทีที่ขอบฟ้า...

    “ลาก่อน...”

    เหลือเวลาอีก...30 นาที...   นี่ถ้าเขาเชื่อคำพูดของดิม  เขาควรเริ่มออกเดินทางเวลานี้

    ผมมองเข้าไปในนัยน์ตาสีแดงอีกครั้ง  มันทั้งคู่ทอแววของความตั้งใจแน่วแน่ไม่ลังเล... 

    เธอคงมีเหตุผลของเธอที่ผมควรเคารพในสิทธิแห่งความคิดและการตัดสินใจ 

    “อืม...ข้าพูดไม่ถูกต้อง...เพราะความจริงเราไม่ได้จากกันไปไหนเลย  มันไม่ควรมีคำนี้... ข้าควรพูดว่า ‘ไปกันเถอะ’ …! ” 

    รอยยิ้มคลี่บานบนใบหน้าของเธอได้อย่างสดใสงดงามจนติดตา...

    คำพูดเหล่านั้นยิ่งตอกย้ำในความรู้สึกจนผมแทบเป็นบ้า...


    เหลือเวลาอีก...25 นาที 

    หากเขาออกเดินทางกลับไป ณ เวลานี้  เขาจะไม่ต้องรับรู้เหตุการณ์ที่จะฝังตรึงแน่นอยู่ในความทรงจำชั่วชีวิต

    ผมกล้ำกลืนความรู้สึกลงไปอย่างยากเย็น...

    ผมอาจไม่เจอเธออีกเลยชั่วชีวิต  ผมไม่อยากจากไปในขณะที่มีความรู้สึกไม่ดี... 

    เพราะผมรักเธอ

    ผมว่าเธอรู้

    ถึงอย่างนั้น  ผมก็ควรจะบอกเธอ…

    ทำก่อนที่จะไม่มีโอกาสทำ  

    บอกเธอก่อนที่จะไม่มีโอกาสบอก 

    อย่าให้เป็นความเสียดายที่ไม่อาจหวนกลับคืนเหมือนเรื่องของแขน...

    ด้วยความรัก  ด้วยความประทับใจ  ด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี...ผมค่อย ๆก้มลงประทับริมฝีปากลงไปบนดวงหน้านั้นแผ่วเบา...

    บนหน้าผาก...

    บนเปลือกตา...

    เรื่อยมาที่จมูก...

    และมาหยุดที่ริมฝีปากได้รูป...


    เหลือเวลาอีก...20 นาที 

    เขาไม่สนใจสัญญานั้นเลย...

    เพื่อความรักแล้ว... เขาลืมเวลา  ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง  ลืมแม้แต่ตัวเอง...

    แม้ว่ามันจะเป็นความรักที่ไม่มีวันเป็นไปได้

    เธอตอบผม...

    ...รักเช่นกัน... 

    เพียงแค่นั้นสำหรับผมแล้วมันสูงค่ากว่าอะไรทั้งหมด 

    ...ผมอยากจะบอกเธอว่า  แม้ผมไม่ได้กินแขนเธอ 

    ...แต่ผมจะพกพาเธอไปทุกหนแห่ง เพราะเธอจะอยู่ในใจผมตลอดไป...


    เหลือเวลาอีก...15 นาที 

    ตอนนั้น...ซาฟรีรีนาดูเหมือนจะหวนนึกถึงเรื่องเวลาขึ้นมาได้ 

    ด้วยสีหน้าตกใจร้อนรน เธอหันไปทิศที่พระจันทร์ขึ้น...ประสานมือราวกับจะภาวนาให้เวลาหยุดเดิน...

    “ข้าขอส่งท่านด้วยสายตาจากที่นี่...  ได้โปรดรีบไป...รีบไป จำไว้   สัญญากับข้า...ไม่ว่าจะได้ยินหรือสังเกตุเห็นสิ่งใด...  อย่าหันกลับมา...ได้โปรดอย่าหันกลับมา  ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าหันกลับมา”


    เหลือเวลาอีก...10 นาที

    “และ...คำแรกที่พบกันอีกครั้งหน้าจะเป็นชื่อของข้า  ...สัญญานะ...”

     “สัญญา !”

    .
    .
    .
    .
    .
    เหลือเวลาอีก...5 นาที

    ผมพาร่างกายที่เบาหวิวไร้วิญญาณจากลงมาเงียบ ๆ

    ลมอุ่น ๆ ของทะเลทรายยามเย็นโชยผ่านหน้าไป  ยานลำเดิมที่ผมใช้มาเคลื่อนตัวออกช้า ๆ ด้วยความเร็วคงที่ 

    ผมแทบไม่รู้สึกตัวเลยว่ากำลังทำอะไรอยู่  และจะทำอะไรต่อไป  ผมลืมแม้แต่สั่งปิดฝาครอบยาน  แต่กลับเปิดเครื่องเสียงโดยไม่ได้ตั้งใจ...

    ดนตรีบรรเลงแผ่วเบา  หวาน...เศร้า...  ท่วงทำนองนั้นช่างโศกซึ้ง...

    เหลือเวลาอีก...3 นาที
    เบื้องหน้าของผมคือท้องฟ้าสีน้ำเงินอมม่วงที่หมู่ดาวนับล้าน ๆ ดวงเริ่มอ่อนแสงลง 

    ด้วยเพราะดวงจันทร์ขนาดใหญ่กว่าบนโลกมากมาย ค่อย ๆ เคลื่อนสูงขึ้น ๆ อย่างช้า ๆ สง่างามและนุ่มนวล

    เรืองรัศมีสีเงินยวงสว่างขึ้นทุกที ๆ สาดแสงส่องหน้าผาที่ผมจากลงมาให้เห็นอย่างเด่นชัดจากกระจกมองหลัง...

    หน้าผาหินรูปสิงห์หมอบในแสงสีเงินสกาวสูงสง่าอยู่เบื้องหลังห่างออกไปทีละน้อย ๆ

    ขนนกสีขาวที่ประดับอยู่บนยอดสุด  พลิ้วไหวราวกับจะล่องลอยออกไปในความอ้างว้างกว้างใหญ่

    จากกระจกมองหลังภายในยานที่แม้ห่างออกไปทุกที  ผมยังคงเฝ้ามองเธออยู่ตลอดเวลา... 

    ผมอยากเห็นเธออย่างนั้นไปจนลับตา  ผมรู้ว่าเธอก็เฝ้ามองผมจากตรงนั้นเช่นกัน

    เหลือเวลาอีก...2 นาที

    เสียงเพลงละโหยไห้...บรรเลงในบันไดเสียงสูง  กรีดลึกเข้าไปในความรู้สึก

    ดวงจันทร์ลอยสูงขึ้นจนเกือบเต็มดวงแล้ว... 

    แสงนวลสีเงินยวงสาดส่องไปทั่วผืนดินอันแห้งแล้งกันดาร  เต็มไปด้วยหินน้อยใหญ่ที่ดูโหดร้ายในตอนกลางวัน 

    บัดนี้กลับดูงดงามยิ่งไม่ผิดกับพิพิธภัณฑ์แสดงงานประติมากรรมที่ให้แสงเงาอย่างตั้งใจ

    ยานลำนี้ยังพาผมแล่นช้า ๆ ต่อไป

    เหลือเวลาอีก...1 นาที

    ขนนกสีขาวเล็กลง

     

    เหลือเวลาอีก...45 วินาที

    ...เล็กลง

    เหลือเวลาอีก...30 วินาที

    ...เล็กลง...

    เหลือเวลาอีก...15 วินาที

    ใช่แล้ว...

    สำหรับผม  เธอเป็นสีขาวบริสุทธิ์  บางเบาและอ่อนนุ่มราวขนนกในตำนานแห่งสันติภาพ

    เหลือเวลาอีก...10 วินาที

    ดวงจันทร์ใหญ่ขึ้น ๆ ลอยหลุดพ้นเส้นขอบฟ้าจนเต็มดวงอยู่เบื้องหน้าผมใกล้ ๆ นี้เอง...

    เหลือเวลาอีก...5 วินาที

    ลาก่อน...                                 เสียงเพลงบรรเลงไต่บันไดเสียงสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ 


    เหลือเวลาอีก...4 วินาที

    หวังว่า...สักวัน...                  มันดังขึ้น ๆ


    เหลือเวลาอีก...3 วินาที
     
    ผมคงจะได้พบเธอ               ในท่วงทำนองเร็วขึ้น ๆ


    เหลือเวลาอีก...2 วินาที

    และเรียกเธอว่า...                  จนกรีดเสียงแหลมสูงกังวานยาว...


    เหลือเวลาอีก...1 วินาที

    เอเกรธา  ...ขนนกสีขาว





    บอมม์ !!!


    เสียงระเบิดกึกก้องกัมปนาทกลบเสียงบรรเลงนั้นไปจนหมดสิ้น !

    แรงสั่นสะเทือนเขย่าพื้นดินโดยรอบแผ่รัศมีกินบริเวณกว้างจนเหมือนมีแผ่นดินไหวรุนแรงกระแสลมเปลี่ยนทิศอย่างรวดเร็ว 

    กระชากเศษหินดินทรายปลิวว่อนเป็นพายุฝุ่นขนาดยักษ์ถาโถมมาจากด้านหลัง

    ผมเหยียบเบรกอย่างแรง 

    จ้องกระจกมองหลังบานนั้นค้างอย่างไม่เชื่อสายตา

    ตะลึงงันไปกับภาพที่เห็นเมื่อพายุฝุ่นนั้นผ่านไป 

    …ตรงหัวสิงห์ที่เคยมีขนนกสีขาวกลับกลายเป็นลูกไฟดวงมหึมาพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า  ทั้งควัน  หมอกและเปลวเพลิงบดบังทุกอย่างไปหมดสิ้น

    แสงจากระเบิดฉาบไล้ไปทั่วผืนฟ้าเบื้องหลังจนกลายเป็นสีส้มแดงสว่างราวกับกลางวัน  ตัดกันอย่างรุนแรงกับแสงอ่อนโยนของดวงจันทร์เบื้องหน้า 

    ดูไปช่างสวยงามตระการตา  ราวกับฉากจบของมหาอุปรากรอันยิ่งใหญ่

    .
    .
    .

    เสียง...  แสง...  และแรงสั่นสะเทือนต่าง ๆ ค่อย ๆ จางหายไป...

    สิ่งที่หลงเหลือเบื้องหลัง  คือความว่างเปล่า...

    กับเสียงเพลงบรรเลง...

    ที่บัดนี้  กลับลดลงมาช้าลง ๆ เหลือเพียงแผ่วเบาราวกับจะหยุดหายไปในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง 

    ท่วงทำนองยิ่งหวาน...เศร้า...  เหมือนกำลังสะอื้นไห้  ละห้อยหวน จวนจะขาดใจ...

    ไม่มีผาหินรูปสิงห์หมอบ...

    ไม่มีขนนกสีขาว...


    ราวกับว่า...  มันได้ปลิวหายไปในท้องฟ้าสีน้ำเงินม่วงของคืนจันทร์นั้น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×