คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บนผาหินแห่งกำเนิด
บนผาหินแห่งกำเนิด
เจ็บเหลือเกิน
ที่ต้นคอเหมือนไม่รู้มีของมีคมอะไรทิ่มแทงอยู่
เลือดอุ่นๆ คงกำลังทะลักออกมา
แล้วก็หายไป
ทะลักออกมาอีก
แล้วก็หายไป
ครั้งแล้วครั้งเล่า
เส้นเลือดใหญ่ที่ต้นคอกระตุกเป็นพัก ๆ ด้วยอาการขาดเลือด เขาขยับตัวไม่ได้
"อะไร" บางอย่างกดทับ
ก้นเหวมืดมิดมี "อะไร" ?
มันอุ่น และก็นิ่มด้วย
สัญชาติญาณแห่งการเอาตัวรอดปลุกเขาให้รู้สึกตัวขึ้นมา
เขาไม่ได้อยู่ที่ก้นเหลวแล้วนี่นา
ก็เขาปีนขึ้นมาอย่างยากลำบากจนพบกับดวงจันทร์ขนาดใหญ่ ดอกไม้ประหลาด และหญิงสาวสีดำที่งดงามยิ่งบนหน้าผา
อะไรก็ช่างแต่เขาต้องรู้สึกตัวให้เร็วที่สุด
เพราะว่า
เขากำลังถูกดูดเลือด !
เขาพยายามดิ้นรนแม้ว่าไร้เรี่ยวแรงก็ตาม และดูเหมือน "มัน" จะรู้ถึงความกลัวสุดขีดและการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของเขาจึงถอนฟันคมออกไปจากต้นคอ
มีสัมผัสแผ่วเบามาปิดปากแผลแทนที่ ขาลืมตาแทบไม่ขึ้น
ทุกสิ่งทุกอย่างเบลออยู่ในม่านตา รวมทั้งท้องฟ้าสีเข้มของกลางคืนผืนเดิม
หากดวงดาวที่ระยิบระยับเต็มท้องฟ้านั้น ทำให้เขาไม่แน่ใจ
แต่
คน
ที่อยู่ตรงหน้าขณะนี้
แม้ว่าเขาไม่สามารถมองผ่านความพร่ามัวของดวงตาได้ชัดเจน เขาก็รู้ได้ว่า เป็นหญิงสาวคนเดียวกับที่เขาพบเมื่อคืนนั้น
เธอก้มลงมองดูเขา ขณะที่มือเรียวยาวกดอยู่ที่ลำคอ
เขาพยายามปรับสายตาให้เห็นชัดเจนขึ้น ในความสลัวท่ามกลางแสงดาวสกาวเต็มผืนฟ้า
เขาเห็นดวงตากลมโตสีแดงสดใสราวทับทิม ใต้ขนตางอนประกายเงิน ยาวกระพริบจ้องเขาอย่าง
อย่าง
คงไม่ใช่ "อย่างน่าเอร็ดอร่อย" หรอกนะ
อย่างปราณี
ก็ไม่ใช่อีก
ไม่มีผู้บริโภคใดปราณี "เหยื่อ" ของตัวเองหรอก
"มนุษย์โลก?"
เขาแทบไม่เชื่อหู เธอพูดภาษาเราได้
!
เขาอยากยิ้ม อยากยิ้มดีใจราวกับได้พบเพื่อน จนแทบจะไปว่า เธอกำลังจะกินเขา
แต่ว่า การสื่อสารที่สามารถเข้าใจถึงกันในเวลาที่คิดว่าเหลือตัวคนเดียวในที่แปลกถิ่น โลกที่ไม่มีใครเข้าใจเขาเลย
มันคือความยินดีที่น่าตื่นเต้น และไม่คิดว่าน่าจะเป็นไปได้!
หากเขาไม่มีปัญญาพูดตอบโต้อะไรด้วยเลย
.
"ท่านคือผู้บุกรุก
และตกเป็นเหยื่อของข้า
." เสียงของเธอใสหวาน แต่หนักแน่นและกังวาลอย่างไว้อำนาจ
เขาได้แต่นิ่งเงียบ
"ท่านคงคิดสินะว่า พวกเราเผ่าคองกาคือผู้ป่าเถื่อน
คือฆาตกร
คือนักฆ่า
กิน
แม้แต่พวกเดียวกัน!
"
"
"
เขาไม่มีแรงหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อยแล้วจะให้พูดได้อย่างไร
"กลัวหรือ?"
"ไม่
น่าแปลกที่เขาเริ่มไม่รู้สึกกลัวเหมือนรู้สึกตัวทีแรก
เขากลับมองเธอด้วยสายตาวิงวอน
ไม่ใช่ขอชีวิต แต่เขาอยากคุยกับเธอ เขาอยากขยับเขยื้อนตัวได้เพื่อที่จะสัมผัสผิวเนียนสีดำสนิทผิดกับมนุษย์บนโลกของเขา
นัยน์ตาเธอกลมโตสีแดงเข้มสดใสลึกแวววาวในความมืดมองดูเขานิ่งนาน
ถอนใจ
"ข้าไม่กินท่านก็ได้
กียา" เธอหันหน้าสู่ความมืดเพื่อร้องเรียกใครบางคน
แล้วเขาก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งผลุดออกมาจากเงามืดหลังโขดหินอย่างนอบน้อม ผิวของเธอสีดำสนิทเหมือนกัน หากผมสีดำยาวอย่างยิ่งและดวงหน้าที่ไม่งดงามเท่า
เธอถูกสั่งอะไรบางอย่างด้วยภาษาที่เขาไม่เข้าใจ ซึ่งใช้รหัสเสียงสูงต่ำเป็นทำนองและท่าทางประกอบกันคล้ายการเต้นรำอย่างน่าอัศจรรย์
และดูเหมือนว่าเธอพยายามทักท้วงอย่างอ้ำอึ้ง หากความไม่กล้าทำให้ต้องถอยออกไปตามคำสั่งเงียบ ๆ
"กลูเคซิลจาก "ฟารารา" คงทำให้ท่านดีขึ้น" หญิงสาวสีดำผู้ไร้เส้นผมบอกเรียบ ๆ ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
"เดี๋ยวก่อน
" เขาร่ำร้องอยู่ในใจ "ไอ้นั่นมันชื่อดอกไม้พิษไม่ใช่หรือ !"
หากเปล่งเสียงไม่ออก แม้กระนั้นเธอยังคงรู้ อาจเนื่องจากเธอสามารถอ่านแววตาของเขา
"
ไม่ต้องกลัว
ฟาราราเป็นชื่อตระกูลดอกไม้ในป่าหินแห่งนี้
มีหลายพันธุ์
ที่ทำให้ท่านเป็นอัมพาตชั่วคราวและหลับมาถึงตอนนี้คือพันธุ์หนึ่งซึ่งพวกเราใช้เป็นเครื่องป้องกันตัว
หรือบางครั้งบางคราว
เมื่อจำเป็นเราก็ใช้มัน "ดักเหยื่อ"!" เธอพูดไปเรื่อย ๆ โดยไม่ทราบว่าคนฟังขนลุกอย่างหวาดเสียว
"
สำหรับข้าที่ใช้ต่อท่านเป็นเหตุผลประการแรก
ฟาราราบางชนิดก็สกัดสารออกมากินได้ และใช้รักษาโรคได้ แม้ว่าหน้าตามันจะน่าเกลียดก็ตาม"
เขาปล่อยให้หญิงสาวผมยาวนำสายอะไรบางอย่างเส้นเล็กยาวจ่อเข้ามาในปาก รสหวานจัดจนแทบสำลักหากจำต้องดูดกลืนลงไปอย่างโหยหิว
ทำให้บาดแผลลึกที่ต้นคอเปิดออก เขารู้สึกถึงมืออ่อนนุ่มอีกคู่กดแน่นเพื่อห้ามเลือดอีกครั้ง
เขาไม่แน่ใจว่า นอกจากที่เธอบอก ในของเหลวหวานจัดนั้นยังผสมยาอะไรอย่างอื่นหรือไม่
แต่มันทำให้เขาหลับใหลไม่ได้สติอีกครั้ง
.
.
.
บนผาหินแห่งเดิม
เขายังอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน
ไม่รู้กี่วันกี่คืนแล้วหรืออาจเป็นเพียงไม่กี่นาทีที่เขาหลับไป มิติแห่งกาลเวลาช่างสับสนเหลือเกินสำหรับมนุษย์ต่างดาวอย่างเขา
คืนนี้ ดวงดาวยังระยับเต็มท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม หากมีเส้นโค้งที่บางอย่างยิ่งของเสี้ยวพระจันทร์ขนาดใหญ่ ปรากฎอยู่ทางทิศหนึ่งของฟากฟ้า
ชายหนุ่มค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างยากเย็น ออกจากผ้าสีขาวสะอาดปูลาดรองรับร่างของเขาบนหินแข็งอันเย็นเยือก ทำให้เขารู้ว่ามันน่าจะเป็นเวลากว่าค่อนคืนแล้วเพราะถ้าเป็นตอนพลบค่ำ หินเหล่านี้จะยังคงอุ่นด้วยความร้อนที่สะสมอยู่ภายใน
ลมโชยมาเบา ๆ
เย็น
แห้ง
นี่เขายังไม่ตาย
ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้กินเขาเข้าไป?
เขาอยากรู้ว่าตอนนี้เธออยู่ไหน
เมื่อมองไปรอบ ๆ จึงเห็นเงาของใครบางคนนั่งอยู่หลังพุ่มดอกไม้ประหลาดฟารารา ผมยาวนั้นแสดงว่าไม่ใช่เธอ
แต่เป็นหญิงสาวที่เธอเรียกว่า กียา หรืออะไรสักอย่าง
"สวัสดี" เขาเดินโซเซเพื่อเข้าไปทักทาย
"มาเฝ้าฉันหรือ?" ถามพร้อมสะบัดกวัดแกว่งมือเท้าเพื่อยืดเส้นสาย และเรียกความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อกลับคืนมา
"
"
"นายเธอล่ะ?" ถ้าเขาเดาสถานภาพไม่ผิดนะ
"พูดไม่ได้หรือ?"
"เขาไม่รู้ภาษาของท่าน" เสียงนั้นทำให้เขาหมุนตัวกลับไปพบกับร่างเล็กบางสีดำตัดกับอาภรณ์สีขาวบางเบายาวกรอมเท้าพริ้วไปตามสายลม
เธอก้าวออกมาพร้อมคบไฟในมือทำให้เขาเห็นดวงหน้างดงามจับตาอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก
"จำไว้ว่า มีเพียงข้าเท่านั้นในดินแดนแห่งป่าหินกลางทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาล ที่สามารถสื่อสารกับท่านรู้เรื่อง"
"เธอ
คือ
"
"ข้าต่างหากที่ต้องถามว่า ท่านคือใคร !"
"ผมชื่อ อัลทรอย
เรียกผมว่า ทรอย"
"ทรอย
? ท่านมาที่นี่เพื่ออะไร ?"
"เพื่อค้นหา
"แรงบันดาลใจ"
"ข้าไม่เข้าใจ" ดวงตากลมโตใต้ขนตางอนยาวกระพริบมองเขาไม่วางตา
"ผมเป็นศิลปิน
ผมมีเพื่อนเป็นนักสำรวจดวงดาว ผมขอตามเขามา เรามาจากโลก
ดาวเคราะห์สีฟ้าในระบบสุริยะ เธอรู้จักไหม น่าจะรู้จัก...เธอถึงใช้ภาษาเราได้ ?"
เธอไม่ตอบได้แต่นิ่งรอฟังเขาพูดต่อไป
"ผมต้องการค้นหาสิ่งใหม่ แรงบันดาลใจที่จะสามารถผลักดันให้ผมสร้างสรรสิ่งใหม่ได้ ผมอยากแลกเปลี่ยน อยากเรียนรู้ศิลปะต่างดวงดาวในจักรวาล
"
"ถ้าเช่นนั้นท่านก็มาผิดที่แล้ว
เราไม่เคยมี "ศิลปะ"
"ศิลปะ" จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อที่ที่นั้นมีทุกสิ่งทุกอย่างเพียงพอและห่างไกลจาก "ความตาย"
ที่นี่
เรามีเพียงการแสวงหา "ความอยู่รอด" วัฒนธรรมของเรามาจากภูมิศาสตร์อันอาภัพ
มีเพียงปีศาจอย่างพวกเราเท่านั้นที่จะรอด
ท่านไปจากที่นี่เสีย"
"ไม่จริง
เหตุและผลแห่งความเป็นมาของทุก ๆ อย่างเป็นศิลปะ
เพียงแต่เธอไม่ได้เรียกมันว่าศิลปะเท่านั้น เธอรู้จักศิลปะโดยไม่รู้ตัว
ในชีวิตพเนจรอย่างผม ผมยังไม่เคยเห็นภาษาอะไรที่เหมือนท่วงทำนองดนตรีประกอบลีลาร่ายรำเหมือนภาษาที่นี่เลย"
เขาเห็นนัยน์ตาสีแดงราวพลอยทับทิมมีแววยิ้มขึ้นมาวูบหนึ่ง
"เราเป็นเพื่อนกันได้
ใช่ไหม ?" เขายื่นมือออกมาทั้งสองข้างเหยียดตรงจนสุดแขน สัญลักษณ์แห่ง 'มิตรภาพ' และยิ้มให้เธออย่างจริงใจ
หากเธอยังยืนนิ่ง
"ข้าเป็นชาวคองกา
" เสียงใสกังวาลแช่มช้าหากอ่อนโยนผิดกับที่เคยแข็งทรงอำนาจ "เป็นสิ่งมีชีวิตสีดำที่ดิบเถื่อน ดุร้าย กินคนเป็นอาหารราวปีศาจ
ท่านยังจะคิดเป็นเพื่อนกับข้าได้อีกหรือ ?"
เขาไม่ตอบเธอ
หากก้มลงมามองจับเพียงใบหน้า 'ปีศาจกินคน' เพื่อรอคำตอบจากเธอ
หญิงสาวผิวดำผู้ไร้เส้นผมมองลึกเข้ามาในนัยน์ตาเขานิ่งนาน
นาน
และเขาก็เห็นแววตาสีแดงใสแปรเปลี่ยนไปตามความรู้สึกราวกับเป็นอีกภาษาอันล้ำลึกที่เขาพยายามตีความให้ออก
ฉงน
ไม่แน่ใจ
หวาดกลัว
ดีใจ
และอีกหลายอย่าง
จนในที่สุดเขาก็เห็นเธอยิ้มออกมาทั้งดวงหน้าเป็นครั้งแรก ริมฝีปากหนาแย้มกว้างจนเห็นฟันซี่สวยสีขาวเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ
รวมทั้งเขี้ยวแหลมคมที่ครั้งหนึ่งเคยฝังเข้าไปในเส้นเลือดของเขา
มือเรียวสีดำสนิทวางในอุ้งมือใหญ่อบอุ่นของเขา สัญลักษณ์แห่ง 'ความไว้ใจ'
"ท่านจะเป็นใครก็ตาม ท่านเป็นมิตรของข้า
ข้าเป็นมิตรของท่านตลอดไป !"
"ซาฟรีรีนา !!!" เสียงเรียกดังอย่างตกใจดังขึ้นในความเงียบ หญิงสาวผมยาวคนเดิมพยายามบอกอะไรกับเธอ
แต่เมื่อ 'ซาฟรีรีนา' ไม่สนใจ เธอก็ได้แต่ก้มหน้าถอยกลับสู่เงามืดตามเดิม
"เธอชื่อ ซาฟรีรีนา?" เขาถามในขณะที่ปล่อยให้เธอจูงเขาไปนั่งยังขอบผา
"ไม่ใช่ ข้าไม่มีชื่อ"
เธอห้อยเท้าเปลือยเปล่าลงไปยังความเวิ้งว้างเบื้องล่างอย่างสบายอารมณ์ ราวกับว่ามันไม่ใช่ปากเหวลึกจนมองไม่เห็นก้น
แต่เป็นเก้าอี้ไร้พนักตัวใหญ่ของหญิงสาว คบไฟถูกปักไว้ในกอดอกไม้แห้งเบื้องหลังให้แสงเพียงสลัว วับแวมไปตามสายลมที่โชยผ่าน
"ผมเห็นคนผมยาวเรียกเธอว่า ซาฟรีรีนา"
"คนผมยาวชื่อกียา
ข้าไม่มีชื่อ แต่ทุกคนต้องเรียกข้าว่า 'ซาฟรีรีนา'
"นั่นไง
ชื่อ" เขายังไม่เข้าใจ
"ไม่ใช่
. ซาฟรีรีนา คือ ตำแหน่งเทพีศักดิ์สิทธิ์ผู้ปกป้องดูแลเผ่าคองกา"
"หรือ
เธอเป็น
หัวหน้าเผ่า ?"
"จะเรียกอย่างนั้นก็ได้ !"
เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อน นึกไม่ถึงว่าหญิงสาว
หรือบางทีอาจเรียกได้แค่ว่า เด็กสาว ซึ่งดูรูปร่างบอบบางผู้นั่งอยู่ตรงหน้าเขาขณะนี้จะเป็นผู้ปกครองเผ่ามนุษย์กินคน !
"มองข้าแบบนั้น ?
ข้าคงแปลกมากในสายตาท่าน
?"
"เธอ
กินคน
จริง ๆ หรือ ?"
ในที่สุดเขาก็ถามออกไปด้วยความสงสัยต่อข่าวที่ร่ำลือกัน
เงียบ
ความเงียบก่อตัวขึ้นชั่วขณะหนึ่งราวกับนานแสนนาน
"ผมแค่สงสัยว่า
เธอ
เอ้อ
รับประทาน
มนุษย์ลงไปได้จริง ๆ หรือ
หรือเพียงแค่ดูดเลือด
แล้วคนกลับร่ำลือผิด ๆ กลายเป็น
การกินคน"
"การดูดเลือดจนหมดร่างจะเป็นอย่างแรก ก่อนกรรมวิธีชำแหละเพื่อไม่ให้มีการเปรอะเปื้อน และเป็นการสิ้นเปลืองต่อเลือดที่ไหลทิ้งโดยเปล่าประโยชน์
เหยื่อจะชาจนไม่รู้สึกเจ็บปวดนัก
และอีกประการ
สามารถเก็บเหยื่อที่ยังเป็นๆ ได้หลายวัน ไม่ต้องกลัวการเน่าเปื่อย !"
เขาได้แต่อึ้ง กับอึ้ง
เธอพูดได้ราวกับลืมไปว่าเขา 'เกือบ'
หรือ 'เคย' ผ่านขั้นตอนแรกมาแล้ว !!
"
ท่านคงเห็นว่าพวกเรา ป่าเถื่อน ไร้อารยธรรม
การกินของพวกเราเป็นการฆาตกรรมผิดต่อบาปกรรม และเพื่อนใหม่ของท่านก็คงน่ากลัวมากในสายตาท่านสินะ
"
"
ไม่
ไม่
ไม่หรอก" เขารู้สึกขัดเขินต่อการจ้องมองตาอย่างตรงไปตรงมาของนัยน์ตาสีทับทิมคู่นั้น
"อย่าปฏิเสธ
ข้าทราบดี เรื่องปัญหาความแตกต่างของวัฒนธรรม
จะมีสักกี่คนที่เข้าใจ.. ความอดอยากแร้นแค้นของป่าแห่งนี้"
เขามองตามแขนเรียวยาวในผ้าขาวบางเบากวาดออกไปเบื้องหน้าที่มีเพียงฟ้า
หิน
ทราย
และลมแห้ง ๆ พัดแผ่วมา
"
คือผืนแผ่นดินอันไร้ชีวิตและเป็นความไม่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตที่สุด
แต่กลับเป็นที่อาศัยของพวกเรา
ท่านคงได้ยินแต่ความดิบเถื่อนของเราที่กินมนุษย์
ท่านทราบไหม
มนุษย์
เป็นข้อยกเว้นเดียวที่ทำให้พวกเราไม่เป็นมังสวิรัติเต็มตัว !"
อัลทรอยกลับไม่เคยได้ยินคำร่ำลือเช่นนี้มาก่อน
"
น่าแปลกใช่ไหม..ถ้าท่านเปิดใจให้กว้าง แล้วมองในทางกลับกัน
หากว่าข้าใจแคบเหมือนพวกท่านที่ไม่เคยเข้าใจอริยธรรมแห่งการอยู่รอดของพวกเรา
ข้าคงจะประณามพวกท่านเหมือนที่ท่านทำต่อเรา
ท่านกินเนื้อสัตว์ไม่ใช่หรือ ?
ทั้งสัตว์ใหญ่น้อยในโลกแห่งความอุดม มนุษย์อย่างพวกท่านเป็นผู้เบียดเบียนสรรพสัตว์
เป็นผู้ยืนอย่างภาคภูมิอยู่บนยอดสุดแห่งปิระมิด ห่วงโซ่อาหาร
ในขณะที่พวกเราเคารพนับถือความอยู่รอดของชีวิตสรรพสัตว์ต่างๆ เราให้โอกาสแก่ชีวิตที่อ่อนแอและด้อยกว่าได้เติบโต
เรารู้ว่า หากไม่เช่นนั้นแล้ว มนุษย์คือตัวแปรแรกที่มีผลสูงสุดต่อการทำลายระบบนิเวศน์อย่างแท้จริง สุดท้ายทั้งหมดรวมทั้งมนุษย์จะต้องถูกทำลายไปพร้อมกัน !
และด้วยภูมิประเทศเช่นนี้ การดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของชีวิตสัตว์ต่าง ๆ น่าเวทนา และงดงาม พวกเราเคารพในมัน
ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ สวยงามหรืออัปลักษณ์ มีพิษ หรือไร้พิษ
เพราะพวกมันก็ต้องดิ้นรนต่อสู้กับการมีชีวิตที่โหดร้ายเท่าๆ กัน
และท่านก็คงไม่เคยทราบว่า การกินมนุษย์ของเรา มีกฎเกณฑ์..."
"
.?"
"เราจะกินมนุษย์เฉพาะจากเหตุ 3 ประการ เท่านั้น
หนึ่ง คือ ผู้สละหมายถึง ให้กินด้วยความเต็มใจ
เหมือนดังบรรพบุรุษ หญิงสาวในตำนานเก่าแก่
ซาฟรีรีนาคนแรกแห่งคองกา
เป็นการถ่ายทอดวิญญาณจากคนรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง ดังนั้นเราไม่เคยปล่อยให้ซากศพพวกเราเสียเปล่า
ซึ่งพวกเราทุกคน ไม่วันใดวันหนึ่งก็ต้องถูกกิน เมื่อไม่ต้องการมีชีวิตอยู่อีกต่อไป หรือ เป็นไปโดยปริยายเมื่อตายลง "
"หมายความว่า
." อัลทรอยกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดคอ
"กินศพ...!
แม้ว่าพวกท่านมักคิดว่าไม่ถูกหลักโภชนาการนักก็ตาม แต่ตามความเชื่อของเผ่าเรา การกิน คือการถ่ายทอดวิญญาณ
เหมือนห่วงโซ่อาหารกับการถ่ายทอดพลังงานที่พวกท่านเรียนรู้ สำหรับพวกเรา การถูกกินอย่างผู้สละคือการได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่
คือความไม่ตายตลอดกาล ผู้ที่ต้องมีร่างสุดท้ายเป็นซากศพอันเน่าเปื่อย แตกสลายสู่รูปของอนินทรีย์แห่งธาตุทั้งสี่ วิญญาณจากฟากฟ้า
ธาตุที่ห้า หรือธาตุชีวิตจะล่องลอยจากไปสู่ความมืดมิดนอกจักรวาล
จากความเป็นคองกาชั่วนิรันดร์ สำหรับเรา คือความอัปยศที่แท้จริง!"
เสียงก้องกังวาลออกไปในกระแสลมและสูงขึ้นไปยังความเวิ้งว้างของฟากฟ้า ผู้ฟังขนลุกเกรียวขึ้นด้วยอำนาจแห่งความแปลกประหลาดบางอย่างของเรื่องที่กำลังฟัง
"
สอง คือ ผู้บุกรุก หมายถึง ศัตรูผู้ล้ำดินแดนมา
" เธอหันมายิ้มให้เขา ยิ้มแปลกคล้ายปนหัวราะ
"แต่ท่านวางใจได้
เราไม่เคยกินเพื่อน !"
น่าแปลก
ที่แม้ว่าน้ำเสียงนั้นไม่ได้กังวาลอย่างผยองในเผ่าพันธุ์เหมือนการเล่าเรื่องของ ผู้สละ
และเรื่องราวก็ไม่ได้แปลกประหลาดหรือฟังดูยิ่งใหญ่จนน่าขนลุกขนาดนั้น หากยิ่งกว่านั้น
เขากลับรู้สึกเหมือนมีก้อนแข็ง ๆ มาจุกที่คอ ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
"
และสาม คือ ผู้อาภัพ
เนื่องจากบรรพบุรุษของพวกเรามีเพียงสังคมเล็ก ๆ แค่หมู่บ้าน ในสมัยโบราณจึงมีประเพณีที่ญาติพี่น้องแต่งงานกันเอง
ตามกฎธรรมชาติของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ทำให้ลูกหลานรุ่นต่อมาจำนวนหนึ่งเกิดมามีความด้อยทางสติปัญญา
หรือมีปัญหาทางกายภาพไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง พวกเราเรียกเขาว่า ผู้อาภัพ คนพวกนี้อายุไม่ยืน และต้องเสียชีวิตตั้งแต่ยังไม่แก่ชรา
ด้วยสภาพของการดำรงชีวิตอยู่อย่างโหดร้ายระหว่างมีชีวิตอยู่ก็น่าสงสารมาก ผู้เป็นพ่อแม่จึงต้องเก็บวิญญาณของพวกเขาไว้
โดยการกินลูกตัวเอง
"
มันหดหู่อย่างบอกไม่ถูกเมื่อนึกถึงความรู้สึกของพ่อแม่ตอนตัดใจกินลูกของตัว..
พวกเขาคิดอะไรบ้าง รู้สึกอย่างไรบ้าง ขณะที่ขยับกรามขบเคี้ยวอวัยวะแต่ละชิ้นที่ประกอบจากเซลล์ทุกเซลล์อันเป็นเลือดเนื้อในสายโลหิตของตัวเอง
"แต่ในปัจจุบัน การกินประเภทที่สามเหลือน้อยจนแทบจะถูกลืมไปแล้ว
เพราะในระยะเวลาหนึ่งที่ไม่มีผู้อาภัพเติบโตจนได้เป็นพ่อแม่คนเหมือนอย่างโลกของพวกท่านสมัยในโบราณ
นานวันผ่านไป ก็ไม่มีผู้อาภัพถือกำเนิดในเผ่าเราอีก
"ท่านกำลังสับสนใช่ไหม
จะสงสาร เวทนา สยดสยอง แปลกประหลาด หรือรู้สึกอย่างไรดี
ท่านคงมีคำถามในใจมากมาย
" เธอหัวเราะเบา ๆ
"โลกของท่านต่างจากโลกของข้ามาก
ใช่ไหม ?"
"โลกของผมหรือ
" เขาได้แต่พูดพลางคิดต่อคำถามนั้น
เหม่อลอยไปไกลแสนไกล ลึกเข้าไปในท้องฟ้า
สู่ห้วงอวกาศอันกว้างใหญ่ที่ ณ จุดหนึ่งมี 'โลกของเขา' โคจรอยู่
"เราขาดหายไป
หายไปนานแสนนานแล้ว
"
"ขาดหาย ?"
"ขาดหาย
ใช่ ขาดหาย
ขาดหายความบริสุทธิ์ทางความคิด ขาดหายความไร้เดียงสา ความเชื่องมงาย ซึ่งเคยเป็นต้นกำเนิดแห่งพลังศรัทธา
เราเข้าใจว่า 'เราสามารถ' ด้วยอำนาจแห่งเทคโนโลยีที่เราเข้าใจว่า 'วิทยาศาสตร์' ถูกเสมอ จริงเสมอ มีเหตุผลอธิบายได้เสมอ
คนบนโลกของผมใช้ 'สมอง' ในขณะที่โลกของเธอยังใช้ 'หัวใจ' ใช้ 'จิตวิญญาณ'
น่าเสียดายที่มนุษย์โลกดูถูกการตัดสินใจด้วยความรู้สึก สัญชาติญาณดิบของความต้องการมีชีวิตอยู่รอด จนแทบจะลืมเลือนไปแล้วว่า เรามีสิ่งนั้นอยู่อย่างสัตว์พันธุ์หนึ่ง
โลกของผมยังขาดหาย
'ความแตกต่างของวัฒนธรรม'
เรามีเพียงความเป็น 'สากล'
ที่ครั้งหนึ่งเราเคยเชื่อกันว่า ความไม่แตกต่างกันของวัฒนธรรมและความคิด การไม่แบ่งแยกชาติพันธุ์ การทำลายลงซึ่งเขตแดนแว่นแคว้นนั้นสามารถแก้ปัญหาของสงคราม
นานมาแล้ว สมัยที่โลกของผมยังแบ่งอาณาเขตการปกครองเป็นอาณาจักรเหมือนโลกของเธอ
มีชาติมหาอำนาจแผ่อิทธิพลบังคับการรับวัฒนธรรมใหม่ด้วยสื่อต่าง ๆ ด้วยระบบการติดต่อสื่อสาร ด้วยสื่อมวลชน ด้วยเทคโนโลยี ครอบงำจนทุกส่วนของโลกล้วนเป็นสากล
และก็กลายเป็นโลกของผมแบบทุกวันนี้
แต่แล้ว
แม้ว่าไม่มีสงครามให้เห็นโดยตรง มนุษย์โลกก็ยังแก่งแย่งชิงดี เบียดเบียนกัน
ในรูปการเอารัดเอาเปรียบด้วยกลไกทางสังคมและเศรษฐกิจ ด้วยความโลภ กิเลส และความอยากได้ อยากมี อยากเป็น
ไม่ผิดอะไรกับความดิบเถื่อนหรือสงครามในสมัยโบราณเลย
เพียงแต่มันเข้มข้นขึ้นตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยีต่างหาก
!
แล้วมนุษย์ก็พยายามที่จะยัดเยียดความเป็นสากลสู่ดาวดวงอื่น ทั้งที่เรามีบทเรียนแห่งการสูญเสียความแตกต่าง เอกลักษณ์ของแต่ละเผ่าพันธุ์
มนุษย์ในโลกของผมเป็นลูกผสมกันหมด ไม่มีสีผิว สีตา สีผม ที่แตกต่างกันมากนัก สีสรรต่าง ๆ มาจากการแต่งตัว..
แต่ถึงอย่างนั้น
แม้แต่เครื่องนุ่งห่มก็จะเปลี่ยนไปเหมือน ๆ กันหมดทั้งโลก ตามกระแสของแฟชั่น !
อย่าว่าแต่เครื่องแต่งตัวเลย แม้แต่หน้าตา บุคลิก พฤติกรรม และความสามารถต่าง ๆ ยังถูกระบุไว้ตั้งแต่ยังไม่มีตัวตนตามค่านิยมของแต่ละยุค
มนุษย์โลกต่างตัดต่อพันธุกรรมกันจนแทบเหลือความเป็นตัวตนของแต่ละบุคคลอยู่แล้ว
จะมีก็แต่สัตว์เลี้ยงเท่านั้นที่เป็นพันธุ์แท้ !!!
มนุษย์โลกที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอย่างผมนี่ถือว่าเป็นอุบัติเหตุส่วนน้อย...
ทั้งร่างกาย จิตใจและความคิดของผมมีจุดด้อยและข้อตำหนิอยู่เต็มไปหมด ผมจึงเป็นคนแปลกและไม่เอาไหนในสายตาของสังคมบนโลก...
ถ้าเปรียบเทียบกับคนที่ได้รับการตกแต่งยีนส์ก่อนกำเนิดมาอย่างดี ร่างกายผมจะอ่อนแอกว่า จิตใจผมจะไม่แข็งแกร่งเท่า ความคิดของผมจะถูกมองว่าผิดปรกติ...
ความรักด้านศิลปะและความฝันที่ผมมีถูกมองว่าไร้ค่า..." เขายิ้มแบบไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรให้ดีไปกว่านั้นแล้ว... และรีบเปลี่ยนเรื่องพูด
"ถ้านับกันถึงบรรพบุรุษในตระกูลผม จะมีประมาณหนึ่งในสามที่มีสีดำเหมือนเธอ"
"จริงหรือ ?"
"แน่นอน ผมเคยเห็นภาพมนุษย์โบราณที่ยังแยกเป็น 3 เชื้อสายใหญ่ ๆ ในโลก มีสายหนึ่งเป็นคนผิวดำ"
"ท่านทำให้ข้าภูมิใจขึ้นอีกมากที่ถือกำเนิดมาเป็นคนในเผ่าคองกา ซาฟรีรีนาคนก่อน..แม่ของข้าเคยส่งข้าไปศึกษาในดินแดนของพวกอีบรู ซึ่งทำให้ข้าได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากโลกภายนอก
ข้ารู้ภาษาของท่านจากที่นั่น
เพราะมีชาวโลกเดินทางมาสอน
ว่ากันว่า สักวันหนึ่งเราต้องใช้มันเพื่อการสื่อสารเป็นภาษากลางของจักรวาล
ตอนนั้นข้ารู้ว่าตัวเองผิดปกติมากในสายตาคนนอกเผ่า ที่นั่นมีชนหลายเผ่ารวมกันอยู่ แม้ว่ามีคนผิวสีเข้มมาก แต่ก็ไม่มีเผ่าใดสีดำสนิทเหมือนอย่างเรา
และพวกเขาก็กลัวความเชื่อและประเพณีการกินของเราที่เขารู้กันมาอย่างผิด ๆ มาก
"
"ผม
มองว่า เธอสวย
มาก
แปลกประหลาดและน่าทึ่ง" เขาไม่ได้ปลอบใจเธอ แต่เปิดเผยความคิดอย่างจริงใจ
"ครั้งแรกที่ผมเห็นเธอนั่งอยู่ตรงนี้
ผมคิดว่าเธอเป็นเงา เป็นภาพลวงตาหรือว่า เป็นความฝัน
"
"ส่วนข้า
แปลกใจมาก ไม่รู้ท่านมาได้อย่างไร ที่นี่ห่างไกลจากผู้คนมาก หน้าผาแห่งนี้ เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ข้าไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่ แต่มีภาระจำศีล
เพื่อภาวนา"
"เป็นอย่างไร ?"
"อย่างที่เห็น ข้าต้องสละเส้นผมและอาภรณ์ต่าง ๆ นั่งเฉย ๆ เป็นเวลาเจ็ดคืนพระจันทร์ โดยไม่กินอะไรเลย แต่ถึงคืนเต็มดวงสุดท้าย จมูกข้าได้กลิ่นท่านบุกรุกมา
ข้าก็รู้ว่า ฟ้าประทานอาหารมาแล้ว !"
เขาได้ยินเสียงหัวเราะสดใสของหญิงสาวก้องกังวาลไปทั่วหุบผา
"อย่าทำหน้าอย่างนั้น
และขออย่ากลัวข้า ข้าเป็นมิตรของท่านแล้ว ข้าไม่กินท่าน และจะไม่มีใครกินท่านได้เลย"
เขาเริ่มมองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน
ยามเธอหัวเราะ
เธอดูไร้เดียงสา
เป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งเท่านั้นเอง
น่าเสียดายที่ตอนนี้เขาไม่มีอะไรเลยที่พอจะเก็บภาพเธอ
เขาอยากวาดรูปเธอ อยากวาด
ตอนยานที่เขาอาศัยมาตกด้วยอุบัติเหตุระเบิด สมบัติของเขาทั้งหมดก็หายไปด้วย
รวมทั้งเพื่อนของเขา
ยังไม่รู้ว่ายังมีชีวิตรอดอย่างเขาหรือไม่ อยู่ไหน
แคปซูลที่ป้องกันตัวเขาคงกระเด็นมาไกลมากจากจุดระเบิด หรือเขาต้องติดอยู่ที่นี่ตลอดไป
"ข้าขอโทษ" เสียงเธอทำให้เขาถูกปลุกจากกระแสความคิดที่กำลังแล่นอยู่ในสมอง
" ? " เธอขอโทษเขาเรื่องอะไร
"ที่คอท่าน เจ็บมากไหม ?" เธอแตะที่แผลเล็ก ๆ บนต้นคอเขาแผ่วเบา
เมื่อเข้าใจแล้ว อัลทรอยจึงกำข้อมือเรียวบางนั้นแน่น แกล้งดึงเข้ามาจนใกล้ จ้องมองในนัยน์ตาเธอด้วยสายตาดุร้ายแกมเอ็นดู
"เจ็บ
เจ็บมากด้วย
ซาฟรีรีนา
ผมดูดเลือดเธอบ้าง แก้แค้นเลยดีไหม"
เขาทำเสียงคำรามขู่อย่างจริงจัง เพื่อหยอกเธอเล่นไปอย่างนั้นเอง ไม่มีความคิดอื่นใดแฝง
เขาอยากรู้ว่าเธอจะแก้ปัญหาอย่างไร ถ้าคนที่เคยแต่กินคนอื่น จะถูกคนอื่นกินบ้าง
แต่แล้วเขากลับเป็นฝ่ายแปลกใจเมื่อเห็นเธอก้มหน้าลง และยิ้มเขินอายอย่างหญิงสาวที่กำลังถูกขอความรัก!
"ดีแน่นอน
ข้าจะมีวิญญาณอยู่ในร่างท่าน แต่ว่าท่านจะไม่ได้กลับไปสู่โลกของท่านอีก ท่านจะต้องอยู่กับข้าที่นี่ตลอดไป และความเป็นเพื่อนของเราจะถูกทำลาย"
"อะไรนะ?" เขาไม่เข้าใจอีกแล้ว
"เพราะว่าข้าคือซาฟรีรีนา
ข้าจะเล่าตำนานเทพีเก่าแก่ของเราให้ท่านฟัง
ซาฟรีรีนาเดิมเป็นชื่อของหญิงสาวในตำนาน
." เสียงกังวาลดังขึ้นในความเงียบเมื่อเธอเริ่มต้นเรื่องราวในตำนานแห่งเผ่าพันธุ์
อัลทรอยปล่อยมือเธอให้เป็นอิสระเพื่อที่จะวาดเป็นท่าทางตามความเคยชินของการใช้ภาษาแม่ของเธอ
เขาเอนตัวลงนอนตะแคงฟังอย่างสนใจ คล้ายเด็กที่กำลังฟังแม่เล่านิทาน
"ในสมัยก่อน เมื่อนานแสนนานมาแล้ว
ดาวของเรามีชนหลายเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ร่วมกัน
บนผืนแผ่นดินใหญ่ที่มีน้ำล้อมรอบอีกฟากหนึ่งของดวงดาว แต่เพราะพวกเราเป็นชนกลุ่มน้อยที่มีสีผิวผิดแผกจากเผ่าอื่นมาก
จึงถูกกีดกันจากความเสมอภาค และอยู่อย่างบุคคลชั้นล่างในสังคมอย่างทรมาน แม้ว่าจะลุกขึ้นต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ต้องพ่ายแพ้
จนต้องหนีมายังป่าหินบนเกาะกลางทะเลทรายอันทุรกันดารแห่งนี้
เหมือนตกนรกทั้งเป็น
ที่นี่มีเพียงหินและทราย จนสุดลูกหูลูกตาเป็นขอบฟ้าตะปุ่มตะป่ำด้วยผาหินสูงลิบลิ่ววางระเกะระกะ
ไม่มีแหล่งน้ำ ไม่มีอาหาร ไม่มีสัตว์ให้เห็น ไม่มีพืชอื่นใดนอกจากดอกไม้ฟาราราอันมีพิษอยู่ภายนอกตามธรรมชาติ
แรกทีเดียวพวกเราไม่รู้กรรมวิธีสกัดสารจากตัวมัน ซึ่งทำให้เราอยู่รอดได้ด้วยสมุนไพรร้อยพันอย่าง ทั้งอาหาร ยา และที่สำคัญที่สุดคือแหล่งน้ำและความชื้น"
เธอนั่งด้วยท่าสบายๆ แกว่งเท้าอยู่ในความว่างเปล่าของหุบเหว ลมพัดบางเบากระจายลอยล่องเป็นคลื่นสีขาว จนคล้ายกับว่าเธอเป็นส่วนหนึ่งของสายลม
"แล้วอาหารและเสบียงต่างๆ ที่นำติดตัวมาจากแผ่นดินเก่าก็ค่อย ๆ หมดไป ไม่มีอะไรประทับความหิวโหยได้เลย
ได้แต่นั่งหลบแดดอยู่ในหุบเหวไปวัน ๆ อย่างหมดอาลัยตายอยาก
ในกลุ่มคนที่อพยพมา มีหญิงคนหนึ่งชื่อ ซาฟรีรีนา
เธอคิดว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปจะต้องอดตายกันหมดสักวันหนึ่งเป็นแน่ จึงยอมเสียสละอย่างใหญ่หลวง แลกชีวิตของตัวเองเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์
เธอปีนขึ้นไปบนยอดผาที่สูงที่สุดเพื่อภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยประทานอาหารให้แก่พวกเขาหลังการจบสิ้นของชีวิตเธอ
แล้วเธอก็กระโดดลงไปจากหน้าผาเพื่อสังเวยชีวิตแก่ผู้คนทั้งหลายได้กัดกิน เธอจึงมีชีวิจิตวิญญาณสิงสถิตอยู่ในทุกอณูร่างกายแห่งชนเผ่าคองกา
จากนั้นต่อมา คำภาวนาของหญิงสาวก็เป็นจริง...
ดอกไม้พิษฟาราราก็กลายเป็นผลไม้ที่พวกเราใช้เป็นอาหารหลักอยู่ทุกวันนี้
ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ผาหินที่เธอกระโดดลงไป ก็คือผาหินแห่งนี้นั่นเอง
จึงถูกเรียกว่า ผาหินแห่งกำเนิด
ด้วยเหตุว่า ตามความเชื่อ เราไม่ถือว่าเธอตาย เพราะสำหรับพวกเรา การตายคือการสูญเปล่า
แต่การถูกกินคือการถ่ายทอดวิญญาณของเจ้าของร่างสู่ผู้กินเป็นการเกิดใหม่ สืบทอดทางสายเลือดและวิญญาณที่แท้จริงยิ่งกว่าการสืบสายพันธุ์"
ด้วยตำนานที่เล่าขานโดยหญิงสาว และภาพของเธอที่นั่งอยู่เบื้องหน้า อัลทรอยจินตนาการไปถึงซาฟรีรีนาในตำนานได้อย่างชัดเจน ราวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนหุบเหวแห่งนี้เกิดขึ้นซ้อนในมิติแห่งปัจจุบันอีกครั้ง
"ซาฟรีรีนาจึงเป็นชื่อตำแหน่งที่ยกย่องหญิงสาวให้เป็นหัวหน้าเผ่าสืบทอดต่อกันมา โดยสืบสายเลือดตามปกติถ้าซาฟรีรีนามีลูกสาว
แต่ถ้าไม่มี หญิงสาวที่เหมาะสมจะถูกคัดเลือกมาแทน และสิ่งสำคัญที่สุด ..เธอผู้นั้นจะต้องรับวิญญาณซาฟรีรีนาคนก่อนไว้ในร่าง
"
"
แปลว่า
"
"
ใช่
พออายุครบสิบห้าปี ข้าก็กินแม่ของข้าเอง !"
"
! ! !"
เขาพูดอะไรไม่ออกอีกเลย
"ทุกอย่างถูกกำหนดมาหมดแล้วตามประเพณีที่สืบทอดต่อกันมาเป็นเวลานับพัน ๆ ปี ข้าไม่สามารถทวนกระแสแรงเฉื่อยของวัฒนธรรมได้
ตอนเป็นเด็กข้ากลัวเหลือเกินที่จะต้องเติบโต ถ้าทำได้ข้าอยากจะหยุดเวลาไว้นาน ๆ
ข้ากลัววันที่ข้ามีอายุครบสิบห้า ราวกับกลัวคำสาป
แม้ว่าข้าอยากอยู่กับแม่นาน ๆ จนแต่งงานมีลูกให้แม่ได้อุ้มลูกของฉันเหมือนอย่างหญิงสาวทั่ว ๆ ไป
แต่มันก็เป็นแค่ความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง
ในวันข้างหน้า เมื่อข้ามีลูกสาว เมื่อลูกสาวโตขึ้น ข้าจะต้องให้ลูกกินเหมือนอย่างที่แม่ให้ข้า ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก
แต่ข้าก็ภูมิใจอยู่ลึก ๆ ที่แม่อยู่กับข้า
อยู่ 'ในข้า' ตลอดไป"
อัลทรอยได้แต่ก้มหน้านิ่ง
ถอนหายใจด้วยการหยุดความคิดที่แล่นไหลอย่างสับสน ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ขัดกับสิ่งที่เขาเคยคิด เคยฝันในโลกของเขาอย่างตาลปัตร
"แต่ข้าอาจไม่มีชีวิตยาวพอที่จะให้กำเนิดลูกสาวก็ได้
มาตาโบลาทำนายว่า ข้าจะต้องมีอันเป็นไป
"
"มาตาโบลา ?"
"มาตา คือชื่อตำแหน่งผู้มีอำนาจแห่งการแลเห็นกาลภายหน้า โบลา คือ ชื่อของแม่เฒ่าที่กำลังอยู่ในตำแหน่งมาตาปัจจุบัน เธอแก่มากแล้ว และทำนายไม่เคยพลาดมาเลย
แต่ถ้าท่านยอมดูดเลือดข้าจริง ก็เท่ากับว่า มาตาโบลาทำนายผิดแล้วครั้งหนึ่ง
เพราะว่านั่นเท่ากับข้า 'ฝากวิญญาณ' ไว้กับท่านแล้ว
"
ถ้าผิวเธอเป็นสีอ่อน เขาคงเห็นว่าแก้มเนียนของเธอกลายเป็นสีแดงด้วยความเอียงอาย
"
เป็นประเพณีของเผ่าเรา การแลกเลือดระหว่างชายหญิง
ถือเป็นการแต่งงาน
"
เขาได้แต่ยิ้ม..
ยิ้มแล้วหัวเราะเบา ๆ
นี่เขาจะแต่งงานกับหัวหน้าเผ่ากินคน โดยการดูดเลือดสาบานหรือ พอลูกสาวโตขึ้น เขาจะทนเห็นเมียของเขาถูกฆ่าตายอย่างถูกกฎหมาย ถูกประเพณี และโดยชอบธรรม แล้วให้ลูกสาวเขากลืนลงท้องได้หรือ
บ้าแล้ว
และนั่นคือความคิดของมนุษย์โลก
ความแผกต่างของวัฒนธรรม
.!
"แต่ท่านไม่มีเขี้ยวนี่นา... ท่านก็อดแต่งงานกับข้าเลยน่ะสิ !"
เสียงใสหัวเราะดังกังวานอย่างมัความสุข...แต่
ความคิดเห็น