ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ซาฟรีรีนา

    ลำดับตอนที่ #6 : บนผาหินแห่งกำเนิด

    • อัปเดตล่าสุด 2 ก.พ. 49


    บนผาหินแห่งกำเนิด




     เจ็บเหลือเกิน…

     ที่ต้นคอเหมือนไม่รู้มีของมีคมอะไรทิ่มแทงอยู่… 

    เลือดอุ่นๆ คงกำลังทะลักออกมา…

     แล้วก็หายไป…

     ทะลักออกมาอีก…

     แล้วก็หายไป…ครั้งแล้วครั้งเล่า

     เส้นเลือดใหญ่ที่ต้นคอกระตุกเป็นพัก ๆ ด้วยอาการขาดเลือด  เขาขยับตัวไม่ได้  …
    "อะไร" บางอย่างกดทับ…

     ก้นเหวมืดมิดมี "อะไร" ?

     มันอุ่น  และก็นิ่มด้วย…

     สัญชาติญาณแห่งการเอาตัวรอดปลุกเขาให้รู้สึกตัวขึ้นมา… 

    เขาไม่ได้อยู่ที่ก้นเหลวแล้วนี่นา 

    ก็เขาปีนขึ้นมาอย่างยากลำบากจนพบกับดวงจันทร์ขนาดใหญ่  ดอกไม้ประหลาด  และหญิงสาวสีดำที่งดงามยิ่งบนหน้าผา 

    อะไรก็ช่างแต่เขาต้องรู้สึกตัวให้เร็วที่สุด  …เพราะว่า…

     เขากำลังถูกดูดเลือด !…

     เขาพยายามดิ้นรนแม้ว่าไร้เรี่ยวแรงก็ตาม  และดูเหมือน  "มัน"  จะรู้ถึงความกลัวสุดขีดและการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของเขาจึงถอนฟันคมออกไปจากต้นคอ 

    มีสัมผัสแผ่วเบามาปิดปากแผลแทนที่  ขาลืมตาแทบไม่ขึ้น 

    ทุกสิ่งทุกอย่างเบลออยู่ในม่านตา  รวมทั้งท้องฟ้าสีเข้มของกลางคืนผืนเดิม 

    หากดวงดาวที่ระยิบระยับเต็มท้องฟ้านั้น  ทำให้เขาไม่แน่ใจ…
     
    แต่…คน…ที่อยู่ตรงหน้าขณะนี้ 

    แม้ว่าเขาไม่สามารถมองผ่านความพร่ามัวของดวงตาได้ชัดเจน เขาก็รู้ได้ว่า  เป็นหญิงสาวคนเดียวกับที่เขาพบเมื่อคืนนั้น …

    เธอก้มลงมองดูเขา  ขณะที่มือเรียวยาวกดอยู่ที่ลำคอ 

    เขาพยายามปรับสายตาให้เห็นชัดเจนขึ้น  ในความสลัวท่ามกลางแสงดาวสกาวเต็มผืนฟ้า

    เขาเห็นดวงตากลมโตสีแดงสดใสราวทับทิม ใต้ขนตางอนประกายเงิน ยาวกระพริบจ้องเขาอย่าง…อย่าง…

    คงไม่ใช่ "อย่างน่าเอร็ดอร่อย"  หรอกนะ… 

    อย่างปราณี…ก็ไม่ใช่อีก …ไม่มีผู้บริโภคใดปราณี  "เหยื่อ"  ของตัวเองหรอก



     "มนุษย์โลก?"

     เขาแทบไม่เชื่อหู  เธอพูดภาษาเราได้…!

     เขาอยากยิ้ม  อยากยิ้มดีใจราวกับได้พบเพื่อน  จนแทบจะไปว่า  เธอกำลังจะกินเขา 

    แต่ว่า  การสื่อสารที่สามารถเข้าใจถึงกันในเวลาที่คิดว่าเหลือตัวคนเดียวในที่แปลกถิ่น โลกที่ไม่มีใครเข้าใจเขาเลย…

    มันคือความยินดีที่น่าตื่นเต้น  และไม่คิดว่าน่าจะเป็นไปได้!

     หากเขาไม่มีปัญญาพูดตอบโต้อะไรด้วยเลย….

     "ท่านคือผู้บุกรุก …และตกเป็นเหยื่อของข้า…."  เสียงของเธอใสหวาน  แต่หนักแน่นและกังวาลอย่างไว้อำนาจ

     เขาได้แต่นิ่งเงียบ

     "ท่านคงคิดสินะว่า  พวกเราเผ่าคองกาคือผู้ป่าเถื่อน …คือฆาตกร…  คือนักฆ่า… กิน…แม้แต่พวกเดียวกัน! …"

     "…"

     เขาไม่มีแรงหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อยแล้วจะให้พูดได้อย่างไร

     "กลัวหรือ?"

     "ไม่…  น่าแปลกที่เขาเริ่มไม่รู้สึกกลัวเหมือนรู้สึกตัวทีแรก… 

    เขากลับมองเธอด้วยสายตาวิงวอน…

    ไม่ใช่ขอชีวิต แต่เขาอยากคุยกับเธอ  เขาอยากขยับเขยื้อนตัวได้เพื่อที่จะสัมผัสผิวเนียนสีดำสนิทผิดกับมนุษย์บนโลกของเขา

     นัยน์ตาเธอกลมโตสีแดงเข้มสดใสลึกแวววาวในความมืดมองดูเขานิ่งนาน …ถอนใจ

     "ข้าไม่กินท่านก็ได้…  กียา"  เธอหันหน้าสู่ความมืดเพื่อร้องเรียกใครบางคน

     แล้วเขาก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งผลุดออกมาจากเงามืดหลังโขดหินอย่างนอบน้อม ผิวของเธอสีดำสนิทเหมือนกัน  หากผมสีดำยาวอย่างยิ่งและดวงหน้าที่ไม่งดงามเท่า…

     เธอถูกสั่งอะไรบางอย่างด้วยภาษาที่เขาไม่เข้าใจ  ซึ่งใช้รหัสเสียงสูงต่ำเป็นทำนองและท่าทางประกอบกันคล้ายการเต้นรำอย่างน่าอัศจรรย์ 

    และดูเหมือนว่าเธอพยายามทักท้วงอย่างอ้ำอึ้ง  หากความไม่กล้าทำให้ต้องถอยออกไปตามคำสั่งเงียบ ๆ 

     "กลูเคซิลจาก "ฟารารา"  คงทำให้ท่านดีขึ้น"  หญิงสาวสีดำผู้ไร้เส้นผมบอกเรียบ ๆ ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง

     "เดี๋ยวก่อน…"  เขาร่ำร้องอยู่ในใจ  "ไอ้นั่นมันชื่อดอกไม้พิษไม่ใช่หรือ !"

     หากเปล่งเสียงไม่ออก   แม้กระนั้นเธอยังคงรู้  อาจเนื่องจากเธอสามารถอ่านแววตาของเขา

     "…ไม่ต้องกลัว…ฟาราราเป็นชื่อตระกูลดอกไม้ในป่าหินแห่งนี้…มีหลายพันธุ์…  ที่ทำให้ท่านเป็นอัมพาตชั่วคราวและหลับมาถึงตอนนี้คือพันธุ์หนึ่งซึ่งพวกเราใช้เป็นเครื่องป้องกันตัว…

    หรือบางครั้งบางคราว…เมื่อจำเป็นเราก็ใช้มัน "ดักเหยื่อ"!"  เธอพูดไปเรื่อย ๆ โดยไม่ทราบว่าคนฟังขนลุกอย่างหวาดเสียว

     "…สำหรับข้าที่ใช้ต่อท่านเป็นเหตุผลประการแรก…  ฟาราราบางชนิดก็สกัดสารออกมากินได้  และใช้รักษาโรคได้  แม้ว่าหน้าตามันจะน่าเกลียดก็ตาม"

     เขาปล่อยให้หญิงสาวผมยาวนำสายอะไรบางอย่างเส้นเล็กยาวจ่อเข้ามาในปาก  รสหวานจัดจนแทบสำลักหากจำต้องดูดกลืนลงไปอย่างโหยหิว 

    ทำให้บาดแผลลึกที่ต้นคอเปิดออก  เขารู้สึกถึงมืออ่อนนุ่มอีกคู่กดแน่นเพื่อห้ามเลือดอีกครั้ง…

     เขาไม่แน่ใจว่า  นอกจากที่เธอบอก  ในของเหลวหวานจัดนั้นยังผสมยาอะไรอย่างอื่นหรือไม่ 

    แต่มันทำให้เขาหลับใหลไม่ได้สติอีกครั้ง…
     .
     .
     .
     …บนผาหินแห่งเดิม…

     เขายังอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน… 

    ไม่รู้กี่วันกี่คืนแล้วหรืออาจเป็นเพียงไม่กี่นาทีที่เขาหลับไป  มิติแห่งกาลเวลาช่างสับสนเหลือเกินสำหรับมนุษย์ต่างดาวอย่างเขา

     คืนนี้  ดวงดาวยังระยับเต็มท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม  หากมีเส้นโค้งที่บางอย่างยิ่งของเสี้ยวพระจันทร์ขนาดใหญ่ ปรากฎอยู่ทางทิศหนึ่งของฟากฟ้า

     ชายหนุ่มค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างยากเย็น  ออกจากผ้าสีขาวสะอาดปูลาดรองรับร่างของเขาบนหินแข็งอันเย็นเยือก  ทำให้เขารู้ว่ามันน่าจะเป็นเวลากว่าค่อนคืนแล้วเพราะถ้าเป็นตอนพลบค่ำ  หินเหล่านี้จะยังคงอุ่นด้วยความร้อนที่สะสมอยู่ภายใน 

    ลมโชยมาเบา ๆ …เย็น…แห้ง…

     นี่เขายังไม่ตาย…

     ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้กินเขาเข้าไป?

     เขาอยากรู้ว่าตอนนี้เธออยู่ไหน 

    เมื่อมองไปรอบ ๆ จึงเห็นเงาของใครบางคนนั่งอยู่หลังพุ่มดอกไม้ประหลาดฟารารา  ผมยาวนั้นแสดงว่าไม่ใช่เธอ 

    แต่เป็นหญิงสาวที่เธอเรียกว่า  กียา หรืออะไรสักอย่าง

     "สวัสดี"  เขาเดินโซเซเพื่อเข้าไปทักทาย

     "มาเฝ้าฉันหรือ?"  ถามพร้อมสะบัดกวัดแกว่งมือเท้าเพื่อยืดเส้นสาย  และเรียกความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อกลับคืนมา

     "…"

     "นายเธอล่ะ?"  ถ้าเขาเดาสถานภาพไม่ผิดนะ

     "พูดไม่ได้หรือ?"

     "เขาไม่รู้ภาษาของท่าน"  เสียงนั้นทำให้เขาหมุนตัวกลับไปพบกับร่างเล็กบางสีดำตัดกับอาภรณ์สีขาวบางเบายาวกรอมเท้าพริ้วไปตามสายลม 

    เธอก้าวออกมาพร้อมคบไฟในมือทำให้เขาเห็นดวงหน้างดงามจับตาอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก

     "จำไว้ว่า  มีเพียงข้าเท่านั้นในดินแดนแห่งป่าหินกลางทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาล  ที่สามารถสื่อสารกับท่านรู้เรื่อง"

     "เธอ…คือ…"

     "ข้าต่างหากที่ต้องถามว่า ท่านคือใคร !"

     "ผมชื่อ  อัลทรอย…  เรียกผมว่า ทรอย"

     "ทรอย…?  ท่านมาที่นี่เพื่ออะไร ?"

     "เพื่อค้นหา… "แรงบันดาลใจ"

     "ข้าไม่เข้าใจ"   ดวงตากลมโตใต้ขนตางอนยาวกระพริบมองเขาไม่วางตา

     "ผมเป็นศิลปิน…  ผมมีเพื่อนเป็นนักสำรวจดวงดาว  ผมขอตามเขามา  เรามาจากโลก…ดาวเคราะห์สีฟ้าในระบบสุริยะ  เธอรู้จักไหม   น่าจะรู้จัก...เธอถึงใช้ภาษาเราได้ ?"

     เธอไม่ตอบได้แต่นิ่งรอฟังเขาพูดต่อไป

     "ผมต้องการค้นหาสิ่งใหม่  แรงบันดาลใจที่จะสามารถผลักดันให้ผมสร้างสรรสิ่งใหม่ได้ ผมอยากแลกเปลี่ยน  อยากเรียนรู้ศิลปะต่างดวงดาวในจักรวาล…"

     "ถ้าเช่นนั้นท่านก็มาผิดที่แล้ว…  เราไม่เคยมี "ศิลปะ" … "ศิลปะ"  จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อที่ที่นั้นมีทุกสิ่งทุกอย่างเพียงพอและห่างไกลจาก "ความตาย" 

    …ที่นี่…  เรามีเพียงการแสวงหา "ความอยู่รอด"  วัฒนธรรมของเรามาจากภูมิศาสตร์อันอาภัพ 

    มีเพียงปีศาจอย่างพวกเราเท่านั้นที่จะรอด… ท่านไปจากที่นี่เสีย"


     "ไม่จริง…  เหตุและผลแห่งความเป็นมาของทุก ๆ อย่างเป็นศิลปะ…  เพียงแต่เธอไม่ได้เรียกมันว่าศิลปะเท่านั้น เธอรู้จักศิลปะโดยไม่รู้ตัว… 

    ในชีวิตพเนจรอย่างผม  ผมยังไม่เคยเห็นภาษาอะไรที่เหมือนท่วงทำนองดนตรีประกอบลีลาร่ายรำเหมือนภาษาที่นี่เลย"

     เขาเห็นนัยน์ตาสีแดงราวพลอยทับทิมมีแววยิ้มขึ้นมาวูบหนึ่ง…

     "เราเป็นเพื่อนกันได้…ใช่ไหม ?"  เขายื่นมือออกมาทั้งสองข้างเหยียดตรงจนสุดแขน   สัญลักษณ์แห่ง 'มิตรภาพ' และยิ้มให้เธออย่างจริงใจ…

    หากเธอยังยืนนิ่ง

     "ข้าเป็นชาวคองกา…"  เสียงใสกังวาลแช่มช้าหากอ่อนโยนผิดกับที่เคยแข็งทรงอำนาจ "เป็นสิ่งมีชีวิตสีดำที่ดิบเถื่อน ดุร้าย กินคนเป็นอาหารราวปีศาจ…  ท่านยังจะคิดเป็นเพื่อนกับข้าได้อีกหรือ ?"

     เขาไม่ตอบเธอ 

    หากก้มลงมามองจับเพียงใบหน้า  'ปีศาจกินคน'  เพื่อรอคำตอบจากเธอ

     หญิงสาวผิวดำผู้ไร้เส้นผมมองลึกเข้ามาในนัยน์ตาเขานิ่งนาน…นาน… 

    และเขาก็เห็นแววตาสีแดงใสแปรเปลี่ยนไปตามความรู้สึกราวกับเป็นอีกภาษาอันล้ำลึกที่เขาพยายามตีความให้ออก…

    ฉงน…  ไม่แน่ใจ… หวาดกลัว… ดีใจ… และอีกหลายอย่าง 

    จนในที่สุดเขาก็เห็นเธอยิ้มออกมาทั้งดวงหน้าเป็นครั้งแรก  ริมฝีปากหนาแย้มกว้างจนเห็นฟันซี่สวยสีขาวเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ 

    รวมทั้งเขี้ยวแหลมคมที่ครั้งหนึ่งเคยฝังเข้าไปในเส้นเลือดของเขา…

     มือเรียวสีดำสนิทวางในอุ้งมือใหญ่อบอุ่นของเขา  สัญลักษณ์แห่ง  'ความไว้ใจ'

     "ท่านจะเป็นใครก็ตาม  ท่านเป็นมิตรของข้า…ข้าเป็นมิตรของท่านตลอดไป !"

     "ซาฟรีรีนา !!!"  เสียงเรียกดังอย่างตกใจดังขึ้นในความเงียบ  หญิงสาวผมยาวคนเดิมพยายามบอกอะไรกับเธอ… 

    แต่เมื่อ  'ซาฟรีรีนา'  ไม่สนใจ เธอก็ได้แต่ก้มหน้าถอยกลับสู่เงามืดตามเดิม…

     "เธอชื่อ  ซาฟรีรีนา?"  เขาถามในขณะที่ปล่อยให้เธอจูงเขาไปนั่งยังขอบผา

     "ไม่ใช่  ข้าไม่มีชื่อ"

     เธอห้อยเท้าเปลือยเปล่าลงไปยังความเวิ้งว้างเบื้องล่างอย่างสบายอารมณ์ ราวกับว่ามันไม่ใช่ปากเหวลึกจนมองไม่เห็นก้น 

    แต่เป็นเก้าอี้ไร้พนักตัวใหญ่ของหญิงสาว  คบไฟถูกปักไว้ในกอดอกไม้แห้งเบื้องหลังให้แสงเพียงสลัว  วับแวมไปตามสายลมที่โชยผ่าน

     "ผมเห็นคนผมยาวเรียกเธอว่า   ซาฟรีรีนา"

     "คนผมยาวชื่อกียา…  ข้าไม่มีชื่อ  แต่ทุกคนต้องเรียกข้าว่า 'ซาฟรีรีนา' 

     "นั่นไง…ชื่อ"  เขายังไม่เข้าใจ

     "ไม่ใช่…. ซาฟรีรีนา  คือ ตำแหน่งเทพีศักดิ์สิทธิ์ผู้ปกป้องดูแลเผ่าคองกา"

     "หรือ…เธอเป็น…หัวหน้าเผ่า ?"

     "จะเรียกอย่างนั้นก็ได้ !"

     เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อน  นึกไม่ถึงว่าหญิงสาว …หรือบางทีอาจเรียกได้แค่ว่า  เด็กสาว  ซึ่งดูรูปร่างบอบบางผู้นั่งอยู่ตรงหน้าเขาขณะนี้จะเป็นผู้ปกครองเผ่ามนุษย์กินคน !

     "มองข้าแบบนั้น ?… ข้าคงแปลกมากในสายตาท่าน…?"

     "เธอ…กินคน… จริง ๆ หรือ ?"

     ในที่สุดเขาก็ถามออกไปด้วยความสงสัยต่อข่าวที่ร่ำลือกัน…

     เงียบ… 

    ความเงียบก่อตัวขึ้นชั่วขณะหนึ่งราวกับนานแสนนาน…

     "ผมแค่สงสัยว่า  …เธอ… เอ้อ… รับประทาน… มนุษย์ลงไปได้จริง ๆ หรือ… หรือเพียงแค่ดูดเลือด…  แล้วคนกลับร่ำลือผิด ๆ กลายเป็น  …การกินคน"

     "การดูดเลือดจนหมดร่างจะเป็นอย่างแรก ก่อนกรรมวิธีชำแหละเพื่อไม่ให้มีการเปรอะเปื้อน และเป็นการสิ้นเปลืองต่อเลือดที่ไหลทิ้งโดยเปล่าประโยชน์…

    เหยื่อจะชาจนไม่รู้สึกเจ็บปวดนัก…  และอีกประการ…  สามารถเก็บเหยื่อที่ยังเป็นๆ  ได้หลายวัน  ไม่ต้องกลัวการเน่าเปื่อย !"

     เขาได้แต่อึ้ง  กับอึ้ง…

     เธอพูดได้ราวกับลืมไปว่าเขา  'เกือบ'  …หรือ 'เคย'  ผ่านขั้นตอนแรกมาแล้ว !!

     "…ท่านคงเห็นว่าพวกเรา  ป่าเถื่อน  ไร้อารยธรรม…  การกินของพวกเราเป็นการฆาตกรรมผิดต่อบาปกรรม  และเพื่อนใหม่ของท่านก็คงน่ากลัวมากในสายตาท่านสินะ…"

     "…ไม่ …ไม่… ไม่หรอก"  เขารู้สึกขัดเขินต่อการจ้องมองตาอย่างตรงไปตรงมาของนัยน์ตาสีทับทิมคู่นั้น

     "อย่าปฏิเสธ… ข้าทราบดี  เรื่องปัญหาความแตกต่างของวัฒนธรรม…จะมีสักกี่คนที่เข้าใจ.. ความอดอยากแร้นแค้นของป่าแห่งนี้" 

    เขามองตามแขนเรียวยาวในผ้าขาวบางเบากวาดออกไปเบื้องหน้าที่มีเพียงฟ้า…หิน…ทราย… และลมแห้ง ๆ พัดแผ่วมา  

    "…คือผืนแผ่นดินอันไร้ชีวิตและเป็นความไม่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตที่สุด… แต่กลับเป็นที่อาศัยของพวกเรา…

    ท่านคงได้ยินแต่ความดิบเถื่อนของเราที่กินมนุษย์…ท่านทราบไหม …มนุษย์… เป็นข้อยกเว้นเดียวที่ทำให้พวกเราไม่เป็นมังสวิรัติเต็มตัว !"

     อัลทรอยกลับไม่เคยได้ยินคำร่ำลือเช่นนี้มาก่อน

     "…น่าแปลกใช่ไหม..ถ้าท่านเปิดใจให้กว้าง  แล้วมองในทางกลับกัน…

    หากว่าข้าใจแคบเหมือนพวกท่านที่ไม่เคยเข้าใจอริยธรรมแห่งการอยู่รอดของพวกเรา… ข้าคงจะประณามพวกท่านเหมือนที่ท่านทำต่อเรา …

    ท่านกินเนื้อสัตว์ไม่ใช่หรือ ?

    ทั้งสัตว์ใหญ่น้อยในโลกแห่งความอุดม  มนุษย์อย่างพวกท่านเป็นผู้เบียดเบียนสรรพสัตว์  …เป็นผู้ยืนอย่างภาคภูมิอยู่บนยอดสุดแห่งปิระมิด  ห่วงโซ่อาหาร…

    ในขณะที่พวกเราเคารพนับถือความอยู่รอดของชีวิตสรรพสัตว์ต่างๆ  เราให้โอกาสแก่ชีวิตที่อ่อนแอและด้อยกว่าได้เติบโต

    …เรารู้ว่า หากไม่เช่นนั้นแล้ว  มนุษย์คือตัวแปรแรกที่มีผลสูงสุดต่อการทำลายระบบนิเวศน์อย่างแท้จริง  สุดท้ายทั้งหมดรวมทั้งมนุษย์จะต้องถูกทำลายไปพร้อมกัน !

     …และด้วยภูมิประเทศเช่นนี้ การดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของชีวิตสัตว์ต่าง ๆ น่าเวทนา  และงดงาม พวกเราเคารพในมัน 

    ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่  สวยงามหรืออัปลักษณ์  มีพิษ หรือไร้พิษ… เพราะพวกมันก็ต้องดิ้นรนต่อสู้กับการมีชีวิตที่โหดร้ายเท่าๆ  กัน…

     และท่านก็คงไม่เคยทราบว่า  การกินมนุษย์ของเรา  มีกฎเกณฑ์..."

     "….?"

     "เราจะกินมนุษย์เฉพาะจากเหตุ  3  ประการ เท่านั้น … 

    หนึ่ง คือ  ผู้สละหมายถึง ให้กินด้วยความเต็มใจ…

    เหมือนดังบรรพบุรุษ  หญิงสาวในตำนานเก่าแก่…

    ซาฟรีรีนาคนแรกแห่งคองกา…

    เป็นการถ่ายทอดวิญญาณจากคนรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง  ดังนั้นเราไม่เคยปล่อยให้ซากศพพวกเราเสียเปล่า… 

    ซึ่งพวกเราทุกคน  ไม่วันใดวันหนึ่งก็ต้องถูกกิน  เมื่อไม่ต้องการมีชีวิตอยู่อีกต่อไป  หรือ  เป็นไปโดยปริยายเมื่อตายลง "

    "หมายความว่า…."  อัลทรอยกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดคอ 

    "กินศพ...!

    แม้ว่าพวกท่านมักคิดว่าไม่ถูกหลักโภชนาการนักก็ตาม  แต่ตามความเชื่อของเผ่าเรา  การกิน  คือการถ่ายทอดวิญญาณ 

    เหมือนห่วงโซ่อาหารกับการถ่ายทอดพลังงานที่พวกท่านเรียนรู้  สำหรับพวกเรา  การถูกกินอย่างผู้สละคือการได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่ 

    คือความไม่ตายตลอดกาล  ผู้ที่ต้องมีร่างสุดท้ายเป็นซากศพอันเน่าเปื่อย  แตกสลายสู่รูปของอนินทรีย์แห่งธาตุทั้งสี่  วิญญาณจากฟากฟ้า…ธาตุที่ห้า  หรือธาตุชีวิตจะล่องลอยจากไปสู่ความมืดมิดนอกจักรวาล 

    จากความเป็นคองกาชั่วนิรันดร์  สำหรับเรา  คือความอัปยศที่แท้จริง!"



     เสียงก้องกังวาลออกไปในกระแสลมและสูงขึ้นไปยังความเวิ้งว้างของฟากฟ้า  ผู้ฟังขนลุกเกรียวขึ้นด้วยอำนาจแห่งความแปลกประหลาดบางอย่างของเรื่องที่กำลังฟัง
     
    "…สอง  คือ  ผู้บุกรุก  หมายถึง ศัตรูผู้ล้ำดินแดนมา…"  เธอหันมายิ้มให้เขา  ยิ้มแปลกคล้ายปนหัวราะ… 

    "แต่ท่านวางใจได้…  เราไม่เคยกินเพื่อน !"

     น่าแปลก …ที่แม้ว่าน้ำเสียงนั้นไม่ได้กังวาลอย่างผยองในเผ่าพันธุ์เหมือนการเล่าเรื่องของ   ผู้สละ 

    และเรื่องราวก็ไม่ได้แปลกประหลาดหรือฟังดูยิ่งใหญ่จนน่าขนลุกขนาดนั้น  หากยิ่งกว่านั้น 

    เขากลับรู้สึกเหมือนมีก้อนแข็ง ๆ มาจุกที่คอ  ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก…

     "…และสาม  คือ ผู้อาภัพ …เนื่องจากบรรพบุรุษของพวกเรามีเพียงสังคมเล็ก ๆ  แค่หมู่บ้าน  ในสมัยโบราณจึงมีประเพณีที่ญาติพี่น้องแต่งงานกันเอง 

    ตามกฎธรรมชาติของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม  ทำให้ลูกหลานรุ่นต่อมาจำนวนหนึ่งเกิดมามีความด้อยทางสติปัญญา 

    หรือมีปัญหาทางกายภาพไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง  พวกเราเรียกเขาว่า  ผู้อาภัพ  คนพวกนี้อายุไม่ยืน  และต้องเสียชีวิตตั้งแต่ยังไม่แก่ชรา 

    ด้วยสภาพของการดำรงชีวิตอยู่อย่างโหดร้ายระหว่างมีชีวิตอยู่ก็น่าสงสารมาก  ผู้เป็นพ่อแม่จึงต้องเก็บวิญญาณของพวกเขาไว้

    …โดยการกินลูกตัวเอง…"

     มันหดหู่อย่างบอกไม่ถูกเมื่อนึกถึงความรู้สึกของพ่อแม่ตอนตัดใจกินลูกของตัว..

    พวกเขาคิดอะไรบ้าง  รู้สึกอย่างไรบ้าง ขณะที่ขยับกรามขบเคี้ยวอวัยวะแต่ละชิ้นที่ประกอบจากเซลล์ทุกเซลล์อันเป็นเลือดเนื้อในสายโลหิตของตัวเอง…

     "แต่ในปัจจุบัน  การกินประเภทที่สามเหลือน้อยจนแทบจะถูกลืมไปแล้ว 

    เพราะในระยะเวลาหนึ่งที่ไม่มีผู้อาภัพเติบโตจนได้เป็นพ่อแม่คนเหมือนอย่างโลกของพวกท่านสมัยในโบราณ 

    นานวันผ่านไป  ก็ไม่มีผู้อาภัพถือกำเนิดในเผ่าเราอีก…

     "ท่านกำลังสับสนใช่ไหม… จะสงสาร  เวทนา สยดสยอง แปลกประหลาด หรือรู้สึกอย่างไรดี…ท่านคงมีคำถามในใจมากมาย…"  เธอหัวเราะเบา ๆ 

     "โลกของท่านต่างจากโลกของข้ามาก…ใช่ไหม ?"

     "โลกของผมหรือ…"  เขาได้แต่พูดพลางคิดต่อคำถามนั้น 

    …เหม่อลอยไปไกลแสนไกล  ลึกเข้าไปในท้องฟ้า…สู่ห้วงอวกาศอันกว้างใหญ่ที่ ณ จุดหนึ่งมี 'โลกของเขา'  โคจรอยู่

     "เราขาดหายไป…หายไปนานแสนนานแล้ว…"

     "ขาดหาย ?"

     "ขาดหาย…ใช่  ขาดหาย…ขาดหายความบริสุทธิ์ทางความคิด  ขาดหายความไร้เดียงสา  ความเชื่องมงาย ซึ่งเคยเป็นต้นกำเนิดแห่งพลังศรัทธา 

    เราเข้าใจว่า 'เราสามารถ'  ด้วยอำนาจแห่งเทคโนโลยีที่เราเข้าใจว่า  'วิทยาศาสตร์' ถูกเสมอ  จริงเสมอ  มีเหตุผลอธิบายได้เสมอ…

    คนบนโลกของผมใช้  'สมอง'  ในขณะที่โลกของเธอยังใช้  'หัวใจ'  ใช้  'จิตวิญญาณ' 

    น่าเสียดายที่มนุษย์โลกดูถูกการตัดสินใจด้วยความรู้สึก  สัญชาติญาณดิบของความต้องการมีชีวิตอยู่รอด  จนแทบจะลืมเลือนไปแล้วว่า  เรามีสิ่งนั้นอยู่อย่างสัตว์พันธุ์หนึ่ง…


     โลกของผมยังขาดหาย… 'ความแตกต่างของวัฒนธรรม' 

    …เรามีเพียงความเป็น  'สากล' …

    ที่ครั้งหนึ่งเราเคยเชื่อกันว่า  ความไม่แตกต่างกันของวัฒนธรรมและความคิด  การไม่แบ่งแยกชาติพันธุ์  การทำลายลงซึ่งเขตแดนแว่นแคว้นนั้นสามารถแก้ปัญหาของสงคราม

    …นานมาแล้ว สมัยที่โลกของผมยังแบ่งอาณาเขตการปกครองเป็นอาณาจักรเหมือนโลกของเธอ 

    มีชาติมหาอำนาจแผ่อิทธิพลบังคับการรับวัฒนธรรมใหม่ด้วยสื่อต่าง ๆ ด้วยระบบการติดต่อสื่อสาร  ด้วยสื่อมวลชน ด้วยเทคโนโลยี  ครอบงำจนทุกส่วนของโลกล้วนเป็นสากล…

    และก็กลายเป็นโลกของผมแบบทุกวันนี้ 

    แต่แล้ว…แม้ว่าไม่มีสงครามให้เห็นโดยตรง  มนุษย์โลกก็ยังแก่งแย่งชิงดี  เบียดเบียนกัน 

    ในรูปการเอารัดเอาเปรียบด้วยกลไกทางสังคมและเศรษฐกิจ ด้วยความโลภ  กิเลส  และความอยากได้  อยากมี อยากเป็น…

    ไม่ผิดอะไรกับความดิบเถื่อนหรือสงครามในสมัยโบราณเลย

    เพียงแต่มันเข้มข้นขึ้นตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยีต่างหาก…!


     แล้วมนุษย์ก็พยายามที่จะยัดเยียดความเป็นสากลสู่ดาวดวงอื่น  ทั้งที่เรามีบทเรียนแห่งการสูญเสียความแตกต่าง  เอกลักษณ์ของแต่ละเผ่าพันธุ์ 

    มนุษย์ในโลกของผมเป็นลูกผสมกันหมด ไม่มีสีผิว  สีตา  สีผม  ที่แตกต่างกันมากนัก  สีสรรต่าง ๆ มาจากการแต่งตัว..

    แต่ถึงอย่างนั้น 

    แม้แต่เครื่องนุ่งห่มก็จะเปลี่ยนไปเหมือน ๆ กันหมดทั้งโลก  ตามกระแสของแฟชั่น !

     อย่าว่าแต่เครื่องแต่งตัวเลย   แม้แต่หน้าตา  บุคลิก  พฤติกรรม  และความสามารถต่าง ๆ  ยังถูกระบุไว้ตั้งแต่ยังไม่มีตัวตนตามค่านิยมของแต่ละยุค 

    มนุษย์โลกต่างตัดต่อพันธุกรรมกันจนแทบเหลือความเป็นตัวตนของแต่ละบุคคลอยู่แล้ว

     จะมีก็แต่สัตว์เลี้ยงเท่านั้นที่เป็นพันธุ์แท้ !!!

     มนุษย์โลกที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอย่างผมนี่ถือว่าเป็นอุบัติเหตุส่วนน้อย... 

    ทั้งร่างกาย  จิตใจและความคิดของผมมีจุดด้อยและข้อตำหนิอยู่เต็มไปหมด  ผมจึงเป็นคนแปลกและไม่เอาไหนในสายตาของสังคมบนโลก...  

     ถ้าเปรียบเทียบกับคนที่ได้รับการตกแต่งยีนส์ก่อนกำเนิดมาอย่างดี  ร่างกายผมจะอ่อนแอกว่า  จิตใจผมจะไม่แข็งแกร่งเท่า   ความคิดของผมจะถูกมองว่าผิดปรกติ...

     ความรักด้านศิลปะและความฝันที่ผมมีถูกมองว่าไร้ค่า..."  เขายิ้มแบบไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรให้ดีไปกว่านั้นแล้ว...  และรีบเปลี่ยนเรื่องพูด

     "ถ้านับกันถึงบรรพบุรุษในตระกูลผม  จะมีประมาณหนึ่งในสามที่มีสีดำเหมือนเธอ"

     "จริงหรือ ?"

     "แน่นอน  ผมเคยเห็นภาพมนุษย์โบราณที่ยังแยกเป็น  3  เชื้อสายใหญ่ ๆ ในโลก  มีสายหนึ่งเป็นคนผิวดำ"

     "ท่านทำให้ข้าภูมิใจขึ้นอีกมากที่ถือกำเนิดมาเป็นคนในเผ่าคองกา  ซาฟรีรีนาคนก่อน..แม่ของข้าเคยส่งข้าไปศึกษาในดินแดนของพวกอีบรู  ซึ่งทำให้ข้าได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากโลกภายนอก…

    ข้ารู้ภาษาของท่านจากที่นั่น…เพราะมีชาวโลกเดินทางมาสอน 

    ว่ากันว่า  สักวันหนึ่งเราต้องใช้มันเพื่อการสื่อสารเป็นภาษากลางของจักรวาล… 

    ตอนนั้นข้ารู้ว่าตัวเองผิดปกติมากในสายตาคนนอกเผ่า  ที่นั่นมีชนหลายเผ่ารวมกันอยู่  แม้ว่ามีคนผิวสีเข้มมาก  แต่ก็ไม่มีเผ่าใดสีดำสนิทเหมือนอย่างเรา… 

    และพวกเขาก็กลัวความเชื่อและประเพณีการกินของเราที่เขารู้กันมาอย่างผิด ๆ มาก…"

     "ผม…มองว่า เธอสวย…มาก…แปลกประหลาดและน่าทึ่ง"  เขาไม่ได้ปลอบใจเธอ  แต่เปิดเผยความคิดอย่างจริงใจ  

    "ครั้งแรกที่ผมเห็นเธอนั่งอยู่ตรงนี้…  ผมคิดว่าเธอเป็นเงา  เป็นภาพลวงตาหรือว่า  เป็นความฝัน…"

     "ส่วนข้า…แปลกใจมาก  ไม่รู้ท่านมาได้อย่างไร  ที่นี่ห่างไกลจากผู้คนมาก  หน้าผาแห่งนี้ เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์  ข้าไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่  แต่มีภาระจำศีล… เพื่อภาวนา"

     "เป็นอย่างไร ?"

     "อย่างที่เห็น  ข้าต้องสละเส้นผมและอาภรณ์ต่าง ๆ นั่งเฉย ๆ  เป็นเวลาเจ็ดคืนพระจันทร์  โดยไม่กินอะไรเลย  แต่ถึงคืนเต็มดวงสุดท้าย  จมูกข้าได้กลิ่นท่านบุกรุกมา…  ข้าก็รู้ว่า  ฟ้าประทานอาหารมาแล้ว !"

     เขาได้ยินเสียงหัวเราะสดใสของหญิงสาวก้องกังวาลไปทั่วหุบผา

     "อย่าทำหน้าอย่างนั้น…  และขออย่ากลัวข้า  ข้าเป็นมิตรของท่านแล้ว  ข้าไม่กินท่าน  และจะไม่มีใครกินท่านได้เลย"

     เขาเริ่มมองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน 

    ยามเธอหัวเราะ…เธอดูไร้เดียงสา…เป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งเท่านั้นเอง…

    น่าเสียดายที่ตอนนี้เขาไม่มีอะไรเลยที่พอจะเก็บภาพเธอ…

     เขาอยากวาดรูปเธอ  อยากวาด…

     ตอนยานที่เขาอาศัยมาตกด้วยอุบัติเหตุระเบิด  สมบัติของเขาทั้งหมดก็หายไปด้วย…รวมทั้งเพื่อนของเขา…

    ยังไม่รู้ว่ายังมีชีวิตรอดอย่างเขาหรือไม่ อยู่ไหน…แคปซูลที่ป้องกันตัวเขาคงกระเด็นมาไกลมากจากจุดระเบิด  หรือเขาต้องติดอยู่ที่นี่ตลอดไป…

     "ข้าขอโทษ"  เสียงเธอทำให้เขาถูกปลุกจากกระแสความคิดที่กำลังแล่นอยู่ในสมอง

     " ? "  เธอขอโทษเขาเรื่องอะไร

     "ที่คอท่าน  เจ็บมากไหม ?"  เธอแตะที่แผลเล็ก ๆ บนต้นคอเขาแผ่วเบา

     เมื่อเข้าใจแล้ว  อัลทรอยจึงกำข้อมือเรียวบางนั้นแน่น แกล้งดึงเข้ามาจนใกล้  จ้องมองในนัยน์ตาเธอด้วยสายตาดุร้ายแกมเอ็นดู

     "เจ็บ…เจ็บมากด้วย…  ซาฟรีรีนา…ผมดูดเลือดเธอบ้าง  แก้แค้นเลยดีไหม"

     เขาทำเสียงคำรามขู่อย่างจริงจัง  เพื่อหยอกเธอเล่นไปอย่างนั้นเอง  ไม่มีความคิดอื่นใดแฝง 

    เขาอยากรู้ว่าเธอจะแก้ปัญหาอย่างไร  ถ้าคนที่เคยแต่กินคนอื่น  จะถูกคนอื่นกินบ้าง 

    แต่แล้วเขากลับเป็นฝ่ายแปลกใจเมื่อเห็นเธอก้มหน้าลง  และยิ้มเขินอายอย่างหญิงสาวที่กำลังถูกขอความรัก!

     "ดีแน่นอน…  ข้าจะมีวิญญาณอยู่ในร่างท่าน  แต่ว่าท่านจะไม่ได้กลับไปสู่โลกของท่านอีก  ท่านจะต้องอยู่กับข้าที่นี่ตลอดไป  และความเป็นเพื่อนของเราจะถูกทำลาย"

     "อะไรนะ?"  เขาไม่เข้าใจอีกแล้ว



     "เพราะว่าข้าคือซาฟรีรีนา… 

    ข้าจะเล่าตำนานเทพีเก่าแก่ของเราให้ท่านฟัง… 

    ซาฟรีรีนาเดิมเป็นชื่อของหญิงสาวในตำนาน…."  เสียงกังวาลดังขึ้นในความเงียบเมื่อเธอเริ่มต้นเรื่องราวในตำนานแห่งเผ่าพันธุ์ 

    อัลทรอยปล่อยมือเธอให้เป็นอิสระเพื่อที่จะวาดเป็นท่าทางตามความเคยชินของการใช้ภาษาแม่ของเธอ 

    เขาเอนตัวลงนอนตะแคงฟังอย่างสนใจ  คล้ายเด็กที่กำลังฟังแม่เล่านิทาน

     "ในสมัยก่อน  เมื่อนานแสนนานมาแล้ว 

    ดาวของเรามีชนหลายเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ร่วมกัน…

    บนผืนแผ่นดินใหญ่ที่มีน้ำล้อมรอบอีกฟากหนึ่งของดวงดาว  แต่เพราะพวกเราเป็นชนกลุ่มน้อยที่มีสีผิวผิดแผกจากเผ่าอื่นมาก 

    จึงถูกกีดกันจากความเสมอภาค  และอยู่อย่างบุคคลชั้นล่างในสังคมอย่างทรมาน  แม้ว่าจะลุกขึ้นต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ต้องพ่ายแพ้ 

    จนต้องหนีมายังป่าหินบนเกาะกลางทะเลทรายอันทุรกันดารแห่งนี้


    …เหมือนตกนรกทั้งเป็น 

    ที่นี่มีเพียงหินและทราย  จนสุดลูกหูลูกตาเป็นขอบฟ้าตะปุ่มตะป่ำด้วยผาหินสูงลิบลิ่ววางระเกะระกะ

    ไม่มีแหล่งน้ำ ไม่มีอาหาร ไม่มีสัตว์ให้เห็น  ไม่มีพืชอื่นใดนอกจากดอกไม้ฟาราราอันมีพิษอยู่ภายนอกตามธรรมชาติ 

    แรกทีเดียวพวกเราไม่รู้กรรมวิธีสกัดสารจากตัวมัน  ซึ่งทำให้เราอยู่รอดได้ด้วยสมุนไพรร้อยพันอย่าง ทั้งอาหาร ยา  และที่สำคัญที่สุดคือแหล่งน้ำและความชื้น"


     เธอนั่งด้วยท่าสบายๆ  แกว่งเท้าอยู่ในความว่างเปล่าของหุบเหว  ลมพัดบางเบากระจายลอยล่องเป็นคลื่นสีขาว  จนคล้ายกับว่าเธอเป็นส่วนหนึ่งของสายลม

     "แล้วอาหารและเสบียงต่างๆ  ที่นำติดตัวมาจากแผ่นดินเก่าก็ค่อย ๆ หมดไป  ไม่มีอะไรประทับความหิวโหยได้เลย… ได้แต่นั่งหลบแดดอยู่ในหุบเหวไปวัน ๆ อย่างหมดอาลัยตายอยาก 

    ในกลุ่มคนที่อพยพมา  มีหญิงคนหนึ่งชื่อ  ซาฟรีรีนา 

    เธอคิดว่า  ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปจะต้องอดตายกันหมดสักวันหนึ่งเป็นแน่   จึงยอมเสียสละอย่างใหญ่หลวง  แลกชีวิตของตัวเองเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ 

    เธอปีนขึ้นไปบนยอดผาที่สูงที่สุดเพื่อภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยประทานอาหารให้แก่พวกเขาหลังการจบสิ้นของชีวิตเธอ 

    แล้วเธอก็กระโดดลงไปจากหน้าผาเพื่อสังเวยชีวิตแก่ผู้คนทั้งหลายได้กัดกิน  เธอจึงมีชีวิจิตวิญญาณสิงสถิตอยู่ในทุกอณูร่างกายแห่งชนเผ่าคองกา…

    จากนั้นต่อมา     คำภาวนาของหญิงสาวก็เป็นจริง... 

    ดอกไม้พิษฟาราราก็กลายเป็นผลไม้ที่พวกเราใช้เป็นอาหารหลักอยู่ทุกวันนี้ 

    ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ผาหินที่เธอกระโดดลงไป  ก็คือผาหินแห่งนี้นั่นเอง 

    จึงถูกเรียกว่า  ผาหินแห่งกำเนิด …

    ด้วยเหตุว่า  ตามความเชื่อ  เราไม่ถือว่าเธอตาย  เพราะสำหรับพวกเรา  การตายคือการสูญเปล่า 

    แต่การถูกกินคือการถ่ายทอดวิญญาณของเจ้าของร่างสู่ผู้กินเป็นการเกิดใหม่  สืบทอดทางสายเลือดและวิญญาณที่แท้จริงยิ่งกว่าการสืบสายพันธุ์"

     ด้วยตำนานที่เล่าขานโดยหญิงสาว  และภาพของเธอที่นั่งอยู่เบื้องหน้า  อัลทรอยจินตนาการไปถึงซาฟรีรีนาในตำนานได้อย่างชัดเจน  ราวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนหุบเหวแห่งนี้เกิดขึ้นซ้อนในมิติแห่งปัจจุบันอีกครั้ง

     "ซาฟรีรีนาจึงเป็นชื่อตำแหน่งที่ยกย่องหญิงสาวให้เป็นหัวหน้าเผ่าสืบทอดต่อกันมา  โดยสืบสายเลือดตามปกติถ้าซาฟรีรีนามีลูกสาว  

    แต่ถ้าไม่มี   หญิงสาวที่เหมาะสมจะถูกคัดเลือกมาแทน  และสิ่งสำคัญที่สุด ..เธอผู้นั้นจะต้องรับวิญญาณซาฟรีรีนาคนก่อนไว้ในร่าง…"

     "…แปลว่า…"

     "…ใช่…พออายุครบสิบห้าปี ข้าก็กินแม่ของข้าเอง !"

     "…! ! !"

     เขาพูดอะไรไม่ออกอีกเลย

     "ทุกอย่างถูกกำหนดมาหมดแล้วตามประเพณีที่สืบทอดต่อกันมาเป็นเวลานับพัน ๆ ปี  ข้าไม่สามารถทวนกระแสแรงเฉื่อยของวัฒนธรรมได้…

    ตอนเป็นเด็กข้ากลัวเหลือเกินที่จะต้องเติบโต  ถ้าทำได้ข้าอยากจะหยุดเวลาไว้นาน ๆ …ข้ากลัววันที่ข้ามีอายุครบสิบห้า ราวกับกลัวคำสาป…

    แม้ว่าข้าอยากอยู่กับแม่นาน ๆ จนแต่งงานมีลูกให้แม่ได้อุ้มลูกของฉันเหมือนอย่างหญิงสาวทั่ว ๆ  ไป 

    แต่มันก็เป็นแค่ความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง… 

    ในวันข้างหน้า เมื่อข้ามีลูกสาว เมื่อลูกสาวโตขึ้น ข้าจะต้องให้ลูกกินเหมือนอย่างที่แม่ให้ข้า  ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก 

    แต่ข้าก็ภูมิใจอยู่ลึก ๆ ที่แม่อยู่กับข้า…อยู่  'ในข้า'  ตลอดไป"

     อัลทรอยได้แต่ก้มหน้านิ่ง…ถอนหายใจด้วยการหยุดความคิดที่แล่นไหลอย่างสับสน  ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ขัดกับสิ่งที่เขาเคยคิด  เคยฝันในโลกของเขาอย่างตาลปัตร

     "แต่ข้าอาจไม่มีชีวิตยาวพอที่จะให้กำเนิดลูกสาวก็ได้…  มาตาโบลาทำนายว่า  ข้าจะต้องมีอันเป็นไป…"

     "มาตาโบลา ?"

     "มาตา  คือชื่อตำแหน่งผู้มีอำนาจแห่งการแลเห็นกาลภายหน้า  โบลา  คือ ชื่อของแม่เฒ่าที่กำลังอยู่ในตำแหน่งมาตาปัจจุบัน  เธอแก่มากแล้ว  และทำนายไม่เคยพลาดมาเลย 

    …แต่ถ้าท่านยอมดูดเลือดข้าจริง  ก็เท่ากับว่า  มาตาโบลาทำนายผิดแล้วครั้งหนึ่ง …เพราะว่านั่นเท่ากับข้า 'ฝากวิญญาณ'  ไว้กับท่านแล้ว…"

     ถ้าผิวเธอเป็นสีอ่อน  เขาคงเห็นว่าแก้มเนียนของเธอกลายเป็นสีแดงด้วยความเอียงอาย

     "…เป็นประเพณีของเผ่าเรา  การแลกเลือดระหว่างชายหญิง…ถือเป็นการแต่งงาน…"

     เขาได้แต่ยิ้ม.. 

    ยิ้มแล้วหัวเราะเบา ๆ 

     นี่เขาจะแต่งงานกับหัวหน้าเผ่ากินคน โดยการดูดเลือดสาบานหรือ  พอลูกสาวโตขึ้น เขาจะทนเห็นเมียของเขาถูกฆ่าตายอย่างถูกกฎหมาย  ถูกประเพณี  และโดยชอบธรรม  แล้วให้ลูกสาวเขากลืนลงท้องได้หรือ

     บ้าแล้ว

     …และนั่นคือความคิดของมนุษย์โลก…

     …ความแผกต่างของวัฒนธรรม….!

     "แต่ท่านไม่มีเขี้ยวนี่นา...  ท่านก็อดแต่งงานกับข้าเลยน่ะสิ !"

     เสียงใสหัวเราะดังกังวานอย่างมัความสุข...แต่

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×