ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dream ความฝันในเปลดิน

    ลำดับตอนที่ #2 : บทเพลงกล่อมนิทรา

    • อัปเดตล่าสุด 20 ก.พ. 49


    2...
    บทเพลงกล่อมนิทรา

    เดือนมิถุนายน ปี 1981...

     ที่ศูนย์ควบคุมโรคแห่งสหรัฐได้รับรายงานจากนครลอสแอนเจลิส มลรัฐแคลิฟอร์เนียว่า ชายหนุ่มรักร่วมเพศ***จำนวน 5 ราย
    ป่วยเป็นปอดบวมจากเชื้อโรคประหลาดชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Pneumocystis Carinif Pneumonia
     
     ในเวลาไล่เลี่ยกันมีรายงานจากมหานครนิวยอร์คและแคลิฟอร์เนียว่า มีชายรักร่วมเพศอีก 26 ราย
    ป่วยเป็นมะเร็งในหลอดเลือดที่เรียกว่า Kaposi’s sarcoma และอีกหลายรายได้รับการติดเชื้อชนิดฉวยโอกาส

     ซึ่งตามปกติโรคเหล่านี้จะเกิดกับคนที่มีภูมิคุ้มกันของร่างกายเสียไปเท่านั้น และเมื่อทุกรายได้รับการตรวจชันสูตรทางห้องปฏิบัติการพบว่า
    การทำงานของเซลล์ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกันแอนติบอดี้ในร่างกายเสียไป ไม่สามารถที่จะทำหน้าที่ได้ตามปกติ

     และหลังจากนั้นก็มีรายงานผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายคลึงกันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว


    ปี 1986...

     “มันเป็นทรงกลมที่เล็กมาก มีลักษณะเป็นปุ่มอยู่ภายนอกโดยรอบ เรียกว่า Qp 120 เป็นส่วนที่ไปเกาะกับเซลล์ที่มันจะเข้าไปอยู่ด้วย...”

     สายตาทุกคู่ในที่นั้นกำลังจ้องมองไปยังภาพกราฟฟิค รูปร่างหน้าตาแปลก ๆ จนดูเหมือนกับสัตว์ประหลาดในการ์ตูน...
    มันเป็นการถ่ายภาพจากคอมพิวเตอร์ผ่านเครื่องฉายภาพไปตกยังผืนผ้าสีขาวที่แขวนอยู่บนผนังด้านหน้าของห้องอันมืดสลัว และเงียบสนิท เพื่อเป็นห้องประชุมอย่างแท้จริง

     “และถัดมานี้เป็นวงกลมรอบนอกที่เรียกว่า Envelop หรือ Viral Membrane ซึ่งก็คือเปลือกชั้นนอกที่ห่อตัวมันอยู่
    และเจ้านี่แหละคือตัวกระตุ้นให้ร่างกายสร้าง Antibody ทำให้เราตรวจพบมันได้จากการตรวจเลือด”

     ชายวัยกลางคนในชุดเสื้อกาวน์สีขาว แบบนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งยืนอยู่ข้างหน้ายังคงบรรยายลักษณะของเจ้าสัตว์ประหลาดนั้น
    ขณะที่ใช้ลำแสงเลเซอร์ยิงไปยังเจ้านั่นให้เป็นจุดสีแดงบนภาพ เพื่อชี้ให้ผู้รับฟังเห็นชัดเจนในส่วนที่เขากำลังอธิบายอยู่

     “ส่วนนี้ คือ Core Shell หรือ Core Membrane ทำหน้าที่ห่อหุ้มส่วนสำคัญของมัน ซึ่งก็คือส่วนนี้
    เส้นเล็ก ๆ ที่อยู่ในเปลือก คือ Chromosome หรือ Gene ซึ่งเป็น RNA เป็นส่วนกำหนดพันธุ์กรรมของมันทั้งหมด”

     เขาหยุดเพื่อหายใจนิดหนึ่งก่อนจะเลื่อนลำแสงไปยังจุดที่เขาต้องการจะอธิบายต่อไป

     “ส่วนที่เป็นเม็ดกลม ๆ ภายในเปลือกในนี่ เป็นส่วนที่บรรจุเอนซัยม์พิเศษ ที่เรียกว่า Reverse Transcriptase ที่ช่วยในการแบ่งตัวเพื่อเพิ่มจำนวนของมัน
    และทั้งหมดนั้นก็คือ HTLV-III มันเป็นตัววายร้ายที่กำลังหาทางกำจัดอยู่!”

     เมื่อจบประโยคเขาจึงละสายตาจากภาพสัตว์ประหลาดนั้นมายังผู้ฟังทั้งหมด เพื่อดูความสนใจของพวกเขา
    พร้อมกับกดคีย์คอมพิวเตอร์ให้ไอ้ตัววายร้าย หมุนไปรอบ ๆ ตัวเองเพื่อเขาจะได้บรรยายส่วนอื่น ๆ ต่อไป


     แสงจากจอภาพนั้น... ตกสะท้อนกลับมายังใบหน้าของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งโดดเดี่ยวอยู่แถวหน้าสุด
    ในขณะที่ผู้ฟังอื่น ๆ นั่งเรียงรายกันอยู่แถวถัดไป

    และถ้าหากยืนตรงด้านหน้าก็จะเห็นเงาจากรูปบนจอภาพปรากฏบนใบหน้าของเขาอย่างชัดเจนราวกับเจ้าสัตว์ประหลาดตนนั้น สิงสถิตอยู่ในตัวเขาอย่างไรอย่างนั้น...

     เสียงสัญญาณบอกเวลาดังขึ้นไม่นาน ประตูห้องประชุมก็เปิดออกพร้อม ๆ กับเสียงคุยกันของคนในห้องดังลอดออกมา
    ไฟในห้องถูกเปิดจนสว่างจ้าและถูกดับลงอีกครั้ง เมื่อบุรุษคนสุดท้ายเดินออกจากห้อง


     “เรอัน...” เขาเรียกเด็กหนุ่มซึ่งนั่งฟังเขาบรรยายอยู่แถวหน้าสุดอย่างตั้งใจตลอดสี่ชั่วโมงที่ผ่านมาด้วยสมาธิที่ดีกว่านักเรียนแพทย์กลุ่มนั้นที่เขาเป็นอาจารย์สอนเสียอีก

     “ที่โรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง”

     “ก็ดี...ดีครับ” เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกว่าเรอันหยุดเดินเพื่อรอให้เขาเดินขึ้นมาเคียงข้าง
    และจึงเดินต่อไปตามทางเดินระหว่างห้องปฏิบัติการหมายเลขต่าง ๆ ที่เขียนติดไว้หน้าประตู

     “ดี ไม่มีปัญหาอะไรก็ดีแล้ว” เขาหันมามองใบหน้าด้านข้างของเด็กหนุ่มแล้วถอนใจเงียบ ๆ 

     “วันนี้อาจไม่มีปัญหาอะไร แต่วันหนึ่งวนใดข้างหน้ามันต้องมีแน่ เรอัน...ขอให้จำไว้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เธอต้องอดทน และยอมรับความจริงอย่างกล้าหาญ เพราะว่า...”
    เขาโอบไหล่เรอันเสมือนเพื่อนต่อเพื่อน ก่อนจะพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น หากแฝงแววอาทรยิ่งนัก

     “เพราะว่าเธอเป็นบุคคลพิเศษที่พระเจ้าต้องการทดสอบความอดทน!”

     “ขอบคุณครับ” เรอันไม่ได้พูดต่อว่า เขาขอบคุณพระเจ้าที่ให้เกียรติเขาเป็นเช่นนี้ หรือขอบคุณผู้ที่เดินเคียงข้างที่ให้กำลังใจเขาแบบนั้น

     “ด๊อกเตอร์เคย์คะ เรียบร้อยแล้วค่ะ” หญิงสาวผู้ช่วยห้องปฏิบัติการเปิดประตูออกมาจากห้องหนึ่ง
    พร้อมกับหลอดทดลองและบีกเกอร์เต็มตะแกรงในมือ ทุก ๆ ภาชนะบรรจุของเหลวต่าง ๆ ที่หลั่งออกมาจากร่างกาย และกว่าครึ่งหนึ่งก็คือเลือดสีเข้มจนคล้ำดำ

     “ขอบใจมากเมรันดา ช่วยเจาะเลือดเรอันด้วย อ้อ...จัดการหาหมอเช็คร่างกายให้เขาที ขอให้โชคดีนะ เรอัน”

     เขาหันมาพูดกับเรอันก่อนจะเดินจากไปพร้อมตะแกรงโลหิตจากมือเมรันดา

     “โรงเรียนใหม่สนุกไหม เพื่อนเยอะรึยัง?” เมรันดาชวนคุยขณะเช็ดแอลกอฮอล์กับข้อพับเด็กหนุ่ม

     “ก็ดีฮะ เพื่อนกว่าครึ่งเข้าใจ เอ้อ เห็นใจผม อีกครึ่งก็...เหมือนเดิม คือเขา...” เรอันหยุดไปเพื่อหาคำมาอธิบาย

     “กลัวผมมาก แต่ ช่างเหอะ ชินซะแล้ว”

     “ก็ยังดี มีเพื่อนตั้งครึ่ง จริงไหมล่ะ”

     “ครึ่งของที่เหลือฮะ นักเรียนลาออกเองแปดสิบกว่าคน ผู้ปกครองเอาลูกออกจากโรงเรียนอีกร่วมร้อย ครูขอย้ายราวครึ่งหนึ่ง
    โชคยังดีที่อธิการบดีไม่ยุบโรงเรียน หรือเฉดหัวผมออก!” เด็กหนุ่มคุยไปหัวเราะไปอย่างอารมณ์ดีราวกับเล่าเรื่องตลก

    เมรันดาได้แต่ยิ้มน้อย ๆ รู้สึกขัดกับสิ่งที่ได้ฟัง มันน่าเศร้ามากกว่า เธอมองเรอันด้วยสายตาเวทนาจับใจ

     “ความจริง ผมควรจะลาออกเองมากกว่า...โอ๊ย...อูย”” เขาอุทานเมื่อเข็มแทงเข้าสู่หลอดเลือด

     “เจ็บหรือ? ทำไมล่ะ?”

     “เกลียดเข็มฉีดยา แต่ก็หนีไม่พ้นจนได้”

     เรอันยิ้มแหย เมรันดาถอนเข็มออกไปแล้ว เลือดสีแดงสดเต็มหลอดใส ๆ
    เด็กหนุ่มหยิบสำลีชุ่ม ๆ มาซับเลือดที่เปรอะข้อพับอย่างระมัดระวัง ไม่ให้โดนมือ แม้ในถุงมือแพทย์ที่เข้ามาช่วย

     “ฉันหมายถึง ทำไมถึงอยากลาออก”

     “ผมไม่รู้แน่ชัดถึงจำนวนนักเรียนที่ลาออก แต่สมมตินะ ผมอยู่จะมีนักเรียนเพียงสี่ห้าร้อยคน
    ถ้าผมออกจะมีนักเรียนถึงหก หรือเจ็ดร้อย กับครูอีกเท่าตัว ความจริงผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเรียนไปทำไม
    ในเมื่ออีกไม่ถึง 10 ปี ก็คงไม่มีผมอยู่ในโลกนี้แล้ว หรืออาจจะเร็วกว่านั้นก็ได้!”

     “เรอัน...อย่าคิดอย่างนี้อีกนะ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนนักเรียนหรอก
    แต่เธอกับสังคมต่างหากที่จะเป็นตัวอย่างของความสัมพันธ์สามัญ การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันระหว่างผู้ป่วยกับสังคมในอนาคต”

     “ฮะ...ผมเข้าใจ” เขาพูดได้เพียงเท่านั้น

     หลังจากตรวจร่างกายกับนายแพทย์คนหนึ่ง เมรันดาก็เข้ามาอีกครั้ง

     “เอาล่ะ กลับได้แล้ว แล้วพบกันอีกนะจ๊ะหนุ่มน้อย อย่าคิดมากล่ะ”

     เธอหยิบแฟ้มประวัติเล่มหนาและใหญ่เทอะทะของเรอันถือเดินจากไป ปล่อยให้เขาสวมเสื้อจนเรียบร้อยแล้วเดินออกจากห้องตรวจคนไข้พิเศษตามลำพัง

     ลมเย็นเยือกยามค่ำคืนพัดของฤดูใบไม้ผลิตโชยมาปะทะหน้าเรียวยาวของเด็กหนุ่มจนรู้สึกแสบชา
    แสงสีส้มจากดวงโคมข้างถนนตลอดแนวบาทวิถีส่องมาสลัว ๆ ไม่สว่างไปกว่าแสงจันทร์ข้างขึ้นของคืนนั้น
    หากพอที่จะเห็นทางเดินเปลี่ยว ๆ ระหว่างต้นไม้รกครึ้มสองข้างทางกลับหอพักนักเรียนได้อย่างชัดเจน

     เขาเบื่อ หนาว เหงา และรู้สึกโดดเดี่ยว อ้างว้าง เคว้งคว้าง เสียจนไม่อยากเดินต่อไปอีกแล้ว

     เมื่อไรเราจะตายเสียทีนะ...


     เรอันรู้สึกกระตุกที่ข้อพับจึงก้มลงมอง แผลเล็ก ๆ ของเข็มที่ดูดเลือดของเขาออกไปเมื่อตอนเย็นนั่นเอง
    มันเตือนเขาว่าอีกไม่นานนัก วันที่เขาถามหาก็จะมาถึง

     “อาจจะ 10 ปี ถึงมากกว่านั้น ผู้ป่วยโดยมากจะอยู่ในอาการระยะแรก หรือระยะฟักตัวราว ๆ 5-10 ปี แล้วแต่บุคคลและปัจจัยการรักษา อย่างเร็วสุดก็ 2 ปี...”

     นั่นคือคำบอกเล่าของด๊อกเตอร์เคย์ มันคือคำทำนายอายุขัยของเขา... 10 ปีหรือ งั้นชีวิตเขาก็เหลืออีกไม่มาก 7 ปีหรือ... อาจช้าหรือเร็วกว่านั้น

     ทรมาน...

     เขาหยุดนั่งพักตรงม้านั่งข้าง ๆ ทาง ตรงนั้นเป็นเงามืดของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งพอดี ไม่เดินต่ออีกแล้ว...

     อยากนอน

     นอนใต้ผ้าลูกไม้ผืนใหญ่ที่ถักทอด้วยแสงจันทร์

     นั่ง...พิง...เอน...เหยียด...ล้ม...นอน...แล้วหลับตา!

     จนไอน้ำจากการหายใจกระทบอากาศเย็นจัดภายนอกเป็นควันสีขาวบาง ๆ ถูกพ่นออกมาทางจมูก เป็นระยะด้วยจังหวะเท่า ๆ กัน
    เมื่อความรู้สึกทั้งหมดของเขาจมดิ่งสู่ห้วงลึกของนิทรารมณ์ตรงนั้นเอง...

     เพลงกล่อมเด็กอันเคยคุ้นดังแว่วมาจากที่ไกลแสนไกล...

     ค่ำแล้ว...จงมาหลับตา
     ในอ้อมกอดของดารา...
     เด็กน้อยเอย... หลับเถิดหนา
     จงนิทราใต้ฟ้า... ใต้เงาแห่งแสงจันทร์
     อย่ากลัว...อย่ากลัวความมืดของราตรี
     หลับเถอะคนดี...
     เจ้าจงมีความสุขกับความฝัน
     ห่มผ้าลูกไม้ที่ทอด้ายด้วยแสงจันทร์
     บทเพลงจักจั่น...จะขับร้องกล่อมขวัญ
     ให้เจ้าหลับฝันดี...


     “พ่อ... พ่อ...! พ่ออย่าตายนะ พ่อ ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยพ่อด้วย...” เรอันได้ยินเสียงตัวเองร้องจนสุดเสียง ด้วยกำลังทั้งหมดที่มีอยู่ในขณะนั้น

     แต่เรี่ยวแรงเขาหายไปไหนหมด?

     เขาพยายามดึงเข็มขัดนิรภัยที่รัดลำตัวเขาไว้แน่นให้ออกอย่างยากเย็น กลิ่นคาวเลือดคลุ้งกำจาย

     เลือด...!

     เลือดทั้งนั้นเลย

     เลือดเต็มตัวเขา เต็มหน้าพ่อ!

     กลัว...

     ไม่เจ็บ ไม่รู้สึกเจ็บเลย แต่กลัว...

     “มีคนมาช่วยเราแล้ว... พ่อ... เรารอดตายแล้ว!” เขาอยากตะโกนโห่ร้อง หลังจากรอคอยความช่วยเหลือมานานแสนนาน แต่ไม่มีแรงแม้แต่กระซิบ

     เขาไม่เห็นหน้าคนที่ยื่นมือมาช่วยอุ้มเขาออกจากรถ หลังจากที่ทุบกระจกหน้าที่แตกละเอียดบริเวณเหนือพวงมาลัยที่มือพ่อยังคงกำมันไว้แน่น

    จนกระจกทั้งผืนแตกละเอียดเป็นช่องใหญ่ เสียงรถพยาบาลดังแว่ว ๆ ในความรู้สึกสุดท้ายก่อนที่เขาจะหมดสติไป...


     มืด...

     มืด...มาก


     “...หลับเถิดคนดี...เจ้าจงมีความสุขกับความฝัน ห่มผ้าลูกไม้ที่ทอด้ายด้วยแสงจันทร์...บทเพลงจักจั่น...จะขับร้องกล่อมขวัญ ให้เรอันหลับฝันดี”

     เสียงเพลงกล่อมเด็กที่แม่เคยร้องให้เขาฟังดังอยู่ข้างหู เด็กน้อยลืมตาขึ้นมาถามด้วยความสงสัย

     “แม่ฮะ...ลูกไม้ทอด้วยแสงจันทร์ นี่มันเป็นอย่างไรครับ?”

     “ก็เงาของต้นไม้ใต้พระจันทร์ไงจ๊ะ คุณยายของลูกเคยบอกกับแม่ตอนที่แม่ยังเป็นเด็กว่า ใครก็ตามที่ได้นอนหลับ แล้วห่มผ้าลูกไม้ผืนงามนั้นจะฝันดีเสมอ”

     “จริงหรือฮะ”

     “ลองดูไหมล่ะ”

     “แล้วมันจะอุ่นหรือครับแม่”

     “แม่ก็เคยสงสัย...” แม่อมยิ้มขบขันเรื่องราวของตนเมื่อยังเป็นเด็ก แต่ตาของแม่มองเขาอย่างอ่อนโยนเหลือเกิน

     “เมื่อโตขึ้น ได้ลอง ได้รู้ จนคุณยายจากไป จึงรู้ว่า ผ้าห่มอะไรสักกี่ร้อยผืนก็ไม่อุ่นเท่าอ้อมกอดของคุณยาย... จนได้พบกับคุณพ่อ!”
    แล้วแม่ก็ทำหน้าทะเล้นเหมือนเป็นเด็กสาวแก่แดด ซึ่งตอนนั้นเรอันก็ไม่เข้าใจ แต่เขายังจำเพลงกล่อมเด็กนั่นได้ติดหูตลอดมา

     เมื่อเขาเคลิ้มหลับจวนเจียนจะจมดิ่งสู่ห้วงลึกของความฝัน เพลงเรอันฝันดี
    ที่เขาเคยเรียกเมื่อตอนเป็นเด็กด้วยเสียงหวานใสของแม่จะดังแว่วอยู่ในความมืด ราวกับแม่กำลังร้องเพลงกล่อมเขาอยู่ข้าง ๆ

     ...ขับร้องกล่อมขวัญ... ให้เรอันหลับฝันดี!

     ฝันดี...

     ฝันดี...



     เขาลืมตาขึ้นมาอย่างยากเย็น


     นี่มันโรงพยาบาลนี่นา

     แม่กำลังร้องไห้... หรือว่า...

     “พ่อ... พ่อล่ะ พ่อล่ะฮะแม่?” เขาพยายามถามในสิ่งที่ติดค้างอยู่ในสมอก่อนหมดสติไป

     ไม่ตอบ... แม่ไม่ตอบเขาเลย... จนทุกวันนี้ แม่ก็ไม่เคยตอบคำถามนี้ของเขา
    แม่ได้แต่กอดเขากับมีนา

     แล้วร้องไห้

     มีนาร้องไห้

     เขาก็ร้องไห้

     ร้องไห้...

     ร้องไห้...

     จนเหนื่อย และหลับไป

     ...ขับร้องกล่อมขวัญ... ให้เรอันหลับฝันดี

     ฝันดี...

     ฝันดี...


     “อย่า! แม่...อย่าทำมีนา”

     ปัง!!! เสียงปืนดังระเบิดขึ้นท่ามกลางความเงียบ เจ้านกน้อยที่เกาะดูเหตุการณ์อยู่ตรงหน้าต่างบินหนีออกไปอย่างลนลาน

    เขาก้าวพรวดเดียวเพื่อรับร่างอันไร้วิญญาณของน้องสาวไว้ก่อนจะฟาดลงกับพื้น

     แม่ฆ่ามีนา!

     พยายามตั้งสติก่อนที่จะอุ้มเธอขึ้นมาเพื่อส่งโรงพยาบาล แต่ว่า...เสียงหมุนลูกโม่ดังอยู่ข้างหู เงาของแม่ทาบอยู่กับร่างของเด็กหนุ่มกับน้องสาว

     เขายังจำหน้าแม่ในวันนั้นได้ติดตา จำได้ชัดเจนแม้กระทั่งแววตาของแม่ที่มองเขาอย่างอ่อนโยน

     ปัง!

     ไม่มีเสียงนกกระพือปีกหนีไปจากขอบหน้าต่างอีกเลย เพราะมันบินหนีไปนานแล้ว...

     สัมปชัญญะขาดสะบั้น

     ไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่รู้สึกอะไรเลย

     เขาตายแล้ว!

     ตายแล้ว...ไม่ต้องทรมานอีกต่อไปแล้ว

     ดีใจ...ดีใจจนร้องไห้

     ร้องไห้...

     ร้องไห้...

     ...ขับร้องกล่อมขวัญ... ให้เรอันหลับฝันดี

     ฝันดี...

     ฝันดี...

     อะไรมัว ๆ น่ะ ตรงไกล ๆ โน้น

     สวรรค์หรือ?

     “รู้สึกตัวแล้ว เป็นอย่างไรมั่ง?” เสียงนั้นอยู่ไกลลิบลับ

     “ใคร...ใครน่ะ?” เขาตะโกนถามสุดเสียง แต่เขาไม่ได้ยินเสียงตัวเองแม้แต่น้อย

    เขาใช้มือปาดน้ำตาออกแต่ที่ดวงหน้าเขายังคงเปียกชุ่ม และไม่ได้รับสัมผัสจากมือที่ยกขึ้นมาเลย

     เหนื่อย...

     เขาพยายามลืมตา

     ตื่นเสียเถิด เรอันไม่ได้หลับฝันดี


     ฝันร้าย...!

     ภาพมัว ๆ ค่อย ๆ เลื่อนไปมาจนชัดขึ้นเป็นวงตรงกลาง ชายแปลกหน้าวัยกลางคนก้มลงมองเขาอย่างใจดี

     “เป็นอย่างไรมั่ง?” ชายคนนั้นถาม ถ้าเช่นนั้นเมื่อครู่ก็เสียงเขานั่นเอง

     “แม่กับมีนาล่ะ?” เรอันไม่ได้ยินเสียงตัวเอง แต่เขารู้ว่าเขากำลังถามด้วยสายตา

    ชายคนนั้นยิ้มเศร้า ๆ แล้วเดินจากไป เขากำลังหลับลงอีกครั้ง...เพิ่งจะนึกได้ว่าชายคนนั้นคือ Dr. K นั่นเอง

     ในฝัน...

     เขากำลังอยู่บนสวรรค์ ดินแดนสีขาวอ่อนนุ่ม สว่างและกว้างใหญ่ ทุกคนสวยงามสดใส ไม่มีใครสนใจเขาเลย

     ทุกคนเดินผ่านไปมาเหมือนไม่เห็นเขา

     แต่เขาเห็น... เห็นพ่อ แม่ กับมีนา นั่งร้องเพลงกับนางฟ้า พวกเขายิ้มให้เรอัน และโบกมืออำลา ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างค่อย ๆ เลือนหายไป

     เรอันตะโกนเรียกเกิดเสียงก้องสะท้อนกลับไปกลับมาในความว่างเปล่า แล้วเขาร้องไห้อีกครั้ง พยายามไขว่คว้า

     วิ่ง...วิ่ง...วิ่ง... เพื่อตามหา แต่ก็ล้มเหลว

     ทุกคนตายแล้ว! ...ตายหมดแล้ว

     มีแต่เขาเท่านั้นที่ยังไม่ตาย

     ไม่ตายสักที...

     ทำไม่ไม่ตายสักที


     ทรมาน!!!






     “...ห่มผ้าลูกไม้ที่ทอด้ายด้วยแสงจันทร์ บทเพลงจักจั่น จะขับร้องกล่อมขวัญ ให้เจ้าหลับฝันดี...”

     เสียงของแม่ดังอยู่ไกล ๆ ตรงปลายฟ้า เบาลงและเบาลง

     เขาภาวนาให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียงฝันร้ายในค่ำคืนหนึ่ง
    ให้เขาตื่นขึ้นมาแล้วพบว่า ตัวเขากำลังอยู่ในอ้อมแขนของแม่ ข้าง ๆ คือตัวพ่อ
    แล้วนอนต่อเพื่อหลับฝันดี


     ...ขับร้องกล่อมขวัญ ให้เรอันหลับฝันดี...

     ฝันดี...

     ฝันดี...



     เรอันค่อย ๆ ลืมตาช้า ๆ ขึ้นมา

     พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่า สิ่งที่เขาภาวนานั้นมันยิ่งใหญ่เกินไป!

    แสงแดดอ่อน ๆ ผ่านเงาใบไม้เป็นลำยาวทอดลงมาบนดวงหน้า เขาหรี่ตานิดหนึ่งเพื่อปรับม่านตาแล้วถามตัวเองว่า...

    เขาตื่นจริง ๆ แล้วหรือยัง หรือเพียงแค่ตื่นอยู่ในฝันซ้อนฝัน...

     เรอันสะอื้นเบา ๆ อย่างไม่ตั้งใจ รู้สึกว่าเขาจะร้องไห้ค้างอยู่...

     แขนที่หนุนหัวนอนตลอดทั้งคืนชาจนไม่กล้ายกหัวออกจากมัน
    เหน็บเจ้ากรรมก็รุมทึ้งเขาทั้งตัวจนไม่อยากขยับเขยื้อนจากท่าขดเป็นกิ้งกืออยู่บนม้านั่งไม้ตัวเก่านั้นเลย
     และทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกว่า เขาไม่ได้อยู่คนเดียวซะแล้ว

     “ขี้แยจัง” เสียงกังวานสดใสของใครบางคนดังอยู่ใกล้ ๆ เรอันตกใจแทบลุกขึ้นนั่งไม่ทัน
    เมื่อเห็นศีรษะของเด็กผู้หญิงทิ่มลงมาตีลังกากับพื้นโลก ห้อยโตงเตงอยู่ตรงหน้าเขา!
    ผมสีทองที่ยาวอย่างยิ่งกองลากพื้น ตากลมโตสีประหลาดห่างจากตาเขาแค่ไม่กี่นิ้ว

     ฝันร้าย...

     แม่โกหก! เรอันไม่เคยฝันดี!!

     เมื่อไรเราจะตื่นเสียทีนะ

     เขาหลับตาลงอีกครั้งหลังจากตาลีตาเหลือกผุดขึ้นมานั่งอย่างตกใจ ตื่นเสียที...

    ตื่น...!!!




     “นี่... ช่วยฉันลงหน่อยสิ” เสียงเดิมยังดังอยู่ที่เดิม

     “เฮ้ย... ได้ยินไหม?”

     “หูแตกรึไง?” คราวนี้มีมือมาจับใบหู แล้วเจ้าของเสียงก็กรอกเข้าให้เต็มหู

     จะใครซะอีกก็ยายผีหัวทองนั่นแหละ!

     เขาทนเสียไม่ได้อีกแล้ว ลืมตาอีกครั้ง


     ฝันก็ฝัน...

     สักวันอาจฝันดี!

     โธ่เอ๋ย...นึกว่าอะไร ที่แท้แม่ตัวดี ยายผีหัวทองก็แค่เด็กผู้หญิงจอมซนเล่นปีต้นไม้ แล้วห้อยตัวลงมา
    เอาข้อพับหลังเข่าหนีบกับกิ่งหนึ่งของต้นไม้ที่เขาอาศัยร่มใบนอนตลอดคืนนั่นเอง

     เรอันยิ้มขันตัวเอง...เด็กหญิงคนนั้นจึงยิ้มตามจนตาหยี แล้วเขาก็ต้องยิ้มค้างทันที
    เมื่อมืออ่อนนุ่มนั้นเอื้อมมือมาปาดน้ำตาที่คาอยู่ข้างแก้มทั้ง 2 อย่างแผ่วเบา เด็กหนุ่มเงียบอึ้งด้วยความรู้สึกยากที่จะบรรยาย แต่ที่แน่ ๆ ...

     เขาลืมฝันร้ายของเมื่อคืนจนหมดสมองเลย!

     ส่วนอีกฝ่ายก็พูดด้วยเสียงแจ้ว ๆ อย่างสดใส เคล้าหัวเราะทั้งดวงหน้า

     “เธอร้องไห้ไม่หยุดเลย ฉันผ่านมาเห็น เรียกอย่างไรก็ไม่หยุด... ฝันร้ายล่ะสิ”

     “กำลังคิดว่ายังฝันอยู่รึเปล่า”

     “ทำไมล่ะ?” เธอหุบยิ้มถาม ทั้งหน้า ทั้งตาเหมือนมีเครื่องหมายคำถามแปะซ้ำ ๆ เต็มไปหมด เขารู้สึกว่า เด็กคนนี้แปลก และน่ารักดี

     “ไม่รู้สิช่างเถอะ...” เขาตัดบทง่าย ๆ คนฟังพยายามยักไหล่ตามความเคยชิน แต่ไม่ถนัดเพราะแรงโน้มถ่วงกลับตาลปัด

     “นี่เธอจะลงมาคุยกันเป็นมนุษย์ดี ๆ ได้ไหม ฉันถึงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังฝันว่าอยู่ในเมืองตีลังกา ไม่ตื่นสักที”

     “ก็ช่วยสิ”

     “ช่วย?”

     “อุ้มตัวฉันลงไปหน่อย”

     “อ้าว! ตอนปีนขึ้นไปห้อยลงมาทำไมทำได้ แต่ลงมาไม่ได้?”

     “ทุกทีก็ทำได้ แต่เนี่ยมันนานเกินไปจนเลือดจะคลั่งสมองตายอยู่แล้ว ขาก็ชาหมด เลยลงไม่ไหว”

     ขาชา... เขาเพิ่งนึกได้ เขาเขาก็ชาเหมือนกัน แถมเมื่อยไปหมด

     “ช่วยหน่อยนะ...นะคะ”

     เรอันค่อย ๆ ยกตัวเด็กคนนั้นลงจากต้นไม้ตามคำขอร้อง แต่น้ำหนักที่ผิดคาดรวมกับอาการปวดเมื่อย
    และเหน็บชาจากการขดมาตลอดคืนทำให้ทั้งคู่กลิ้งโค่โร่บนพื้นหญ้าข้างม้านั่ง

     ไม่ใช่เด็กนี่ สาวน้อยต่างหาก!

     เธอตกแต่ไม่ได้ร้องกรี๊ดกร๊าด และพยุงตัวลุกขึ้นนั่งได้อย่างว่องไว พร้อมกับฉุดเรอันลุกขึ้นนั่งได้ตามมา

     แสงแดดอ่อน ๆ ตอนนั้นฉายส่องด้านหลังของเด็กสาว ทำให้ผมสีทองยาวเงาเลื่อมแผ่ล้อมกรอบใบหน้าและยาวตรงคลุมไหล่จรดแผ่นหลัง
    เหมือนเป็นรัศมีสีทองที่ส่องแสงออกมาจากตัวเธอ ดูสวยประหลาด ราวกับเทพยดา นางสวรรค์

                  นัยน์ตากลมโตสีชมพูอมม่วงก็อีก  สวยแปลกเหลือเกิน  โดยเฉพาะเมื่อมันทั้งคู่ใสจนเห็นแก้วตาข้างในชัดเจน
    ใต้คิ้วโค้งสูงสีน้ำตาลไหม้เข้มจัด  ดูขัด ๆ เมื่อเทียบกับผมหน้าม้าสีทองที่ตัดสั้นเหนือคิ้ว  ปิดครึ่งหนึ่งของหน้าผากไว้

     เธอเหมือนตุ๊กตาพิลึก

     โดยเฉพาะ......ริมฝีปากเล็ก ๆ.....แดงอิ่ม  มุมปากลึกรับกับลักยิ้มที่ 2 ข้างแก้ม  และบุ๋มเล็ก ๆ ใต้ริมฝีปากล่างที่หนาจนเกือบย้อย

     ช่างเหมือนตุ๊กตา...เทพยาเสียจริงๆ

     มีเพียงแววของตาสีแปลก ๆ ที่ดูมีชีวิตชีวา สดใสและจริงใจ 
    แต่นั่นแหละ  ทุกอย่างในตัวเธอช่างสวยแปลกประหลาด...และขัดกันอย่างหน้าทึ่ง  ตั้งแต่ผม คิ้ว  คาง ปากแก้ม...และนัยน์ตาคู่นั้น 
    ทว่า...ดู ๆ ไปแล้วมันช่างรวมกันได้อย่างสวยงามราวกับงานศิลป์ชิ้นเยี่ยมที่ใช้ความขัดแย้งเป็นเอกภาพ!  

     เรอัน....นายยังฝันอยู่จริง ๆ ด้วย !! เขาพึมพำเบา ๆ  ในลำคอ

     ด้วยอาการค้างของเขา  หญิงสาวจึงยิ้มจนแก้มแดง

     “หน้าตาฉันมันประหลาดอย่างนี้แหละ 
    เพื่อน ๆ ชอบทักว่า  ฉันใส่วิกมั่งหละ  ซื้อคอนแทกเลนซ์ผิดสีมั่งล่ะ  หยิบดินสอเขียนคิ้วผิดอันมั่งล่ะ หรือไม่ก็ล้อว่า 
    พระเจ้าสร้างเธอมาจากการรวมของเหลือ ๆ ใน    สต๊อกมั๊ง  เลยไม่มีอะไรในตัวที่เข้ากันได้สักอย่าง!”

     เด็กสาวจีบปากจีบคอเลียนแบบเสียงเพื่อนที่ล้อเธอจนจบ แล้วระเบิดหัวเราะกังวานใส  ทำให้เขายิ้มออกมาได้อย่างอารมณ์ดี

     “แล้วเขาบอกรึเปล่าว่า  ไอ้ของเหลือ ๆ มารวมกันได้อย่างบังเอิญจนสวยกว่าบางคนที่คิดว่าพระเจ้าบรรจงสร้างด้วยซ้ำไป

     “นั่นสิ   ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ  ดูสวยดีออกเน๊อะ......” เธอเออออเห็นด้วยอย่างจริงใจ   ท่าทางเธอจะเข้าใจในตัวเองเสียเหลือเกิน  จนไม่แคร์คำพูดของใครทั้งนั้น

     เธอไม่ได้แปลกแค่หน้าตาหรอกนะ..เรอันคิดในใจ

     เด็กสาวแหงนมองดูดวงอาทิตย์  เหมือนกับดูเวลา 
    ก่อนจะยืนขึ้นอย่างร้อนรน  สะบัดดอกเดซีและเศษหญ้าออกจากผมและเสื้อยืดสีครีม  ตบขากางเกงยีนซีด ๆ เบา ๆ

    ...เรอันได้แต่นั่งพิงโคนต้นไม้มองเงียบๆ

     “ฉันต้องไปแล้วล่ะ สายแล้ว...bye!” เธอวิ่งออกไปตามบาทวิถี  หลังจากจบประโยค  โดยไม่รีรอคำล่ำลาของเขาเลย 
    แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะหันกลับมา  เพี่อบอกเขาว่า
     “อย่าร้องให้อีกนะ  ขอให้ฝันหน้าของเธอ....เป็นฝันดี!”     ก่อนที่จะหายลับไปตามความโค้งของบาทวิถี

     เรอันยิ้ม....เราไม่แน่ใจว่า  ฝันหน้าจะดีหรือเปล่า แต่เมื่อชั่วครู่นั้น  เขารู้สึกว่าเขาฝันดี!


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×