คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ความมืด... ความเงียบ... ความหิว... ความกลัว...
ความมืด... ความเงียบ... ความหิว... ความกลัว...
มันมาอีกแล้ว
เสียงแปลกประหลาดนั้นดังขึ้นในความมืด เบาแสนเบา หากกังวาลเสียงแทงขึ้นในความสงัดอย่างน่าสะพึงกลัว
เงียบ..มันเงียบหายไป
แล้วก็กลับมาอีกครั้ง
โครกคราก เหมือนการเคลื่อนที่ของของเหลวบางอย่าง ใกล้ ๆ กับผมนี่เอง
ไม่ใช่ มันดังออกมาจากตัวผมต่างหาก !
พร้อม ๆ กันนั้น ผมก็รู้สึกเสียวปลาบที่ช่องท้อง มันเป็นสัญญาณเริ่มต้นก่อนที่จะปวดแสบจนผมต้องงอตัวลง
มันไม่มีปีศาจหรือสัตว์ประหลาดตัวไหนสิงอยู่ในร่างผม แล้วคอยกินอวัยวะภายในเหมือนในนิยายสยองขวัญเลย
(แม้ว่าเรื่องที่คุณอ่านอยู่นี่ออกจะแปลกประหลาดและเกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาวก็เหอะ)
ผมเพิ่งนึกได้ในตอนนั้นเองว่า ผมจะไม่เป็นบ้าตายอย่างเดียว .
ผมกำลังจะบ้าตายและหิวตายไปพร้อม ๆ กัน
ใช่ ผมเป็นสิ่งมีชีวิต
และคุณสมบัติของสิ่งมีชีวิตอย่างที่สองรองจากการมีตัวตนก็คือ ต้องการอาหาร !
ไม่รู้เหมือนกันว่า ผมไม่ได้กินอะไรมาเป็นเวลานานเพียงไรแล้ว
นอกจากเท่าที่จำความได้ ครั้งสุดท้ายคือน้ำหวานจากดอกไม้ฟาราราที่เธอให้บนยอดผา
และนี่เราตกอยู่ในรอยร้าวของดวงดาวมากี่วันแล้ว กี่คืนมาแล้ว ที่ผมนอนทนอยู่กับปีศาจแห่งความมืด ความเงียบ และพายุแห่งความคิด
ผมคิดไปถึงบทเรียนชีววะวิทยาสมัยประถมขึ้นมาอย่างเลา ๆ
'มนุษย์โลกขาดอากาศ 3 นาที ตาย ขาดน้ำ 3 วัน..ตาย ขาดอาหาร '
ผมจำไม่ได้แล้ว ผมกำลังขาดทั้งน้ำและอาหาร และมิติของเวลาที่นี่ก็ต่างกับโลกจนผมไม่รู้เหมือนกันว่าจุดจบของผมมันอยู่ใกล้แค่ไหนแล้ว
หิวตาย
ไม่ใช่เรื่องสนุกเลยจริง ๆ มันคงทรมานจนแทบกินเนื้อตัวเอง ! ผมเริ่มเข้าใจประเพณีการกินอันโหดร้ายของชนเผ่าคองกาเจ้าของถิ่นเมื่อตอนนี้เอง
มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน
ผมพยายามคิดถึงแต่เรื่องดี ๆ เพื่อลบล้างความคิดอันน่ากลัวนั้น
คิดถึงเรื่องตลกแทบทุกเรื่องที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิต แต่ผมไม่รู้สึกอยากหัวเราะเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว
เสียงร้องของท้องก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อย้ำเตือนมรณกรรมที่กำลังมาถึง .หากครั้งนี้กลับเป็นเสียงเบากว่าและดังขึ้นนอกกายผม
ซาฟรีรีนาจะหิวเหมือนผมหรือเปล่าหนอ ในเมื่อเสียงนั้นมาจากตัวเธอ
'ชนเผ่าคองกาเป็นสิ่งมีชีวิตพันธุ์หนึ่งในป่าหินกันดาร ซึ่งอดทนต่อความหิวโหยอย่างโหดร้ายได้มากที่สุด .'
มันเป็นประโยคแรกที่ผมรู้จักกับเผ่าคองกา ในสารานุกรมต่างดาว และในขณะนี้มันก็ได้ผุดขึ้นมากลางสมองอย่างที่ผมเองก็ควบคุมไม่ได้ '
ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ส่งผลถึงประเพณีการกินอยู่อันเป็นที่เลื่องลือถึงความเหิ้ยมโหดและอำมหิตที่สุด โดยการกินมนุษย์พวกเดียวกัน .'
ผมเริ่มกระสับกระส่าย และพยายามที่สุดที่จะหยุดความคิดนั้น หากกลับไม่สามารถบังคับได้
คงไม่มีใครโทษผมใช่ไหม
ได้โปรดเข้าใจผม ผู้ซึ่งกำลังนอนรอความตายด้วยความหิวโหยจนแทบคลุ้มคลั่ง
ในที่แคบ ๆ กับเพื่อนคนหนึ่ง .
ซึ่งเป็นมนุษย์กินคน
เคยดูดเลือดผม
และเคยกินแม่ตัวเอง !
ผมจะคิดอะไรได้บ้างในเวลานี้?
ทันใดนั้นเอง เสียงขยับตัวของคนข้างกายใกล้เข้ามาจนเกือบชิดแล้วหยุดอยู่แค่นั้นชั่วขณะ
ผมระงับอาการเสียวสันหลังไว้ไม่ได้ รู้สึกว่าความตายมันใกล้เข้ามาอยู่ข้างกายนี่เอง..
แต่แล้วเมื่อผมได้ยินเสียงหายใจเบา ๆ สม่ำเสมออยู่ตรงหัวไหล่ ผมกลับยิ้มในความมืดต่อความช่างระแวงของตัวเอง
'
เราไม่เคยกินเพื่อน
' คำพูดของเธอก้องอยู่ในหู ทำให้ผมสบายใจขึ้น
"ท่านนอนไม่หลับหรือ
.?" ผมสะดุ้งสุดตัวด้วยเสียงถามเรียบเรื่อยแผ่วเบา "
.ข้านอนไม่หลับเหมือนกัน
แต่เราต้องพยายามแม้ว่าจะทรมานเหลือเกิน
"
ความละอายต่อความคิดระแวงที่ผมมีต่อเธอทำให้ผมรีบหลับตาลง นิ่งเฉย และพยายามบังคับลมหายใจให้สม่ำเสมอที่สุดเท่าที่จะทำได้
.
"ท่านหลับแล้ว?"
"
."
เวลาผ่านไปอีกระยะอย่างเชื่องช้า
ผมยังไม่สามารถข่มใจให้หลับได้อยู่นั่นเอง
ความคิดฟุ้งซ่านมันกำเริบอีกแล้ว
และดูเหมือนจะมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างน่ากลัว
ถ้าผมไม่ได้ยินเสียงอันน่าสยดสยองนั่นเสียก่อน มันกระตุ้นความหวาดระแวงให้ก่อตัวขึ้นอย่างรุนแรง
ในมโนภาพท่ามกลางความมืดมิดสุดที่จะคาดเดา
แรกสุดผมได้ยินการเคลื่อนไหวบางอย่าง
และความรู้สึกบอกผมว่า ซาฟรีรีนากำลังลุกขึ้นและเคลื่อนตัวห่างออกไป
ไปยังรอยร้าวยาวแคบลึกนั่น
เธอเงียบไปอีกพักใหญ่ เหมือนกำลังคิดทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ในขณะที่ผมก็กำลังคาดเดาเรื่อยเปื่อยตามความเปลี่ยนแปลงของเสียงที่เกิดขึ้นเป็นระยะ
และต่อมา
.
เสียงประหลาดเบาแสนเบาจนต้องแนบหูกับพื้นฟัง...
มันเกิดขึ้นตรงนั้นเอง... หากทำให้ผมนึกไม่ออกว่ามันเป็นเสียงของอะไร
อะไรกับอะไรเสียดสีกัน
เหมือนอะไรบางอย่างขูดกับหิน
โลหะ
โลหะกับหิน
กรีดซ้ำไปซ้ำมา และทุก ๆ ครั้งมันจะแหลมยาวขึ้น
ยาวขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนสะท้านเข้าไปก้องอยู่ในกระดูกสันหลังของผม
ผมไม่น่าเลย
ไม่น่านึกถึงเสียงลับมีดแล่เนื้อในห้องครัว
!
หยุดไปแล้ว
เธอเคลื่อนตัวใกล้เข้ามา
แล้ว
แล้วคุกเข่าคร่อมตัวอยู่เหนือร่างผมนั่นเอง
ผมกลั้นลมหายใจ แข็งตัวนิ่งอยู่กับที่
เสียงถอนหายใจของเธอ ทำให้ผมขนลุกไปทั้งตัว และยิ่งเมื่อมีสัมผัสแผ่วเบาลูบไล้อยู่ที่ ใบหน้า
จนมาถึงลำคอ
!
'
.การดูดเลือดจนหมดร่างจะเป็นอย่างแรก ก่อนกรรมวิธีชำแหละเพื่อไม่ให้มีการเปรอะเปื้อน
และเป็นการสิ้นเปลืองต่อเลือดที่ไหลทิ้งโดยเปล่าประโยชน์
เหยื่อจะชาจนไม่รู้สึกเจ็บปวดนัก
และอีกประการ
สามารถเก็บเหยื่อที่ยังเป็น ๆ ได้หลายวันไม่ต้องกลัวการเน่าเปื่อย !
.'
เสียงแห่งคำบอกเล่าของเธอดังก้องกลับไปกลับมาอยู่ในห้วงความคิดชั่วขณะนั้น
แต่
.
'เราไม่เคยกินเพื่อน' ผมพยายามที่สุดในการทำให้ประโยคนี้เข้ามาแทนที่ในห้วงความคิด
แต่
เธออาจจะลืมประโยคพื้น ๆ นั้นแล้วก็ได้ !
ผมไม่แน่ใจธรรมชาติของมนุษย์กินคนยามโหยหิวเลย ได้แก่ภาวนาให้เธอฆ่าผมให้ตายเสียก่อน
ผมกลัวที่จะต้องค่อย ๆ เสียเลือดเนื้ออวัยวะไปทีละส่วน
ทีละส่วน
จนชิ้นสุดท้ายทั้งที่ยังมีลมหายใจอยู่
มือเรียวบางเคลื่อนที่มาจนถึงช่วงไหล่
แล้วผมก็เริ่มรับรู้ถึงใบหน้าที่โน้มลงมา จนริมฝีปากอ่อนนุ่มวางอยู่ที่ข้างแก้มใกล้กับซอกคอ
ผมได้แต่นอนแข็งตัวใกล้ลมหายใจรอรับเขี้ยวคมที่กำลังจะฝังลงมา
เธอยังคงนิ่งอยู่เช่นนั้น
แล้วกับห่างออกไป
ไม่มีเขี้ยวคม
ไม่มีการดูดเลือด
ไม่มีอะไรที่น่ากลัวเกิดขึ้นทั้งสิ้น นอกจาก...
เธอจูบผม !
แต่เมื่อผมเริ่มสัมผัสกับน้ำอุ่น ๆ รสเค็ม หยดลงมาที่ใบหน้าและรดบนริมฝีปากที่แห้งแตกของผมจึงลืมตาขึ้น
แม้จะพบเพียงความมืดมิดไม่ผิดอะไรกับหลับตา หากสัญชาติญาณบอกว่า เธอกำลังร้องไห้..
"เป็นอะไรหรือเปล่า
ไม่สบายตรงไหน" ผมต่อสู้กับความเจ็บปวดเพื่อขยับตัวลุกขึ้นมาด้วยความกังวลต่อเธอ
ความกลัวจนแทบเสียสติเมื่อครู่อันตรธานไปหมดสิ้น
มันไม่ผิดอะไรกับเมื่อเวลาคุณฝันร้ายเห็นภูตผีปีศาจจนตกใจตื่นขึ้นมากลางดึก
แล้วไม่แน่ใจว่าเพื่อนเราที่นอนข้าง ๆ ตะแคงหันหลังให้คุณอยู่คือปีศาจที่หลุดออกจากฝันร้ายเมื่อครู่หรือไม่..
ได้แต่จินตนาการความสยดสยองเมื่อเขาพลิกตัวหันหน้าปีศาจมาจัดการกับคุณ
จนกว่าเขาจะพลิกตัวกลับมาให้คุณได้เห็นหน้าเพื่อนคนเดิม
ถึงได้หัวเราะในความคิดบ้าๆ ของตัวเอง
"
ข้านอนไม่หลับ
" เสียงแหบเครือแผ่วเบาอยู่ในความมืดได้เพียงชั่วครู่ก่อนที่แสงสีม่วงประหลาดจะส่องแสงอีกครั้ง
ซาฟรีรีนาขุดไฟแห่งการแลเห็นขึ้นมาอีกครั้ง
แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแสงสลัวเรือง ๆ หากจากความมืดมิดกว่านรกที่ผ่านมา มันกลับทำให้ผมปีติในสัมผัสอย่างบอกไม่ถูก
"ผมเข้าใจอาการ
เรากำลังจะเสียสติ เพราะความมืด เงียบ และหยุดนิ่งของร่างกาย
แม้ว่าจะช่วยออมพลังงานทางกายได้ก็ตาม"
"
ข้ารู้
ตามหลักจิตวิทยา
เรามีแต่ตายกับตายไปก่อนเท่านั้นเอง แต่ขณะเดียวกัน
พลังงานในร่างกายเราก็กำลังจะดับลงไปด้วยตามธรรมชาติ
" เธอปาดน้ำตาทิ้ง
"ท่านหิวมากใช่ไหม
" สายตาที่เหม่อมองมาอย่างอ่อนโยนนั้น ทำให้ผมต้องมองต่ำลงเพื่อหลบสายตา
สายตาที่มันกำลังตัดพ้อ
แววตานั้นของเธอกำลังร้องไห้แล้วพูดว่า 'ท่านไม่ไว้ใจข้า..ท่านไม่ไว้ใจเพื่อนของท่าน
มิตรภาพของเรา !'
ผมละอายเหลือเกิน
"ข้าก็เหมือนกัน
ถ้าเรายังไม่สามารถออกไปจากนรกแห่งนี้ได้ภายใน 4-5 คืนจันทร์
ท่านจะตาย
แต่
ข้ารู้ได้พลังชีวิตของข้าเริ่มอ่อนแรงลงทุกที ด้วยเพราะข้าเพิ่งเสร็จจากการจำศีลและยังไม่ได้รับอาหารเพียงพอ
ในอีกคืนจันทร์
หรืออย่างมาก 2 คืนจันทร์ หากข้ายังไม่ได้อาหารและน้ำอย่างมากมาย ข้าจะเสียสติ คลุ้มคลั่งและกลายเป็นปีศาจไป
ข้า
ข้ากลัวเหลือเกิน
ที่จะต้องอยู่กับท่านในสภาวะแบบนั้น
ข้ารู้
ท่านต้องกลัวข้า เกลียดข้าแน่นอน" เธอเริ่มร้องไห้ออกมาอีกครั้งหนึ่ง ผมจับมือเธอไว้เพียงเพื่อให้กำลังใจ
.
น่าแปลกที่ตอนนี้ แม้ว่าผมได้รับรู้ธรรมชาติที่แท้จริงของเธอ และมันแปลได้อยู่อย่างเดียวว่าจุดจบของผมคืออะไร หากผมไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย
"
และไม่เกิน 3 คืนจันทร์
ข้าต้องตายอย่างน่าสยดสยอง
เพราะสัญชาตญาณแห่ง คองกาที่ใครก็ไม่อาจบังคับภาวะนั้นได้
ก่อนอดตาย
เราจะกินเนื้อตัวเอง !!!"
ผมนึกภาพนั้นไม่ออกเลยจริง ๆ
และสงสารเธออย่างบอกไม่ถูก
ในที่สุดผมดึงเธอเข้ามากอดไว้เพื่อปลอบโยน ลูบน้ำตาออกไปจากดวงหน้าสีดำเนียนนุ่มนั้นอย่างแผ่วเบา
"อย่าร้องไห้ ไม่หรอก ผมไม่มีวันเกลียดเธอ
ผมยินดีให้เธอกิน
จำไม่ได้หรือ เธอบอกเอง
ว่าการกินคือการถ่ายทอดวิญญาณ ผมก็จะได้อยู่ในตัวเธอ เป็นเพื่อนเธอตลอดไป..ไม่ดีหรือ"
"ไม่
จะไม่มีวันเป็นแบบนั้นแน่นอน
เราจะต้องไม่ตายอย่างตายเปล่า
ไม่มีใครจะมากินร่างเราต่อไป
ไม่
โอ
ไม่
อย่างน้อย
ท่านต้องรอด
และพกพาวิญญาณของข้าไป
ข้าจะไม่ทำให้ท่านต้องมาตายอยู่ที่นี่แน่"
ตอนนั้น ผมไม่ได้เข้าใจนัยแห่งประโยคนั้นเลยจนนิดเดียว
'
พกพาวิญญาณของข้าไป...'
หากผมเข้าใจมันก่อนหน้านี้ละก็ ผมจะไม่มีความเสียใจอันยิ่งใหญ่ที่ต้องแบกไว้จนสุดสิ้นสุดชีวิตแบบนี้อย่างแน่นอน
"เธอมีวิธี ?"
"ข้าไม่แน่ใจ
แต่ต้องลองดู" เธอปาดน้ำตาพร้อมอาการงอแงแบบเด็ก ๆ ออกไปอย่างรวดเร็ว ลักษณะความหลักแหลมของผู้นำเข้ามาแทนที่อย่างมหัศจรรย์
"
ด้วยเทคโนโลยีของพวกท่าน สามารถช่วยเหลือท่านออกจากที่นี่ได้หรือไม่
"
"อือ
มียานลำเล็กขนาดแคปซูลที่อาจจะลงจอดได้ ผมไม่แน่ใจเรื่องระยะทางความสูงและข้อจำกัดของการขึ้นลงในที่แคบขนาดนี้
บางทีอาจจะต้องใช้เครื่องมือปีนเขาประเภทรอก ยกอัตโนมัติ แต่อาจจะต้องต่อเชือกระหว่างทาง
"
"ข้าคงไม่สามารถนำท่านออกไปจากที่นี่พร้อมข้า เพราะข้ารู้ ท่านปิดบังความจริงกับนางพยายามจำเป็นอย่างข้าไม่ได้หรอก
ท่านบาดเจ็บมาก เพราะฉะนั้นท่านต้องรอข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะนำพวกเขาและเทคโนโลยีจากโลกมาช่วยท่านให้ได้
พวกเขาคงวนเวียนหาตัวข้าอยู่ไม่ไกลจากที่ที่เราตกลงมานัก ข้าใช้เวลา 1 คืนจันทร์ในการออกไปจากความลึกนี่
2 คืนจันทร์ในการตามหามนุษย์โลก และหลอกล่อพวกเขามาช่วยท่านให้ได้
พวกเขาคงหาทางช่วยท่านขึ้นไปได้ภายในคืนจันทร์เดียว
"
"เดี๋ยวก่อน
มันจะไม่อันตรายเกินไปหน่อยหรือ เธอจะขึ้นไปได้อย่างไร
แล้วเธอแน่ใจหรือว่าพวกเขาจะไม่ฆ่าเธอทิ้งทันทีที่พบเห็น"
"เรื่องหลังเอาไว้แก้ปัญหาเฉพาะหน้า
ข้าก็ยังไม่รู้ แต่ข้าพอมีวิธีออกไปจากที่นี่
"
เธอลุกขึ้นไปยังที่ช่องแคบด้านหนึ่ง
แล้วผมก็ได้รู้ว่าเสียง 'โลหะขูดหิน' ที่ผมคิดถึงการลับมีดเกิดขึ้นเพราะอะไร
มันคือมีดจริง ๆ เสียด้วย
มีดสั้นอันเท่าฝ่ามือ
"ปกติพวกเรามีมีดพกประจำตัวคนละอัน ใช้ประโยชน์สารพัด ตั้งแต่การป้องกันตัว หาอาหาร และป่ายปีน
ท่านตามข้ามา"
ผมตามเธอเดินลึกเข้าไปในซอกแคบนั้น ซึ่งแคบเข้าทุกทีทุกที ในเงาสลัวผมเห็นเธอเอาหลังพิงกับผาหินด้านหนึ่ง
และขาทั้งสองข้างยกลอยไปยันกับผาหินอีกด้านหนึ่งโดยมีมีดในมือเป็นตัวยึดให้สามารถขยับตัวถัดขึ้นสูงไปได้เรื่อย ๆ
"เราจะใช้ความแคบของมันให้เป็นประโยชน์ ข้าจะใช้วิธียันขาไว้แบบนี้แล้วถัดตัวขึ้นไป หากว่าพบกับความกว้างที่เพิ่มขึ้นในบางช่วง
ก็จะใช้มีดนี่จัดการปีนต่อไปให้ได้ หรืออาจขยับตัวทางแนวนอนหาที่ที่มีความแคบเพียงพอที่จะถัดตัวขึ้นไปได้
...ไม่
ได้โปรดอย่าค้าน
ข้ารู้ว่ามันอันตรายเพราะมันสูงมากกว่าภูเขาหรือชะง่อนหินผาธรรมดาอย่างมหาศาล แต่ข้าไม่อาจทนรอความตายอยู่ที่นี่
เราต้องลองดู เราจะมัวแต่รอการค้นหาของมนุษย์โลกไม่ได้
บางที เพราะว่าพวกเขายังไม่รู้หรือนึกไม่ถึงหรือไม่มีวันคาดคิดได้เลยว่าจะมีสถานที่แบบนี้อยู่ในโลกแห่งความจริงเลยก็ได้
...ได้โปรดเถอะ
ข้าไม่อยากหมดกำลังใจ"
ผมจะพูดอะไรได้
ผมอยากเป็นฝ่ายขึ้นไปเสียเอง หากเพียงลองเอาหลังยันกับหินอันเย็นเยียบ ความเจ็บปวดก็แล่นพล่านไปทั่ว
"ข้ารู้ว่าท่านกำลังคิดอะไรอยู่ ท่านจะตกลงมาภายในระยะไม่เกิน 2-3อึดลมหายใจแรก
"
"โอเค ผมคงไม่สามารถ
แต่ว่า เธอเอานี่ติดตัวไปด้วย มันอาจจะช่วยเธอจากมนุษย์พวกนั้นได้"
มันเป็นไมโครชิพขนาดเล็กที่สุด อันเป็นข้อมูลบรรจุบัตรประจำตัวประชาชน และใบอนุญาตต่างๆ ของผม ซึ่งมนุษย์โลกทุกคนหรือบนดาวที่เจริญแล้วต้องมีติดไว้ที่ซอกหู
"
คือรหัสของผม" ผมก็ได้บอกรหัสประจำตัวของผมและของเพื่อนผมอีกคน
ดิม " พยายามพบเขา
หรือขโมยวิทยุสื่อสารให้ได้แล้วติดต่อถึงเขา เมื่อบอกข่าวของผมเสร็จ เธอจะต้องรีบหนีให้เร็วที่สุด เข้าใจไหม
อย่าปรากฏตัวให้ใครเห็นเป็นอันขาด นอกจาก ดิม ผมแน่ใจว่าเขาจะไม่เป็นอันตรายกับเธอ และอาจช่วยเธอได้เมื่อจำเป็น
ถ้าไม่สามารถติดต่อเขาได้ อย่าเป็นห่วงผม
.
ลืมผมไปซะ
ผมอาจจะตายก่อน 4 วันก็ได้ เอาตัวรอดนะ เข้าใจไหม นอกจาก ดิม เท่านั้น ดิม
เขาเป็นเพื่อนผม จำรหัสของเขาได้ไหม?"
"ได้
"
เธอทวนรหัสนั้นด้วยเสียงแผ่วเบา
ผมเห็นน้ำตาใสบางเริ่มซึมออกมาอีก ผมไม่อยากเห็นเลย มันจะทำให้ผมตายเร็วขึ้น "ข้าคงต้องไป ตอนนี้
ในขณะที่ข้ายังมีกำลังอยู่
"
"เราคงต้องลาจากกันแค่นี้ และอาจจะไม่ได้พบกันอีก
ตลอดไป"
"อย่าพูดแบบนั้น เมื่อผมถึงข้างบนนั่น ข้าจะตามหาเธอให้พบให้ได้ ไม่ต้องห่วง"
เธอได้แต่ยิ้มเศร้าสร้อย เหมือนรู้ล่วงหน้าว่าคำพูดของผมอาจจะไม่มีวันเป็นจริงขึ้นมาก็ได้
ผมสงสารเธออย่างยิ่ง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าดึงเธอมากอดไว้แน่นอีกครั้ง เงยหน้าแล้วกดศรีษะของเธอให้หน้าแนบไว้กับลำคอผม
ผมไม่ต้องพูดอะไรเลย เธอก็เข้าใจ
ผมขบกรามเบา ๆ ทนกับความเจ็บแปลบจากคมเขี้ยวที่ฝังลงมา
ผมให้เธอดูดเลือดผม
และเมื่อเส้นเลือดเริ่มกระตุกน้อย ๆ เป็นช่วง ๆ ผมก็กดเธอไว้อีกครั้ง
"อีกสักนิดเถอะ ไม่เป็นไรผมทนได้
"
เธอค่อย ๆ ดูดเลือดเขาอย่างปราณีตบรรจงเหมือนจะไม่ยอมให้เลือดทุกหยาดหยดที่ผ่านสู่ลำคอไปอย่างไร้ความหมาย
หรือเพียงเพื่อเป็นอาหารประทังชีวิตอีกต่อไป และยังคงนิ่งอยู่นาน เมื่อหยุดแล้วมันทำให้เขาไม่ต้องห้ามเลือดเลย
"ขอบคุณ
"
.
.
.
...
นั่นคือคำพูดที่เธอบอกผมเป็นครั้งสุดท้าย
ก่อนที่จะไต่ผนังในซอกแคบตามวิธีที่เธอบอก จนลับหายไปกับความมืดมิดในความสูงไกลเกินกว่าที่อำนาจแสงเรือง ๆ ของหินไฟแห่งการแลเห็นจะอนุญาตให้ผมแลเห็น
ผมพิงผนังหนาในวอกตรงนั้นอย่างหมดเรี่ยวแรงและสลบไปในที่สุด เมื่อมีเศษหินและผงดินหล่นลงมากระทบตัวผม จึงรู้สึกตัวเป็นระยะ ๆ มันเป็นสัญญาณว่าเธอกำลังเคลื่อนไหวอยู่
จนกระทั่งแสงสลัวของกลางวันที่เบื้องบนเล็ดลอดลงมา ผมพยายามลืมตาเพ่งมองตรงไปที่เธอจากไปอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีร่างสีดำที่ต้องการเห็นแม้แต่เงา
ความโหยหิวปลุกผมขึ้นอีกครั้งเมื่อแสงสีม่วงเรืองขึ้นในความมืด
ผ่านกลางวันไปแล้ว
เธอก็คงอยู่สูงมาก ผมสำนึกได้ว่าไม่มีทางที่จะได้เห็นอีก จึงคืบคลานออกมา
.
.
.
'การรอคอยเป็นสิ่งที่ทรมานที่สุดในบรรดาการเล่นตลกของกาลเวลา'
ผมเห็นด้วยจริง ๆ
ความระแวงสงสัยมาสิงสู่จิตใจผมอีกครั้ง เมื่อนึกว่า ผมอาจจะถูกเธอทอดทิ้งให้อยู่เดียวดายจนตายไปอย่างเงียบ ๆ
แต่ผมก็จะไม่ตำหนิเธอเลยจริง ๆ ซาฟรีรีนาเป็นตำแหน่งเทพีศักดิ์สิทธ์ของเผ่า
เธอน่าที่จะเห็นความสำคัญส่วนรวมมากกว่า
ความเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง เดียวดาย ต่างพากันเวียนว่ายวนอยู่รอบตัวจนผมรู้สึกว่างเปล่าราวกับผมไม่ได้มีตัวตนอยู่ในโลก ผมยอมรับตรงนี้เอง ว่าผมเลวเหลือเกินที่คิดว่าซาฟรีรีนากำลังทิ้งผม...
เธอทิ้งผม
เธอทิ้งผมไปแล้ว
แต่ทว่า...โดยไม่มีเหตุผล
ในส่วนลึกที่สุดของจิตใจ ผมยังเชื่อว่าเธอจะกลับมา
ความคิดเห็น