ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ซาฟรีรีนา

    ลำดับตอนที่ #11 : ตัดใจ

    • อัปเดตล่าสุด 6 ก.พ. 49


    ตัดใจ

    แรงสั่นสะเทือนและการเคลื่อนที่ทำใหอัลทรอยรู้สึกตัวขึ้นอย่างงงวย 

    สติสัมปชัญญะที่ขาดหายไปในช่วงเวลายาวนานถูกเรียกคืนมาอีกครั้ง

    “อ้าว... รู้สึกตัวแล้วเหรอเป็นงัยบ้าง”

    ใบหน้าอันคุ้นเคยของเพื่อนรักก้มลงมาดูเขาด้วยสายตาห่วงใย

    “ดิม !”  เขาตะโกนลั่นด้วยความดีใจ 

    แต่เท่าที่ได้ยินเป็นเพียงเสียงแหบพร่าในลำคอของเขาเองจนฟังไม่เป็นภาษา 

    เขาพยายามลุกขึ้นอย่างยากเย็นตามสัญชาตญาณ 

    แต่ถูกเพื่อนรักกดลงไปนอนท่าเดิมอย่างแผ่วเบา

    “แกอย่าขยับเขยื้อนตัวมากนักนะ  ถึงเรากำลังอยู่ในแคปซูลนิรภัย 

    แต่มันไม่ได้นิรภัยสมชื่อนะโว้ยก็ไอ้เคเบิ้ลที่ดึงเราอยู่นี่มันมีรอยต่อตั้งเกือบสามสี่สิบเงื่อน 

    ซึ่งก็ไม่ปลอดภัยเท่าที่ควร เขากำลังช่วยกันดึงเราขึ้นไปอยู่ 

    ยังไม่ถึงครึ่งทางเลยมั๊ง  อย่างว่าดึงเร็วพรวดเดียวถึงไม่ได้  ลึกขนาดนี้   

    แกตกลงไปอีท่าไหนวะ  ไม่ยักตาย...?”  น้ำเสียงมีแววชื่นชมมากกว่าจะเป็นคำถามหาเอาคำตอบ

    “พวกเรายังไม่แน่ใจเลยว่าจะลงมารับแกได้  ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าแกยังมีชีวิตอยู่ 

    หรือไม่มีแกอยู่เลยบางคนก็คิดว่าอาจเป็นเรื่องต้มตุ๋นกันก็ได้ มีแต่ฉันว่าจริง  เลยอาสาเสี่ยงตายลงมานี่ไง

    เออนี่  ยังเจ็บอยู่รึเปล่าวะ ?”

    “...” 

    ถามมาได้  เขารู้สึกปวดไปหมดเหมือนร่างกายจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ

    ขี้เกียจบรรยาย  แม้แต่แรงพยักหน้าสักนิดก็ยังไม่มี

    “ฉันให้แกกินกลูโคสแคปซูล  สารอาหารเร่งให้พลังงานไปแล้ว  ยังงัยซะแกก็ต้องรู้สึกดีกว่านอนอดโซอยู่ในร่องหลุมนรกนี่ล่ะวะ” 

    ดิมตบไหล่อัลทรอยหนัก ๆ สองสามทีแล้วหัวเราะเมื่อเห็นเขาทำหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด 

    อัลทรอยรู้สึกว่าเขาขาดของไปสิ่งหนึ่ง  ... 

    ใช่แล้ว...ซาฟรีรีนา...

    เขาพยายามคลำหาบางสิ่งบางอย่างที่เขากอดไว้แนบอกตลอดเวลาที่อยู่ระหว่างความเป็นความตาย  ที่เขาแน่ใจว่าไม่ได้เป็นความฝัน   

    ทว่าคลำหาเท่าไรก็ไม่มี  ดิมดูเหมือนจะรับรู้ได้ว่าเขากำลังค้นหาอะไร  เขามองอัลทรอยด้วยสายตาประหลาด 

    เหมือนมีความลับอะไรบางอย่างซ่อนอยู่  อยากจะบอก  แต่ไม่สามารถ 

    มันคืออะไร

    “แกเห็นมันไหม”  ถึงแม้จะเจ็บจนคอเป็นผุยผง  แต่เขาพยายามเปล่งเสียง

    “ไอ้ที่แกอุ้มไว้น่ะเหรอ...  อยู่เนี่ยงัย  ...จะเน่าแล้ว  แต่ไม่กล้าทิ้งของแก” 

    ดิมใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งคีบวัตถุสีดำมาจากถุงด้านหลังอย่างรังเกียจ 

    “อย่านะ  อย่าทิ้ง  เอามาให้ฉัน”  มันมีกลิ่นคาวเลือดอับ ๆ และอะไรที่คล้ายอาหารบูดชวนคลื่นเหียนจริง ๆ แต่เขาก็ยังรับมากอดไว้ย่างหวงแหน

    “ซาฟรีรีนา... ตัวเธอล่ะ” ถามแล้วได้แต่กลั้นลมหายใจรอคำตอบ

    “ใครวะ?”

    “ซาฟรีรีนา...  ผู้หญิง...คองกา  สีดำ... ไม่มีเส้นผม...”

    “เจ้าของไอ้นี่ใช่มั๊ย” 

    “แกเจอเขาแล้ว !!”

    “อ้อ... เจอ...เอ้อ...เธอ....” อัลทรอยมองหน้าที่บอกความหมายหดหู่ของเพื่อนเขาแล้วยังเดาไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น  ได้แต่นิ่งรอคำตอบ 

    แรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงหยุดการสนทนาโดยฉับพลัน

    แล้วเหมือนมีมือยักษ์ของใครมาผลักพวกเขาให้ล้มคว่ำลง  แคปซูลที่นั่งอยู่เอียงไปด้านหนึ่งจนเกือบคว่ำ

    “ระวัง! ทรอย  สงสัยว่าจะมีเคเบิ้ลเส้นหนึ่งจะขาด  หรือรอยเงื่อนจะหลุด”

    ทุกอย่างสงบลงชั่วคราว  ไม่มีการเสียงหรือเคลื่อนไหวใด ๆ เลย 

    มีเพียงเสียงเต้นผิดจังหวะของหัวใจชายหนุ่มสองคนที่กำลังตึงเครียดจนแทบคลั่ง

    จนมีเสียงสัญญาณแหลมสูงดังมาจากเบื้องบน  มันเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน  รวดเร็วจนไม่รู้อะไรเป็นอะไร

    วัตถุขนาดเล็กสีดำวิ่งพุ่งสวนลงมาความเร็วสูงขึ้นเรื่อย ๆ เท่ากับความเร่งจากแรงโน้มถ่วงของดวงดาว 

    แคปซูลที่ห่อหุ้มสองชีวิตอยู่กลางอากาศ  สั่นสะเทือนโดยแรงและพร้อมกับดิ่งลงไปอย่างน่าหวาดเสียว 

    เสียงระเบิดของอาวุธรัวเป็นชุดดังก้องแทรกเสียงสัญญาณแหลมสูงที่ถี่กระชั้นขึ้นเรื่อย ๆ

    แคปซุลเล็กนั้นก็พลิกคว่ำกลางอากาศแล้วหยุดกึกชั่วขณะ  ก่อนที่จะถูกกระชากขึ้นไปในลักษณะกลับหัวโดยแรง

    แล้วด้านหนึ่งของมันก็ปริแตกออก... 

    มันเป็นด้านที่อัลทรอยวางน้ำหนักตัวอยู่พอดี  ร่างทั้งร่างถูกดูดออกไปดิ่งลงตามแรงโน้มถ่วงอย่างรวดเร็ว

    เขาหลับตา  รอความตาย 

    ไม่รอดแน่... ร่างกายที่บอบช้ำมามากแล้ว  คงรับไม่ได้สำหรับการกระแทรกอย่างรุนแรงอีกเป็นครั้งที่สอง 

    ในสภาพไร้น้ำหนักเพียงชั่วครู่  เขารู้สึกตึงวูบที่ต้นคอแล้วเขาก็ลอยขึ้นไปในทิศตรงกันข้าม

    ดิมโหนตัวลงมาดึงเสื้อของเขาเอาไว้ได้ !

    “ทรอย จับไว้” เขาตะโกนก้อง

    “จับไว้เร็วเข้า  ถ้าเสื้อแกขาด  ก็จบกัน!”

    เปล่า...เขายังคงกอดมันไว้อย่างหวงแหน  แล้วไม่มีทีท่าจะยอมปล่อย  ดิมตะโกนลั่นด้วยหางเสียงสั่นระรัว 

    “เราถูกดึงขึ้นไปด้วยความเร็วสูงมาก  ฉันลื่นมือจวนจะหลุดแล้วนะ”ขาดคำเขาก็หลุดมือจากคอเสื้อของอัลทรอยจริง ๆ

    ความปวดแปลบแล่นไปทั่วอย่างที่ชีวิตนี้ไม่เคยประสบพบเจอ

    เหมือนเนื้อหนังมังสาถูกดึงรวบเข้าไปกระจุกไว้บนศีรษะ  ปวดร้าวเหมือนหนังหัวจะหลุดออกจากกระโหลก !!!

    ดิมถืมผมบนหัวของอัลทรอยเป็นเชือกเส้นสุดท้ายที่จะช่วยชีวิตเพื่อนรักของเขา!

    “ทรอย  แกอย่าบ้านะ  ทิ้งแขนนั่นซะ ฉันยังไม่อยากถลกหนังหัวแก  ... 

    ถ้าผมกระจุกนี้ขาดเมื่อไหร่ละก็....  ถ้าฉันเดาไม่ผิด  ทั้งไอ้ลูกสีดำที่สวนทางกับเราเมื่อกี้นี้แล้วก็ความหมายของสัญญาณนั่น 

    มันคือระเบิด  ได้ยินไหม” ดิมตะโกนแข่งกับสัยงหวีดหวิวของสายลมที่เกิดจากการแหวกอากาศในทิศสวนทางกับการเคลื่อนที่ของพวกเขา

    “มันคงใกล้ระเบิดเต็มทีแล้ว  พวกเขาถึงดึงเราขึ้นเร็วแบบนี้” ดิมตะโกนปบหอบอย่างร้อนรน

    “เชื่อเถอะ  ทรอย  ทิ้งมันซะ“

    “แต่ว่า...  เจ้าของมันล่ะ?”

    แม้ว่าความรู้สึกเจ็บปวดจนใบหน้าบิดเบี้ยวเป็นรูป 

    เลือดสด ๆ เริ่มไหลลงมาจากรูขุมขนบนหนังศีรษะเป็นเส้นสายสีแดงสดเปรอะตามใบหน้าซีดขาว 

    แต่เขายังพยายามถามถึงสิ่งที่ยังติดค้างคาใจ  โดยไม่คิดห่วงชีวิตอีกต่อไป

    “เขายังมีชีวิตอยู่  เขาอยู่ข้างบนนั่น  แกต้องมีชีวิตรอดนะ”

    จนแล้วจนรอด 

    อัลทรอยยอมปล่อยมือข้างหนึ่งเพื่อมาจับแขนของดิมไว้ 

    ในขณะที่อีกมือหนึ่ง  ยังโอบรอบแขนสีดำไว้แน่น

    แสงจากฟากฟ้าเบื้องบนสว่างขึ้นทุกขณะ  บ่งบอกว่ามันใกล้จะถึงจุดหมายปลายทางขึ้นทุกที ๆ

    แต่ทว่า  มือข้างหนึ่งที่เกาะเกี่ยวกับมืออีกข้างหนึ่งกำลังจะหลุดออกจากกัน...

    ร่างที่ห้อยค้างอยู่กลางอากาศเคลื่อนที่ขึ้นช้ากว่ามวลแคปซูลทั้งหมดมากขึ้นทุกที ๆ

    “ทรอย  ...  เธอรอแกอยู่ข้างบน  เชื่อฉัน  ปล่อยมือนั่นซะ  แล้วฉันจะทำให้แกได้พบเธอ  ฉันสัญญา”  ...

    ในที่สุด   แขนสีดำข้างนั้น  ก็ได้หลุดลอยลงไปเบื้องล่างอย่างไม่มีวันได้สัมผัสแสงตะวันอีกเลย 

    เนื่องด้วยเมื่อดิมและอัลทรอยถูกช่วยออกมาจากแคปซูลแล้ว 

    หลังจากนั้น  หน่วยกู้ภัยพร้อมทหารคุ้มกันนับร้อยพากันเคลื่อนย้ายออกจากรอยร้าวของดวงดาวอย่างรวดเร็วที่สุด 

    ราวกับคำนวนมาอย่างดี  ทันทีที่พ้นรัศมีแรงระเบิดที่จะก่อให้เกิดอันตรายได้แล้ว

    เสียงระเบิดก็ดังกึกก้องกัมปนาท  กระแทรกพื้นดินยุบตัวลงเป็นบริเวณกว้าง 

    เศษหินดินทรายปลิวว่อนจนลืมหูลืมตาไม่ขึ้น    ทั้งหมดหมอบลงจนติดพื้น 

    นานแสนนานกว่าทุกอย่างจะสงบลง  มันเงียบราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตเหลืออยู่อีก... 




    เขาสลบไปเมื่อไรไม่รู้  มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อได้ยินเสียงดิมพูดที่ข้างหู

    “ทรอย  แกยังไม่ตายใช่ไหม... ทรอย”  เขาถูกเขย่าเบา ๆ

    “อืม”

    “ลุกไหวไหมวะ”

    เขาถูกฉีดยาและปฐมพยาบาลจนจนร่างกายพอมีแรงลุกขึ้นอีกครั้ง 

    สิ่งแรกที่เปลี่ยนไป 

    ...ที่ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งในรอยร้าวของดวงดาวซึ่งเขาตกลงไปกลับกลายเป็นหุบเหวกล้าวใหญ่  เวิ้งว้าง  ...

    สิ่งเดียวที่ยังคงอยู่คือความลึกจนสุดสายตา...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×