ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ซาฟรีรีนา

    ลำดับตอนที่ #8 : ในรอยร้าวของดวงดาว

    • อัปเดตล่าสุด 3 ก.พ. 49


    ในรอยร้าวของดวงดาว




    แล้วผมก็รู้ว่า ความ 'เสียใจ' แท้จริงแล้วเป็นความรู้สึกเช่นไร… 

     …ผมร้องไห้..

     น้ำตามันไหลออกมาเองโดยที่ไม่รู้ตัว  

     …ไม่มีเสียงสะอื้นใด ๆ หากความรู้สึกเสียใจอย่างรุนแรงประดันขึ้นมาจนท่วมท้นไปทั่วทั้งกาย  และแม้แต่ทั้งวิญญาณก็ถูกมันครอบงำไปหมดสิ้น…

     ผมตัวสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุมได้  และคล้ายกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังบีบเค้นลำคออย่างรุนแรงจนทบอาเจียน…  ผมสำลักน้ำขมฝาดที่เอ่อล้นจากภายในขึ้นมาจุกที่ลำคออันตื้นตัน..

     คนที่เคยรู้ว่า  คำว่า 'ตื้น' 'ตัน'  เป็นความรู้สึกเช่นไรละก็  เขาผู้นั้นย่อมเข้าใจว่าผมในขณะนี้รู้สึกเช่นไร… 

    มันเป็นความตื้นตันที่ขมขื่น  และโศกเศร้าอย่างสุดแสน….

     ผมเสียใจ…มาก …เกินกว่าที่จะพรรณนาด้วยภาษา…

     ในความเงียบสงัดและวังเวง  จนน่าสะพึงกลัว…

     ผมกอด 'มัน'   ไว้แน่นแนบอก

     ผมได้แต่กอด 'มัน' ราวกับเป็นไม้ท่อนสุดท้ายกลางทะเลคลั่ง  เป็นสิ่งล้ำค่าสูงสุดในชีวิต… 

    และผมคิดว่าคงไม่มีสิ่งใดที่จะโยกคลอนความรู้สึกของคนได้มากกว่านี้อีกแล้ว

     กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งออกมาอบอวลอยู่ในประสาทสัมผัสของผม  แต่ในความรู้สึกส่วนลึก  ผมปานว่าได้กลิ่นไอแห่งกายของผู้เป็นเจ้าของ 'มัน' …

     มันเป็นเพียงอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกาย…

     แขนที่ถูกตัดเสมอไหล่… สีดำสนิท  อาบด้วยโลหิตเหนียวข้นสีแดงเข้ม

     ..................................................................................................................................


    สิ่งแรกที่ผมลืมตาขึ้นมาพบเห็น  ณ  ขณะนั้น …

     แสงเรืองๆ  สีม่วงดูแปลกประหลาดในความสลัวสะท้อนให้เห็นดวงหน้าเรียวของหญิงสาวสีดำผู้ไร้เส้นผมนั่งหลับตานิ่งอยู่ข้างกาย…เหมือนครั้งแรกที่พบเธอ

     กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้ง  ผมกำลังฟุบอยู่บนผืนทรายหนาจนเรียกได้ว่า  หลุมทรายลึก  มันเป็นบริเวณแคบ ๆ ไม่ใหญ่ไปกว่าผืนพรมสำเร็จรูปขนาดมาตรฐาน  และถูกล้อมด้วยผาหินสูงลิบลิ่วจนต้องตั้งบ่าแหงนคอมองเห็นท้องฟ้าอยู่ไกลลิบ ๆ จนแสงสว่างลงมาแทบไม่ถึง

     ผมยังไม่ตาย…

     ยังไม่ตายจริง ๆ หรือนี่… 

     หรือที่ผ่านมาทั้งหมด ตั้งแต่พบซาฟรีรีนา  หญิงสาวสีดำผู้ไร้เส้นผม….เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ขอบผา… มิตรภาพ… ตำนานแห่งหญิงสาวผู้เสียสละ… เสียงระเบิด  การตามล่าของคนพวกนั้น …ล้วนเป็นความฝัน…

     นี่ผมเพิ่งตื่นจากคืนนั้นที่เขาปีนขึ้นมาจากหุบเหวแล้วพบเธอในคืนพระจันทร์เต็มดวงหรือเปล่าหนอ ?

     "ซาฟรีรีนา"  ผมเรียกเธอเบา ๆ อย่างไม่แน่ใจ… ลำคอตีบตันแห้งผาก…

     เธอลืมตาขึ้น…แล้วมองดูผม…  

     ดวงหน้าแบบนั้น..รอยยิ้มแบบนั้น… สายตาแบบนั้น… 

     ผมรู้ได้ในทันที  ถ้าตอนนี้ผมไม่ได้ฝันอยู่ละก็  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นล้วนเป็นความจริง !

     "ที่นี่ที่ไหน ?"  ผมถามพร้อมกับขยับตัวขึ้นอย่างยากลำบาก…

     ร่างกายแทบทุกส่วนปวดร้าวและเจ็บระบมเหมือนมีใครที่มองไม่เห็นกำลังรุมซ้อมผมอยู่เงียบ ๆ อย่างทารุณ

     มองไปรอบ ๆ …ด้วยแสงสลัวจากวัตถุเปล่งแสงสีม่วงประหลาด  

     มันเป็นสถานที่แปลกประหลาด… 

     ที่นี่ไม่เหมือนก้นเหวที่ตกลงไปครั้งแรกหลังจากยานเกิดอุบัติเหตุ… 

    ที่นั่น  ยังคงเป็นหินระเกะระกะพอให้ปีนป่าย  เพื่อขอความช่วยเหลือได้  ซุกตัวหลบซ่อนความหนาวเย็นและสายลมได้…  

     แต่นี่  หลุมลึกแห่งนี้  ไม่มีอะไรเลย…  

     ไม่มีหินก้อนเล็กก้อนน้อย  ไม่มีเถาดอกไม้ฟารารา  ไม่มีสายลม  ไม่มีความชื้นแม้สักน้อยนิด 

    ไม่มีเสียงแม้เพียงการเคลื่อนไหวของแมลงตัวเล็ก ๆ

    นอกจากชั้นทรายละเอียดราวกับฝุ่นหนาลึกอย่างยิ่งที่ผมคิดว่ามันคงช่วยชีวิตผมเอาไว้กับกำแพงหินหนาทึบเรียบสนิท 

    เหมือนขนมวุ้นที่ถูกมีดตัดทั้ง  4  ด้าน  มีเพียงร่องรอยแตกกว้างพอที่คนตัวเล็ก ๆ สักคนจะแทรกเข้าไปได้ 

    และยาวขนานกันทั้งสองด้านขึ้นไปตามความสูงจนสุดสายตา

     "รอยร้าวของดวงดาว…"  คำตอบราบเรียบ  แสนจะธรรมดา...
      
     แต่แววตาสีแดงใสคู่นั้นบอกอะไรได้มากมาย…

     อย่างน้อยก็  ความสิ้นหวัง…แม้ว่าผมจะไม่รู้ว่ารอยร้าวของดวงดาวคืออะไร…มันแย่พอ ๆ กับตกลงไปในปล่องภูเขาไฟในโลกหรือเปล่านี่…?

     "มันคือปรากฎการณ์ทางธรณีวิทยาอย่างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นบนดวงดาวนี้  และเท่าที่ข้าทราบ  ยังไม่เคยมีใครสามารถขึ้นไปได้หากไร้การช่วยเหลือจากเบื้องบน  เพราะไม่มีทางออกใด ๆ เราอยู่ต่ำกว่าระดับแผ่นดินปกติของดาวมากเกินกว่าที่จะประมาณได้ 
     
     …ส่วนรอยแตกแคบลึกทั้งสองด้านนี่ยาวตลอดเส้นรอบวงของดวงดาว  

     …หมายความว่า  ถ้าท่านเดินเข้าไปในช่องแคบด้านขวานี้ไปเรื่อย ๆ ในที่สุดท่านจะพบว่าตัวเองเดินออกมายังจุดเดิมจากรอยแตกด้านซ้ายมือ !  

     …อย่างไรก็ตาม  ท่านก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้อยู่ดี  เนื่องเพราะบางตอนรอยร้าวนี้จะตีบแคบจนเกือบตัน  หากบางตอนก็กว้างพอ ๆ กับที่ที่เราอยู่นี่ 

    และในบางระดับก็ต่ำจนกลายเป็นเหวลึกอีกชั้นหนึ่ง  ในขณะที่บางระดับกลับกลายเป็นผาสูงอีกชั้นเช่นกัน 

    หรือในความเป็นจริงเป็นอย่างไรก็ยังไม่มีใครพิสูจน์แน่ชัด…."

     ในความหมายที่เธอพยายามอธิบายมาทั้งหมด  

     มันแปลได้อยู่อย่างเดียวว่า  'พวกเรากำลังรอความตาย' !

     "เธอ…ตามผมลงมาใช่ไหม ?"

     "…."  เธอนิ่งงันไป  ก่อนที่จะพยักหน้าน้อย ๆ แทนคำตอบ

     "เธอรู้มาก่อน…ทั้ง ๆ ที่รู้หรือ ? …ทำไม ?…"

     "…เพื่อน…  เราเป็นเพื่อนกัน….!"

     คำตอบนั้นหนักแน่น และรอยยิ้มนั้นบริสุทธิ์….จริงใจ….



     ผมได้แต่หลับตาลง  ทิ้งน้ำหนักตัวซบกับผนังหินธรรมชาติอันมโหฬารที่ข้างกายอย่างหมดเรี่ยวแรง….

     ความจริง….ผมไม่ต้องถามเธอก็น่าจะเดาได้  ผมพลาดตกลงมาคนเดียว …ผมรู้…
     แต่เธอ…เธอน่าจะหนีรอดไปเสียได้  กลับกระโดตามผมลงมา…!

     เพียงเพราะ  'เพื่อน'….

     เธอบ้า !….

     เธอบ้าใช่ไหม ?

     ….ผมเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างรุนแรง  แล้วนี่  จะเกิดอะไรขึ้นกับชาวคองกา 

    หากหัวหน้าเผ่าของเขาสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยระหว่างวิกฤตการณ์อะไรก็ไม่รู้นั่น….

     และ….และ… …ผมพาเธอมา…. 'ตาย' !



     "อย่าโทษตัวเอง…ท่านไม่ได้ผิดอะไร…."  เหมือนเธอจะรู้ถึงความรู้สึกนึกคิดของเขา  จึงปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเพียงเบา ๆ 

     "ท่านเคยถามข้าใช่ไหมว่า มนุษย์พวกนั้นต้องการอะไร…" ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์ใด ๆ อีกแล้วที่จะมาพูดกันถึงเรื่องภายนอก 

    หากเธอคล้ายดั่งหยิบยกขึ้นมาเพื่อเป็นเรื่องเล่า  เพื่อพูดคุยกันดีกว่าที่จะนิ่งเฉยอยู่  และรอความตายไปอย่างทรมาน….

    ทรมานจากความกดดันภายใต้การแล่นวนของความคิด…

     "ท่านเคยเห็นวัตถุส่องแสงนี่หรือไม่ ?"

     ผมจับตามองวัตถุต้นกำเนิดแสงสีม่วงใสประหลาดที่วางอยู่ตรงหน้าเธอ

     "ไม่เลย…  ผมคิดว่ามันคงไม่มีบนโลก"

     "มันคือหินหรือสารประกอบของธาตุไฟชนิดหนึ่ง  ซึ่งพบอยู่ใต้แผ่นดินอันโหดร้ายของพวกเรา  ในป่าหินแถบนี้เท่านั้น 

    เราเรียกมันว่า  'หินไฟแห่งการแลเห็น'…นานมาแล้ว  เราใช้มันในการทำนายเรื่องราวในอนาคต เชื่อกันว่า ผู้ที่มีพลังพิเศษเมื่อรวมกับพลังของมันจะทำให้เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า  

     หากมนุษย์จากดาวโลกเคยวิจัยและพบว่ามันสามารถถลุงได้แร่ธาตุชนิดหนึ่งที่ทำปฏิกิริยานิวเคลียร์แล้วให้พลังงานดีกว่า  ปลอดภัยกว่าธาตุกัมมันตภาพรังสีที่มีอยู่บนดาวดวงอื่น 

     …แหล่งกำเนิดขุมพลังงานอันมหาศาลหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่  !"

     ด้วยคำอธิบายสั้น ๆ ผมก็เข้าใจทุกอย่าง….

     ผมไม่แปลกใจเลย  ถ้ามนุษย์คาดหวังในการล้างผลาญพลังงานจากทรัพยากรต่างดาว  เพื่อกอบโกยเอาผลประโยชน์สู่โลก

     ผมนึกถึงประวัติศาสตร์โลก…



     นานแสนนานมาแล้ว …

    ณ  แผ่นดินอันโหดร้ายเช่นกัน  ดูเหมือนว่าสวรรค์จะประทานบางสิ่งบางอย่างเพื่อทดแทนความอุดมสมบูรณ์ทางอาหาร…. 

    ทะเลทรายบนโลกเคยโอบอุ้มแหล่งทรัพยากรสำคัญ… น้ำมันเชื้อเพลิง… ต้นกำเนิดพลังงานที่สำคัญที่สุดในยุคนั้น ..

    เมื่อถูกมนุษย์ค้นพบ… วัตถุดิบธรรมชาติที่สะสมฝังตัวอยู่มานานกว่าที่มนุษย์คแรกจะเกิดมาก็หมดลงด้วยน้ำมือมวลมนุษยชาตินั่นเอง…

     ปรากฎการณ์ขนานกำลังจะเกิดขึ้นที่นี่

     และด้วย  'ปรากฎการณ์ขนาน'  

     ผมก็ทำนายได้โดยไม่ต้องใช้ 'หินไฟแห่งการแลเห็น'  เลยว่า  อีกไม่นาน คงมี  'ศูนย์วิจัยพลังงาน'  ของชาวโลกบนป่าหินแห่งนี้  …

    วัฒนธรรมสากลก็จะถูกเผยแพร่ …

     และสำหรับชาวคองกา… หากว่าพวกเขาฉลาดพอและปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว  …

    การเจรจาก็จะมีขึ้น..สิ่งที่ตามมาคือ  พวกเขาจะกลายพันธุ์  และกลายวัฒนธรรม  จนถูกเรียกว่า  'พัฒนา'  อย่างรวดเร็ว…  พัฒนา…  พัฒนา… พัฒนา…

     พัฒนา…เหรอ

     ผมเกลียดคำนี้  …มันเป็นคำที่หลอกลวงสิ้นดี !

     ไม่มีใครตัดสินได้ว่า  มันคือการ 'พัฒนา'  'กำลังพัฒนา'  หรือ  'ด้อยพัฒนา'  เอาอะไรมาวัดกันได้  ในเมื่อมันมี  'คู่ประกบ' ที่เกิดขึ้นอยู่ คือ 'ความเสื่อม' …!

     ณ  ที่แห่งใด  มีการพัฒนาเกิดขึ้นเท่าใด… 

    ความเสื่อม….ที่มักเคลื่อนไหวอย่างไร้ตัวตน…ก็เกิดขึ้นมากเท่านั้น !

     ผมอยากเรียกความรวมของมันว่า  'การเปลี่ยนแปลง'  เสียจะดีกว่า

     หรือถ้าพวกเขาไม่ฉลาดพอ ….พวกเขาก็ย่อมต้องเปลี่ยนแปลงอยู่ดี  หากเป็นการเตรียมตัวเพื่อที่จะกลายเป็นชนชั้นแรงงานในเหมืองพลังงานต่อไป…

     เหมืองที่ 'มนุษยโลก'  ครอบครอง !

     "…พวกเขาคิดว่าเราไม่รู้เรื่อง …เราเถื่อน…เราโง่  หากเขาไม่รู้ว่ามนุษย์กินคนอย่างเราไม่โง่จนไม่รู้ว่าเรายืนอยู่บนอะไร ! …

    หากเราได้แต่ปกป้อง… ราไม่กล้าพอที่จะปลุกมันขึ้นมา…

    เพราะเรารู้ว่า  มันจะกลายเป็นปีศาจที่ไม่อาจควบคุม จะนำแต่ภัยพิบัติมาให้และในที่สุดมันจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างแต่มนุษย์ผู้ควบคุมมันเอง !"
     
    เพียงแค่ฟัง….ผมขนลุกชันไปทั้งตัว…

     "…แต่เมื่อข้าส่งความเพื่อขอเจรจากลับไปยังทำเนียบท่านประธานาธิบดีโลก …

    จึงมีงานมาจากโลก  2  กลุ่ม  หนึ่งคือ  สำรวจแหล่งธาตุไฟที่ปรารถนา  และอีกหนึ่งคือ ทำลายข้า !"  เสียงที่เล่านั้นเปล่งออกมาเต็มไปด้วยความรู้สึก…

     "…และผู้ขัดขวางทั้งมวล…เพราะพวกเขาเริ่มระแวงว่าเราไม่ได้โง่อย่างที่เคยคิด"
     ผมพูดอะไรไม่ออก  ได้แต่ถอนหายใจ

     "…ข้าก็ได้เล่าเรื่องให้ท่านฟังจนจบสิ้นแล้ว…แต่จะไปมีประโยชน์อะไรกันเล่า  ในเมื่อ…"  น้ำเสียงอันเศร้าสร้อยนั้นขาดห้วงไป…

    มันฟังดูสิ้นหวังอย่างบอกไม่ถูก

     แสงจากท้องฟ้าอันไกลลิบลับค่อย ๆ เปลี่ยนสีไป  จนกระทั่งหรี่ลงจนกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มอย่างรวดเร็ว….

    ความมืดมิดจากธรรมชาติทำให้แสงสีม่วงจาก  "หินไฟแห่งการแลเห็น"  สว่างเรืองขึ้นมาอย่างประหลาด

     "ท่านยังเจ็บอยู่มากไหม?"

     "ไม่แล้ว"  ผมตอบไม่ตรงกับความจริงนัก …

     มันบรรเทาลงมากแล้ว  หากทุกครั้งที่ขยับตัวเพียงนิดเดียว  หรือแม้เพียงถอนหายใจเบา ๆ  ความปวดร้าวก็แล่นไปทั่วทั้งกาย…

     "ท่านควรนอนพักผ่อน…."  สัมผัสแผ่วเบาที่หน้าผากทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก 

    "ถ่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตให้นานที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้…เราจะต้องออมพลังงานโดยการนอนหลับหรือหยุดนิ่ง…. 

    หรือเราอาจทำได้แค่อย่างมาก ช่วยกันภาวนาให้เกิด  ปาฏิหาริย์"

     เธอฝืนหัวเราะแผ่วเบาขณะที่ช่วยพยุงผมให้นอนราบลงกับทรายที่นุ่มละเอียดนั้น  แล้วฝังต้นกำเนิดแสงสีม่วงลงในกองทรายที่โกยขึ้นมาอย่างลวก  ๆ 

    ฉับพลัน  ความมืดมิดก็เข้าครอบคลุมปริมณฑลที่เราสองมนุษย์ต่างดวงดาวเหลือชีวิตอยู่ตามลำพัง  

     ผมได้ยินเสียงขยับตัวลงนอนข้างกายไม่ห่างออกไปเกินมือเอื้อมถึงของซาฟีรีนา  ก่อนที่ความเงียบ…มืด…

    และความว่างเปล่าจะแผ่อานุภาพที่ไม่อาจต้านทานได้กลืนกินเราจนหมดสิ้น



     . . .

     …เงียบ…

     ความเงียบสงัดครอบคลุมไปทั่วทั้งบริเวณแคบๆ 

     มันเป็นความสงัด  สงบ  อย่างแท้จริง จนผมก็เพิ่งเคยสัมผัสความน่ากลัวของมันเป็นครั้งแรก 

    มันเงียบมากจนผมคงคิดว่าหูพิการไปถ้าหากไม่ได้ยินเสียงหายใจ และหัวใจที่เต้นอยู่เป็นจังหวะ  ผมบอกไม่ถูกเลยว่า 

    ผมกำลังคิดถึงอะไรบ้าง…

    มันเหมือนมีภาพต่าง ๆ  กะเทาะออกมาจากความทรงจำแล่นไหลเวียนวนอยู่ในสมองของผม วูบวาบเข้ามาแล้วก็หายไป  เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ไม่มีวันจบสิ้น…

     …หรือบางทีก็ว่างเปล่าหรือสับสน จนผมไม่รู้ว่าผมคือใคร…  

     หรือว่าผมยังมีตัวตนอยู่

     นี่เองหรือ คือความทรมานจากความกดดันภายใต้การแล่นวนของความคิด…

     บ้าตาย…

     ผมเข้าใจคำว่า 'บ้าตาย'  เมื่อนั้นเอง…มันมีจริง ๆ ด้วย

     ผมอาจจะคลุ้มคลั่งขึ้นมา ถ้าไม่ใช่ว่า  ตลอดเวลา  เมื่อสุดสิ้นความคิดในระยะหนึ่ง…

    ผมก็ย้อนกลับมาคิดคำนึงถึงคนข้างกายที่กำลังหลับสนิทนิ่งไม่ไหวติงอยู่…

     ซาฟรีรีนา…. 

     หญิงสาวสีดำผู้ไร้เส้นผม… เพื่อน…  (ผมไม่รู้ว่ามีคำขยายใด  ๆ ที่มีค่าเพียงพอต่อคำนามนั้นหรือไม่  นอกจาก … 'ของผม' )  เพื่อนของผม…

     เพื่อน…ที่แม้ว่า  มิตรภาพจะเพิ่งถือกำเนิดมาเพียงไม่กี่คาบเวลา 

    และแม้ว่าเราจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงด้วยพงศ์เผ่า  ความคิด  และการดำรงอาศัย  หากบางที  มันอาจจะยั่งยืนกว่า  'เพื่อนมนุษย์โลก'  ด้วยกันก็ได้

     ….จะมีใคร  หรือเพื่อนผมคนไหน ที่ยอมกระโดดตามผมลงมาเหมือนเธอบ้างไหม…

    ผมยังสงสัยอยู่…

     เวลาผ่านไป…

     และผ่านไป…

     สำหรับคืนนี้…เวลาผ่านไปเท่าไรผมไม่อาจรู้ได้  

     มันอาจเป็นเวลายาวเกือบทั้งคืนแล้วหรือเพียงแค่เศษเสี้ยวเวลาเพียงไม่กี่วินาที  หากสำหรับผู้ที่กำลังนอนรอความตาย…มันยาวนาน และทรมาน  เหลือเกิน

     ผมพยายามหลับ  ทั้งที่ไม่ยอมหลับ  

     หากสิ้นเรี่ยวแรงแม้เพียงลืมตาขึ้นมา

     แต่จะมีประโยชน์อะไรเล่า…มันก็ไม่ผิดอะไรกันแม้แต่น้อย  ในความมืดมิดที่ไร้แสง
     .
     .
     .


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×