คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทเพลงแห่งความสงัด
4
บทเพลงแห่งความสงัด
ใคร ๆ ก็พูดถึงแต่เฌอรีแอน...
นักเรียนเข้าใหม่ หน้าตาสวยประหลาด ที่คุยกับเพื่อนคนโน้นทีคนนี้ที และหัวเราะอย่างร่าเริงตลอดเวลา
เธอเข้ากับเพื่อนได้อย่างรวดเร็ว แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า เรอันไม่อยากได้ยินเอาเสียเลย
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม...
“ฉันไปใส่คอนแทคเลนซ์สีม่วงดีกว่า เหมือนเฌอรีแอนไง ตาแป๋วแหวว น่ารักชะมัดเลย” นั่นไง เขาได้ยินคนพูดถึงเธออีกแล้ว
คราวนี้เป็นเพื่อนผู้หญิง 3-4 คน จับกลุ่มคุยกันในระหว่างหยุดพักครึ่งชั่วโมง รออาจารย์เข้าบรรยายคาบต่อไป
ส่วนคนที่ถูกพูดถึงนั้นไม่ได้อยู่ในห้อง เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอหายไปไหนทั้งวัน
“ใช่ ดูประหลาด และก็มีเสน่ห์ดีเน๊อะ” อีกคนเห็นด้วย
“เธอรู้รึเปล่าว่า เจ้าหล่อนมีเชื้อสายอะไร ฉันสงสัยจัง ทำไมถึงหน้าตาแปลก สีผม สีตา ผิวพรรณ อะไรก็ดูไม่ธรรมดา”
“รู้สึกว่าเธอจะเป็นพวกลูกครึ่งนะ ได้ข่าวว่า เธอเป็นพวกลูกเศรษฐีผู้ดีเก่าทางยุโรปที่ย้ายมาเรียนที่นี่ ไม่รู้จริงรึเปล่า แต่ว่าที่ผ่านมาเธอย้ายโรงเรียนบ่อยมาก”
“อาจจะมีปัญหาก็ได้...?” อีกคนสนับสนุนเชิงถาม
“เอ...แต่ไม่น่าใช่ ก็เธอเข้ากับเพื่อนได้ดีจะตาย การเรียนก็ดี ไม่เห็นน่าจะมีปัญหาอะไรเลย จะติดก็อยู่ที่ครอบครัว”
ฟังถึงตรงนี้เรอันนึกถึงแฟ้มประวัตินักเรียนของเฌอรีแอน ที่อาจารย์ใหญ่เคยให้เขาอ่าน เมื่อพบกับเธอในฐานะเพื่อนนักเรียนเป็นครั้งแรก
ผู้ปกครอง -
ที่อยู่ -
เธอไม่ได้ใส่ชื่อผู้ปกครองและที่อยู่ แล้วเข้ามาเรียนได้อย่างไร? มันเป็นแฟ้มประวัติที่ไม่สมบูรณ์
และอย่างจงใจด้วยสิ!
“หรืออาจจะเป็นข่าวลือก็ได้ ท่าทางเธอก็ไม่เห็นคุณหนูเลย ไม่เคยวางฟอร์ม
และก็ชอบทำอะไรแปลก ๆ เหมือนเด็กไม่ยอมโตมากกว่า วันก่อนไล่ต้อนลูกปัดจนตัวเองตกน้ำ”
เรอันพอจะนึกภาพออก เธอคงจะโผล่หัวขึ้นมา หัวเราะเริงร่าตามเคย
“ใช่ อย่างวันนี้ก็นั่งอยู่หน้ากระจกนูนตรงที่จอดจักรยานข้างตึก A ตั้งแต่เช้าแล้ว”
คนพูดบุ้ยใบ้ไปข้างล่างนอกหน้าต่าง เขาหมายถึงที่จอดจักรยานที่ใกล้ที่สุดสำหรับตึกเรียนที่พวกเขาอยู่
“เมื่อวาน ฉันได้ยินเธอถามอาจารย์ที่ปรึกษาถึงเรื่องงานพิเศษนะ ถ้าเป็นลูกสาวเศรษฐีจริงคงไม่สนใจหรอก”
เด็กหนุ่มฟังการสนทนาเงียบ ๆ ใจหนึ่งนึกถึงงานศิลปะที่ต้องทำตั้งแต่สัปดาห์ก่อนและกำหนดส่งบ่ายนี้
แต่เขายังไม่ได้เริ่มและตอนนี้ก็ไม่มีสมาธิเอาเสียเลย ทำไมเขาต้องมัวแต่คิดตามคำพูดเหล่านั้นนะ? มันทำให้เขาอยากรู้เรื่องของเธอ...
“ได้ยินมาว่า มาร์คกำลังจีบอยู่?” คราวนี้คนพูดลดระดับเสียงเบาลง แต่เรอันก็ยังได้ยิน ทั้งกลุ่มชายหางตาไปยังเด็กหนุ่มท่าทางนักเลง ซ่าส์ระเบิดที่กำลังคุยโอ่กับเด็กสาวอีกคน
“ใช่ ดีเตอร์ก็ด้วย” จบประโยค ทั้งกลุ่มก็เปลี่ยนทิศองหางตาไปยังเด็กหนุ่มอีกคนที่นั่งหน้ายุ่งอยู่หลังกรอบแว่นหนาเทอะทะและหนังสือที่หนากว่า
“แต่ฉันว่า หมดสิทธิ์ทั้งคู่”
แล้วการสนทนาพร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคักก็เป็นอันจบไปด้วยอาจารย์ที่เดินเข้ามา แต่ความคิดกลับไปกลับมาในสมองของเขายังไม่จบไปด้วย
จนถึงพักเที่ยง...
แทนที่จะทำงานศิลปะอย่างที่ตั้งใจไว้ แต่พอมารู้ตัวเขาก็ยืนอยู่ตรงที่จอดจักรยานข้างตึก A เสียแล้ว
เรอันมองเด็กสาวจากเบื้องหลัง เธอกำลังนั่งชันเข่าบนราวเหล็กสำหรับพิงจักรยาน หันหน้าเข้าไปในกระจก แล้วก้มลงทำอะไรง่วนอยู่
จากด้านหลังเขาเห็นเพียงพวงผมสีทองเงาเป็นประกายยาวตรง คลุมเต็มแผ่นหลังในเสื้อยืดที่เขาจำได้ว่าเธอสวมใส่เป็นประจำ
กับกางเกงยีนส์สีซีด ๆ ตัวเดิมนั่นแหละ แต่ในกระจกเบื้องหน้า เขาเห็นใบหน้าขาวนวลที่ผิดรูปไปเพราะความโค้งนูนของมัน คิ้วเข้มจัดตัดกับผมม้าที่ตัดสั้นเหนือหน้าผาก ต่ำลงมาเป็นขนตางอนยาวที่หุบต่ำ
ด้วยว่าเธอกำลังมองแผ่นกระดานแผ่นใหญ่ที่วางอยู่บนเข่าอย่างตั้งใจ และไม่สนใจกับอะไรรอบข้าง หรือคนผ่านไปผ่านมาเหลียวมอง
ลักษณะนี้...เธอเป็นลูกเศรษฐีผู้ดีเก่ายุโรปจริงหรือ?
เรอันถามตัวเองแล้วยิ้ม มันเกี่ยวอะไรกับเขาหรือเนี่ย? ไม่เห็นเกี่ยวสักหน่อย! เด็กหนุ่มถอนใจและขยับตัวเพื่อเดินจากไป
แต่ว่าในขณะเดียวกัน เฌอรีแอนเงยหน้าขึ้นมาเห็นเขาพอดี เธอยิ้มกว้างให้เขาด้วยใบหน้าสดใสในกระจกโค้ง ๆ นั้น
แล้ววางแผ่นกระดานกับดินสอกำมือหนึ่งไว้ข้าง ๆ ตัว หันมาทักทายเขา
“ฮาย...ฉันกำลังวาดรูปอยู่ ที่จะส่งตอนบ่ายนี้ไง”
“เขาให้วาดรูปลายเส้น พอตเทรดของแม่ไม่ใช่หรือ?” เรอันถามด้วยความสงสัย เขายังจำคำสั่งที่อาจารย์ให้เมื่อสัปดาห์ก่อนได้อย่างแม่นยำ
คือ การวาดรูปเหมือนใบหน้าแม่ด้วยดินสอและแรเงาขาวดำ
แต่ดูเธอกำลังทำอะไร...?
“อืม...ใกล้เสร็จแล้ว มาดูสิ” เขาเดินเข้าไปใกล้ ๆ เด็กสาวก้มลงหยิบงานขึ้นมาอวดแล้วยิ้มกว้าง
“อะไรนี่...นี่มันรูปเธอไม่ใช่หรือ?” เขาโวยวาย
ในกระดาษสีขาวบนกระดานแผ่นใหญ่ ตรงกลางมีรูปลายเส้นดินสอที่วาดไว้อย่างบรรจง ลงเข้มและอ่อน
โดยเส้นที่ต่อกัน ไขว้กัน ซ้อนทับกัน หรือกลืนหายกับความขาวที่ว่างเปล่าของพื้นกระดาษ จนกลายเป็นภาพเหมือนของเด็กสาวตรงหน้า
เพียงแต่เป็นใบหน้าที่กว้างกลางผิดสัดส่วน เพราะเป็นภาพที่สะท้อนออกมาจากกระจกนี่เอง
หากเค้าโครงหน้าช่างเหมือนจริงราวกับภาพวาดโดยจิตรกรอาชีพ และที่น่าแปลกกว่านั้นคือ
กรอบของกระจกนูนที่เธอขีดเส้นโค้ง ๆ ใส่ลงไปด้วย พร้อมกับวงรีที่ล้อมอยู่รอบนอกสุด คล้าย ๆ จะเป็นรูปดวงตา
แต่ยังวาดไม่เสร็จ
“รูปแม่...แม่ของฉัน” เธอบอกเขาอย่างภูมิใจ
“แม่ลูกคงหน้าเหมือนกัน แต่แม่เธอหน้าอ้วนกว่า เธอขี้เกียจวาดรูปแม่เลยวาดตัวเองในกระจกนูนงั้นหรอ?” เรอันเดาพร้อมกับหัวเราะในความคิดขี้โกงแบบเด็ก ๆ ของเธอ
“ไม่ใช่จ๊ะ” เฌอรีแอนค้อน “ก็อาจารย์ไม่ได้บอกว่าให้วาดใหญ่เล็กแค่ไหนนี่
ฉันก็เลยวาดใหญ่มาก...มาก ใหญ่จนล้นกระดาษเห็นแต่ดวงตา เพราะว่าฉันไม่เคยเห็นหน้าแม่
ไม่รู้ว่าแม่หน้าตาเป็นอย่างไร นึกไม่ออก ก็เลยวาดรูปในจินตนาการ ว่าเป็นดวงตาของแม่...ที่คอยเฝ้ามองดูฉันตลอดเวลา...”
เฌอรีแอนอธิบายแจ้ว ๆ ในขณะที่เรอันเงียบ เขาเพิ่งจะรู้ เธอไม่เคยเห็นหน้ามารดาหรอกหรือ
เขามองหน้าเธอ และมองรูปอีกครั้ง
เธอเป็นคนเก่งที่ไม่ใช่มีแค่ฝีมือ และความเข้มแข็ง...ไม่ใช่เป็นเหมือนเด็กที่เอาแต่เล่นบ้า ๆ ร่าเริงตลอดเวลา
อย่างบุคลิกที่เธอแสดงออกอยู่ภายนอกอย่างฉาบฉวย...เขาคิดในใจอย่างชื่นชม เธอแก้ปัญหาได้เยี่ยม
มันเป็นผลงานที่มีเสน่ห์ประหลาดแบบเดียวกับตัวเธอ
แล้วเขาล่ะ?
“เรอัน เธอวาดเสร็จหรือยัง?”
“ยัง...ไม่ได้เริ่มเลย”
“อะไรกัน เดี๋ยวส่งแล้วนะ”
เด็กหนุ่มไม่กล้าบอกว่า เขาไม่อยากวาดเพราะเขาไม่มีแม่
แม่เขาตาย...เขาขี้เกียจคิดถึงแม่ กลัวความเจ็บปวด กลัวความเสียใจ กลัวอดีต
แต่ตอนนี้เขารู้สึกละอายใจเหลือเกิน ขณะที่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งตรงหน้าเขาไม่มีแม่ และไม่เคยเห็นหน้าแม่ด้วยซ้ำ...
แต่เธอทำได้!
“เพราะเธอไม่มีแม่รึเปล่า?” เฌอรีแอนถามเขาตรง ๆ ซึ่งมันก็ตรงใจดำเหลือเกิน! เธอยังจำได้เขาเคยบอกไว้อย่างนั้น
“อืม” เรอันตอบอย่างใจลอย
“เธอนึกออกไหมล่ะ ในมโนนึก ในความจำ ลองหลับตา...แล้ววาดสิ”
“ไม่หรอก ฉัน...นึกไม่ออก ตอนแรกคิดว่าจะวาดแบบอิมเพรสชั่นนิส ที่เคยถนัดส่งไป แต่ไม่อยากเริ่มทำสักที...”
“เริ่มสิ ไม่เริ่มก็ไม่มีงาน...งั้น เรอัน...เธอวาดฉันสิ”
เรอันมองหน้าเด็กสาวอย่างไม่เข้าใจ
“เธอมองแม่ผ่านฉันไง...ฉันจะเป็นแม่เธอให้ 2 ชั่วโมง”
เฌอรีแอนอธิบาย
เด็กหนุ่มยิ้ม เขาไม่รู้ว่ามันจะได้ผลรึเปล่า
แต่เขาก็จะลองดู...
“เอาสิ!”
ในที่สุดเด็กหนุ่มสาว 2 คนผู้ไม่มีแม่ ก็มีรูปแม่ส่งทันเวลาบ่าย อาจารย์ชอบรูปวาดของทั้ง 2 มาก...
แล้วรูป 2 รูปก็ได้ติดคู่เคียงข้างกันในห้องนิทรรศการของมหาวิทยาลัย
“ผมเข้าใจว่า ผู้หญิงสาวในรูปอิมเพรสชั่นนีสรูปนี้ ถอดวิญญาณจากผู้หญิงคนเดียวกันกับรูปเรียวรีสข้าง ๆ ได้อย่างสวยงาม”
อาจารย์ศิลปะผู้เชี่ยวชาญจากต่างรัฐคนหนึ่งออกความเห็นวิจารณ์เกี่ยวกับภาพ 2 ภาพ
โดยไม่รู้ที่มาของมัน และออกปากชมเจ้าหน้าที่ที่ติดงานนี้ไว้คู่กัน ระหว่างการเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยในอีกหลายปีต่อมา...
“เรอันเป็นเอดส์” มีคนเตือนเฌอรีแอนบ่อย ๆ เมื่อเห็นเธอสนิทกับเขา เรอันก็รู้ ถึงแม้ว่ามันจะเกินจริงไปหน่อย
เพราะอาการของเขายังไม่ปรากฏอยู่ในระยะที่เรียกว่าเอดส์ จริง ๆ ก็ตาม แต่ใคร ๆ ก็บอกว่าอย่างนั้น
“เธอไม่ควรไปยุ่งกับเขามากนัก...มันอันตราย!”
ใช่แล้ว...! มันอันตราย
ตัวเรอันเอง ก็พยายามจะไม่ยุ่งกับเธอ
แต่ว่า...
“เรอัน...” เสียงเรียกอย่างสดใสดังขึ้นไม่ไกลนัก ทำให้เจ้าของซึ่งสะดุ้งจากความคิดที่กำลังล่องลอยไปไกลกลับคืนมาอีกครั้ง
เขากำลังอยู่ในห้องนอนเล็ก ๆ ยันศอกกับขอบหน้าต่าง เท้าคาง
มองออกไปยังความกว้างใหญ่ของแปลนทดลองอย่างเหม่อลอย และตอนนี้เขากำลังหาต้นเสียงนั้น...
มันเป็นเช้าวันอาทิตย์ที่เงียบสงบ อากาศเย็นจัด แม้ว่าแดดอ่อน ๆ จะส่องลงมา แต่ก็ไม่สามารถขับไล่ความหนาวเย็นไปได้สักเท่าไรเลย
เพราะย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว นักศึกษาส่วนใหญ่กลับบ้านของตนในรัฐต่าง ๆ ทำให้คนในหอพักเหลือน้อยนิด บริเวณโดยรอบผู้คนก็บางตาไม่มาก
แต่ที่แปลนทดลองไม่เห็นมีใครเลยเท่าที่เด็กหนุ่มจะกวาดสายตามองหาได้ จนสุดถึงเรือนกระจกหลังใหญ่นั่น
และถัดไปก็เป็นแปลนทดลองปลูกพืชไร่ ซึ่งอยู่ห่างไกลเกินไป
ถ้าหากใครจะเรียกเขาอยู่ถึงโน่น เขาคงไม่ได้ยินแน่ หรือหูเขาฝาดไป
“เรอัน...ฉันอยู่นี่” ไม่ใช่สักหน่อย เขาจำได้ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของเฌอรีแอน
แต่เธออยู่ไหน?
ในเมื่อแปลนดอกไม้ก็มีแต่ดอกไม้ ดอกไม้ และก็ดอกไม้เต็มไปหมด มีคูน้ำคั่น
แล้วบริเวณสวนของหอพักก็ว่างเปล่า นกจากม้าหิน 2 ตัว ก็ไม่มีอะไรอีกบนสนามหญ้าโล่ง ๆ
เธอคงเล่นตลกอะไรกับเขาสักอย่าง เมื่อเห็นเขาเหม่ออยู่ตรงนี้โดยบังเอิญ เขาแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เดี๋ยวก็ต้องโผล่ออกมา
ใช่...โผล่ออกมาจริง ๆ ด้วย
“ไม่หากันเลยหรือไง?” เด็กสาวทำหน้าคว่ำก้าวออกมายืนอยู่หน้ากลุ่มดอกทานตะวันยักษ์...คงจะใหญ่จริง ๆ เพราะมันสามารถบังเธอได้ทั้งตัว
จากมุมมองที่เขาอยู่ชั้น 2 อย่างน้อยมันก็สูงท่วมหัวเธอ ภาพที่เห็นทำให้นึกถึงเจ้าหญิงหัวแม่มือ ทัมบาลิน่า ผู้มีตัวเล็กกระจ้อยร่อย ที่ผจญภัยในป่ากว้าง
วันนี้เธอดูทะมัดทะแมงในชุดเสื้อยืด กางเกงยีนส์ตัวเก่ง ผมยาวถูกรวบจนตึงเป็นมวยพับอยู่เบื้องหลัง ผมหน้าม้าถูกติดกิ๊บขึ้นไปแนบศีรษะอยู่ 2 ข้าง เผยให้เห็นหน้าผากนูนเกลี้ยงเกลา คิ้วโค้งยังคงเข้มจัด เหนือดวงตาใสแจ๋วกลมโตคู่เดิม
“มาทำอะไรตรงนี้?” เรอันถามอย่างสงสัย
“งานพิเศษ...เธอพักอยู่นี่หรือ?” เธอย้อนถาม
“อืม...งานอะไรน่ะ”
“ดูแลแปลนทดลองพืชดอกของนักศึกษาเกษตร ทำได้ 2-3 วันแล้ว สนุกจัง มีดอกไม้ตั้งเยอะ แบบแปลก ๆ ก็มี จะลองลงมาดูไหม?”
“เอาสิ”
เรอันเป็นเอดส์ เธอไม่ควรยุ่งกับเขามากนัก มันอันตราย...
ประโยคนั้นผุดขึ้นในความคิดของเด็กหนุ่ม มันทำให้เขาไม่สบายใจนัก ถ้าหากเขาจะสนิทกับเฌอรีแอนมากกว่านี้
ที่ผ่านมา...อาจเป็นเพราะความเข้ากับคนง่าย ช่างพูดช่างคุยและความมีน้ำใจของเธอ
ทำให้เขาคุยกับเธอเรื่องสัพเพเหระบ่อย ๆ จนเกิดประโยคนั้นขึ้นมาเตือนเธอจากเพื่อน ๆ ผู้หวังดี...
“อืม...ไม่ดีกว่า”
“ทำไมล่ะ อากาศดีจะตาย น่าจะลงมา มัวอุดอู้อยู่แต่ในห้องแคบ ๆ เบื่อตายเลย เร็ว ๆ นะ ฉันมีสัตว์เลี้ยงซ่อนอยู่ จะให้ดูด้วย”
“อะไรน่ะ สัตว์เลี้ยง?”
“มาสิ อยู่ที่เรือนกระจกโน้นแน่ะ” เธอใช้นิ้วโป้งชี้ข้ามไหล่ไปเรือนเพาะชำเบื้องหลง เรอันยิ้ม...
เขาแพ้เธอจนได้!
ไม่ถึงนาทีเด็กหนุ่มก็ลงมาทางบันไดหนีไฟเล็ก ๆ ข้างห้องพัก ถึงพื้นแล้ววิ่งไปถึงลำคลอง เฌอรีแอนยืนรออยู่แล้ว
“กระโดดข้ามมาไหวไหม?”
“ข้ามคลองนี่หรือ?” มันไม่ใช่คลองกว้างนัก แต่ก็ไม่แคบจนจะกระโดดข้ามได้ง่าย ๆ ถ้าไม่ใช่ระดับนักกีฬากระโดดไกลล่ะก็...ยากเชียวล่ะ
“ไม่มีสะพานหรอก ไม่งั้นเธอต้องอ้อม โน่น” โน่น...คือระยะทางราว 4 ช่วงตึก สุดพื้นที่เขตทดลองเพาะชำ
“ไม่เห็นยาก เธอก็ทำอย่างนี้นะ” เธอวิ่งกลับไปเป็นระยะไกล “แล้วก็วิ่งเร็ว ๆ”
อธิบายพร้อมท่าประกอบโดยวิ่งด้วยขาเรียวยาวสมส่วนในกางเกงยีนส์ตัวเก่ง ด้วยความเร็วราวนักกีฬา กลับมายังคลอง
เขาเข้าใจว่าเธอจะหยุด...แต่ไม่...
“ระวัง!”
“YES...! เป็นอย่างไร สอบผ่านไหม?”
เธอทำได้...
“เก่งแฮะ” เรอันอุทานมากกว่าชมเฉย ๆ
“แหม ก็เล่นบ่อย ๆ เรอัน เธอก็ทำได้ วิ่งจากไกล ๆ นะ แล้วก็ก้าวขา กระโดด ถีบตัว...แกว่งแขน แรง ๆ เหมือนเป็นตุ้มถ่วงน้ำหนัก แขม่วพุงไว้ แล้วก็ลอยข้ามมา ถ้าไม่ข้ามก็ลงน้ำ... ไม่ลึกหรอก แต่เปียก...” เธอหัวเราะเสียงดังกังวานใส
คงเคยลงไปแล้วสิถึงรู้...เรอันคิด
ใช่...เขาลองทำดู ก็ทำได้ ไม่เห็นยากเลยจริง ๆ
“ของยาก ก็ต่อเมื่อใจคิดว่ามันยาก!” ที่เธอพูดก็ถูกเสียด้วย
“เธอเป็นนักกีฬาหรือ?”
“เปล่า ฉันไม่ชอบเล่นกีฬา”
“หืม?”
“ทำไมล่ะ ทำเสียงเหมือนไม่เชื่อ ก็ฉันไม่ชอบจำกฎกติกา มารยาท วุ่นวาย ฉันไม่เก่งในโรงยิมหรอก ตื่นเต้นเกิน พิธีรีตองมาก มีเหรียญคล้องเป็นเดิมพัน
ฉันอาจกระโดดสูง กระโดดไกล ปีนต้นไม้เก่ง แต่ก็แค่นั้น ฉันเก่งอยู่ในโลกที่เป็นอิสระเท่านั้นแหละ”
“งานเธอต้องทำอะไรมั่ง?” เรอันชวนคุย
“ก็ไม่มีอะไรมาก แค่ดูแลเรื่องชลประทานต้นกล้าในเรือนกระจกกับพืชในแปลน วันอาทิตย์เขาหยุดกันหมดเหลือฉันคนเดียว แต่ก็ไม่หนักหนาอะไรหรอกนะ
มันเป็นระบบตั้งเวลาอัตโนมัติอยู่แล้ว ฉันเพียงแต่ดูแลอย่าให้มันผิดพลาดเท่านั้น
แล้วก็วัดความสูง นับจำนวนดอก จดลงในบันทึก วันอื่น ๆ มีคนช่วยกันทำตั้งเยอะ ฉันก็มาตอนเย็นหลังเลิกเรียน”
เด็กหนุ่มสาวเดินมาถึงเรือนกระจก เขาเคยแต่เห็นอยู่ไกล ๆ ไม่เคยเข้าไป หรือเดินเข้ามาใกล้ เพิ่งจะรู้ว่ามันมีขนาดใหญ่แบบนี้
เฌอรีแอน ไขกุญแจเปิดเข้าไปภายใน...
ในความใสของอาคาร พืชพรรณต่าง ๆ พากันเปล่งความสดใสสีเขียวออกมาทักทายเขากับแสงสว่างที่ส่องผ่านลงมา
ในความสงัด เรอันได้ยินเสียงฝีเท้าของเขากับเฌอรีแอน ซึ่งเดินลับหายเข้าไปในพุ่มไม้ซึ่งเขาไม่รู้จักมันอย่างชำนาญทาง
ด้วยการที่เธอได้ซุกซนซอกซอนไปทั่วมาก่อน
เรอันหยุดนิ่ง เก็บภาพต่าง ๆ ไว้อย่างชื่นชม เขาชักชอบที่นี่แล้วสิ เสียงของเฌอรีแอนก็เงียบหายไปเหมือนกัน
สักพักใหญ่เขาจึงสงสัย
“เฌอรีแอน” เขาลองเรียกดู
“อยู่นี่” เธออยู่ตรงนั้นนั่นเอง
“นี่ไง สัตว์เลี้ยงที่จะให้ดู” เด็กสาวยื่นมือออกมาแต่ยังเอามืออีกข้างประกบไว้ เป็นฝาหอย
“เดี๋ยว! สัญญาก่อนว่า เห็นแล้วจะไม่บี้มันตายนะ มันบอบบางมากเลย น่ารักด้วย” เธอขอสัญญาราวกับว่าเขาจะต้องใจดำกับสัตว์เลี้ยงของเธออย่างแน่นอน
“สัญญา” เขาตอบไปอย่างนั้น สงสัยว่ามันตัวอะไรกันแน่?
เด็กสาวค่อย ๆ เปิดมือที่ประกบอยู่ออก เพื่อนร่วมโลกตัวเล็กกระจ้อยร่อยสีเขียวสดใส มีลายจุดกลม ๆ เป็นระยะทั่วลำตัวที่เป็นปล้อง ๆ ต่อกันเหมือนรถไฟขบวนจิ๋ว
ขาเล็ก ๆ ของมันกำลังเดินกระดึ๊บ ๆ อยู่ในอุ้งมือสีเลือดฝาดน้อย ๆ ของเจ้าของ อย่างไม่สนใจกับแขกผู้มาเยือน
“หนอน?”
“ใช่ หนอนผีเสื้อ ฉันเก็บได้จากต้นส้มเล็ก ๆ โน่นแน่ะ ความจริงเป็นหน้าที่ของฉันอีกอย่างที่ต้องกำจัดแมลงและหนอนนะ
ฉันเพิ่งเจอตัวเดียว ฉันฆ่าไม่ลง เลยแอบเลี้ยงไว้ รอมันกลายเป็นผีเสื้อ สนุกดี อยากรู้ว่า มันจะเป็นผีเสื้อสีอะไร”
เขาเห็นแววตาเธอกำลังฝันไปไกลอย่างมีความสุข
“มันเลี้ยงยากนะ ใบไม้อื่น ๆ มันไม่กิน ฉันเลยต้องขโมยเด็ดใบจากต้นส้มมาให้มันกิน ถ้าเจ้านายรู้โดยไล่ออกแน่เลย”
เธอชวนคุย ขณะที่เอาสัตว์เลี้ยงน่ารักของเธอใส่กระป๋องนมใบใหญ่ ซึ่งได้รับการระบายสีเป็นรูปบ้านหลังน้อยที่เต็มไปด้วยใบยอดสีเขียวอ่อนของต้นส้ม เมื่อปิดฝาที่เจาะรูเล็ก ๆ จนพรุน เพื่อมันจะได้มีอากาศหายใจ แล้วซุกไว้ใต้โต๊ะทำงาน
“ในนี้เงียบจัง”
“เพราะเน๊อะ”
“อะไรนะ?”
“อ๋อ ฉันว่ามันเงียบ เพราะดี”
“อะไรเพราะ?” เธอยิ่งพูด เขายิ่งงงหนักขึ้น
“ฉันหมายถึง...ความเงียบมันเพราะดี เธอลองนั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวด้วยความเงียบใต้ต้นไม้ เธอจะได้ยินเสียงเพลงแห่งความเงียบสงัด THE SONG OF SILENT ไง...
ในความสงัด เธอจะได้ยินเสียงต่าง ๆ มากมาย จากทั้งอดีต และความฝันที่ออกมาจากใจของเธอเอง และหนึ่งในเสียงนั้นคือบทเพลง ซึ่งจินตนาการของเธอจะเป็นผู้ให้กำเนิดมัน...ลองดูสิเรอัน แล้วเธอจะเข้าใจที่ฉันพูด...
“อาจจะพอเข้าใจ...”
เข้าใจว่าเธอแปลกดีเหลือเกิน อย่างเธอน่าจะเรียนปรัชญา หรือเป็นศิลปินที่ดี เขาคิด เธอสนใจสิ่งละอันพันละน้อยรอบ ๆ ตัวที่ไม่มีใครเห็นค่า หรือมองข้าม เธอช่างฝัน ช่างจินตนาการ...
เขาจำไม่ได้ว่าเคยเป็นคล้าย ๆ แบบนี้หรือเปล่า เมื่อตอนเป็นเด็ก มันคงนานแสนนานจนเขาได้ลืมมันไปแล้ว แต่มันหายไปไหนตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
หรือว่าเวลาขโมยมันไปจากเขาทีละน้อย...ทีละน้อยอย่างไม่รู้สึกตัวจนสูญไป เพื่อแลกกับการเผชิญต่อโลกของความโหดร้ายที่เกิดขึ้นจริงแห่งการเติบโต...?
ทันใดนั้นเอง เสียงสปริงดีดตัว หรืออะไรบางอย่างที่คล้าย ๆ อย่างนั้นดังขึ้น เฌอรีแอนรีบจูงเขาแล้ววิ่งไปโดยไม่อธิบาย ตรงไปที่ทางออก เรอันได้แต่วิ่งตาม
“ทำไมหรือ?”
“เดี๋ยวเปียก” ขาดคำ ละอองน้ำจากรูเล็ก ๆ บนท่อเล็ก ๆ ที่ขดอยู่ที่พื้นก็พากันพ่นออกมาทั่วทุกทิศทุกทาง จนเป็นไอหมอกขาว ๆ ลอยอยู่ กลิ่นไอดินและต้นไม้ โชยกรุ่นมาอย่างแรงจนแปลกจมูก
“เกือบไป ถึงเวลารดน้ำพอดี” แล้วเธอก็ไม่พ้นหัวเราะเสียงกังวานสดใสตามเคย
เฌอรีแอนสนิทกับเขาเกินไป...
เรอันรู้สึกอย่างนั้น หลังจากที่รู้ว่าเธอทำงานอยู่ในแปลนดอกไม้ เขาก็มักจะกระโดดข้ามคูน้ำเล็ก ๆ มาคุยกับเธอ โดยเฉพาะวันอาทิตย์ เขาสามารถช่วยงานเธอได้บ้าง เธอคุยสนุก ช่างพูด ช่างเจรจา
เขาถามคำเดียว เธอก็จะอธิบายได้ยืดยาว แต่ช่างน่าฟัง...เธอชวนเขาคุยถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ได้ทั้งวัน
จนเขาเริ่มรู้สึกกลัว...
และความกลัวของเขาก็เหมือนเป็นกำแพงบาง ๆ ที่เป็นเขตแดนของมิตรภาพที่เธอมอบให้ และมันก็หนาขึ้นเรื่อย ๆ ตามกาลเวลาที่ผ่านไปทุกวัน...ทุกวัน
ถ้าเป็นไปได้...
เขาไม่อยากรู้จักเธอซะเดี๋ยวนี้ เพื่อที่จะไม่ต้องเสียใจภายหลัง
เรอันย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ...เขาเป็นโรคติดต่อร้ายแรง!
เขาย้ำกับตัวเองเสมอ...
ย้ำความทุกข์ทรมาน...เสมอ
“เรอัน...” อาจจะอุปทา แต่เขาได้ยินเสียงเธอเรียกจากเบื้องล่างอีกแล้ว
เรอันหงุดหงิดแกมรำคาญโดยไม่รู้สาเหตุ หรืออาจจะรู้ก็ได้...บางที...เด็กหนุ่มทำเป็นไม่ได้ยิน วันนี้เป็นวันอาทิตย์
และอาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์ที่สองแล้วที่เขาไม่ได้ลงไปเดินเล่นและช่วยงานเธออย่างเคย
เฌอรีแอนก็ไม่เข้าใจ...เธอไม่เข้าใจว่าเขาเป็นอะไรไป ดูห่างเหินและเฉยชาจนแปลก แต่เธอจะไม่มีวันเข้าใจ
ไม่มีใครเจ้าใจหรอก
ตัวเรอันเอง...ก็ยังไม่เข้าใจ
เรอันนอนก่ายหน้าผากอยู่บนเตียง...แล้วเขาก็ลุกขึ้นคว้าเสื้อคลุมได้ก็เดินออกไป ไปไหนก็ได้ ให้ไกลจากแปลนดอกไม้นั่น ไกลจากเด็กผู้หญิงคนนั้น!
เขาไม่อยากมีแม้ความรู้สึกว่าเธอมีตัวตนอยู่ใกล้ ๆ ห้องพักเขา
เรอันเดินเรื่อยเปื่อยในแคมปัส ผ่านสนามเบสบอล หอสมุด พิพิธภัณฑ์ หอศิลปะ ตึกเรียนของคณะต่าง ๆ แล้ววนกลับมา
จนพบกับโบสถ์หลังเล็ก ๆ ประจำมหาวิทยาลัย หลังคาทรงโค้งไฮเปอร์โบลา แบบสถาปัตยกรรมโมเดิร์นคลุมอยู่บนยอดสุด มีไม้กางเขนกขนาดดใหญ่จนบนจุดเด่น
ท่ามกลางความเงียบเขาได้ยินเสียงบาทหลวงกำลังอ่านตอนหนึ่งในพระคัมภีร์...เสียงนั้นทำให้เขาชะงักฝีเท้าลง แล้วหยุดนั่งลงข้าทางตรงประตูข้างเล็ก ๆ ของโบสถ์...
เรื่องราวของอิบบราฮิม ดำเนินต่อไปจนจบตอน
“...พระเจ้าสถิตกับท่านเสมอ ขอให้ท่านจงรักเพื่อนมนุษย์ทุกคนดุจรักตัวท่านเอง”
“อาเมน” เสียงนักศึกษาผู้เป็นคริสต์ศาสนิกชนแคทอลิกขานรับพร้อมกันอยู่ภายใน และรวมทั้งเรอันที่นั่งอยู่ภายนอก
เขาขานรับอย่างเหม่อลอย
จริงหรือ? จริงหรือที่พระเจ่าให้เขารักทุกคน?
เรอันนึกถึงตอนหนึ่งของการสนทนากับจิตแพทย์ ผู้ศึกษาเกี่ยวกับสภาพจิตของผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เมื่อสองสัปดาห์ก่อน เพื่อให้ข้อมูลทางสถิตกับหน่วยพัฒนาและฟื้นฟูสภาพจิตของผู้ป่วย
“...สรุปว่า ตอนนี้คุณมีปัญหาเกี่ยวกับสายตาบุคคลรอบข้างที่มองคุณ ไม่แปลก...เพราะสภาพคนปกติยังแคร์สังคมที่เขาอยู่ จริงไหม? เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกส่วนตัว และเราก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่พอที่จะสร้างค่านิยมใหม่ในโลก หรือถ้าทำอย่างนั้นได้ก็สร้างโลกใหม่ซะยังจะง่ายกว่า และคุณต้องเข้าใจนะโรคภูมิคุ้มกันเสื่อมนี่เป็นโรคใหม่สำหรับโลกของเรา ยังต้องการเวลาที่จะศึกษาทำความเข้าใจและปรับตัวกับสังคม ผ่านปัญหานี้ไปก่อน...
คุณรักใครบ้างไหม?”
ประโยคคำถามนี้ ทำให้เรอันนิ่ง เขามองอยู่ที่หน้าจิตแพทย์คนนั้น แต่เขารู้ว่าเขากำลังคิดถึงใคร
เขาไม่เข้าใจ ทำไม คำตอบของประโยคนี้ที่ผุดขึ้นในความคิดของเขา คือ เธอ...
เฌอรีแอน
ไม่ใช่...เขาสนิทกับเธอต่างหาก
เธอสนุกสนาน ร่าเริง คุยง่าย ไม่คิดมาก และอะไรอีกหลาย ๆ อย่างที่ทำให้เขานึกถึง
แต่ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน!
“ไม่มีฮะ” เรอันได้ยินเสียงตัวเองตอบไปแผ่วเบา
“หมายความว่า คุณไม่มีเกิลเฟรนด์ และยังไม่สนใจใครเลยหรือ?”
“ฮะ”
“ขอโทษนะ เคยมีความรักแล้วอกหักบ้างไหม? อาจไม่ใช่เพราะเกี่ยวกบโรคก็ได้”
“ไม่ครับ”
ผู้เป็นจิตแพทย์ก้มหน้าก้มตาจดบันทึกในแฟ้มเล่มโตแล้วเงยหน้าขึ้นถามเขา
“เคยคิดจะแต่งงานไหม? หมายถึง เมื่อเรียนจบทำงานแล้ว” เขาขยายความเมื่อเห็นเด็กหนุ่มทำหน้าสงสัย
“หืม?” เรอันยังไม่คลายคิ้วที่ขมวดอยู่ “ได้หรือ?”
“ได้... แต่อาจไม่ปกติ เพราะอย่างน้อยก็มีลูกด้วยกันไม่ได้ และผู้หญิงคนนั้นคงต้องเสียสละมาก...เธอคงรักคุณจริง ๆ คนไข้บางรายที่เคยเจอ แต่งงานหลังจากรู้ว่า ฝ่ายหนึ่งเป็นเอดส์แต่เขาคงหาทางป้องกันอย่างดี และไปตรวจเลือดทุกสองเดือน จนตอนนี้ยังไม่พบว่าตัวสามีมีเชื้อไวรัสเลย ทั้งที่ภรรยาถึงขั้นแสดงอาการแล้ว”
“ผมคงไม่โชคดีแบบนี้”
“ก็ไม่แน่ แต่การที่คุณไม่รักใคร หมายถึง ไม่มีแฟนก็ดีแล้วจะได้ไม่มีปัญหาตามมา ที่ฉันเล่าคู่นั้นเป็นเพียงคู่เดียวที่ไม่มีปัญหาด้วยกัน แต่ก็มีปัญหากับสังคมอยู่ดี...ส่วนนอกนั้น...” จิตแพทย์ผู้มีแววตาเย็นชา ไร้ชีวิตชีวา ดูทึบทึม ยักไหล่และเว้นคำพูดไว้แค่นั้น แล้วก้มหน้าก้มตาจดบันทึกง่วนตามเคย
แต่เรอันพอจะเดาต่อได้
“พระเจ้าคงไม่อยากให้คุณมีความรักละมัง...”
เรอันได้ยินเขาบ่นเบา ๆ แต่มันทำให้เขารู้สึกจุกที่ลำคอ
เสียงออแกนบรรเลงเพลงสวดเงียบไป เรียกสติเรอันคืนมาจากความคิด เขาเดาว่าภายในคงรับศีลเสร็จแล้ว อีกไม่นานพิธีคงเลิก นับเป็นเวลานานเท่าไรแล้วนะที่เขาไม่ได้เข้าโบสถ์และรับศีลในพิธีทางศาสนา ตั้งแต่ตอนที่เสียพ่อไป แม่ก็พาเขากับน้องสาวไปนาน ๆ ครั้ง เขายังจำแววตาของคนในโบสถ์ที่มองครอบครัวของเขาได้อย่างแม่นยำ และเขาก็ถูกลงมติไม่ให้ดื่มไวน์ถ้วยเดียวกับผู้คนอื่น ๆ...จนทุกวันนี้ ขณะที่เวลาตกใจอุทานว่าพระเจ้า แต่เขาเกือบลืมด้วยซ้ำไปว่าเขาเป็นคาทอลิก
เรอันนั่งรอจนกระทั่งคนทยอยกันออกมาจากโบสถ์จนหมด ต่างแยกย้ายกันออกไป โดยไม่มีใครสนใจว่า มีเด็กหนุ่มน้อยคนหนึ่งนั่งเงียบเหงาโดดเดี่ยวอยู่ตรงนั้น
เขายืนขึ้นเดินอ้อมไปหน้าโบสถ์ แล้วแง้มประตูเข้าไป...
เสียงออแกนบรรเลงแผ่วเบา นักดนตรีกำลังซ้อมเพลงของเขาอย่างไม่สนใจอะไร เรอันเดินเข้าไปนั่งคุกเข่าอยู่เป็นเวลานาน...
“ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า” เขาได้แต่ภาวนา ขออย่าให้ข้าต้องทรมานใจมากกว่านี้ อย่าให้เฌอรีแอนใกล้เขามากกว่านี้เลย เขากลัวเหลือเกิน กลัวทรมาน...
“ในนามของพระบิดา...พระบุตรและพระจิต...อาเมน”
เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นเขามองไปยังกึ่งกลางกางเขนที่แขวนอยู่ตรงหน้า มันคล้ายกับว่าเขากำลังจ้องมองกับสายตาคู่หนึ่งที่เพ่งมายังใบหน้าเขา แววตานั้นดุดัน ทรงอำนาจแกมเฉยเมยเย็นชา ราวกับว่าเขาเป็นผู้ทำผิด ผู้เป็นบาป ผู้แพ้...
เสียงหนึ่งดังอยู่ไกลแสนไกล ไกลออกไปกว่ารัศมีของเสียงออแกน ประดุจหนึ่งเสียงก้องจากก้นหุบเหวลึก สะท้อนก้องราวกับฟ้าคำรามแล้วค่อย ๆ ใกล้เข้ามากระซิบอยู่ริมหูของเขา...เสียงออแกนแผกเพี้ยนไป กลายเป็นเสียงสวดมนต์สาปแช่งแห่งซาตานจากขุมนรก
มันเป็นคำสาปของพระเจ้า
ที่ห้ามเจ้ารักใคร...
หากเจ้าผิดบาปไซร้
รักจักกลายเป็นความตาย...
หรือฝันร้าย...ที่ไม่อาจลืม!
เรอันสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างร้อนรนตอนกลางดึก เหงื่อซึมทั่วหน้าและร่างกาย ทั้ง ๆ ที่หน้าต่างเปิดแง้มให้ลมหนาวได้พัดเข้ามา จนเย็นไปทั่วทั้งห้อง
เขาทบทวนดูในความมืด เป็นเพราะเช้าวานนี้เขาไปโบสถ์นั่นเอง ทำให้ติดใจเก็บมาฝัน...
เด็กหนุ่มนอนไม่หลับอีกเลย
ห้ามเจ้ารักใคร...
งั้นหรือ?
แม้แต่รักก็ยังไม่ได้เลยหรือ?
ทำไมชีวิตเขาถึงได้ทรมานแบบนี้นะ
หากเจ้าผิดบาปไซร้
รักจักกลาย เป็นความตาย
หรือฝันร้ายที่ไม่อาจลืม
ฝันร้าย!
ความคิดเห็น