คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : ตัดใจ
ตัดใจ
แรงสั่นสะเทือนและการเคลื่อนที่ทำใหอัลทรอยรู้สึกตัวขึ้นอย่างงงวย
สติสัมปชัญญะที่ขาดหายไปในช่วงเวลายาวนานถูกเรียกคืนมาอีกครั้ง
“อ้าว... รู้สึกตัวแล้วเหรอเป็นงัยบ้าง”
ใบหน้าอันคุ้นเคยของเพื่อนรักก้มลงมาดูเขาด้วยสายตาห่วงใย
“ดิม !” เขาตะโกนลั่นด้วยความดีใจ
แต่เท่าที่ได้ยินเป็นเพียงเสียงแหบพร่าในลำคอของเขาเองจนฟังไม่เป็นภาษา
เขาพยายามลุกขึ้นอย่างยากเย็นตามสัญชาตญาณ
แต่ถูกเพื่อนรักกดลงไปนอนท่าเดิมอย่างแผ่วเบา
“แกอย่าขยับเขยื้อนตัวมากนักนะ ถึงเรากำลังอยู่ในแคปซูลนิรภัย
แต่มันไม่ได้นิรภัยสมชื่อนะโว้ยก็ไอ้เคเบิ้ลที่ดึงเราอยู่นี่มันมีรอยต่อตั้งเกือบสามสี่สิบเงื่อน
ซึ่งก็ไม่ปลอดภัยเท่าที่ควร เขากำลังช่วยกันดึงเราขึ้นไปอยู่
ยังไม่ถึงครึ่งทางเลยมั๊ง อย่างว่าดึงเร็วพรวดเดียวถึงไม่ได้ ลึกขนาดนี้
แกตกลงไปอีท่าไหนวะ ไม่ยักตาย...?” น้ำเสียงมีแววชื่นชมมากกว่าจะเป็นคำถามหาเอาคำตอบ
“พวกเรายังไม่แน่ใจเลยว่าจะลงมารับแกได้ ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าแกยังมีชีวิตอยู่
หรือไม่มีแกอยู่เลยบางคนก็คิดว่าอาจเป็นเรื่องต้มตุ๋นกันก็ได้ มีแต่ฉันว่าจริง เลยอาสาเสี่ยงตายลงมานี่ไง
เออนี่ ยังเจ็บอยู่รึเปล่าวะ ?”
“...”
ถามมาได้ เขารู้สึกปวดไปหมดเหมือนร่างกายจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
ขี้เกียจบรรยาย แม้แต่แรงพยักหน้าสักนิดก็ยังไม่มี
“ฉันให้แกกินกลูโคสแคปซูล สารอาหารเร่งให้พลังงานไปแล้ว ยังงัยซะแกก็ต้องรู้สึกดีกว่านอนอดโซอยู่ในร่องหลุมนรกนี่ล่ะวะ”
ดิมตบไหล่อัลทรอยหนัก ๆ สองสามทีแล้วหัวเราะเมื่อเห็นเขาทำหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด
อัลทรอยรู้สึกว่าเขาขาดของไปสิ่งหนึ่ง ...
ใช่แล้ว...ซาฟรีรีนา...
เขาพยายามคลำหาบางสิ่งบางอย่างที่เขากอดไว้แนบอกตลอดเวลาที่อยู่ระหว่างความเป็นความตาย ที่เขาแน่ใจว่าไม่ได้เป็นความฝัน
ทว่าคลำหาเท่าไรก็ไม่มี ดิมดูเหมือนจะรับรู้ได้ว่าเขากำลังค้นหาอะไร เขามองอัลทรอยด้วยสายตาประหลาด
เหมือนมีความลับอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ อยากจะบอก แต่ไม่สามารถ
มันคืออะไร
“แกเห็นมันไหม” ถึงแม้จะเจ็บจนคอเป็นผุยผง แต่เขาพยายามเปล่งเสียง
“ไอ้ที่แกอุ้มไว้น่ะเหรอ... อยู่เนี่ยงัย ...จะเน่าแล้ว แต่ไม่กล้าทิ้งของแก”
ดิมใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งคีบวัตถุสีดำมาจากถุงด้านหลังอย่างรังเกียจ
“อย่านะ อย่าทิ้ง เอามาให้ฉัน” มันมีกลิ่นคาวเลือดอับ ๆ และอะไรที่คล้ายอาหารบูดชวนคลื่นเหียนจริง ๆ แต่เขาก็ยังรับมากอดไว้ย่างหวงแหน
“ซาฟรีรีนา... ตัวเธอล่ะ” ถามแล้วได้แต่กลั้นลมหายใจรอคำตอบ
“ใครวะ?”
“ซาฟรีรีนา... ผู้หญิง...คองกา สีดำ... ไม่มีเส้นผม...”
“เจ้าของไอ้นี่ใช่มั๊ย”
“แกเจอเขาแล้ว !!”
“อ้อ... เจอ...เอ้อ...เธอ....” อัลทรอยมองหน้าที่บอกความหมายหดหู่ของเพื่อนเขาแล้วยังเดาไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น ได้แต่นิ่งรอคำตอบ
แรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงหยุดการสนทนาโดยฉับพลัน
แล้วเหมือนมีมือยักษ์ของใครมาผลักพวกเขาให้ล้มคว่ำลง แคปซูลที่นั่งอยู่เอียงไปด้านหนึ่งจนเกือบคว่ำ
“ระวัง! ทรอย สงสัยว่าจะมีเคเบิ้ลเส้นหนึ่งจะขาด หรือรอยเงื่อนจะหลุด”
ทุกอย่างสงบลงชั่วคราว ไม่มีการเสียงหรือเคลื่อนไหวใด ๆ เลย
มีเพียงเสียงเต้นผิดจังหวะของหัวใจชายหนุ่มสองคนที่กำลังตึงเครียดจนแทบคลั่ง
จนมีเสียงสัญญาณแหลมสูงดังมาจากเบื้องบน มันเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน รวดเร็วจนไม่รู้อะไรเป็นอะไร
วัตถุขนาดเล็กสีดำวิ่งพุ่งสวนลงมาความเร็วสูงขึ้นเรื่อย ๆ เท่ากับความเร่งจากแรงโน้มถ่วงของดวงดาว
แคปซูลที่ห่อหุ้มสองชีวิตอยู่กลางอากาศ สั่นสะเทือนโดยแรงและพร้อมกับดิ่งลงไปอย่างน่าหวาดเสียว
เสียงระเบิดของอาวุธรัวเป็นชุดดังก้องแทรกเสียงสัญญาณแหลมสูงที่ถี่กระชั้นขึ้นเรื่อย ๆ
แคปซุลเล็กนั้นก็พลิกคว่ำกลางอากาศแล้วหยุดกึกชั่วขณะ ก่อนที่จะถูกกระชากขึ้นไปในลักษณะกลับหัวโดยแรง
แล้วด้านหนึ่งของมันก็ปริแตกออก...
มันเป็นด้านที่อัลทรอยวางน้ำหนักตัวอยู่พอดี ร่างทั้งร่างถูกดูดออกไปดิ่งลงตามแรงโน้มถ่วงอย่างรวดเร็ว
เขาหลับตา รอความตาย
ไม่รอดแน่... ร่างกายที่บอบช้ำมามากแล้ว คงรับไม่ได้สำหรับการกระแทรกอย่างรุนแรงอีกเป็นครั้งที่สอง
ในสภาพไร้น้ำหนักเพียงชั่วครู่ เขารู้สึกตึงวูบที่ต้นคอแล้วเขาก็ลอยขึ้นไปในทิศตรงกันข้าม
ดิมโหนตัวลงมาดึงเสื้อของเขาเอาไว้ได้ !
“ทรอย จับไว้” เขาตะโกนก้อง
“จับไว้เร็วเข้า ถ้าเสื้อแกขาด ก็จบกัน!”
เปล่า...เขายังคงกอดมันไว้อย่างหวงแหน แล้วไม่มีทีท่าจะยอมปล่อย ดิมตะโกนลั่นด้วยหางเสียงสั่นระรัว
“เราถูกดึงขึ้นไปด้วยความเร็วสูงมาก ฉันลื่นมือจวนจะหลุดแล้วนะ”ขาดคำเขาก็หลุดมือจากคอเสื้อของอัลทรอยจริง ๆ
ความปวดแปลบแล่นไปทั่วอย่างที่ชีวิตนี้ไม่เคยประสบพบเจอ
เหมือนเนื้อหนังมังสาถูกดึงรวบเข้าไปกระจุกไว้บนศีรษะ ปวดร้าวเหมือนหนังหัวจะหลุดออกจากกระโหลก !!!
ดิมถืมผมบนหัวของอัลทรอยเป็นเชือกเส้นสุดท้ายที่จะช่วยชีวิตเพื่อนรักของเขา!
“ทรอย แกอย่าบ้านะ ทิ้งแขนนั่นซะ ฉันยังไม่อยากถลกหนังหัวแก ...
ถ้าผมกระจุกนี้ขาดเมื่อไหร่ละก็.... ถ้าฉันเดาไม่ผิด ทั้งไอ้ลูกสีดำที่สวนทางกับเราเมื่อกี้นี้แล้วก็ความหมายของสัญญาณนั่น
มันคือระเบิด ได้ยินไหม” ดิมตะโกนแข่งกับสัยงหวีดหวิวของสายลมที่เกิดจากการแหวกอากาศในทิศสวนทางกับการเคลื่อนที่ของพวกเขา
“มันคงใกล้ระเบิดเต็มทีแล้ว พวกเขาถึงดึงเราขึ้นเร็วแบบนี้” ดิมตะโกนปบหอบอย่างร้อนรน
“เชื่อเถอะ ทรอย ทิ้งมันซะ“
“แต่ว่า... เจ้าของมันล่ะ?”
แม้ว่าความรู้สึกเจ็บปวดจนใบหน้าบิดเบี้ยวเป็นรูป
เลือดสด ๆ เริ่มไหลลงมาจากรูขุมขนบนหนังศีรษะเป็นเส้นสายสีแดงสดเปรอะตามใบหน้าซีดขาว
แต่เขายังพยายามถามถึงสิ่งที่ยังติดค้างคาใจ โดยไม่คิดห่วงชีวิตอีกต่อไป
“เขายังมีชีวิตอยู่ เขาอยู่ข้างบนนั่น แกต้องมีชีวิตรอดนะ”
จนแล้วจนรอด
อัลทรอยยอมปล่อยมือข้างหนึ่งเพื่อมาจับแขนของดิมไว้
ในขณะที่อีกมือหนึ่ง ยังโอบรอบแขนสีดำไว้แน่น
แสงจากฟากฟ้าเบื้องบนสว่างขึ้นทุกขณะ บ่งบอกว่ามันใกล้จะถึงจุดหมายปลายทางขึ้นทุกที ๆ
แต่ทว่า มือข้างหนึ่งที่เกาะเกี่ยวกับมืออีกข้างหนึ่งกำลังจะหลุดออกจากกัน...
ร่างที่ห้อยค้างอยู่กลางอากาศเคลื่อนที่ขึ้นช้ากว่ามวลแคปซูลทั้งหมดมากขึ้นทุกที ๆ
“ทรอย ... เธอรอแกอยู่ข้างบน เชื่อฉัน ปล่อยมือนั่นซะ แล้วฉันจะทำให้แกได้พบเธอ ฉันสัญญา” ...
ในที่สุด แขนสีดำข้างนั้น ก็ได้หลุดลอยลงไปเบื้องล่างอย่างไม่มีวันได้สัมผัสแสงตะวันอีกเลย
เนื่องด้วยเมื่อดิมและอัลทรอยถูกช่วยออกมาจากแคปซูลแล้ว
หลังจากนั้น หน่วยกู้ภัยพร้อมทหารคุ้มกันนับร้อยพากันเคลื่อนย้ายออกจากรอยร้าวของดวงดาวอย่างรวดเร็วที่สุด
ราวกับคำนวนมาอย่างดี ทันทีที่พ้นรัศมีแรงระเบิดที่จะก่อให้เกิดอันตรายได้แล้ว
เสียงระเบิดก็ดังกึกก้องกัมปนาท กระแทรกพื้นดินยุบตัวลงเป็นบริเวณกว้าง
เศษหินดินทรายปลิวว่อนจนลืมหูลืมตาไม่ขึ้น ทั้งหมดหมอบลงจนติดพื้น
นานแสนนานกว่าทุกอย่างจะสงบลง มันเงียบราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตเหลืออยู่อีก...
เขาสลบไปเมื่อไรไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อได้ยินเสียงดิมพูดที่ข้างหู
“ทรอย แกยังไม่ตายใช่ไหม... ทรอย” เขาถูกเขย่าเบา ๆ
“อืม”
“ลุกไหวไหมวะ”
เขาถูกฉีดยาและปฐมพยาบาลจนจนร่างกายพอมีแรงลุกขึ้นอีกครั้ง
สิ่งแรกที่เปลี่ยนไป
...ที่ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งในรอยร้าวของดวงดาวซึ่งเขาตกลงไปกลับกลายเป็นหุบเหวกล้าวใหญ่ เวิ้งว้าง ...
สิ่งเดียวที่ยังคงอยู่คือความลึกจนสุดสายตา...
ความคิดเห็น