คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บนทุ่งกว้าง ข้างหลังโบสถ์
1
บนทุ่งกว้าง ข้างหลังโบสถ์
ปี 1992...
“ยิบโซทั้งหมดเท่าไหร่ครับ?”
“ทั้งถังนี้เหรอคะ?”
หญิงสาวหน้าหวานถามด้วยความแปลกใจ เธอทำงานขายดอกไม้มาเกือบปี ร้านของเธอคือรถเข็นคันเล็ก ๆ ที่มีดอกไม้หลายชนิดหลากสีสันบานสะพรั่งอัดแน่นเต็มคันรถที่จอดอยู่มุมหนึ่งของจัตุรัสกลางชุมชนเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ในเมืองอันแสนจะเงียบสงบ
เช้าวันนี้อากาศเย็นจัด หมอกหนา และทำท่าจะฝนตก ผู้คนบนถนนจึงดูน้อยจนวังเวง
และเธอก็เห็นชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งหยุดยืนอยู่ตรงหน้าร้าน เธอประมาณอายุเขาราว ๆ ยี่สิบต้น ๆ
เขาผอม...ผอมมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในผ้าคลุมไหล่สีเทาดำที่ยาวจรดข้อเท้า
แม้ว่าบุคลิกของเขาจะดูดีประหลาด
หากท่าทางเฉยชา จนเธอรู้สึกพิกล ...
เขาน่าจะมีปัญหานะ หรือไม่ก็... ติดโคเคอีน แต่ไม่น่าใช่ แววตาของเขาไม่ใช่แบบนั้น...
มันดูหวานปนเศร้า และก็วังเวง... จน... ทุรนทุราย
เขาไม่ได้มองเธอหรอก นั่นต่างหาก ดอกยิปโซเล็ก ๆ สีขาวก้านน้อยที่ฟูฟ่องอยู่เต็มถัง เธอรู้สึกว่าเขาสนใจมัน แต่ไม่นึกว่าเขาจะซื้อมันทั้งหมด
เมื่อเธอเสนอราคา เขาก็ไม่ลังเลสักนิด
เขาหยิบเงินส่งให้เธอ ระหว่างที่เธอกุลีกุจอห่อหนังสือพิมพ์ให้
“ไม่ต้องครับ”
“ริบบิ้นไหมคะ ฉันให้ฟรี”
“ไม่ครับ ขอบคุณ” เขาปฏิเสธด้วยเสียงนุ่มนวล รับยิปโซช่อใหญ่จากมือเธอด้วยกริยาถนุถนอมที่สุด
และเดินจากไปเงียบ ๆ จนลับสายตาไปในกลุ่มหมอกหนาวของเช้าวันนั้น
เจ้ายิปโซน้อย ๆ พากันเต้นรำอยู่ในอ้อมกอดของเขา เพราะลมที่พัดมาปะทะเบา ๆ อย่างไม่ขาดระยะตลอดทางเดิน
บนถนนพื้นหินขรุขระเก่า ๆ แคบ ๆ ระหว่างซอกตึก ชายหนุ่มคนนั้นยังคงเดินเลาะเลี้ยวไปจนพบกับลานเล็ก ๆ หน้าโบสถ์เก่า ๆ หลังหนึ่ง
ท่ามกลางหมู่ต้นไม้ที่เหลือแต่ลำต้นและกิ่งก้านสีดำสลับสีเขียวของตะใคร่ที่จับด้วยความชื้น
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าขมุกขมัวอยู่ในม่านหมอกเบาบางราวกับภาพวาด มันเป็นบรรยากาศหม่นหมอง เงียบเหงาของปลายฤดูหนาว
เขาจรดเท้าช้า ๆ หยุดยืนอยู่หน้าประตูไม้ผุ ๆ ของโบสถ์หลังนั้น เมื่อแหงนหน้าขึ้นไปรูปปั้นเหล่านักบุญและเทพยดายังคงยิ้มให้เขาอย่างปราณีเหมือนเคย
เหนือขึ้นไปอีกระฆังโลหะใบย่อมบนหอระฆังยอดโบสถ์หยุดนิ่ง เงียบสงัด และสัญลักษณ์แห่งพระผู้เป็นเจ้ายังคงสถิตอยู่บนยอดสุดเช่นเดิม...
ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ยังคงเหมือนเดิม เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเท่านั้นเปลี่ยนไป บางคนเดินผ่านไป...มา...ไม่คิดจะจำ บางคนเดินผ่านเป็นประจำ...ไม่คิดอะไร
มันอาจเป็นเพียงเรื่องราวของเวลาอันเล็กน้อยเท่าธุลีหนึ่งในชีวิตของคนเดินถนนทั่วไป จนไม่น่าจดจำอะไรเลย
หากสำหรับเขา เหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ในชีวิตของเขาเกิดขึ้นที่นี่ ทั้งช่วงชีวิตอันแสนดี และช่วงเวลาที่โหดร้ายที่สุด
แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ผ่านมาและจบไป แต่เขาจะยังคงเก็บความทรงจำนั้นไว้เพื่อรำลึกถึงเสมอ...จนวันตาย...!
หลังจากวันนั้น 2 ปีผ่านไป เขาไม่ได้กลับมาอีกเลย จนวันนี้ แม้ว่าจะไม่สามารถคืนวันเวลาเหล่านั้นย้อนกลับมาในชีวิตได้อีกก็ตาม
แต่เขาก็มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องเอาอิสรภาพแห่งความคิดที่จะโลดแล่นสู่อดีตได้อย่างเสรี เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ยังคงเหมือนเดิม...
ถัดจากตัวอาคารโบสถ์เป็นรั้วเหล็กโปร่ง ๆ ไม่สูงไปกว่าเขา ภายในรั้วเป็นสวนที่ประกอบด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย
สนามหญ้าที่เจ้ายอดหญ้าน้อย ๆ กำลังแข่งกันแทงใบอ่อนออกมา ไม้ดอกล้มลุกที่เหลือแต่ใบสีเขียว
และแผ่นหินสลักอักษรต่าง ๆ ที่บนพื้น เป็นระยะไม่ห่างกันนักจนเป็นแถวเรียงกันเต็มตลอดทั้งสวน
เขาเปิดประตูรั้วเหล็กนั้นเบา ๆ และก้มหัวผ่านเข้าไปในอาณาเขตสวน เพื่อเดินเรียบผนังโบสถ์ ผ่านแผ่นหินเหล่านั้นอันแล้วอันเล่าไปอย่างช้า ๆ
บนหลังคา...ตรงท่อระบายน้ำฝนที่ชายคา กากอยยล์ตุ๊กตาปูนปั้นหน้าตาตลกพากันมองเขาเดินผ่านไปอย่างแปลกใจที่ได้พบเพื่อนเก่าอีกครั้ง...
จนสุดบริเวณสวนหลังโบสถ์นั้น...
ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่หลังตึกเก่า ๆ ข้างโบสถ์และสุสานก็ปรากฏขึ้น
เขาเดินลัดทุ่งกว้างตรงไปยังต้นโอ๊คขนาดใหญ่แผ่กิ่งก้านปกคลุมเป็นวงกว้างที่เป็นเงามะเลือนมะลางตรงไกล ๆ นั้น
เจ้าต้นไม้ค่อย ๆ ใหญ่ขึ้นและชัดเจนขึ้นในสายตาเขาทุกที ๆ ที่เขาก้าวเข้าไปใกล้ จนอยู่ใต้ร่มของมัน
ลมอ่อน ๆ โชยมาอีกครั้ง ทำให้หมอกควันค่อย ๆ จางลงไปบ้าง แต่ความขมุกขมัวของเมฆสีครึ้มบนฟ้ายังไม่ยอมจางหาย
และหยดน้ำเม็ดเล็ก ๆ ก็ค่อย ๆ โปรยปรายลงมาอีกครั้ง จากฟากฟ้าภายนอกร่มไม้ที่เขายืนอยู่
บ้างก็ถูกลมพัดเข้ามาโดนเจ้าชิงช้าไม้ตัวเก่า ซึ่งแขวนกับกิ่งหนึ่งของต้นโอ๊คอย่างนั้นมานานแล้ว...
ชายหนุ่มค่อย ๆ ย่อตัวลงวางช่อยิปโซตรงหน้าหินสลักแผ่นหนึ่งข้าง ๆ ลำต้นอวบใหญ่ของต้นโอ๊คนั้นอย่างนุ่มนวล
แล้วเขาจึงค่อย ๆ เอื้อมมือออกมาข้างหน้า นิ้วเรียวยาวและผอมจนกระดูกข้อนิ้วโปนอย่างเห็นได้ชัด...
แตะบนแผ่นหินแข็งอันเย็นเยือกอย่างแผ่วเบาราวกับลูบไล้อยู่บนผิวแก้มอันบอบบางนิ่มนวลของเลือดเนื้อมนุษย์...
จนมาหยุดนิ่งตรงปลายอักษรตัวสุดท้ายของกลุ่มอักษรสลักราวยี่สิบตัวเรียงกันอย่างไม่เป็นระเบียบนัก
ที่เมื่อสองปีก่อนเขาเป็นคนแกะมันกับมือด้วยน้ำตาที่นองหน้าอย่างบ้าคลั่ง...
“เฌอรีแอน มารี ไวท์”
CHERRIANNE MARRY WHITE
ความคิดเห็น