คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : หนี
หนี
ทันใดนั้นเอง เสียงระเบิดกึกก้องของอาวุธชนิดใดชนิดหนึ่งดังมาจากอีกฟากของหน้าผาสีแดงเพลิงของพลังงานความร้อนพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
เสียงหัวเราะหยุดลงทันควันในเสี้ยววินาทีต่อมา เหมือนคนข้างกายจะรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่น่ากลัว
เธอผุดขึ้นอย่างร้อนรนพร้อมกับฉุดเขาให้ลุกขึ้นตาม กลับหัวคบเพลิงลงปักพื้น แล้วออกวิ่งอย่างรวดเร็วในความสลัวด้วยฝีเท้าเงียบกริบ
จากพื้นราบเรียบอันน้อยนิดบนยอดผาสู่ทางลาดชันที่ทอดไปถึงเงามืดทะมึนในชะง่อนหิน
แม้ว่ามันจะชันจนเกือบจะตั้งฉากอยู่แล้วในความคิดของเขา แต่ซาฟรีรีนายังคงเคลื่อนไหวต่อไปอย่างคล่องแคล่ว ไร้เสียงราวกับเงา
ในขณะที่อัลทรอยกลับหลงอยู่ในเงามืดและเคลื่อนที่ช้าลงทุกครั้งที่ก้าวต่อไป สองมือของเขายังเกาะเกี่ยวเถาไม้ฟาราราแก่ ๆ อย่างหวาดระวัง
มีเพียงสัมผัสเบา ๆ ที่ต้นแขนที่ทำให้เขารู้ว่าเธอยังอยู่ข้างกายไม่กลไปจากเขา
เธอเริ่มหยุดนิ่งในความมืดและเงียบ แนบหูกับผาหินและหลับตาลง หลังจากเงียบงันช้านาน เขาจึงได้ยินเสียงกระซิบเบาแสนเบาอยู่ริมหู
"อย่าปล่อยมือ เกาะข้าไว้ ข้าจะนำทางท่าน
อย่าส่งเสียง ใช้ปลายเท้าและอุ้งเท้าหนีบเถาไม้นี่ไว้
มันเหนียวพอจะรับน้ำหนักท่าน มาทางนี้
"
"
.เออ
."
"อย่าเพิ่งถามอะไร เราอยู่ในอันตราย
.เรากำลังถูกล้อม !"
อัลทรอยทำตามที่เธอบอกต่อไปได้ระยะหนึ่ง เสียงจากเบื้องบนหลังคาหินธรรมชาติก้อนมหึมานั้นมีเสียงพูดดังขึ้น
.เขาก็ต้องแปลกใจ
เขาฟังออก
'มนุษย์โลก' พวกเดียวกับเขานี่เอง!
ทางเราได้ตัวแล้ว แต่ไม่ใช่คนที่ท่านหัวหน้าหน่วยต้องการ
ใช่
เรามาสายไป
มันรู้ตัวก่อน
ส่งกำลังมาโดยด่วน"
มันทำให้เขายิ่งงุนงงมากขึ้น
ทำไมเธอต้องหนีคนเหล่านี้ ?
ทำไมพวกเขาต้องการตัวเธอ ?
แล้วนี่
ทำไมเขาต้องหนีมนุษย์โลกพวกเดียวกัน ?
ทั้ง ๆ ที่ ถ้าเขาต้องการกลับโลก
เขาย่อมต้องติดต่อพวกเขา ในเมื่อมีโอกาส เขากลับต้องหลบซ่อนตัว ???
"เถาวัลย์ประหลาดพวกนี้จะเป็นประโยชน์ในการแกะรอย
" เสียงนั้นยังลอยลงมาห่างจากตำแหน่งเดิมเล็กน้อย
คำพูดประโยคนั้นทำให้หญิงสาวนิ่งเงียบไปอีกพักใหญ่ ก่อนที่จะพยายามคลำหาอะไรบางอย่าง
เสียงจากเบื้องบนก็ดังขึ้นอีก
"ได้ร่องรอยแล้ว
เราจะต้องลงไปข้างล่าง...ใช่
อันตราย
ส่งเครื่องมือมาด่วน"
"จับเจ้าเส้นนี้ไว้ให้แน่น" เสียงกระซิบร้อนรนพร้อมกับยัดเยียดบางสิ่งบางอย่างไว้ในมือของเขา
มันเป็นเถาฟาราราเส้นหนึ่งที่ยังเป็น ๆ มีขนาดใหญ่มากจนมือใหญ่ยังต้องกำสองมือจึงจะรอบ และมีน้ำยางธรรมชาติหล่อลื่นเป็นเมือกเหนียวติดมือ
"กระโดดลงไป
รูดตัวไปตามเส้นนี้ มีผาหินอยู่ต่ำกว่าที่ที่เรายืนนี่อีกขั้นหนึ่ง มันลึกพอสมควร พอถึงข้างล่าง กระตุกมันบอกข้า ข้าจะตามลงไป ระวังตัวด้วย
"
"เธอ
"
"อย่าเพิ่งเป็นห่วง
ข้าตามท่านลงไปแน่นอน"
อัลทรอยทำตามที่เธอบอกทุกอย่าง ความมืดทำให้เขาไม่รู้สึกหวาดเสียวต่อความสูงจนน่าใจหายอันนั้น
จวบจนเท้าของเขาสัมผัสถึงเยื่อไม้อ่อนนุ่มเย็นเยือกและความมืดมิดเบื้องล่าง จึงรู้ว่ามันสูงจนเขาประมาณไม่ได้ !
เขานิ่งอยู่ในความมืดและสงัดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะกระตุกเชือกบอกรหัสที่เธอให้ไว้
นี่เขาผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่มาได้อย่างไร
ในสภาพไร้น้ำหนักไม่ผิดอะไรกับของหล่น
เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า ในขณะที่ปล่อยตัวลง จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปในชีวิต หรือเขากำลังคิดถึงอะไร แต่เขารู้สึกว่ามันนานมาก
นานแสนนานราวกับหล่นลงไปในหุบเหวที่ไม่มีก้น ไม่มีจุดจบสิ้น
ไม่นานนักเขาก็รู้สึกถึงน้ำหนักที่ลงมายังดงเยื่อไม้ข้าง ๆ ที่เขายืนอยู่
"ยังเดินต่อไปไหวไหม ?" เป็นคำถามที่ไม่รอคำตอบ เธอจูงมือเขาเคลื่อนไหวต่อไป
"ซาฟรีรีนา" เขากลับคว้าข้อมือเธอไว้ "บอกได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ?"
"
." เธอถอนหายใจในความมืดมิดที่มองไม่เห็นอะไรเลย
"ผู้บุกอรุกอันแข็งแกร่งและโหดร้าย
กำลังมาถึง
.พร้อมกับอานุภาพการทำลาย
"ทำไม ?"
"ได้โปรดเถอะ อย่าเพิ่งถาม
พวกเรา
.ที่ตรงเสียงคำรามของปีศาจนั่น
สีแดงของพลังแห่งปีศาจ
เมืองของเรากำลังจะถูกทำลาย
เราสองคนก็ยังอยู่ในอันตราย..."
"ผมจะช่วย
ให้ผมช่วยได้ไหม ?"
"
."
"อย่าลืม
.เราเป็นเพื่อนกัน และผมมาจากโลก
"
หญิงสาวนิ่งงันไป
ครุ่นคิดถึงสิ่งใดเขาไม่ทราบ
.แต่แล้วก็ถอนหายใจอีกครั้ง
"
ถึงท่านจะเป็นมนุษย์โลกเหมือนพวกเขา
แต่ความรู้สึก
สัญชาติญาณ บอกข้าตั้งแต่ต้นว่าท่านไม่ได้เป็นผู้ทำลาย
.
ท่านไม่เหมือนพวกเขา
.และท่านไม่ได้มีอานุภาพการทำลายล้างที่จะต่อสู้สงครามได้
ท่านไม่มีอำนาจอะไรเลย เมื่อเทียบกับความโลภของมนุษย์พวกนั้น
"
"ผมไม่เข้าใจ
พวกเขาต้องการอะไร"
"ท่านไม่รู้บ้างเลยจริง ๆ?"
"ไม่รู้จริง ๆ"
"แล้วข้าจะเล่าให้ฟัง
.ท่านมาทางนี้
"
เธอเคลื่อนไหวอีกครั้งอย่างคล่องแคล่ว
โดยลืมอะไรบางอย่าง
อะไรบางอย่างที่เป็นเหตุแห่งการเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงชีวิตเธอ
.
เขาผู้ไม่เคยคุ้นภูมิประเทศ ไม่เคยคุ้นต่อความมืด
เขาจะไม่เห็นอะไรเลย ผิดกับการใช้สัญชาติญาณแห่งการเอาตัวรอดเหมือนดั่งสัตว์พันธุ์หนึ่งที่มีชีวิตอยู่ในธรรมชาติ ชนเผ่าคองกาหลบหนีภัยในความมืดเพื่อปิดบังตัวโดยใช้ข้อได้เปรียบทางสีผิวอันดำสนิทไม่ผิดอะไรกับเงา
หากมนุษย์โลกอย่างอัลทรอย
เมื่อผู้ที่เคยชินต่อการมองเห็นทางกายภาพถูกตัดขาดประสาทรับรู้ทางสายตา ก็ราวกับเขาไม่มีอะไรอยู่อีก
มันมืดมิดยิ่งกว่าอยู่ในกล่องปิดผนึกสักสิบชั้น
ตรงนั้นเป็นเพียงทางแคบ ๆ ที่ด้านหนึ่งเป็นหินแข็งขนาดมหึมา
ส่วนอีกข้างหนึ่ง
คือ ความว่างเปล่า
ลมสงบ
หากความเย็นเยือกแบบอับ ๆ แห้ง ๆ ทำให้เขาแทบหายใจไม่ออก
"ระวัง
ตรงนั้นเป็น
"
ยังไม่ทันขาดคำ
เท้าที่กำลังก้าวออกไปเพื่อพบกับหินแข็งกลับพบกับความโล่งว่าง
แต่ไม่ทันเสียแล้ว น้ำหนักที่ถ่วงลงบนเท้านั้นจึงโถมดิ่งลงไปยังความว่างเปล่า !
"อัลทรอย !" เสียงร้องเรียกอย่างตกใจดังก้องกังวาลขึ้น และสะท้อนกลับไปกลับมาในสติสัมปชัญญะสุดท้าย
แล้วความมืดเสียยิ่งกว่าความมืดมิดในหุบเหวก็ครอบคลุมเขาจนหมดสิ้น
ทันใดนั้นเอง เสียงระเบิดกึกก้องของอาวุธชนิดใดชนิดหนึ่งดังมาจากอีกฟากของหน้าผาสีแดงเพลิงของพลังงานความร้อนพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
เสียงหัวเราะหยุดลงทันควันในเสี้ยววินาทีต่อมา เหมือนคนข้างกายจะรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่น่ากลัว
เธอผุดขึ้นอย่างร้อนรนพร้อมกับฉุดเขาให้ลุกขึ้นตาม กลับหัวคบเพลิงลงปักพื้น แล้วออกวิ่งอย่างรวดเร็วในความสลัวด้วยฝีเท้าเงียบกริบ
จากพื้นราบเรียบอันน้อยนิดบนยอดผาสู่ทางลาดชันที่ทอดไปถึงเงามืดทะมึนในชะง่อนหิน
แม้ว่ามันจะชันจนเกือบจะตั้งฉากอยู่แล้วในความคิดของเขา แต่ซาฟรีรีนายังคงเคลื่อนไหวต่อไปอย่างคล่องแคล่ว ไร้เสียงราวกับเงา
ในขณะที่อัลทรอยกลับหลงอยู่ในเงามืดและเคลื่อนที่ช้าลงทุกครั้งที่ก้าวต่อไป สองมือของเขายังเกาะเกี่ยวเถาไม้ฟาราราแก่ ๆ อย่างหวาดระวัง
มีเพียงสัมผัสเบา ๆ ที่ต้นแขนที่ทำให้เขารู้ว่าเธอยังอยู่ข้างกายไม่กลไปจากเขา
เธอเริ่มหยุดนิ่งในความมืดและเงียบ แนบหูกับผาหินและหลับตาลง หลังจากเงียบงันช้านาน เขาจึงได้ยินเสียงกระซิบเบาแสนเบาอยู่ริมหู
"อย่าปล่อยมือ เกาะข้าไว้ ข้าจะนำทางท่าน
อย่าส่งเสียง ใช้ปลายเท้าและอุ้งเท้าหนีบเถาไม้นี่ไว้
มันเหนียวพอจะรับน้ำหนักท่าน มาทางนี้
"
"
.เออ
."
"อย่าเพิ่งถามอะไร เราอยู่ในอันตราย
.เรากำลังถูกล้อม !"
อัลทรอยทำตามที่เธอบอกต่อไปได้ระยะหนึ่ง เสียงจากเบื้องบนหลังคาหินธรรมชาติก้อนมหึมานั้นมีเสียงพูดดังขึ้น
.เขาก็ต้องแปลกใจ
เขาฟังออก
'มนุษย์โลก' พวกเดียวกับเขานี่เอง!
ทางเราได้ตัวแล้ว แต่ไม่ใช่คนที่ท่านหัวหน้าหน่วยต้องการ
ใช่
เรามาสายไป
มันรู้ตัวก่อน
ส่งกำลังมาโดยด่วน"
มันทำให้เขายิ่งงุนงงมากขึ้น
ทำไมเธอต้องหนีคนเหล่านี้ ?
ทำไมพวกเขาต้องการตัวเธอ ?
แล้วนี่
ทำไมเขาต้องหนีมนุษย์โลกพวกเดียวกัน ?
ทั้ง ๆ ที่ ถ้าเขาต้องการกลับโลก
เขาย่อมต้องติดต่อพวกเขา ในเมื่อมีโอกาส เขากลับต้องหลบซ่อนตัว ???
"เถาวัลย์ประหลาดพวกนี้จะเป็นประโยชน์ในการแกะรอย
" เสียงนั้นยังลอยลงมาห่างจากตำแหน่งเดิมเล็กน้อย
คำพูดประโยคนั้นทำให้หญิงสาวนิ่งเงียบไปอีกพักใหญ่ ก่อนที่จะพยายามคลำหาอะไรบางอย่าง
เสียงจากเบื้องบนก็ดังขึ้นอีก
"ได้ร่องรอยแล้ว
เราจะต้องลงไปข้างล่าง...ใช่
อันตราย
ส่งเครื่องมือมาด่วน"
"จับเจ้าเส้นนี้ไว้ให้แน่น" เสียงกระซิบร้อนรนพร้อมกับยัดเยียดบางสิ่งบางอย่างไว้ในมือของเขา
มันเป็นเถาฟาราราเส้นหนึ่งที่ยังเป็น ๆ มีขนาดใหญ่มากจนมือใหญ่ยังต้องกำสองมือจึงจะรอบ และมีน้ำยางธรรมชาติหล่อลื่นเป็นเมือกเหนียวติดมือ
"กระโดดลงไป
รูดตัวไปตามเส้นนี้ มีผาหินอยู่ต่ำกว่าที่ที่เรายืนนี่อีกขั้นหนึ่ง มันลึกพอสมควร พอถึงข้างล่าง กระตุกมันบอกข้า ข้าจะตามลงไป ระวังตัวด้วย
"
"เธอ
"
"อย่าเพิ่งเป็นห่วง
ข้าตามท่านลงไปแน่นอน"
อัลทรอยทำตามที่เธอบอกทุกอย่าง ความมืดทำให้เขาไม่รู้สึกหวาดเสียวต่อความสูงจนน่าใจหายอันนั้น
จวบจนเท้าของเขาสัมผัสถึงเยื่อไม้อ่อนนุ่มเย็นเยือกและความมืดมิดเบื้องล่าง จึงรู้ว่ามันสูงจนเขาประมาณไม่ได้ !
เขานิ่งอยู่ในความมืดและสงัดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะกระตุกเชือกบอกรหัสที่เธอให้ไว้
นี่เขาผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่มาได้อย่างไร
ในสภาพไร้น้ำหนักไม่ผิดอะไรกับของหล่น
เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า ในขณะที่ปล่อยตัวลง จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปในชีวิต หรือเขากำลังคิดถึงอะไร แต่เขารู้สึกว่ามันนานมาก
นานแสนนานราวกับหล่นลงไปในหุบเหวที่ไม่มีก้น ไม่มีจุดจบสิ้น
ไม่นานนักเขาก็รู้สึกถึงน้ำหนักที่ลงมายังดงเยื่อไม้ข้าง ๆ ที่เขายืนอยู่
"ยังเดินต่อไปไหวไหม ?" เป็นคำถามที่ไม่รอคำตอบ เธอจูงมือเขาเคลื่อนไหวต่อไป
"ซาฟรีรีนา" เขากลับคว้าข้อมือเธอไว้ "บอกได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ?"
"
." เธอถอนหายใจในความมืดมิดที่มองไม่เห็นอะไรเลย
"ผู้บุกอรุกอันแข็งแกร่งและโหดร้าย
กำลังมาถึง
.พร้อมกับอานุภาพการทำลาย
"ทำไม ?"
"ได้โปรดเถอะ อย่าเพิ่งถาม
พวกเรา
.ที่ตรงเสียงคำรามของปีศาจนั่น
สีแดงของพลังแห่งปีศาจ
เมืองของเรากำลังจะถูกทำลาย
เราสองคนก็ยังอยู่ในอันตราย..."
"ผมจะช่วย
ให้ผมช่วยได้ไหม ?"
"
."
"อย่าลืม
.เราเป็นเพื่อนกัน และผมมาจากโลก
"
หญิงสาวนิ่งงันไป
ครุ่นคิดถึงสิ่งใดเขาไม่ทราบ
.แต่แล้วก็ถอนหายใจอีกครั้ง
"
ถึงท่านจะเป็นมนุษย์โลกเหมือนพวกเขา
แต่ความรู้สึก
สัญชาติญาณ บอกข้าตั้งแต่ต้นว่าท่านไม่ได้เป็นผู้ทำลาย
.
ท่านไม่เหมือนพวกเขา
.และท่านไม่ได้มีอานุภาพการทำลายล้างที่จะต่อสู้สงครามได้
ท่านไม่มีอำนาจอะไรเลย เมื่อเทียบกับความโลภของมนุษย์พวกนั้น
"
"ผมไม่เข้าใจ
พวกเขาต้องการอะไร"
"ท่านไม่รู้บ้างเลยจริง ๆ?"
"ไม่รู้จริง ๆ"
"แล้วข้าจะเล่าให้ฟัง
.ท่านมาทางนี้
"
เธอเคลื่อนไหวอีกครั้งอย่างคล่องแคล่ว
โดยลืมอะไรบางอย่าง
อะไรบางอย่างที่เป็นเหตุแห่งการเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงชีวิตเธอ
.
เขาผู้ไม่เคยคุ้นภูมิประเทศ ไม่เคยคุ้นต่อความมืด
เขาจะไม่เห็นอะไรเลย ผิดกับการใช้สัญชาติญาณแห่งการเอาตัวรอดเหมือนดั่งสัตว์พันธุ์หนึ่งที่มีชีวิตอยู่ในธรรมชาติ ชนเผ่าคองกาหลบหนีภัยในความมืดเพื่อปิดบังตัวโดยใช้ข้อได้เปรียบทางสีผิวอันดำสนิทไม่ผิดอะไรกับเงา
หากมนุษย์โลกอย่างอัลทรอย
เมื่อผู้ที่เคยชินต่อการมองเห็นทางกายภาพถูกตัดขาดประสาทรับรู้ทางสายตา ก็ราวกับเขาไม่มีอะไรอยู่อีก
มันมืดมิดยิ่งกว่าอยู่ในกล่องปิดผนึกสักสิบชั้น
ตรงนั้นเป็นเพียงทางแคบ ๆ ที่ด้านหนึ่งเป็นหินแข็งขนาดมหึมา
ส่วนอีกข้างหนึ่ง
คือ ความว่างเปล่า
ลมสงบ
หากความเย็นเยือกแบบอับ ๆ แห้ง ๆ ทำให้เขาแทบหายใจไม่ออก
"ระวัง
ตรงนั้นเป็น
"
ยังไม่ทันขาดคำ
เท้าที่กำลังก้าวออกไปเพื่อพบกับหินแข็งกลับพบกับความโล่งว่าง
แต่ไม่ทันเสียแล้ว น้ำหนักที่ถ่วงลงบนเท้านั้นจึงโถมดิ่งลงไปยังความว่างเปล่า !
"อัลทรอย !" เสียงร้องเรียกอย่างตกใจดังก้องกังวาลขึ้น และสะท้อนกลับไปกลับมาในสติสัมปชัญญะสุดท้าย
แล้วความมืดเสียยิ่งกว่าความมืดมิดในหุบเหวก็ครอบคลุมเขาจนหมดสิ้น
ความคิดเห็น