คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ทางช้างเผือก
3.....
ทางช้างเผือก
เปิดเทอมใหม่ได้สัปดาห์หนึ่ง.......
เสียงพูดคุยทักทายกันของเด็กนักเรียนในยามเช้าดังไปทั่วบริเวณโรงเรียน...
ผู้ปกครองจูงเด็กนักเรียนตัวเล็ก ๆ เดินเข้ามาในบริเวณสนามเด็กเล่นขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่มีเครื่องเล่นน่ารัก สีสันสดใสมากมาย
รถส่งนมสำหรับนักเรียนเลี้ยวเข้ามาในบริเวณถนนของโรงเรียนและกำลังจะผ่านไปยังห้องครัว
ภาพต่าง ๆ เหล่านี้เริมที่จะชินตาสำหรบเรอัน เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของเด็กนักเรียนที่นี่
เมื่อเขาเข้ามาอยู่ที่นี่ได้เกือบครึ่งปีแล้วและโรงเรียนนี้คือชีวิตใหม่ที่เขากำลังชินกับมัน
และก็ชินกับสายตาบางคู่ที่มองเขาแปลก ๆ เสมอ ทุกที ทุกหนทุกแห่ง..ทุกเวลา..มันน่าเบื่อเสียจริง ๆ
เรอันเดินผ่านสนามเด็กเล่น เด็กน้อยคนหนึ่งเห็นเขาก็วิ่งมาทักทาย
“สวัสดีเรอัน”
“สวัสดี...อืม...? เขาอาจจะไม่รู้จักหมดทุกคน...แต่ทุกคนในโรงเรียนนี้ “ต้อง” รู้จักเขา
“บิลไงฮะ”
“อ้อ...สวัสดีบิล...” เรอันชะงัก...ผู้ปกครองคนหนึ่งที่กำลังร่ำลาลูกสาวหางเปียชี้โด่เด่ หันมามองเขาแล้วเดินมาอุ้มพ่อหนูน้อยบิลออกไปเพื่อให้เด็กพ้นจากการสนทนากับเขา
ไม่มีคำอธิบาย แต่เรอันเข้าใจ เขาได้แต่ยิ้มค้าง คอตก...แล้วเดินจากไป...
เขาน่าจะชินกับเรื่องแบบนี้ได้แล้วนะ!
“...ใช่ เขาก็น่ารักดีหรอกนะ แต่ฉันยังไม่อยากตาย!”
เสียงแหลม ๆ ของเด็กสาวคนหนึ่งดังลอดออกมาจากห้อง LOCKER จนถึงทางเดินเข้ามา
เรอันจำได้ว่าเจ้าของเสียงชื่อ เรนนี...เพื่อนนักเรียนร่วมห้องของเขาเอง เธอกำลังคุยอยู่กับเพื่อนสาวอีก 2 คน
“นักเรียนใหม่ที่อยู่ห้องเดียวกับเธอน่ะหรือ ชื่ออะไรนะ?”
“เรอัน!”
เรอันสะดุ้งอยู่หน้าประตู เขากำลังจะเข้าไปเก็บของอยู่พอดี... แต่ชักไม่อยากเข้าไปแล้วสิ
“เขาอาจจะเป็นพวกเกย์ก็ได้นะ...น่ากลัวออก!”
“อ้าวไหนว่าเขาติดเอดส์มาจากการถ่ายเลือด เมื่ออุบัติเหตุหลายปีก่อน?”
“โธ่เอ๊ยรูส เธอก็รู้ เอดส์ก็เป็นโรคของพวกเกย์นั่นแหละ”
“ใช่...แต่ใครเขาจะมาประกาศว่า ตัวเองติดโรคมาจากเกย์ด้วยกัน เห็นหล่อ ๆ อย่างงั้น ก็วิตถารดี ๆ นั่นเองแหละ เธอ!”
“น่าเสียดายนะ ดูเผิน ๆ ก็ออกจะน่ารัก เขาจะเป็นพวก BISEXTUAL รึเปล่าเนี่ย?”
“คงไม่ล่ะ ดูเขาไม่เห็นสนใจผู้หญิงเลย”
“ผู้หญิงกลัวเขาละมากกว่า!” เสียงหัวเราะชอบใจของเด็กสาวทั้งสามดังเข้ามาเสียดแทงก้องอยู่ในหัวของเรอันอย่างเจ็บปวดที่สุด...
และหัวใจเขามันเต้นแรงจนแทบหลุดออกมาข้างนอก
เขากำลังจะเดินหนี...
แต่...หยุดก่อน! ...เขาหนีอะไร?
หนีคำสนทนา นินทาอย่างไร้ข้อมูล ด้วยความสนุกปากเพียงไม่กี่ประโยคนั้น หรือหนีความจริง?
ไม่จริง!
“นี่อย่าไปว่าเขาเลย น่าสงสารออก เขาอายุเท่าพวกเราใช่ไหม... 17-18 ปี ไม่รู้จะอยู่ได้อีกกี่ปี”
“ไม่นานหรอก ถ้าโชคดี อาจจะพรุ่งนี้ก็ได้!” เรอันเดินเข้ามา ตอบเรียบ ๆ ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินอะไรก่อนหน้านั้น...
เด็กสาว 3 คน ยืนนิ่งแข็งเป็นหิน เมื่อเห็นผู้ที่พวกตนกำลังกล่าวถึงเข้ามาระหว่างการนินทาอย่างน่าเกลียด
เด็กหนุ่มไม่สนใจ เขาเดินเข้าไปเก็บของในตู้เหล็กของเขาเองเงียบ ๆ ทั้งที่มือทั้ง 2 สั่นอย่างไม่ยอมหยุด... นี่มันไม่ใช่ครั้งแรก...ที่พบเจอเหตุการณ์ทำนองนี้
เขาน่าจะชินได้แล้วนะ! ...
“อ้อ... ฉันต้องไปแล้วละ ใกล้เลคเชอร์คาบแรกแล้ว BYE” หนึ่งในสามพูดขึ้น เมื่อตั้งสติได้
“ฉันด้วย BYE BYE...” อีก 2 ตามบ้าง
“BYE” เรอันตอบเบา ๆ
สิ้นเสียงประตูปิด เขาทรุดตัวนั่งลงตรงพื้นนั้นอย่างเหนื่อยหน่าย ดวงตาจับจ้องไปยังเพดานสีขาวที่ว่างเปล่า หลังพิงประตูตู้เหล็กที่เย็นเฉียบ...แต่ใจเขาเย็นยิ่งกว่า
“พ่อ... ทำไมผมไม่ตายพร้อมพ่อตั้งแต่ตอนนั้น...?”
ตกเย็นเป็นกิจวัตร...เมื่อโรงเรียนเลิก เรอันจะต้องเดินไปยังตึกศูนย์วิจัยโรคในโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย
ซึ่งบริเวณเดียวกับโรงเรียนของเขาเพื่อตรวจร่างกายและรับยาบำรุง
มันเป็นแคมปัสขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยมหาวิทยาลัยและโรงเรียนมัธยม-ประถมของมหาวิทยาลัย หอพักนักเรียนนักศึกษา โรงพยาบาล รวมถึงศูนย์ศึกษาและวิจัยสาขาต่าง ๆ สนามกีฬา
แม้กระทั่งสวนและแปลนทดลองขนาดหลายร้อยเอเคอร์ มันกว้างใหญ่มาก จนการสัญจรของนักศึกษาส่วนใหญ่จึงเป็นการขี่จักรยาน
แต่เรอันชอบเดิน...เดินคิดเรื่อยเปื่อย...
และวันนี้ก็เหมือนทุกวัน เขาเดินออกจากห้องตรวจด้วยท่าทางเซ็ง ๆ ด๊อกเตอร์เคย์ ผู้เป็นหัวหน้าคณะแพทย์สาขาไวรัสวิทยา
ซึ่งเป็นผู้ปกครองทางกฎหมายของเขาไม่อยู่ บางวันถ้ามีการเลคเชอร์ให้นักศึกษาแพทย์ เรอันก็จะเข้าไปฟังด้วยความสนใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเขา
กลุ่มอาการภูมิคุ้มกันบกพร่อง...AIDS!
หรือ “โรคของเกย์” สำหรับผู้ไม่รู้...
ทั้ง ๆ ที่ก่อนเขาจะเข้าโรงเรียนโดยความช่วยเหลือของรัฐ ด๊อกเตอร์
และทางศูนย์วิจัยได้ให้การศึกษาเกี่ยวกับโรค ตัวไวรัส และพาหะ อาการ การติดต่อ แม้กระทั่งการใช้ชีวิตร่วมกับผู้ป่วย...
ให้กับผู้ปกครอง นักเรียนทุกคน ไม่ว่าจะเด็กเล็ก เด็กโต รวมถึงครูและบุคลากรด้วย
แม้ว่าผลออกมาจะมีอยู่จำนวนมากมายที่ลาออก แต่ว่า...
“มันคือความต้องการของศูนย์วิจัยโรค และนโยบายของรัฐ ที่จะให้เธอกับโรงเรียนทดลองเป็นตัวอย่างของความสัมพันธ์และการยอมรับผู้ป่วยในสังคม
เราจึงต้องพยายามต่อไป เพราะเราก็ไม่รู้ว่า อีกนานแค่ไหนเราจึงจะคิดยา หรือวิธีการรักษาได้สำเร็จ ในขณะที่สถิติจากหน่วยระบาดวิทยาเพิ่มขึ้นทุกที...”
นั่นคือคำอธิบายจากด๊อกเตอร์เคย์ เรอันไม่รู้ว่าโชคดี หรือโชคร้ายที่เขาได้พบกับนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ผู้นี้
แต่เขาก็ได้ให้ความร่วมมือกับโครงการของด๊อกเตอร์เคย์ โดยการเซ็นสัญญากับทางศูนย์วิจัยของรัฐนี้เอง
เรอันกำลังเดินกลับไปสู่หอพักตามบาทวิถีเส้นเดิมที่เขาผ่านเป็นประจำจนถึงใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง...
เขาก็อดไม่ได้ที่จะหยุดและนึกถึงเหตุการณ์ของวันนั้น มันผ่านมาราว ๆ เกือบครึ่งปี เมื่อเขายังเป็นเด็กใหม่ของที่นี่อยู่ แต่เขาจำได้ไม่เคยลืม...
ทุกเย็นของทุกวัน ถ้าหากใครเดินผ่านบริเวณนี้ก็จะเห็นหนุ่มน้อยคนหนึ่ง ผมเลื้อยต้นคอ รูปร่างสูง หยุดยืนใต้ต้นไม้ใหญ่ ข้างม้านั่งพักบนบาทวิถี
เหมือนรอใครบางคนซึ่งคงไม่ค่อยมีมารยาทนัก เพราะผิดนัดได้ทุกวี่ทุกวัน
เรอันกำลังคิดถึงนัยน์ตาสีม่วงใส มันใสแจ๋วสวยประหลาด และเขาอดหวังไม่ได้ว่าจะพบกับเจ้าของมันอีก ไม่รู้ว่าทำไม
แต่ก็ไม่เคยได้ตามที่คิดไว้เลย แม้แต่เงาของเธอ
เธอคงไม่ได้เป็นคนในส่วนใดส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยนี้
แต่ไม่แปลกนักหรอก แคมปัสใหญ่ ๆ มักจะกลายเป็นสวนสาธารณะของเมืองโดยปริยาย
เรอันถอนใจและเดินต่อไป
ท้องฟ้ายามเย็นสีส้มนั้นค่อย ๆ ถูกสีน้ำเงินของความมืดขับไล่จนอยู่เพียงขอบฟ้าลิบ ๆ ตัดกับเงาดำของต้นไม้
ดาวดวงแรกเยี่ยมหน้าออกมาทักทายตั้งนานแล้ว เด็กหนุ่มค่อย ๆ เดินจนถึงบริเวณหอพักที่เขาอาศัยอยู่...
นักศึกษาบางคนนั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ ตรงมุมสนามเบสบอลที่ว่างเปล่า เพราะนักกีฬากำลังพักดื่มน้ำและเลิกเล่นแล้ว
ที่โรงอาหารเปิดไฟสว่างจ้า กลิ่นอาหารและเครื่องเทศโชยออกมาจากครัวหอมฉุย เรียกน้ำย่อยได้อย่างดี
แต่เรอันเดินผ่านไปเฉย ๆ เขารับประทานอาหารที่เมรันดาสั่งเตรียมให้เป็นชุดที่โรงพยาบาลทุกเย็น
“ผมเชื่อว่าการได้รับสารอาหารที่ถูกต้อง จะเป็นส่วนหนึ่งของการรักษา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันเป็นวิธีการสามัญที่มนุษย์ใช้เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงเสมอมาตั้งแต่สมัยโบราณ” ด๊อกเตอร์เคย์ เคยบอกว่าอย่างนั้น
เรอันเดินขึ้นไปยังห้องพักตัวเองเงียบ ๆ ห้องของเขาเป็นห้องนอนเล็ก ๆ ห้องสุดท้ายของตึกหลังริมสุดในหมู่อาคารหอพัก
เขาเปิดประตูเข้าพบกับความมืดที่ว่างเปลา ความเงียบเหงาสะท้อนกลับไปกลับมาไม่จบสิ้นและมันก็ทะลักออกมากระแทกหน้าเขาอย่างรุนแรง
เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปเปิดสวิตไฟข้างฝา เตียงเล็ก ๆ ที่ทำให้เท้าเขายื่นออกมาจากผ้าห่มทุกคืน
ตั้งอยู่มุมห้องติดกับเครื่องทำความร้อนที่มีกางเกงยีนส์กับผ้าขนหนูวางพาดอยู่ โต๊ะทำงานที่กองหนังสือและเครื่องเขียนไว้จนแทบไม่เห็นหน้าโต๊ะ
เขาทิ้งตัวลงบนความนุ่มของฟูกหนา สบถเบา ๆ เมื่อหัวชนกับผนังห้องหัวเตียง...เสียงหัวเราะเคล้าเสียงเพลงอย่างสนุกสนานของคนข้างห้องดังเข้ามา
นักเรียนระดับมัธยมในหอจะพักเป็นคู่ หรือสามคนต่อห้อง ยกเว้นเรอัน เขาไม่มีเพื่อนร่วมห้องสักคนเดียว
ใครเขาจะกล้ามาอยู่กับนายเล่า...เรอัน
น่าอิจฉาคนข้าง ๆ ห้องจัง
เขาต้องทนฟังเสียงบ่งบอกความสนุกสนานแบบนี้ทุกวันและบางวันเขาก็แทบจะทนไม่ได้ เมื่อมีเสียงซุบซิบเรื่องของเขา อย่าง...
“เฮ้ย! ได้ยินเสียงเปิดประตูรึเปล่า เกย์ข้างห้องมันกลับมาแล้วว่ะ! ปิดหน้าต่างเร็ว เดี๋ยวเอดส์ปลิวเข้ามา!!” หรืออย่าง...
“ทำไมเกย์ข้างห้องมันเงียบอย่างนี้วะ สงสัยจะตายไปแล้วมั๊ง บรื๋อ... ไม่อยากคิดว่าพวกเรานอนอยู่ข้างห้องศพเอดส์อืด ๆ เลยว่ะ!” หรืออะไรอีกมากมาย...
เรอันลุกขึ้นนั่งแล้วเอื้อมมือไปเปิดหน้าต่างและปิดไฟ ลมเย็น ๆ พัดเข้ามาเบา ๆ ฟ้ามืดสนิทแล้ว ดาวนับพันดวงออกมาแข่งกันส่องแสงระยิบระยับเต็มท้องฟ้า
ถ้าหากตอนนี้เป็นตอนกลางวัน จากหน้าต่างบานน้อยนั้นจะเห็นธารน้ำเล็ก ๆ ที่ขุดขึ้นโดยนักศึกษา
เพื่อแบ่งเขตที่พักอาศัยออกจากแปลนทดลองเพาะชำพืชดอกขนาดใหญ่
จากความมืดที่มีเพียงแสงดาวให้ความสว่าง เขาสามารถเห็นเงาตะคุ่ม ๆ ของเรือนกระจกตั้งอยู่กลางพื้นที่เพาะชำ
มันใสเงาและสะท้อนแสงดาวราวกับเป็นส่วนหนึ่งของท้องฟ้า
“พ่อ... มีแม่น้ำสีขาวบนฟ้าด้วย...”
“ทางช้างเผือก...ลูก”
“ทางไปสู่สวรรค์หรือครับ?”
เขาจำได้พ่อยิ้ม...แล้วบอกกับเขาว่า
“มันเป็นเพียงกลุ่มก๊าซ และสะเก็ดดาวที่ล่องลอยอยู่ในอวกาศไกลแสนไกล...”
พ่อเป็นคนจริงจัง และเล่าเรื่องราวที่เป็นความจริงให้เขาฟังเสมอ พ่อรักความเป็นเท็จจริงอย่างนักวิทยาศาสตร์
น่าแปลก...ทั้ง ๆ ที่พ่อเป็นศิลปิน และนั่นทำให้ความจริงของพ่อก็มีความฝัน...แต่คนเรามักจะมีจินตนาการเสมอ
"มันเป็นคุณสมบัติอันยิ่งใหญ่ และประเสริฐสุดของมนุษย์มากกว่าความฉลาดที่เกินความสามารถในการเอาตัวรอดของสัตว์ทั้งมวล...”
ใช่...แต่เวลานั้น เขายังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจ
“เวลาเรามองท้องฟ้า เรามักจะคิดว่าสวรรค์นั้นอยู่บนฟ้า...อยู่เหนือเราขึ้นไป และเชื่อว่าพระเป็นเจ้าสถิตอยู่เบื้องบนนั้น
แต่เมื่อเราตายลง พ่อไม่สามารถพิสูจน์ให้ลูกเห็นได้ว่า วิญญาณของเราได้ล่องลอยขึ้นไปบนฟ้าจริงดังที่บรรพบุรุษเราเคยจินตนาการรึเปล่า
พ่อรู้แต่ว่า...ความจริงท้ายที่สุดแล้ว ร่างกายของคนเราก็ต้องสลายตัวจมลง เพื่อกลายเป็นดินบนโลกเสมอ
ถึงอย่างนั้นพ่อก็เชื่อว่า พระเจ้ายังคงสถิตอยู่กับเรา...
MILKY WAY...
THE RIVER OF NIGHT,
RAINBOW BRIGHT...
THE BRIDGE OF DAY,
...AREN’T THE WAY TO HEAVEN...
BUT, JUST TRUST AND PRAY...”
เรอันจดจำวันเก่า ๆ ของเขาเมื่อยังเด็กได้เสมอ เขารักมัน...รักวันเวลาที่เขาเคยมีครอบครัวที่อบอุ่นและแสนจะมีความสุข
จนนึกอิจฉาเด็กน้อยเรอันเมื่ออดีต เด็กคนนั้นมีทุกอย่างและมีความสุขโดยไม่รู้ตัว แต่เขา...ไม่มีอะไรเลย
และความไม่มีทำให้เราคอยอาลัยวันที่เคยมีอยู่เสมอ เขามักจะคิดถึงมันเมื่ออยู่คนเดียวเงียบ ๆ จนหลับไป...
.....................................................................
“เรอัน...อาจารย์ใหญ่ขอพบเธอ อีก 5 นาทีที่ห้องประชุมนะ” เลขาสาวใหญ่ผู้ซึ่งนักเรียนไม่เคยเบื่อที่จะได้นินทา
เดินเข้ามาบอกเขาระหว่างการผ่าเครื่องในวัวแลปชีววิทยา
กลิ่นคาวเลือดผสมกลิ่นสารเคมีกันบูดที่คลุ้งอยู่ในห้อง ทำให้คุณเลขาทำจมูกฟุดฟิดแล้วย่นหน้าอย่างรังเกียจ
นักเรียนต่างมองอย่างหมั่นไส้ เด็กหนุ่ม 2 คนยิ้มให้กันและหรี่ตาเป็นรหัส ก่อนที่จะโยนก้อนหัวใจที่ผ่าครึ่ง ๆ กลาง ๆ อยู่บนถาดลงตรงเป้าพอดี
นั่นคือตรงคอของเจ้าหล่อน แล้วหัวใจเจ้ากรรมมันก็ดันไหลลงไปในเสื้อ เป็นเหตุให้เกิดเสียงกรีดร้องอย่างตกใจสุดขีด และเสียงเฮลั่นตามมา
เรอันกำลังล้างมืออยู่พอดี หันไปเห็นก็ยังอดหัวเราะไม่ได้ ทั้งที่ในใจกำลังสงสัยว่า อาจารย์ใหญ่เรียกเขาไปทำไม หรือว่ามีเด็กใหม่เข้า?
โดยปกติแล้วเมื่อมีนักเรียนเข้าใหม่ หรือเปิดเทอมใหม่ เรอันจะต้องได้รับการแนะนำตัวกับคนเหล่านั้น และในวันปฐมนิเทศพวกเขาจะได้รับการศึกษาเกี่ยวกับ
กลุ่มอาการภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างละเอียดจากด๊อกเตอร์เคย์ และเขา...เจ้าของโรค หรือพูดให้ถูกคือ ตัวปัญหาของโรงเรียน
เหมือนอย่างตอนที่เขาเข้าเรียนใหม่ ดังนั้นนักเรียนที่นี่ทุกคนต้องรู้จักเรอัน และรู้จักเอดส์!
แต่อย่างไรเขาก็รู้สึกโชคดีที่ได้โอกาสออกมาจากห้องก่อน ไม่ต้องถูกอาจารย์ทำโทษไปด้วยเพราะความคะนองของเพื่อน เขาขี้เกียจฟังและไม่ชอบ
เด็กหนุ่มเคาะประตูที่ติดป้ายว่าห้องประชุม แล้วผลักเข้าไปเมื่อได้รับคำอนุญาต
อาจารย์ใหญ่นั่งรออยู่แล้ว
“สวัสดีครับ”
“สวัสดี เรอัน สบายดีหรือ”
“ครับ”
“วันนี้มีนักเรียนใหม่มาเข้า...” เป็นอย่างที่เขาเดาไว้จริง ๆ
“เธอมาไม่ทันตอนปฐมนิเทศ เพิ่งลงทะเบียนเมื่อวาน และอยู่ห้องเดียวกับเธอ อยากให้ช่วยแนะนำตัวหน่อย”
“ได้ครับ ด๊อกเตอร์ล่ะ”
“ไม่อยู่ ติดประชุมที่สถาบันฯ แต่ฉันรู้ว่าเธอทำได้”
“ตอนนี้เขาอยู่ไหนครับ?”
“เดี๋ยวคงจะมา เรานัดกันไว้อีกราว ๆ 10 นาที...นี่เป็นประวัตินักเรียน ไม่ได้เป็นความลับอะไร รู้จักเธอไปพลาง ๆ ก่อนสิ”
มือใหญ่หนาสมตัวยื่นแฟ้มเล่มบางเกินความเป็นประวัตินักเรียนมาให้เขา เด็กหนุ่มรับมาอ่านอย่างไม่ตั้งใจ...
ประวัตินักเรียน...
เฌอรีแอน แมรี มาดินี
เกิด กุมภาพันธ์ 1970 เพศหญิง
อายุ 17 ปี สัญชาติอเมริกัน
ผู้ปกครอง
ที่อยู่ -
ลักษณะ ...
สูง 5 ฟุต 5 นิ้ว
ผิว ขาว ผม ยาวตรง สีทอง
สีตา น้ำเงินม่วง ...
เสียงเคาะประตูตั้งแต่เมื่อไรเขาไม่รู้ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมา เรอันรู้สึกว่าตัวเองกำลังค้าง และเด็กสาวที่ก้าวเข้ามาใหม่ก็มองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา
ผม ยาวตรง สีทอง สีตา น้ำเงินม่วง...
เธอนั่นเอง!
เขาไม่รู้ว่าควรดีใจ หรือเสียใจกันแน่ที่ได้พบเธออีกครั้ง แต่ในลักษณะนี้
“เธอชื่อเรอันหรือ ดีใจที่เราได้พบกันอีก...คือเราได้เจอกันครั้งหนึ่งแล้วค่ะ แต่จะได้รู้จักจริง ๆ ก็เพิ่งวันนี้”
ประโยคหลังเธอพูดกับอาจารย์ใหญ่ ก่อนที่จะหันมายิ้มให้กับเขา แต่เขากลับปั้นหน้าไม่ถูก...
เขาเคยอยากพบเธออีกครั้ง อยากคุยด้วย อยากฟังเสียงกังวานสดใส...อยากเห็นตาสีสวยประหลาด เพราะเขารู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาแห่งฝันดี
แต่แล้วเวลานี้ เขากลับรู้สึกว่ามันเป็นฝันร้ายที่น่าเศร้า...แต่เขาต้องทำใจและยอมรับความจริง...
เขาเป็นโรคร้าย และกำลังจะอธิบายให้เธอฟัง!
เรอันเริ่มจากพยาธิกำเนิดของโรค หน่วยของไวรัส และลักษณะ รวมถึงคุณสมบัติของมัน
อาจารย์ใหญ่ขอตัวไปทำงานต่อ หลังจากที่นั่งฟังเรอันค่อย ๆ อธิบายได้ระยะหนึ่ง
“...มันสามารถทำลายระบบภูมิต้านทานของมนุษย์ได้โดยตรง โดยหลบอยู่ในเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T-LYMPHOCYTES...
ซึ่งเป็นเซลล์ที่ท่องเที่ยวไปทั่วร่างกายตามกระแสเลือดไปตามอวัยวะต่าง ๆ ...
จึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะถ่ายเลือดออกจนหมดตัวแล้วเอาเลือดใหม่ใส่เข้าไป ฉันก็เคยคิดแบบนั้น ซึ่งเป็นไปไม่ได้...
หมายความว่า มันรักษาไม่หาย ยังไม่มีวัคซีน ไม่มียารักษา หรือวิธีการใด ๆ ไม่มีอะไรทั้งนั้น และผู้ป่วยก็จะตายในที่สุด”
“แต่เธอก็ดูปกติดีนี่”
“ใช่ไหมล่ะ มันถึงได้น่ากลัวไง ผู้ป่วยจะมีลักษณะปกติ ซึ่งอยู่ในระยะฟักตัวของไวรัส จนถึงจุดวิกฤต
ซึ่งร่างกายไม่สามารถปรับตัวต่อสู้กบสภาวะต่าง ๆ ที่มาทำลายภูมิคุ้มกันได้อีก อาการจริง ๆ ของเอดส์ หรือ FULL BLOWN AIDS ก็จะปรากฏ
ไม่มีปาฏิหาริย์สำหรับโรคนี้ สำหรับฉันก็เหมือนกัน”
“อีกนานไหม?” นัยน์ตาสีน้ำเงินม่วงนั้นกำลังถามเขาอย่างเลื่อนลอย ราวกับไร้ความรู้สึก
เรอันเองก็พยายามเก็บความรู้สึกต่าง ๆ เขาตอบโดยแทบไม่กล้ามองตาคู่นั้นเลย
“มันแล้วแต่คน แล้วแต่การรักษาตัว เฉลี่ยก็อยู่ในราว ๆ 5-10 ปี แต่ไม่มีทางเร็วกว่า 2 ปี คือมันต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการฟักตัว ฉันเป็นมาแล้ว...3 ปีกว่า”
ประโยคหลังแผ่วเบา ทั้งคู่เงียบไป เหมือนต่างคนต่างคิดอะไรของตนอยู่ในใจ
“อ้อ...ขอโทษนะ ฉัน...ถ้าฉันจะถามว่า เธอไปรับเชื้อมาได้อย่างไร คือ...เออ...” เด็กสาวพูดตะกุกตะกัก
แววตาสีม่วงใสมันฟ้องว่า เธอไม่มั่นใจว่าควรถามเขาไหม แต่ประโยคต่อไปรีบพูดเหมือนเด็กที่ต้องการแก้ตัวกับผู้ใหญ่
“เออ...ฉันต้องออกตัวก่อนนะว่า ฉันไม่ค่อยได้สนใจ เพราะคิดว่ามันไกลตัว เลยไม่มีความรู้เรื่องนี้เท่าไร
แต่ก็พอจะรู้ว่ามันเป็นโรคที่ติดต่อกันในหมู่เกย์ และก็พวกวิตถาร หรือไม่ก็ติดยา อ้อ...
แต่ฉันคิดว่า เธอไม่น่าจะใช่... ฉันรู้สึกว่าเธอต้องไม่ใช่...แววตาเธอบอกว่าอย่างนั้น...
ไม่ใช่ ใช่ไหม?”
เรอันยิ้มเศร้า ๆ ไม่แปลกหรอกที่เธอจะคิดเช่นนั้น
“ฉันได้รับเลือดที่มีเชื้อไวรัสนี้ปนอยู่ เมื่อได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อประมาณ 3 ปีก่อน เธอจะเชื่อก็ได้นะ”
เด็กหนุ่มอธิบายเรียบ ๆ เขากำลังปิดกั้นความเจ็บปวดที่ไม่มีตัวตน ความเจ็บปวดและทรมานที่มาจากไหนก็ไม่รู้
“ทำไมเธอถึงพูดอย่างนี้นะ”
“ไม่แปลก ฉันมักจะถูกมองว่าเป็นพวกโรคจิต วิตถาร เกย์ หรือติดยาเสพติดเสมอ แต่ผู้ป่วยหลายคนติดเชื้อจากทางเลือด
บางคนเป็นฮีโมฟีเลีย และหลายคนก็เพศสัมพันธ์แบบปกติ...ซึ่งหมายความว่ามันติดต่อกันได้ โดยหลัก ๆ แล้วคือทางเลือดและเซกซ์เท่านั้น
และตอนนี้พวกหมอกำลังพิสูจน์อยู่ว่า จากแม่สู่ลูกได้ไหม ยังไม่มีใครแน่ใจ เพราะงั้นเธออย่ากลัวฉันเลยนะ ฉันจะระวังตัว
การอยู่ร่วมกันด้วยความสัมพันธ์ทางสังคมปกติ ไม่มีทางติดต่อได้หรอก และนั่นทำให้ฉันต้องมาอยู่ตรงนี้
เพื่อเป็นการทดลองเป็นตัวอย่างด้านความสัมพันธ์ทางสังคมและจิตวิทยา แล้วก็คอยให้ความรู้แก่คนในชุมชน”
เรอันพูดเป็นการเป็นงาน พยายามปิดกั้นความรู้สึกบางอย่างที่เขาเองก็บอกไม่ถูก
แต่ที่รู้คือ...เขากลัว
เขาไม่อยากถูกเธอรังเกียจ...ไม่อยากให้เธอเห็นเขาเป็นตัวประหลาดอย่างที่ใคร ๆ ชอบมองเขาให้เป็นอย่างนั้น
“งั้นแปลว่า...ถ้าฉันดื่มน้ำถ้วยเดียวกับเธอ...”
“เธอก็ติดได้แค่หวัด แต่ไม่ใช่เอดส์” เรอันตอบสวนขึ้นอย่างมั่นใจ
“เมื่อตอนแรกที่ฉันบอก ในน้ำหลั่งทุกชนิดที่มาจากร่างกายผู้ป่วยมีไวรัสอยู่ แต่ในปริมาณต่างกัน ในน้ำลายก็มีแต่น้อยมาก
น้อยจนไม่สามารถทำให้ติดเชื้อได้ ฉันเลยได้รับอนุญาตให้ใช้แก้วน้ำและภาชนะรวมกับของคนอื่นได้”
“แล้วถ้าฉันได้รับเลือดจากเธอ?”
“เธอก็ติดเอดส์ แต่ไม่ติดหวัด”
“ถ้าฉันร่วมรักกับเธอล่ะ?”
เด็กหนุ่มอึ้ง...เขาเห็นนัยน์ตาคู่นั้นที่จ้องมองมา นิ่ง รอคำตอบ เขาไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ แต่มันทั้งคู่ใสลึกและดูบริสุทธิ์เหลือเกิน
เรอันถอนใจ
“เธอก็ติดทั้งหวัด ทั้งเอดส์!”
จบคำตอบของเขา เด็กสาวผมทองนิ่งไปนิดหนึ่ง
“ถ้าจูบล่ะ?”
เขาอยากรู้จริง ๆ ว่าเธอคิดอะไรอยู่!!!
“ฉันคิดว่า Social Kiss หอมแก้ม คงไม่เป็นไร แต่ถ้ามากกว่านั้น...ก็ไม่แน่!”
เรอันรีบเล่าเรื่องต่อก่อนที่จะพบกับคำถามแปลก ๆ จากเธอ...
เขาเล่าถึงระยะของโรคและกลุ่มอาการ เท่าที่เขารู้และเคยศึกษากับด๊อกเตอร์เคย์...
ดูเธอช่างสนใจจริง ๆ ดวงตาใสกลมคู่นั้นจ้องมองดูเขาตลอดเวลา แต่เหมือนกับว่าเธอพยายามค้นหาอะไรบางอย่างในตัวเขา
มันไม่ได้ส่อแววรังเกียจ ไม่ได้แสดงความเห็นใจ หรือเวทนา...อย่างที่เรอันเคยพบเจอมา...
หากสำหรับเรอัน เขากำลังเจ็บปวดและเกลียดตัวเอง เขาไม่เข้าใจ...ทำไมเพิ่งจะมารู้สึกเอาตอนนี้
ทุกครั้งที่เขาอธิบายถึงเรื่องราวของโรคร้ายที่เกิดขึ้นกับตัวเขา จริงอยู่ มันอาจเสียดแทงอยู่ลึก ๆ ในใจ
หากเขาไม่เคยเกลียดตัวเอง ไม่เคยเจ็บปวดเท่าครั้งนี้เลย เขาอยากภูมิใจว่าเขานั้นกล้าหาญที่จะยอมรับความจริง...
แต่ขณะนี้ เวลานี้ ตอนที่เขาตีหน้าเฉยเมยต่อแววตาใสลึกคู่นั้น เขารู้ว่ากำลังหลอกตัวเอง...
เขาอยากร้องไห้!
ไม่เข้าใจ...
และดูเหมือนว่าเธอจะรู้
“เรอัน...เราเปลี่ยนเรื่องพูดดีไหม มันเครียดจัง เธออยู่กับคุณพ่อคุณแม่หรือ?”
“เปล่า...พ่อแม่ฉันตายแล้ว”
“เฮ้อ!” เธอถอนหายใจดัง ๆ กลอกตาขึ้นมองเพดาน “เครียดอีกแล้ว...เอาใหม่ดีกว่า...เธอรู้รึเปล่าว่าอาหารกลางวันวันนี้มีอะไรกินมั่ง เป็นไง ไม่ซีเรียสเลยใช่ไหม?”
เด็กสาวหัวเราะเสียงกังวานสดใส ดูท่าทางการหาเรื่องคุยสนุก ๆ กับการทำตัวให้ร่าเริงเป็นประจำ จะเป็นงานถนัดของเธอ
เธอพยายามปัดความเศร้าที่ครอบงำการสนทนาทิ้งไป เรอันคิดถึงวันที่พบกับเธอครั้งแรก
และเธอกำลังกลับเป็นคนเดิม
“ไม่รู้สิ อาจจะพายก็ได้”
“YES ถูกต้อง! ฉันเดินเที่ยวไปรอบ ๆ ผ่านโรงอาหาร เห็นแม่ครัวเขาทำพายไตวัวกับเนื้อบดอยู่ด้วยล่ะ”
“ฉันกำลังสงสัยว่า ไตวัวที่พวกเราผ่าใน LAB ชีวะฯ ตอนเช้านี้รึเปล่า คลื่นไส้ตายเลย”
“เอ...อาจจะใช่นะ เห็นมันเละ ๆ ยังงัยชอบกล” เด็กสาวัวเราะสดใสอีกครั้ง จนเขาหัวเราะตามไปด้วย
เรอันอดที่จะคิดไม่ได้ว่า อะไรก็ตามที่ผ่านมาในชีวิตของเขาจะเป็นฝันร้าย แต่เธอนั้นอาจเป็นฝันดี
เขาอยากตะโกนว่า เขามีเพื่อนแล้ว!
อนิจจา...ตอนนั้นเขาไม่รู้สักนิดว่า...มันคือการเริ่มต้นแห่งฝันที่ไม่มีวันดีได้เลย!
ความคิดเห็น