คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : ขนนกสีขาวที่ปลิวหายไปในท้องฟ้าสีน้ำเงินม่วง
ขนนกสีขาวที่ปลิวหายไปในท้องฟ้าสีน้ำเงินม่วง
ท้องฟ้าสามสีของยามเย็นนี้ดูเวิ้งว้างกว้างใหญ่
เสียงลมหวีดหวิวฟังเหมือนดนตรีที่มีทำนองแสนเศร้าสร้อย
ฝุ่นทรายเม็ดหยาบปลิวมาปะทะใบหน้าที่พ้นออกจากผ้าคลุมทำให้แสบผิวและระคายเคืองจนผมอดที่จะหลี่ตาลงไม่ได้
ผาหินขนาดใหญ่ตั้งขวางอยู่ข้างหน้า เงาทะมึนของมันตัดกับเส้นขอบฟ้าดูคล้ายราชสีห์หมอบคำรามราวกับรูปปั้นของพระเจ้า
นี่เองหน้าผาหินรูปสิงห์หมอบ
ผมชะลอความเร็วของยานเข้าไปยังใต้ชะง่อนหินที่ยื่นออกมาเหมือนอุ้งเท้าของสิงห์ที่ดูอีกทีก็คล้ายร่มขนาดใหญ่
นี่ก็คงเป็นเพิงพักของนักเดินทางโบราณ ผมดูนาฬิกาเพื่อเทียบเวลาตามที่ดิมสั่งนักสั่งหนา
เขาสมกับเป็นนักสำรวจหนุ่มที่มีอนาคตไกลจริง ๆ คำนวนอะไรแทบไม่เคยพลาดเลย ครั้งนี้ก็เช่นกัน
ใจผมเต้นผิดจังหวะทันทีเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่บนยอดสุดของผาหิน
ตรงที่เป็นหัวของสิงห์มีเงาร่างระหงสีดำในผ้าคลุมสีขาวบางเบาแผ่วพลิ้วในสายลมอยู่เดียวดาย...
คนที่เฝ้าคิดถึงอยู่ตลอดเวลา ด้วยความรู้สึกที่แตกต่างผสมกันจนไม่มีวันเข้าใจได้...
ทั้งสงสัย เป็นห่วง รู้สึกผิด เสียใจ หวาดกลัว แปลกประหลาด น่าทึ่ง เคารพนับถือ และรัก
รักโดยไม่คิดจะแบ่งประเภทว่ารักแบบเพื่อน พี่น้องหรือคนรัก ผมไม่รู้... ผมรักเธอ... คนที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ศรัทธา ความรัก มิตรภาพและความจริงใจ...
ในที่สุดผมก็ได้พบเธออีกครั้ง
ผมจำไม่ได้ว่าผมปีนขึ้นไปได้อย่างไร
จนเธอได้มายืนอยู่ตรงหน้าผมจริง ๆ นัยน์ตาสีแดงเข้มใสกระพริบถี่ ๆ ไล่ละอองน้ำที่แต่งแต้มอยู่บนขนตาประกายสีเงิน
รอยยิ้มอ่อนหวานค่อย ๆ คลี่บานบนดวงหน้าเนียนสีดำสวย
“ท่านมาแล้ว... มาแล้วจริง ๆ”
“...”
เหมือนมีคำพูดนับไม่ถ้วนที่ตลอดการเดินทางผมเฝ้าทบทวนเพื่อมาบอกเธอก่อนจากกัน
แต่ขณะนี้ผมกลับพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว ไม่แต่เท่านั้น ยังทำอะไรไม่ถูกอีกด้วย
“ขอบคุณท่าน”
“ ? “
“ขอบคุณท่านที่มาที่นี่...
หมายถึงที่มายังดวงดาวแห่งนี้ ทำให้ข้ารู้ว่ามีมนุษย์อย่างท่านอยู่...
และหมายถึงที่ท่านมาพบข้าที่นี่...เป็นครั้งสุดท้าย ...ข้าดีใจเหลือเกิน”
“ผมเข้าใจว่าเธอกลับไปยังบ้านของเธอแล้ว ทำไมมีเพียงเธอคนเดียวที่ยังอยู่ที่นี่”
“ความจริง มันสมควรเป็นเช่นนั้น คนอื่น ๆ กลับไปหมดแล้ว
เหลือแต่ข้า...เป็นความต้องการของข้าส่วนตัวของข้าเอง...ที่จะรอพบท่าน... ข้าไม่ได้เป็นซาฟรีรีนาแล้ว... “
“เกิดอะไรขึ้น... ทำไมถึง...” ผมพยายามถาม
ในขณะที่เธอพยายามกลบเกลื่อนพร้อมรอยยิ้มแจ่มใส...
“เมื่อข้าไม่ใช่ซาฟรีรีนา... ตอนนี้ข้าไม่มีแม้แต่คำเรียกหา... จริงสิ ท่านตั้งชื่อให้ข้าได้ไหม”
“ได้แน่นอน... สัญญา...คำแรกที่พบกันอีกครั้งจะเป็นชื่อเธอ”
“พบกันอีกครั้งเหรอ...” รอยยิ้มนั้นจางลงไปวูบหนึ่งแทบไม่สามารถสังเกตุเห็น แต่แล้วกลับเบ่งบานอีกครั้งอย่างงดงาม “สัญญานะ ข้าจะรอ...”
...
“เจ็บมากไหม” ผมค่อย ๆยื่นมือออกไปสัมผัสตรงส่วนหัวไหล่ที่เคยมีแขนติดอยู่อย่างแผ่วเบา
ภายใต้ผ้าคลุมสีขาวบาง ๆ เบาราวปุยนุ่นพาดพันซ้อนกันหลายชั้นนั้นว่างเปล่าจนน่าใจหาย
เพื่อผม... เธอสละได้ถึงเพียงนี้...
“ไม่เจ็บแล้ว”
“ผม... ขอโทษ” ผมอยากร้องไห้ ผมเสียใจ ผมอยากสารภาพ
“ขอโทษทำไม... ข้ายินดี...”
“ผม...” ผมอยากสารภาพว่าผมไม่ได้กิน...
“ข้าต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณ ที่ท่านให้เกียรติข้า
วันนี้...ถึงข้าตายไป แม้ไม่ได้สืบทอดวิญญาณทั้งหมดร่างเพื่อสืบทอดตำแหน่งซาฟรีรีนา...ก็ไม่นับว่าตายเปล่าอย่างที่มาตาโบลาทำนายแล้ว...
นับแต่บัดนี้ไปท่านจะพกพาวิญญาณของข้าไป...
กลับไปยังโลกของท่าน และไม่ว่าจะเป็นที่ใด เวลาใด ข้าจะสถิตอยู่กับท่าน
ข้าจะอยู่ในตัวท่านตลอดไป...ข้าดีใจเหลือเกิน และข้าดีใจที่สุดที่สถิตวิญญาณแห่งข้าเป็นท่าน มนุษย์ผู้มีความรักและความฝัน”
“ผมไม่ได้กิน... เธอยังไม่ได้อยู่ในผมเลย ยังเลย...” ผมตะโกนก้องกังวาลสารภาพความผิดที่ติดค้างคาใจอยู่มาตลอดเวลาและมันจะคงติดไปตลอดชาติ
แต่...
ด้วยรอยยิ้มอ่อนหวานขนาดนั้น ด้วยดวงตาสีแดงใสที่ทอแววแห่งความฝันอย่างนั้น ผมได้แต่กล้ำกลืนคำพูดนั้นลงไปพร้อมกับน้ำลายเหนียว ๆ อย่างฝืดคอ
แล้วนี่ผมจะสารภาพกับเธอได้อย่างไรดี ... !?!
ได้โปรดเถอะ...
อย่ามองผมด้วยสายตาที่สวยงามนั้นเลย
ขอร้องล่ะ มันสร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสในความรู้สึกผม หนักหนากว่าอาการปวดหัวที่เกิดขึ้นเป็นริ้ว ๆ ในตอนนี้เสียอีก
แล้วเธอก็ค่อย ๆ เอื้อมมือข้างเดียวขึ้นมากดผมเบา ๆ ให้โน้มตัวและก้มศีรษะลง
มือข้างที่เหลือลูบคลำตรงกลางกระหม่อมด้านหลังเบา ๆ มือบางนุ่มนิ่มเสยลึกเข้าไปในปอยผมจนถึงหนังศีรษะ
ผมหลับตาลง...ความรู้สึกของผมเหมือนมีมนต์วิเศษของนางฟ้ามาเสกให้ความเจ็บปวดบรรเทา
“ท่านปวดศีรษะ ? ปวดมากใช่ไหม...”
ไม่รู้ว่า...เป็นเพราะผมขมวดคิ้วนิ่วหน้าจนเธอสังเกตุเห็น...
ในตอนนั้นผมไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรทำไมเธอถึงรู้อะไรมากมาย
“เพราะข้าแท้ ๆ ... “
“ก่อนขึ้นยานกลับโลก ท่านต้องหาแพทย์ที่ไว้ใจได้สักคนเป็นการลับ ให้เขาดูแลแก้ไขให้กับท่าน...
อย่าลืม...ว่าทุกอย่างต้องเป็นความลับ...แล้วท่านจะเป็นปรกติเอง”
หรือเธอเห็นอะไร... ที่หัวผมมีอะไร...
ผมกำลังจะถามแต่เธอกลับส่ายหน้าปฎิเสธ แล้วแตะริมฝีปากผมเบา ๆ ไม่ให้ถามอะไร...
อีกแล้วหรือ... เธอรู้อะไร ทำไมเธอบอกไม่ได้...?
เหมือนดิม...
พวกเขาเก็บความลับอะไรไว้ ที่ผมไม่สามารถรู้ได้
เหมือนหมอกับญาติผู้ป่วยที่อาการหนักสาหัสใกล้เสียชีวิตช่วยกันปกปิดความจริงกับญาติผู้ป่วยอย่างไรอย่างนั้น
แต่ที่ประหลาดใจ ทำไมเธอถึงทำท่าราวกับ... ราวกับว่าพยายามกล้ำกลืนความเสียใจเหลือประมาณ
แต่แววตากลับทอประกายของความปลื้มปิติ ยินดีกับบางอย่าง มันเป็นความขัดแย้งที่ผมไม่เข้าใจ
โดยเฉพาะ...เสียงแผ่วเบาที่แทบจะเลือนหายไปกับสายลม
“โอ... ไม่ผิดเลยจริง ๆ ข้ารู้อยู่แล้วว่า ท่านไม่มีทางหักหลังข้า ข้าเชื่อมั่นเช่นนั้นมาตลอด แล้วท่านก็ไม่ทำให้ข้าผิดหวังเลย...
ข้าดีใจที่สุด...ข้าขอแค่พิสูจน์ความจริงอันนี้ให้หายกังวลแล้วข้าก็ไม่ต้องการอะไรอีก ข้าจะได้จากไปอย่างมีความสุข...”
คำพูดทั้งหมดนั่น ผมไม่เข้าใจแม้แต่คำเดียว
แต่ถ้าเธอไม่แม้แต่ยอมให้ถาม ถึงอย่างไรเธอก็คงไม่ยอมเล่าให้ผมฟัง...
เอาเถอะ...แล้วค่อยให้ดิมหาหมอให้สักคนตรวจดูให้นอกโรงพยาบาลทีหลังแล้วกัน...
ดังนั้นผมได้แต่ปัดความรู้สึกสงสัยอยากรู้อยากเห็นทิ้งไป...
เมื่อผมเงยหน้าขึ้นไป ก็ได้พบกับธารน้ำเล็ก ๆ สองสายบนใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้ง
มันสะท้อนกับแสงสุดท้ายบนท้องฟ้าเป็นประกายระยิบระยับอยู่สองข้างแก้มเป็นภาพที่ผมคงไม่มีวันลืม
มือเรียวบางข้างเดียวนั้นหยุดชะงักค้างตรงหน้า มันกลับสวยงามได้รูปอีกครั้งแต่เมื่อมองระยะใกล้มันเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นนับไม่ถ้วน
เหมือนผิวส่วนอื่น ๆ ที่พ้นผ้าสีขาวนั้น โดยเฉพาะบนศีรษะไม่เว้นแม้แต่ใบหน้าที่บัดนี้เหลืองเพียงร่องรอยจาง ๆ...ทำให้ผมรู้สึกสงสารจนบอกไม่ถูก
ผมกลั้นใจดึงเธอเบา ๆ ...ร่างบางในผ้าขาวราวขนนกก็ปลิวลงมาอยู่ในอ้อมแขน
เธอซุกหน้าฝังแนบกับอกผมสงบนิ่งอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน
ราวกับความฝัน...
แต่ร่างกายนุ่มนิ่มอบอุ่นที่ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดอยู่บนตัวผมนั้นเป็นความจริง...
เสียงหายใจแผ่วเบาก็เป็นความจริง...
สัมผัสจังหวะของหัวใจที่เต้นอยู่นั้นยิ่งตอกย้ำว่าเป็นความจริง...
มันเป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถใช้ภาษาอะไรมาบรรยายได้ แต่ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากปกป้องเธอตลอดไป...
เราทั้งสองต่างไม่ได้พูดอะไรอีกเลย ได้แต่นิ่งสงบอยู่อย่างนั้นนานแสนนานราวกับตลอดไป...
ภายใต้บรรยากาศเวิ้งว้างของท้องฟ้าที่เปลี่ยนสีไปเรื่อย ๆ ลำแสงสุดท้ายแคบลง แคบลงจนเกือบจะจางหายไป
สีน้ำเงินไล่สีส้ม ฟ้าและขาวออกไปทีละน้อย ๆ
ผมลืมไปเลยเวลาผ่านไปแค่ไหนแล้ว
ลืมแม้กระทั่งคำสัญญาที่ให้ไว้กับดิมที่ย้ำนักย้ำหนาเกี่ยวกับเรื่องเวลา
ผมลืมแม้กระทั่งว่าต้องกลับไป
ร่างบางในวงแขนต่างหากที่รู้สึกตัวก่อนด้วยอาการสะดุ้งน้อยๆ เธอใช้แขนข้างเดียวดันตัวห่างออกไป
ชั่ววูบนั้น...มันน่าแปลกที่ผมรู้สึกอ้างว้างเดียวดายและเศร้าเสียใจอย่างบอกไม่ถูก
“ท่านต้องไปแล้ว” เธอพูดพร้อมกับหันไปยังทิศที่พระจันทร์กำลังจะขึ้น แสงสีเงินยวงทอประกายอ่อนนุ่มฉายชัดเป็นแถบสีขาวจางๆ อยู่ที่ขอบฟ้า
“ไม่...”
“ท่านต้องไป...สุดท้ายท่านก็ต้องไป... ไปเสียตั้งแต่ตอนนี้...ไปในขณะที่ข้ายังส่งท่านได้จนลับสายตา...ขอให้ข้าได้อยู่บนนี้ใช้สายตาส่งท่านไปได้หรือไม่...”
“แล้วเธอ...”
“...” เธอส่งรอยยิ้มบาง ๆ มา...เท่านั้น
“เธอกลับบ้าน ?”
“...” คราวนี้ไม่ใช่รอยยิ้ม หากเป็นแววตาที่แสนเศร้าสร้อย...
ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่...
มันต้องมีปัญหาอะไรสักอย่าง
มันต้องมีอะไรร้ายแรงแน่ ๆ การที่เธอไม่เป็นซาฟรีรีนามันต้องมีเหตุผลสำคัญยิ่ง...
ผมปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรงเมื่อพยายามคิดมาถึงตรงนี้...
แต่คิดไม่ออกว่าทำไม...
ผมลืมอะไรบางอย่างไปแน่ ๆ
...มันต้องมีอะไรที่สำคัญมาก ๆ และน่าจะเกี่ยวกับผมด้วย...แล้วผมจะทิ้งมันไปได้อย่างไร ผมอยากปกป้องเธอ...
ผมตัดสินในวินาทีนั้น...
“ผมจะไม่กลับโลก...ผมจะอยู่ที่นี่...!!! ”
“ไม่ได้! ท่านต้องไป...ไปเดี๋ยวนี้ด้วย...ไป...ไปสิ!” เธอใช้แขนเพียงข้างเดียวผลักผมออกห่าง สีหน้าร้อนรนสับสนและเจ็บปวด...
“งั้นเราไปด้วยกัน! “ ผมดึงมือข้างนั้นมา นี่ผมพูดจริง ๆ นะ ผมยังไม่ได้คิดว่าต้องทำหรือควรทำอย่างไร เป็นไปได้แค่ไหน แต่ผมรู้ว่าผมจะทำ...
...แต่ว่า... ร่างบอบบางในผ้าสีขาวแผ่วพริ้วบางเบายิ่งกว่าขนนกนั้นกลับตรึงแน่นอยู่กับที่ได้อย่างน่าอัศจรรย์...
มือเรียวบางนุ่มนิ่มอบอุ่นกลับแข็งขืนดึงกลับไปพร้อมกับการส่ายหน้าช้า ๆ
“ข้าไปกับท่านอยู่แล้ว...” บนใบหน้ากลับมีรอยยิ้มอ่อนหวานอีกครั้ง ดูอบอุ่นราวกับแม่ที่กำลังปลอบขวัญลูกน้อย
“อย่าลืมว่า...ข้าได้ฝากวิญญาณส่วนหนึ่งไว้กับท่าน ท่านจะพกพาวิญญาณของข้าไปทุกหนแห่ง
จำไว้...ข้าสถิตอยู่ในตัวท่าน...หากวันใดที่ท่านคิดถึงข้า ของเพียงแค่ท่านมองเงาตัวเอง ได้ย่อมได้เห็นข้า เพราะข้าจะอยู่ในตัวท่านตลอดไป...
แม้ความตายก็ไม่อาจพรากเราจากกัน !”
ผมตัวแข็งค้าง ความตั้งใจทั้งหมดที่มีหลอมละลายและระเหยไปจนหมดสิ้น พร้อม ๆ กับคำสารภาพที่ท่องมาเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง...
ผมเกลียดชังตัวเองเหลือเกิน...
ผมได้แต่หลบสายตาเธออย่างขี้ขลาด...แหงนมองท้องฟ้าที่เปลี่ยนสีไปจนจะกลายเป็นสีน้ำเงินอมม่วงทั่วทั้งผืนแล้ว...
ดวงดาวนับหมื่นนับล้านกระจายตัวกันอยู่ราวกับพระเจ้าโปรยปรายเพชรขนาดต่าง ๆ แต่งแต้มประดับไว้แข่งกันกระพริบระยิบระยับชัดเจนเพราะพระจันทร์ดวงกลมโตยังส่องแสงเงินยวงของเธอมาไม่ถึง
แต่สัญญาณของแสงที่แสนจะงดงามนั้นชัดเจนขึ้นทุกทีที่ขอบฟ้า...
“ลาก่อน...”
เหลือเวลาอีก...30 นาที... นี่ถ้าเขาเชื่อคำพูดของดิม เขาควรเริ่มออกเดินทางเวลานี้
ผมมองเข้าไปในนัยน์ตาสีแดงอีกครั้ง มันทั้งคู่ทอแววของความตั้งใจแน่วแน่ไม่ลังเล...
เธอคงมีเหตุผลของเธอที่ผมควรเคารพในสิทธิแห่งความคิดและการตัดสินใจ
“อืม...ข้าพูดไม่ถูกต้อง...เพราะความจริงเราไม่ได้จากกันไปไหนเลย มันไม่ควรมีคำนี้... ข้าควรพูดว่า ‘ไปกันเถอะ’
! ”
รอยยิ้มคลี่บานบนใบหน้าของเธอได้อย่างสดใสงดงามจนติดตา...
คำพูดเหล่านั้นยิ่งตอกย้ำในความรู้สึกจนผมแทบเป็นบ้า...
เหลือเวลาอีก...25 นาที
หากเขาออกเดินทางกลับไป ณ เวลานี้ เขาจะไม่ต้องรับรู้เหตุการณ์ที่จะฝังตรึงแน่นอยู่ในความทรงจำชั่วชีวิต
ผมกล้ำกลืนความรู้สึกลงไปอย่างยากเย็น...
ผมอาจไม่เจอเธออีกเลยชั่วชีวิต ผมไม่อยากจากไปในขณะที่มีความรู้สึกไม่ดี...
เพราะผมรักเธอ
ผมว่าเธอรู้
ถึงอย่างนั้น ผมก็ควรจะบอกเธอ
ทำก่อนที่จะไม่มีโอกาสทำ
บอกเธอก่อนที่จะไม่มีโอกาสบอก
อย่าให้เป็นความเสียดายที่ไม่อาจหวนกลับคืนเหมือนเรื่องของแขน...
ด้วยความรัก ด้วยความประทับใจ ด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี...ผมค่อย ๆก้มลงประทับริมฝีปากลงไปบนดวงหน้านั้นแผ่วเบา...
บนหน้าผาก...
บนเปลือกตา...
เรื่อยมาที่จมูก...
และมาหยุดที่ริมฝีปากได้รูป...
เหลือเวลาอีก...20 นาที
เขาไม่สนใจสัญญานั้นเลย...
เพื่อความรักแล้ว... เขาลืมเวลา ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ลืมแม้แต่ตัวเอง...
แม้ว่ามันจะเป็นความรักที่ไม่มีวันเป็นไปได้
เธอตอบผม...
...รักเช่นกัน...
เพียงแค่นั้นสำหรับผมแล้วมันสูงค่ากว่าอะไรทั้งหมด
...ผมอยากจะบอกเธอว่า แม้ผมไม่ได้กินแขนเธอ
...แต่ผมจะพกพาเธอไปทุกหนแห่ง เพราะเธอจะอยู่ในใจผมตลอดไป...
เหลือเวลาอีก...15 นาที
ตอนนั้น...ซาฟรีรีนาดูเหมือนจะหวนนึกถึงเรื่องเวลาขึ้นมาได้
ด้วยสีหน้าตกใจร้อนรน เธอหันไปทิศที่พระจันทร์ขึ้น...ประสานมือราวกับจะภาวนาให้เวลาหยุดเดิน...
“ข้าขอส่งท่านด้วยสายตาจากที่นี่... ได้โปรดรีบไป...รีบไป จำไว้ สัญญากับข้า...ไม่ว่าจะได้ยินหรือสังเกตุเห็นสิ่งใด... อย่าหันกลับมา...ได้โปรดอย่าหันกลับมา ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าหันกลับมา”
เหลือเวลาอีก...10 นาที
“และ...คำแรกที่พบกันอีกครั้งหน้าจะเป็นชื่อของข้า ...สัญญานะ...”
“สัญญา !”
.
.
.
.
.
เหลือเวลาอีก...5 นาที
ผมพาร่างกายที่เบาหวิวไร้วิญญาณจากลงมาเงียบ ๆ
ลมอุ่น ๆ ของทะเลทรายยามเย็นโชยผ่านหน้าไป ยานลำเดิมที่ผมใช้มาเคลื่อนตัวออกช้า ๆ ด้วยความเร็วคงที่
ผมแทบไม่รู้สึกตัวเลยว่ากำลังทำอะไรอยู่ และจะทำอะไรต่อไป ผมลืมแม้แต่สั่งปิดฝาครอบยาน แต่กลับเปิดเครื่องเสียงโดยไม่ได้ตั้งใจ...
ดนตรีบรรเลงแผ่วเบา หวาน...เศร้า... ท่วงทำนองนั้นช่างโศกซึ้ง...
เหลือเวลาอีก...3 นาที
เบื้องหน้าของผมคือท้องฟ้าสีน้ำเงินอมม่วงที่หมู่ดาวนับล้าน ๆ ดวงเริ่มอ่อนแสงลง
ด้วยเพราะดวงจันทร์ขนาดใหญ่กว่าบนโลกมากมาย ค่อย ๆ เคลื่อนสูงขึ้น ๆ อย่างช้า ๆ สง่างามและนุ่มนวล
เรืองรัศมีสีเงินยวงสว่างขึ้นทุกที ๆ สาดแสงส่องหน้าผาที่ผมจากลงมาให้เห็นอย่างเด่นชัดจากกระจกมองหลัง...
หน้าผาหินรูปสิงห์หมอบในแสงสีเงินสกาวสูงสง่าอยู่เบื้องหลังห่างออกไปทีละน้อย ๆ
ขนนกสีขาวที่ประดับอยู่บนยอดสุด พลิ้วไหวราวกับจะล่องลอยออกไปในความอ้างว้างกว้างใหญ่
จากกระจกมองหลังภายในยานที่แม้ห่างออกไปทุกที ผมยังคงเฝ้ามองเธออยู่ตลอดเวลา...
ผมอยากเห็นเธออย่างนั้นไปจนลับตา ผมรู้ว่าเธอก็เฝ้ามองผมจากตรงนั้นเช่นกัน
เหลือเวลาอีก...2 นาที
เสียงเพลงละโหยไห้...บรรเลงในบันไดเสียงสูง กรีดลึกเข้าไปในความรู้สึก
ดวงจันทร์ลอยสูงขึ้นจนเกือบเต็มดวงแล้ว...
แสงนวลสีเงินยวงสาดส่องไปทั่วผืนดินอันแห้งแล้งกันดาร เต็มไปด้วยหินน้อยใหญ่ที่ดูโหดร้ายในตอนกลางวัน
บัดนี้กลับดูงดงามยิ่งไม่ผิดกับพิพิธภัณฑ์แสดงงานประติมากรรมที่ให้แสงเงาอย่างตั้งใจ
ยานลำนี้ยังพาผมแล่นช้า ๆ ต่อไป
เหลือเวลาอีก...1 นาที
ขนนกสีขาวเล็กลง
เหลือเวลาอีก...45 วินาที
...เล็กลง
เหลือเวลาอีก...30 วินาที
...เล็กลง...
เหลือเวลาอีก...15 วินาที
ใช่แล้ว...
สำหรับผม เธอเป็นสีขาวบริสุทธิ์ บางเบาและอ่อนนุ่มราวขนนกในตำนานแห่งสันติภาพ
เหลือเวลาอีก...10 วินาที
ดวงจันทร์ใหญ่ขึ้น ๆ ลอยหลุดพ้นเส้นขอบฟ้าจนเต็มดวงอยู่เบื้องหน้าผมใกล้ ๆ นี้เอง...
เหลือเวลาอีก...5 วินาที
ลาก่อน... เสียงเพลงบรรเลงไต่บันไดเสียงสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ
เหลือเวลาอีก...4 วินาที
หวังว่า...สักวัน... มันดังขึ้น ๆ
เหลือเวลาอีก...3 วินาที
ผมคงจะได้พบเธอ ในท่วงทำนองเร็วขึ้น ๆ
เหลือเวลาอีก...2 วินาที
และเรียกเธอว่า... จนกรีดเสียงแหลมสูงกังวานยาว...
เหลือเวลาอีก...1 วินาที
เอเกรธา ...ขนนกสีขาว
บอมม์ !!!
เสียงระเบิดกึกก้องกัมปนาทกลบเสียงบรรเลงนั้นไปจนหมดสิ้น !
แรงสั่นสะเทือนเขย่าพื้นดินโดยรอบแผ่รัศมีกินบริเวณกว้างจนเหมือนมีแผ่นดินไหวรุนแรงกระแสลมเปลี่ยนทิศอย่างรวดเร็ว
กระชากเศษหินดินทรายปลิวว่อนเป็นพายุฝุ่นขนาดยักษ์ถาโถมมาจากด้านหลัง
ผมเหยียบเบรกอย่างแรง
จ้องกระจกมองหลังบานนั้นค้างอย่างไม่เชื่อสายตา
ตะลึงงันไปกับภาพที่เห็นเมื่อพายุฝุ่นนั้นผ่านไป
ตรงหัวสิงห์ที่เคยมีขนนกสีขาวกลับกลายเป็นลูกไฟดวงมหึมาพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ทั้งควัน หมอกและเปลวเพลิงบดบังทุกอย่างไปหมดสิ้น
แสงจากระเบิดฉาบไล้ไปทั่วผืนฟ้าเบื้องหลังจนกลายเป็นสีส้มแดงสว่างราวกับกลางวัน ตัดกันอย่างรุนแรงกับแสงอ่อนโยนของดวงจันทร์เบื้องหน้า
ดูไปช่างสวยงามตระการตา ราวกับฉากจบของมหาอุปรากรอันยิ่งใหญ่
.
.
.
เสียง... แสง... และแรงสั่นสะเทือนต่าง ๆ ค่อย ๆ จางหายไป...
สิ่งที่หลงเหลือเบื้องหลัง คือความว่างเปล่า...
กับเสียงเพลงบรรเลง...
ที่บัดนี้ กลับลดลงมาช้าลง ๆ เหลือเพียงแผ่วเบาราวกับจะหยุดหายไปในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง
ท่วงทำนองยิ่งหวาน...เศร้า... เหมือนกำลังสะอื้นไห้ ละห้อยหวน จวนจะขาดใจ...
ไม่มีผาหินรูปสิงห์หมอบ...
ไม่มีขนนกสีขาว...
ราวกับว่า... มันได้ปลิวหายไปในท้องฟ้าสีน้ำเงินม่วงของคืนจันทร์นั้น
ความคิดเห็น