ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dream ความฝันในเปลดิน

    ลำดับตอนที่ #1 : บนทุ่งกว้าง ข้างหลังโบสถ์

    • อัปเดตล่าสุด 20 ก.พ. 49


    1…
    บนทุ่งกว้าง ข้างหลังโบสถ์

    ปี 1992...

     “ยิบโซทั้งหมดเท่าไหร่ครับ?”
     “ทั้งถังนี้เหรอคะ?”
       หญิงสาวหน้าหวานถามด้วยความแปลกใจ  เธอทำงานขายดอกไม้มาเกือบปี  ร้านของเธอคือรถเข็นคันเล็ก ๆ ที่มีดอกไม้หลายชนิดหลากสีสันบานสะพรั่งอัดแน่นเต็มคันรถที่จอดอยู่มุมหนึ่งของจัตุรัสกลางชุมชนเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง  ในเมืองอันแสนจะเงียบสงบ

     เช้าวันนี้อากาศเย็นจัด หมอกหนา และทำท่าจะฝนตก ผู้คนบนถนนจึงดูน้อยจนวังเวง
    และเธอก็เห็นชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งหยุดยืนอยู่ตรงหน้าร้าน เธอประมาณอายุเขาราว ๆ ยี่สิบต้น ๆ
    เขาผอม...ผอมมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในผ้าคลุมไหล่สีเทาดำที่ยาวจรดข้อเท้า
    แม้ว่าบุคลิกของเขาจะดูดีประหลาด
    หากท่าทางเฉยชา จนเธอรู้สึกพิกล ...

     เขาน่าจะมีปัญหานะ หรือไม่ก็... ติดโคเคอีน แต่ไม่น่าใช่ แววตาของเขาไม่ใช่แบบนั้น...
    มันดูหวานปนเศร้า และก็วังเวง... จน... ทุรนทุราย
    เขาไม่ได้มองเธอหรอก นั่นต่างหาก ดอกยิปโซเล็ก ๆ สีขาวก้านน้อยที่ฟูฟ่องอยู่เต็มถัง เธอรู้สึกว่าเขาสนใจมัน แต่ไม่นึกว่าเขาจะซื้อมันทั้งหมด
    เมื่อเธอเสนอราคา เขาก็ไม่ลังเลสักนิด

     เขาหยิบเงินส่งให้เธอ ระหว่างที่เธอกุลีกุจอห่อหนังสือพิมพ์ให้

     “ไม่ต้องครับ”

     “ริบบิ้นไหมคะ ฉันให้ฟรี”

     “ไม่ครับ ขอบคุณ”  เขาปฏิเสธด้วยเสียงนุ่มนวล รับยิปโซช่อใหญ่จากมือเธอด้วยกริยาถนุถนอมที่สุด
    และเดินจากไปเงียบ ๆ จนลับสายตาไปในกลุ่มหมอกหนาวของเช้าวันนั้น



     เจ้ายิปโซน้อย ๆ พากันเต้นรำอยู่ในอ้อมกอดของเขา เพราะลมที่พัดมาปะทะเบา ๆ อย่างไม่ขาดระยะตลอดทางเดิน
    บนถนนพื้นหินขรุขระเก่า ๆ แคบ ๆ ระหว่างซอกตึก ชายหนุ่มคนนั้นยังคงเดินเลาะเลี้ยวไปจนพบกับลานเล็ก ๆ หน้าโบสถ์เก่า ๆ หลังหนึ่ง
    ท่ามกลางหมู่ต้นไม้ที่เหลือแต่ลำต้นและกิ่งก้านสีดำสลับสีเขียวของตะใคร่ที่จับด้วยความชื้น
     ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าขมุกขมัวอยู่ในม่านหมอกเบาบางราวกับภาพวาด มันเป็นบรรยากาศหม่นหมอง เงียบเหงาของปลายฤดูหนาว


     เขาจรดเท้าช้า ๆ หยุดยืนอยู่หน้าประตูไม้ผุ ๆ ของโบสถ์หลังนั้น เมื่อแหงนหน้าขึ้นไปรูปปั้นเหล่านักบุญและเทพยดายังคงยิ้มให้เขาอย่างปราณีเหมือนเคย
    เหนือขึ้นไปอีกระฆังโลหะใบย่อมบนหอระฆังยอดโบสถ์หยุดนิ่ง เงียบสงัด และสัญลักษณ์แห่งพระผู้เป็นเจ้ายังคงสถิตอยู่บนยอดสุดเช่นเดิม...

     ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ยังคงเหมือนเดิม เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเท่านั้นเปลี่ยนไป บางคนเดินผ่านไป...มา...ไม่คิดจะจำ บางคนเดินผ่านเป็นประจำ...ไม่คิดอะไร
    มันอาจเป็นเพียงเรื่องราวของเวลาอันเล็กน้อยเท่าธุลีหนึ่งในชีวิตของคนเดินถนนทั่วไป จนไม่น่าจดจำอะไรเลย

     หากสำหรับเขา เหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ในชีวิตของเขาเกิดขึ้นที่นี่ ทั้งช่วงชีวิตอันแสนดี และช่วงเวลาที่โหดร้ายที่สุด
    แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ผ่านมาและจบไป แต่เขาจะยังคงเก็บความทรงจำนั้นไว้เพื่อรำลึกถึงเสมอ...จนวันตาย...!

     หลังจากวันนั้น 2 ปีผ่านไป เขาไม่ได้กลับมาอีกเลย จนวันนี้ แม้ว่าจะไม่สามารถคืนวันเวลาเหล่านั้นย้อนกลับมาในชีวิตได้อีกก็ตาม
    แต่เขาก็มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องเอาอิสรภาพแห่งความคิดที่จะโลดแล่นสู่อดีตได้อย่างเสรี เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ยังคงเหมือนเดิม...

     ถัดจากตัวอาคารโบสถ์เป็นรั้วเหล็กโปร่ง ๆ ไม่สูงไปกว่าเขา ภายในรั้วเป็นสวนที่ประกอบด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย
    สนามหญ้าที่เจ้ายอดหญ้าน้อย ๆ กำลังแข่งกันแทงใบอ่อนออกมา ไม้ดอกล้มลุกที่เหลือแต่ใบสีเขียว
    และแผ่นหินสลักอักษรต่าง ๆ ที่บนพื้น เป็นระยะไม่ห่างกันนักจนเป็นแถวเรียงกันเต็มตลอดทั้งสวน

     เขาเปิดประตูรั้วเหล็กนั้นเบา ๆ และก้มหัวผ่านเข้าไปในอาณาเขตสวน เพื่อเดินเรียบผนังโบสถ์ ผ่านแผ่นหินเหล่านั้นอันแล้วอันเล่าไปอย่างช้า ๆ
    บนหลังคา...ตรงท่อระบายน้ำฝนที่ชายคา กากอยยล์ตุ๊กตาปูนปั้นหน้าตาตลกพากันมองเขาเดินผ่านไปอย่างแปลกใจที่ได้พบเพื่อนเก่าอีกครั้ง...
    จนสุดบริเวณสวนหลังโบสถ์นั้น...

     ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่หลังตึกเก่า ๆ ข้างโบสถ์และสุสานก็ปรากฏขึ้น
    เขาเดินลัดทุ่งกว้างตรงไปยังต้นโอ๊คขนาดใหญ่แผ่กิ่งก้านปกคลุมเป็นวงกว้างที่เป็นเงามะเลือนมะลางตรงไกล ๆ นั้น
    เจ้าต้นไม้ค่อย ๆ ใหญ่ขึ้นและชัดเจนขึ้นในสายตาเขาทุกที ๆ ที่เขาก้าวเข้าไปใกล้ จนอยู่ใต้ร่มของมัน

     ลมอ่อน ๆ โชยมาอีกครั้ง ทำให้หมอกควันค่อย ๆ จางลงไปบ้าง แต่ความขมุกขมัวของเมฆสีครึ้มบนฟ้ายังไม่ยอมจางหาย
    และหยดน้ำเม็ดเล็ก ๆ ก็ค่อย ๆ โปรยปรายลงมาอีกครั้ง จากฟากฟ้าภายนอกร่มไม้ที่เขายืนอยู่
    บ้างก็ถูกลมพัดเข้ามาโดนเจ้าชิงช้าไม้ตัวเก่า ซึ่งแขวนกับกิ่งหนึ่งของต้นโอ๊คอย่างนั้นมานานแล้ว...

     ชายหนุ่มค่อย ๆ ย่อตัวลงวางช่อยิปโซตรงหน้าหินสลักแผ่นหนึ่งข้าง ๆ ลำต้นอวบใหญ่ของต้นโอ๊คนั้นอย่างนุ่มนวล
    แล้วเขาจึงค่อย ๆ เอื้อมมือออกมาข้างหน้า นิ้วเรียวยาวและผอมจนกระดูกข้อนิ้วโปนอย่างเห็นได้ชัด...
    แตะบนแผ่นหินแข็งอันเย็นเยือกอย่างแผ่วเบาราวกับลูบไล้อยู่บนผิวแก้มอันบอบบางนิ่มนวลของเลือดเนื้อมนุษย์...
    จนมาหยุดนิ่งตรงปลายอักษรตัวสุดท้ายของกลุ่มอักษรสลักราวยี่สิบตัวเรียงกันอย่างไม่เป็นระเบียบนัก
    ที่เมื่อสองปีก่อนเขาเป็นคนแกะมันกับมือด้วยน้ำตาที่นองหน้าอย่างบ้าคลั่ง...

     “เฌอรีแอน มารี ไวท์”
     CHERRIANNE MARRY WHITE

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×