คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทเพลงกล่อมนิทรา
2...
บทเพลงกล่อมนิทรา
เดือนมิถุนายน ปี 1981...
ที่ศูนย์ควบคุมโรคแห่งสหรัฐได้รับรายงานจากนครลอสแอนเจลิส มลรัฐแคลิฟอร์เนียว่า ชายหนุ่มรักร่วมเพศ***จำนวน 5 ราย
ป่วยเป็นปอดบวมจากเชื้อโรคประหลาดชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Pneumocystis Carinif Pneumonia
ในเวลาไล่เลี่ยกันมีรายงานจากมหานครนิวยอร์คและแคลิฟอร์เนียว่า มีชายรักร่วมเพศอีก 26 ราย
ป่วยเป็นมะเร็งในหลอดเลือดที่เรียกว่า Kaposi’s sarcoma และอีกหลายรายได้รับการติดเชื้อชนิดฉวยโอกาส
ซึ่งตามปกติโรคเหล่านี้จะเกิดกับคนที่มีภูมิคุ้มกันของร่างกายเสียไปเท่านั้น และเมื่อทุกรายได้รับการตรวจชันสูตรทางห้องปฏิบัติการพบว่า
การทำงานของเซลล์ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกันแอนติบอดี้ในร่างกายเสียไป ไม่สามารถที่จะทำหน้าที่ได้ตามปกติ
และหลังจากนั้นก็มีรายงานผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายคลึงกันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ปี 1986...
“มันเป็นทรงกลมที่เล็กมาก มีลักษณะเป็นปุ่มอยู่ภายนอกโดยรอบ เรียกว่า Qp 120 เป็นส่วนที่ไปเกาะกับเซลล์ที่มันจะเข้าไปอยู่ด้วย...”
สายตาทุกคู่ในที่นั้นกำลังจ้องมองไปยังภาพกราฟฟิค รูปร่างหน้าตาแปลก ๆ จนดูเหมือนกับสัตว์ประหลาดในการ์ตูน...
มันเป็นการถ่ายภาพจากคอมพิวเตอร์ผ่านเครื่องฉายภาพไปตกยังผืนผ้าสีขาวที่แขวนอยู่บนผนังด้านหน้าของห้องอันมืดสลัว และเงียบสนิท เพื่อเป็นห้องประชุมอย่างแท้จริง
“และถัดมานี้เป็นวงกลมรอบนอกที่เรียกว่า Envelop หรือ Viral Membrane ซึ่งก็คือเปลือกชั้นนอกที่ห่อตัวมันอยู่
และเจ้านี่แหละคือตัวกระตุ้นให้ร่างกายสร้าง Antibody ทำให้เราตรวจพบมันได้จากการตรวจเลือด”
ชายวัยกลางคนในชุดเสื้อกาวน์สีขาว แบบนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งยืนอยู่ข้างหน้ายังคงบรรยายลักษณะของเจ้าสัตว์ประหลาดนั้น
ขณะที่ใช้ลำแสงเลเซอร์ยิงไปยังเจ้านั่นให้เป็นจุดสีแดงบนภาพ เพื่อชี้ให้ผู้รับฟังเห็นชัดเจนในส่วนที่เขากำลังอธิบายอยู่
“ส่วนนี้ คือ Core Shell หรือ Core Membrane ทำหน้าที่ห่อหุ้มส่วนสำคัญของมัน ซึ่งก็คือส่วนนี้
เส้นเล็ก ๆ ที่อยู่ในเปลือก คือ Chromosome หรือ Gene ซึ่งเป็น RNA เป็นส่วนกำหนดพันธุ์กรรมของมันทั้งหมด”
เขาหยุดเพื่อหายใจนิดหนึ่งก่อนจะเลื่อนลำแสงไปยังจุดที่เขาต้องการจะอธิบายต่อไป
“ส่วนที่เป็นเม็ดกลม ๆ ภายในเปลือกในนี่ เป็นส่วนที่บรรจุเอนซัยม์พิเศษ ที่เรียกว่า Reverse Transcriptase ที่ช่วยในการแบ่งตัวเพื่อเพิ่มจำนวนของมัน
และทั้งหมดนั้นก็คือ HTLV-III มันเป็นตัววายร้ายที่กำลังหาทางกำจัดอยู่!”
เมื่อจบประโยคเขาจึงละสายตาจากภาพสัตว์ประหลาดนั้นมายังผู้ฟังทั้งหมด เพื่อดูความสนใจของพวกเขา
พร้อมกับกดคีย์คอมพิวเตอร์ให้ไอ้ตัววายร้าย หมุนไปรอบ ๆ ตัวเองเพื่อเขาจะได้บรรยายส่วนอื่น ๆ ต่อไป
แสงจากจอภาพนั้น... ตกสะท้อนกลับมายังใบหน้าของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งโดดเดี่ยวอยู่แถวหน้าสุด
ในขณะที่ผู้ฟังอื่น ๆ นั่งเรียงรายกันอยู่แถวถัดไป
และถ้าหากยืนตรงด้านหน้าก็จะเห็นเงาจากรูปบนจอภาพปรากฏบนใบหน้าของเขาอย่างชัดเจนราวกับเจ้าสัตว์ประหลาดตนนั้น สิงสถิตอยู่ในตัวเขาอย่างไรอย่างนั้น...
เสียงสัญญาณบอกเวลาดังขึ้นไม่นาน ประตูห้องประชุมก็เปิดออกพร้อม ๆ กับเสียงคุยกันของคนในห้องดังลอดออกมา
ไฟในห้องถูกเปิดจนสว่างจ้าและถูกดับลงอีกครั้ง เมื่อบุรุษคนสุดท้ายเดินออกจากห้อง
“เรอัน...” เขาเรียกเด็กหนุ่มซึ่งนั่งฟังเขาบรรยายอยู่แถวหน้าสุดอย่างตั้งใจตลอดสี่ชั่วโมงที่ผ่านมาด้วยสมาธิที่ดีกว่านักเรียนแพทย์กลุ่มนั้นที่เขาเป็นอาจารย์สอนเสียอีก
“ที่โรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง”
“ก็ดี...ดีครับ” เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกว่าเรอันหยุดเดินเพื่อรอให้เขาเดินขึ้นมาเคียงข้าง
และจึงเดินต่อไปตามทางเดินระหว่างห้องปฏิบัติการหมายเลขต่าง ๆ ที่เขียนติดไว้หน้าประตู
“ดี ไม่มีปัญหาอะไรก็ดีแล้ว” เขาหันมามองใบหน้าด้านข้างของเด็กหนุ่มแล้วถอนใจเงียบ ๆ
“วันนี้อาจไม่มีปัญหาอะไร แต่วันหนึ่งวนใดข้างหน้ามันต้องมีแน่ เรอัน...ขอให้จำไว้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เธอต้องอดทน และยอมรับความจริงอย่างกล้าหาญ เพราะว่า...”
เขาโอบไหล่เรอันเสมือนเพื่อนต่อเพื่อน ก่อนจะพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น หากแฝงแววอาทรยิ่งนัก
“เพราะว่าเธอเป็นบุคคลพิเศษที่พระเจ้าต้องการทดสอบความอดทน!”
“ขอบคุณครับ” เรอันไม่ได้พูดต่อว่า เขาขอบคุณพระเจ้าที่ให้เกียรติเขาเป็นเช่นนี้ หรือขอบคุณผู้ที่เดินเคียงข้างที่ให้กำลังใจเขาแบบนั้น
“ด๊อกเตอร์เคย์คะ เรียบร้อยแล้วค่ะ” หญิงสาวผู้ช่วยห้องปฏิบัติการเปิดประตูออกมาจากห้องหนึ่ง
พร้อมกับหลอดทดลองและบีกเกอร์เต็มตะแกรงในมือ ทุก ๆ ภาชนะบรรจุของเหลวต่าง ๆ ที่หลั่งออกมาจากร่างกาย และกว่าครึ่งหนึ่งก็คือเลือดสีเข้มจนคล้ำดำ
“ขอบใจมากเมรันดา ช่วยเจาะเลือดเรอันด้วย อ้อ...จัดการหาหมอเช็คร่างกายให้เขาที ขอให้โชคดีนะ เรอัน”
เขาหันมาพูดกับเรอันก่อนจะเดินจากไปพร้อมตะแกรงโลหิตจากมือเมรันดา
“โรงเรียนใหม่สนุกไหม เพื่อนเยอะรึยัง?” เมรันดาชวนคุยขณะเช็ดแอลกอฮอล์กับข้อพับเด็กหนุ่ม
“ก็ดีฮะ เพื่อนกว่าครึ่งเข้าใจ เอ้อ เห็นใจผม อีกครึ่งก็...เหมือนเดิม คือเขา...” เรอันหยุดไปเพื่อหาคำมาอธิบาย
“กลัวผมมาก แต่ ช่างเหอะ ชินซะแล้ว”
“ก็ยังดี มีเพื่อนตั้งครึ่ง จริงไหมล่ะ”
“ครึ่งของที่เหลือฮะ นักเรียนลาออกเองแปดสิบกว่าคน ผู้ปกครองเอาลูกออกจากโรงเรียนอีกร่วมร้อย ครูขอย้ายราวครึ่งหนึ่ง
โชคยังดีที่อธิการบดีไม่ยุบโรงเรียน หรือเฉดหัวผมออก!” เด็กหนุ่มคุยไปหัวเราะไปอย่างอารมณ์ดีราวกับเล่าเรื่องตลก
เมรันดาได้แต่ยิ้มน้อย ๆ รู้สึกขัดกับสิ่งที่ได้ฟัง มันน่าเศร้ามากกว่า เธอมองเรอันด้วยสายตาเวทนาจับใจ
“ความจริง ผมควรจะลาออกเองมากกว่า...โอ๊ย...อูย”” เขาอุทานเมื่อเข็มแทงเข้าสู่หลอดเลือด
“เจ็บหรือ? ทำไมล่ะ?”
“เกลียดเข็มฉีดยา แต่ก็หนีไม่พ้นจนได้”
เรอันยิ้มแหย เมรันดาถอนเข็มออกไปแล้ว เลือดสีแดงสดเต็มหลอดใส ๆ
เด็กหนุ่มหยิบสำลีชุ่ม ๆ มาซับเลือดที่เปรอะข้อพับอย่างระมัดระวัง ไม่ให้โดนมือ แม้ในถุงมือแพทย์ที่เข้ามาช่วย
“ฉันหมายถึง ทำไมถึงอยากลาออก”
“ผมไม่รู้แน่ชัดถึงจำนวนนักเรียนที่ลาออก แต่สมมตินะ ผมอยู่จะมีนักเรียนเพียงสี่ห้าร้อยคน
ถ้าผมออกจะมีนักเรียนถึงหก หรือเจ็ดร้อย กับครูอีกเท่าตัว ความจริงผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเรียนไปทำไม
ในเมื่ออีกไม่ถึง 10 ปี ก็คงไม่มีผมอยู่ในโลกนี้แล้ว หรืออาจจะเร็วกว่านั้นก็ได้!”
“เรอัน...อย่าคิดอย่างนี้อีกนะ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนนักเรียนหรอก
แต่เธอกับสังคมต่างหากที่จะเป็นตัวอย่างของความสัมพันธ์สามัญ การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันระหว่างผู้ป่วยกับสังคมในอนาคต”
“ฮะ...ผมเข้าใจ” เขาพูดได้เพียงเท่านั้น
หลังจากตรวจร่างกายกับนายแพทย์คนหนึ่ง เมรันดาก็เข้ามาอีกครั้ง
“เอาล่ะ กลับได้แล้ว แล้วพบกันอีกนะจ๊ะหนุ่มน้อย อย่าคิดมากล่ะ”
เธอหยิบแฟ้มประวัติเล่มหนาและใหญ่เทอะทะของเรอันถือเดินจากไป ปล่อยให้เขาสวมเสื้อจนเรียบร้อยแล้วเดินออกจากห้องตรวจคนไข้พิเศษตามลำพัง
ลมเย็นเยือกยามค่ำคืนพัดของฤดูใบไม้ผลิตโชยมาปะทะหน้าเรียวยาวของเด็กหนุ่มจนรู้สึกแสบชา
แสงสีส้มจากดวงโคมข้างถนนตลอดแนวบาทวิถีส่องมาสลัว ๆ ไม่สว่างไปกว่าแสงจันทร์ข้างขึ้นของคืนนั้น
หากพอที่จะเห็นทางเดินเปลี่ยว ๆ ระหว่างต้นไม้รกครึ้มสองข้างทางกลับหอพักนักเรียนได้อย่างชัดเจน
เขาเบื่อ หนาว เหงา และรู้สึกโดดเดี่ยว อ้างว้าง เคว้งคว้าง เสียจนไม่อยากเดินต่อไปอีกแล้ว
เมื่อไรเราจะตายเสียทีนะ...
เรอันรู้สึกกระตุกที่ข้อพับจึงก้มลงมอง แผลเล็ก ๆ ของเข็มที่ดูดเลือดของเขาออกไปเมื่อตอนเย็นนั่นเอง
มันเตือนเขาว่าอีกไม่นานนัก วันที่เขาถามหาก็จะมาถึง
“อาจจะ 10 ปี ถึงมากกว่านั้น ผู้ป่วยโดยมากจะอยู่ในอาการระยะแรก หรือระยะฟักตัวราว ๆ 5-10 ปี แล้วแต่บุคคลและปัจจัยการรักษา อย่างเร็วสุดก็ 2 ปี...”
นั่นคือคำบอกเล่าของด๊อกเตอร์เคย์ มันคือคำทำนายอายุขัยของเขา... 10 ปีหรือ งั้นชีวิตเขาก็เหลืออีกไม่มาก 7 ปีหรือ... อาจช้าหรือเร็วกว่านั้น
ทรมาน...
เขาหยุดนั่งพักตรงม้านั่งข้าง ๆ ทาง ตรงนั้นเป็นเงามืดของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งพอดี ไม่เดินต่ออีกแล้ว...
อยากนอน
นอนใต้ผ้าลูกไม้ผืนใหญ่ที่ถักทอด้วยแสงจันทร์
นั่ง...พิง...เอน...เหยียด...ล้ม...นอน...แล้วหลับตา!
จนไอน้ำจากการหายใจกระทบอากาศเย็นจัดภายนอกเป็นควันสีขาวบาง ๆ ถูกพ่นออกมาทางจมูก เป็นระยะด้วยจังหวะเท่า ๆ กัน
เมื่อความรู้สึกทั้งหมดของเขาจมดิ่งสู่ห้วงลึกของนิทรารมณ์ตรงนั้นเอง...
เพลงกล่อมเด็กอันเคยคุ้นดังแว่วมาจากที่ไกลแสนไกล...
ค่ำแล้ว...จงมาหลับตา
ในอ้อมกอดของดารา...
เด็กน้อยเอย... หลับเถิดหนา
จงนิทราใต้ฟ้า... ใต้เงาแห่งแสงจันทร์
อย่ากลัว...อย่ากลัวความมืดของราตรี
หลับเถอะคนดี...
เจ้าจงมีความสุขกับความฝัน
ห่มผ้าลูกไม้ที่ทอด้ายด้วยแสงจันทร์
บทเพลงจักจั่น...จะขับร้องกล่อมขวัญ
ให้เจ้าหลับฝันดี...
“พ่อ... พ่อ...! พ่ออย่าตายนะ พ่อ ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยพ่อด้วย...” เรอันได้ยินเสียงตัวเองร้องจนสุดเสียง ด้วยกำลังทั้งหมดที่มีอยู่ในขณะนั้น
แต่เรี่ยวแรงเขาหายไปไหนหมด?
เขาพยายามดึงเข็มขัดนิรภัยที่รัดลำตัวเขาไว้แน่นให้ออกอย่างยากเย็น กลิ่นคาวเลือดคลุ้งกำจาย
เลือด...!
เลือดทั้งนั้นเลย
เลือดเต็มตัวเขา เต็มหน้าพ่อ!
กลัว...
ไม่เจ็บ ไม่รู้สึกเจ็บเลย แต่กลัว...
“มีคนมาช่วยเราแล้ว... พ่อ... เรารอดตายแล้ว!” เขาอยากตะโกนโห่ร้อง หลังจากรอคอยความช่วยเหลือมานานแสนนาน แต่ไม่มีแรงแม้แต่กระซิบ
เขาไม่เห็นหน้าคนที่ยื่นมือมาช่วยอุ้มเขาออกจากรถ หลังจากที่ทุบกระจกหน้าที่แตกละเอียดบริเวณเหนือพวงมาลัยที่มือพ่อยังคงกำมันไว้แน่น
จนกระจกทั้งผืนแตกละเอียดเป็นช่องใหญ่ เสียงรถพยาบาลดังแว่ว ๆ ในความรู้สึกสุดท้ายก่อนที่เขาจะหมดสติไป...
มืด...
มืด...มาก
“...หลับเถิดคนดี...เจ้าจงมีความสุขกับความฝัน ห่มผ้าลูกไม้ที่ทอด้ายด้วยแสงจันทร์...บทเพลงจักจั่น...จะขับร้องกล่อมขวัญ ให้เรอันหลับฝันดี”
เสียงเพลงกล่อมเด็กที่แม่เคยร้องให้เขาฟังดังอยู่ข้างหู เด็กน้อยลืมตาขึ้นมาถามด้วยความสงสัย
“แม่ฮะ...ลูกไม้ทอด้วยแสงจันทร์ นี่มันเป็นอย่างไรครับ?”
“ก็เงาของต้นไม้ใต้พระจันทร์ไงจ๊ะ คุณยายของลูกเคยบอกกับแม่ตอนที่แม่ยังเป็นเด็กว่า ใครก็ตามที่ได้นอนหลับ แล้วห่มผ้าลูกไม้ผืนงามนั้นจะฝันดีเสมอ”
“จริงหรือฮะ”
“ลองดูไหมล่ะ”
“แล้วมันจะอุ่นหรือครับแม่”
“แม่ก็เคยสงสัย...” แม่อมยิ้มขบขันเรื่องราวของตนเมื่อยังเป็นเด็ก แต่ตาของแม่มองเขาอย่างอ่อนโยนเหลือเกิน
“เมื่อโตขึ้น ได้ลอง ได้รู้ จนคุณยายจากไป จึงรู้ว่า ผ้าห่มอะไรสักกี่ร้อยผืนก็ไม่อุ่นเท่าอ้อมกอดของคุณยาย... จนได้พบกับคุณพ่อ!”
แล้วแม่ก็ทำหน้าทะเล้นเหมือนเป็นเด็กสาวแก่แดด ซึ่งตอนนั้นเรอันก็ไม่เข้าใจ แต่เขายังจำเพลงกล่อมเด็กนั่นได้ติดหูตลอดมา
เมื่อเขาเคลิ้มหลับจวนเจียนจะจมดิ่งสู่ห้วงลึกของความฝัน เพลงเรอันฝันดี
ที่เขาเคยเรียกเมื่อตอนเป็นเด็กด้วยเสียงหวานใสของแม่จะดังแว่วอยู่ในความมืด ราวกับแม่กำลังร้องเพลงกล่อมเขาอยู่ข้าง ๆ
...ขับร้องกล่อมขวัญ... ให้เรอันหลับฝันดี!
ฝันดี...
ฝันดี...
เขาลืมตาขึ้นมาอย่างยากเย็น
นี่มันโรงพยาบาลนี่นา
แม่กำลังร้องไห้... หรือว่า...
“พ่อ... พ่อล่ะ พ่อล่ะฮะแม่?” เขาพยายามถามในสิ่งที่ติดค้างอยู่ในสมอก่อนหมดสติไป
ไม่ตอบ... แม่ไม่ตอบเขาเลย... จนทุกวันนี้ แม่ก็ไม่เคยตอบคำถามนี้ของเขา
แม่ได้แต่กอดเขากับมีนา
แล้วร้องไห้
มีนาร้องไห้
เขาก็ร้องไห้
ร้องไห้...
ร้องไห้...
จนเหนื่อย และหลับไป
...ขับร้องกล่อมขวัญ... ให้เรอันหลับฝันดี
ฝันดี...
ฝันดี...
“อย่า! แม่...อย่าทำมีนา”
ปัง!!! เสียงปืนดังระเบิดขึ้นท่ามกลางความเงียบ เจ้านกน้อยที่เกาะดูเหตุการณ์อยู่ตรงหน้าต่างบินหนีออกไปอย่างลนลาน
เขาก้าวพรวดเดียวเพื่อรับร่างอันไร้วิญญาณของน้องสาวไว้ก่อนจะฟาดลงกับพื้น
แม่ฆ่ามีนา!
พยายามตั้งสติก่อนที่จะอุ้มเธอขึ้นมาเพื่อส่งโรงพยาบาล แต่ว่า...เสียงหมุนลูกโม่ดังอยู่ข้างหู เงาของแม่ทาบอยู่กับร่างของเด็กหนุ่มกับน้องสาว
เขายังจำหน้าแม่ในวันนั้นได้ติดตา จำได้ชัดเจนแม้กระทั่งแววตาของแม่ที่มองเขาอย่างอ่อนโยน
ปัง!
ไม่มีเสียงนกกระพือปีกหนีไปจากขอบหน้าต่างอีกเลย เพราะมันบินหนีไปนานแล้ว...
สัมปชัญญะขาดสะบั้น
ไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่รู้สึกอะไรเลย
เขาตายแล้ว!
ตายแล้ว...ไม่ต้องทรมานอีกต่อไปแล้ว
ดีใจ...ดีใจจนร้องไห้
ร้องไห้...
ร้องไห้...
...ขับร้องกล่อมขวัญ... ให้เรอันหลับฝันดี
ฝันดี...
ฝันดี...
อะไรมัว ๆ น่ะ ตรงไกล ๆ โน้น
สวรรค์หรือ?
“รู้สึกตัวแล้ว เป็นอย่างไรมั่ง?” เสียงนั้นอยู่ไกลลิบลับ
“ใคร...ใครน่ะ?” เขาตะโกนถามสุดเสียง แต่เขาไม่ได้ยินเสียงตัวเองแม้แต่น้อย
เขาใช้มือปาดน้ำตาออกแต่ที่ดวงหน้าเขายังคงเปียกชุ่ม และไม่ได้รับสัมผัสจากมือที่ยกขึ้นมาเลย
เหนื่อย...
เขาพยายามลืมตา
ตื่นเสียเถิด เรอันไม่ได้หลับฝันดี
ฝันร้าย...!
ภาพมัว ๆ ค่อย ๆ เลื่อนไปมาจนชัดขึ้นเป็นวงตรงกลาง ชายแปลกหน้าวัยกลางคนก้มลงมองเขาอย่างใจดี
“เป็นอย่างไรมั่ง?” ชายคนนั้นถาม ถ้าเช่นนั้นเมื่อครู่ก็เสียงเขานั่นเอง
“แม่กับมีนาล่ะ?” เรอันไม่ได้ยินเสียงตัวเอง แต่เขารู้ว่าเขากำลังถามด้วยสายตา
ชายคนนั้นยิ้มเศร้า ๆ แล้วเดินจากไป เขากำลังหลับลงอีกครั้ง...เพิ่งจะนึกได้ว่าชายคนนั้นคือ Dr. K นั่นเอง
ในฝัน...
เขากำลังอยู่บนสวรรค์ ดินแดนสีขาวอ่อนนุ่ม สว่างและกว้างใหญ่ ทุกคนสวยงามสดใส ไม่มีใครสนใจเขาเลย
ทุกคนเดินผ่านไปมาเหมือนไม่เห็นเขา
แต่เขาเห็น... เห็นพ่อ แม่ กับมีนา นั่งร้องเพลงกับนางฟ้า พวกเขายิ้มให้เรอัน และโบกมืออำลา ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างค่อย ๆ เลือนหายไป
เรอันตะโกนเรียกเกิดเสียงก้องสะท้อนกลับไปกลับมาในความว่างเปล่า แล้วเขาร้องไห้อีกครั้ง พยายามไขว่คว้า
วิ่ง...วิ่ง...วิ่ง... เพื่อตามหา แต่ก็ล้มเหลว
ทุกคนตายแล้ว! ...ตายหมดแล้ว
มีแต่เขาเท่านั้นที่ยังไม่ตาย
ไม่ตายสักที...
ทำไม่ไม่ตายสักที
ทรมาน!!!
“...ห่มผ้าลูกไม้ที่ทอด้ายด้วยแสงจันทร์ บทเพลงจักจั่น จะขับร้องกล่อมขวัญ ให้เจ้าหลับฝันดี...”
เสียงของแม่ดังอยู่ไกล ๆ ตรงปลายฟ้า เบาลงและเบาลง
เขาภาวนาให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียงฝันร้ายในค่ำคืนหนึ่ง
ให้เขาตื่นขึ้นมาแล้วพบว่า ตัวเขากำลังอยู่ในอ้อมแขนของแม่ ข้าง ๆ คือตัวพ่อ
แล้วนอนต่อเพื่อหลับฝันดี
...ขับร้องกล่อมขวัญ ให้เรอันหลับฝันดี...
ฝันดี...
ฝันดี...
เรอันค่อย ๆ ลืมตาช้า ๆ ขึ้นมา
พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่า สิ่งที่เขาภาวนานั้นมันยิ่งใหญ่เกินไป!
แสงแดดอ่อน ๆ ผ่านเงาใบไม้เป็นลำยาวทอดลงมาบนดวงหน้า เขาหรี่ตานิดหนึ่งเพื่อปรับม่านตาแล้วถามตัวเองว่า...
เขาตื่นจริง ๆ แล้วหรือยัง หรือเพียงแค่ตื่นอยู่ในฝันซ้อนฝัน...
เรอันสะอื้นเบา ๆ อย่างไม่ตั้งใจ รู้สึกว่าเขาจะร้องไห้ค้างอยู่...
แขนที่หนุนหัวนอนตลอดทั้งคืนชาจนไม่กล้ายกหัวออกจากมัน
เหน็บเจ้ากรรมก็รุมทึ้งเขาทั้งตัวจนไม่อยากขยับเขยื้อนจากท่าขดเป็นกิ้งกืออยู่บนม้านั่งไม้ตัวเก่านั้นเลย
และทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกว่า เขาไม่ได้อยู่คนเดียวซะแล้ว
“ขี้แยจัง” เสียงกังวานสดใสของใครบางคนดังอยู่ใกล้ ๆ เรอันตกใจแทบลุกขึ้นนั่งไม่ทัน
เมื่อเห็นศีรษะของเด็กผู้หญิงทิ่มลงมาตีลังกากับพื้นโลก ห้อยโตงเตงอยู่ตรงหน้าเขา!
ผมสีทองที่ยาวอย่างยิ่งกองลากพื้น ตากลมโตสีประหลาดห่างจากตาเขาแค่ไม่กี่นิ้ว
ฝันร้าย...
แม่โกหก! เรอันไม่เคยฝันดี!!
เมื่อไรเราจะตื่นเสียทีนะ
เขาหลับตาลงอีกครั้งหลังจากตาลีตาเหลือกผุดขึ้นมานั่งอย่างตกใจ ตื่นเสียที...
ตื่น...!!!
“นี่... ช่วยฉันลงหน่อยสิ” เสียงเดิมยังดังอยู่ที่เดิม
“เฮ้ย... ได้ยินไหม?”
“หูแตกรึไง?” คราวนี้มีมือมาจับใบหู แล้วเจ้าของเสียงก็กรอกเข้าให้เต็มหู
จะใครซะอีกก็ยายผีหัวทองนั่นแหละ!
เขาทนเสียไม่ได้อีกแล้ว ลืมตาอีกครั้ง
ฝันก็ฝัน...
สักวันอาจฝันดี!
โธ่เอ๋ย...นึกว่าอะไร ที่แท้แม่ตัวดี ยายผีหัวทองก็แค่เด็กผู้หญิงจอมซนเล่นปีต้นไม้ แล้วห้อยตัวลงมา
เอาข้อพับหลังเข่าหนีบกับกิ่งหนึ่งของต้นไม้ที่เขาอาศัยร่มใบนอนตลอดคืนนั่นเอง
เรอันยิ้มขันตัวเอง...เด็กหญิงคนนั้นจึงยิ้มตามจนตาหยี แล้วเขาก็ต้องยิ้มค้างทันที
เมื่อมืออ่อนนุ่มนั้นเอื้อมมือมาปาดน้ำตาที่คาอยู่ข้างแก้มทั้ง 2 อย่างแผ่วเบา เด็กหนุ่มเงียบอึ้งด้วยความรู้สึกยากที่จะบรรยาย แต่ที่แน่ ๆ ...
เขาลืมฝันร้ายของเมื่อคืนจนหมดสมองเลย!
ส่วนอีกฝ่ายก็พูดด้วยเสียงแจ้ว ๆ อย่างสดใส เคล้าหัวเราะทั้งดวงหน้า
“เธอร้องไห้ไม่หยุดเลย ฉันผ่านมาเห็น เรียกอย่างไรก็ไม่หยุด... ฝันร้ายล่ะสิ”
“กำลังคิดว่ายังฝันอยู่รึเปล่า”
“ทำไมล่ะ?” เธอหุบยิ้มถาม ทั้งหน้า ทั้งตาเหมือนมีเครื่องหมายคำถามแปะซ้ำ ๆ เต็มไปหมด เขารู้สึกว่า เด็กคนนี้แปลก และน่ารักดี
“ไม่รู้สิช่างเถอะ...” เขาตัดบทง่าย ๆ คนฟังพยายามยักไหล่ตามความเคยชิน แต่ไม่ถนัดเพราะแรงโน้มถ่วงกลับตาลปัด
“นี่เธอจะลงมาคุยกันเป็นมนุษย์ดี ๆ ได้ไหม ฉันถึงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังฝันว่าอยู่ในเมืองตีลังกา ไม่ตื่นสักที”
“ก็ช่วยสิ”
“ช่วย?”
“อุ้มตัวฉันลงไปหน่อย”
“อ้าว! ตอนปีนขึ้นไปห้อยลงมาทำไมทำได้ แต่ลงมาไม่ได้?”
“ทุกทีก็ทำได้ แต่เนี่ยมันนานเกินไปจนเลือดจะคลั่งสมองตายอยู่แล้ว ขาก็ชาหมด เลยลงไม่ไหว”
ขาชา... เขาเพิ่งนึกได้ เขาเขาก็ชาเหมือนกัน แถมเมื่อยไปหมด
“ช่วยหน่อยนะ...นะคะ”
เรอันค่อย ๆ ยกตัวเด็กคนนั้นลงจากต้นไม้ตามคำขอร้อง แต่น้ำหนักที่ผิดคาดรวมกับอาการปวดเมื่อย
และเหน็บชาจากการขดมาตลอดคืนทำให้ทั้งคู่กลิ้งโค่โร่บนพื้นหญ้าข้างม้านั่ง
ไม่ใช่เด็กนี่ สาวน้อยต่างหาก!
เธอตกแต่ไม่ได้ร้องกรี๊ดกร๊าด และพยุงตัวลุกขึ้นนั่งได้อย่างว่องไว พร้อมกับฉุดเรอันลุกขึ้นนั่งได้ตามมา
แสงแดดอ่อน ๆ ตอนนั้นฉายส่องด้านหลังของเด็กสาว ทำให้ผมสีทองยาวเงาเลื่อมแผ่ล้อมกรอบใบหน้าและยาวตรงคลุมไหล่จรดแผ่นหลัง
เหมือนเป็นรัศมีสีทองที่ส่องแสงออกมาจากตัวเธอ ดูสวยประหลาด ราวกับเทพยดา นางสวรรค์
นัยน์ตากลมโตสีชมพูอมม่วงก็อีก สวยแปลกเหลือเกิน โดยเฉพาะเมื่อมันทั้งคู่ใสจนเห็นแก้วตาข้างในชัดเจน
ใต้คิ้วโค้งสูงสีน้ำตาลไหม้เข้มจัด ดูขัด ๆ เมื่อเทียบกับผมหน้าม้าสีทองที่ตัดสั้นเหนือคิ้ว ปิดครึ่งหนึ่งของหน้าผากไว้
เธอเหมือนตุ๊กตาพิลึก
โดยเฉพาะ......ริมฝีปากเล็ก ๆ.....แดงอิ่ม มุมปากลึกรับกับลักยิ้มที่ 2 ข้างแก้ม และบุ๋มเล็ก ๆ ใต้ริมฝีปากล่างที่หนาจนเกือบย้อย
ช่างเหมือนตุ๊กตา...เทพยาเสียจริงๆ
มีเพียงแววของตาสีแปลก ๆ ที่ดูมีชีวิตชีวา สดใสและจริงใจ
แต่นั่นแหละ ทุกอย่างในตัวเธอช่างสวยแปลกประหลาด...และขัดกันอย่างหน้าทึ่ง ตั้งแต่ผม คิ้ว คาง ปากแก้ม...และนัยน์ตาคู่นั้น
ทว่า...ดู ๆ ไปแล้วมันช่างรวมกันได้อย่างสวยงามราวกับงานศิลป์ชิ้นเยี่ยมที่ใช้ความขัดแย้งเป็นเอกภาพ!
เรอัน....นายยังฝันอยู่จริง ๆ ด้วย !! เขาพึมพำเบา ๆ ในลำคอ
ด้วยอาการค้างของเขา หญิงสาวจึงยิ้มจนแก้มแดง
“หน้าตาฉันมันประหลาดอย่างนี้แหละ
เพื่อน ๆ ชอบทักว่า ฉันใส่วิกมั่งหละ ซื้อคอนแทกเลนซ์ผิดสีมั่งล่ะ หยิบดินสอเขียนคิ้วผิดอันมั่งล่ะ หรือไม่ก็ล้อว่า
พระเจ้าสร้างเธอมาจากการรวมของเหลือ ๆ ใน สต๊อกมั๊ง เลยไม่มีอะไรในตัวที่เข้ากันได้สักอย่าง!”
เด็กสาวจีบปากจีบคอเลียนแบบเสียงเพื่อนที่ล้อเธอจนจบ แล้วระเบิดหัวเราะกังวานใส ทำให้เขายิ้มออกมาได้อย่างอารมณ์ดี
“แล้วเขาบอกรึเปล่าว่า ไอ้ของเหลือ ๆ มารวมกันได้อย่างบังเอิญจนสวยกว่าบางคนที่คิดว่าพระเจ้าบรรจงสร้างด้วยซ้ำไป
“นั่นสิ ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ ดูสวยดีออกเน๊อะ......” เธอเออออเห็นด้วยอย่างจริงใจ ท่าทางเธอจะเข้าใจในตัวเองเสียเหลือเกิน จนไม่แคร์คำพูดของใครทั้งนั้น
เธอไม่ได้แปลกแค่หน้าตาหรอกนะ..เรอันคิดในใจ
เด็กสาวแหงนมองดูดวงอาทิตย์ เหมือนกับดูเวลา
ก่อนจะยืนขึ้นอย่างร้อนรน สะบัดดอกเดซีและเศษหญ้าออกจากผมและเสื้อยืดสีครีม ตบขากางเกงยีนซีด ๆ เบา ๆ
...เรอันได้แต่นั่งพิงโคนต้นไม้มองเงียบๆ
“ฉันต้องไปแล้วล่ะ สายแล้ว...bye!” เธอวิ่งออกไปตามบาทวิถี หลังจากจบประโยค โดยไม่รีรอคำล่ำลาของเขาเลย
แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะหันกลับมา เพี่อบอกเขาว่า
“อย่าร้องให้อีกนะ ขอให้ฝันหน้าของเธอ....เป็นฝันดี!” ก่อนที่จะหายลับไปตามความโค้งของบาทวิถี
เรอันยิ้ม....เราไม่แน่ใจว่า ฝันหน้าจะดีหรือเปล่า แต่เมื่อชั่วครู่นั้น เขารู้สึกว่าเขาฝันดี!
ความคิดเห็น