ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์กลนางพญา

    ลำดับตอนที่ #3 : ประมุขใหญ่แห่งสกุลจู

    • อัปเดตล่าสุด 24 ธ.ค. 61


          

    3




          สายลมพัดหวีดหวิวขณะที่ราชรถคันงามกำลังเคลื่อนที่ไปตามเส้นทางซึ่งทอดยาวสู่เมืองชายแดนอันห่างไกล เส้นทางขรุขระเต็มไปด้วยหลุมบ่อมากมาย ทำเอาคนที่นั่งอยู่ด้านในหัวสั่นโคลงเคลง

          วันนี้ซ่งอวีฮวาสวมชุดสีสันสดใสมากกว่าทุกวัน ริมฝีปากอวบอิ่มถูกแต่แต้มด้วยชาดทาปากสีแดงสด ใบหน้านวลเนียนปะด้วยเครื่องประทินโฉมเล็กน้อยส่งเสริมให้ดูมีชีวิตชีวา

          พรุ่งนี้นางจะเป็นอิสระจากคนสกุลซ่งแล้ว!

          ไม่คาดว่าผู้เฒ่าจันทรายังคงเห็นใจคนดีๆเช่นนางอยู่บ้าง(?) เมื่อวานหลังจากที่พยายามนำหยกที่เป็นมรดกตกทอดจากมารดาไปขาย ทางเรือนใหญ่ก็มีข่าวดีมาให้ได้ยินอีกครั้ง อวี้ฮวาดีใจจนตัวลอย นางกำลังจะได้แต่งออกไปจากจวนสกุลซ่งแล้วจริงๆ

          จากนั้นหญิงสาวแทบจะหยุดยิ้มไม่ได้ อวี้ฮวาเพียรถามบิดาว่าฝ่ายเจ้าบ่าวเป็นผู้ใด ทว่าคำตอบที่ได้กลับเป็นอาการส่าหน้าไม่รู้เหนือใต้ของท่านเสนาบดีผู้ชาญฉลาด แต่เอาเถิด ไม่ว่าบุรุษผู้นั้นจะเป็นใคร หน้าตาอัปลักษณ์เช่นไรนางพร้อมใจที่จะแต่งกับเขาอย่างไม่บิดพลิ้ว ขอเพียงได้ออกไปจากจวนสกุลซ่งเร็วๆ เมื่อนางตัดสินใจเลือกเส้นทางของตัวเองไปแล้ว ไม่มีทางที่นางจะหันหลับ

          เพื่อจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ อวี้ฮวาจึงตัดสินใจละทิ้งทุกสิ่ง

          บุญคุณความแค้นที่มีต่อคนสกุลซ่งขอให้จบกันไป เรื่องจะแก้แค้นสร้างเวรสร้างกรรมต่อกันคงต้องพักเอาไว้ก่อน ต่อจากนี้หากคนพวกนั้นยังรังควานนางไม่เลิก ถึงเวลานั้นค่อยมาคิดบัญชีหนีแค้นกันทีหลัง แต่นี้ไปนางจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ตามที่มารดาปราถนาไว้ก่อนตาย จะไม่มีการลำบากเพราะถูกใครกดขี่ อดทนหรือดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดอีกแล้ว

          เวลานี้จุดมุ่งหมายของราชรถคือส่งนางไปเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินที่เมืองฉาง เมื่อชายแดนที่มีอาณาเขตติดกับแม่น้ำกวานซีที่เปรียบเสมือนกำแพงกั้นระหว่างแคว้นเจี้ยนคังและแคว้นต้าเหว่ย เมืองฉางในความทรงจำของอวี้ฮวาเมื่อวัยเยาว์นั้นเป็นเมืองที่เป็นไปด้วยย่านการค้า เหตุเพราะเป็นเมืองที่มีเขตติดแม่น้ำสายใหญ่ดังนั้นจึงมีท่าเรือสินค้ามากมาย นับเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญของแคว้น

         หากเมืองหลวงคือหัวใจของแคว้นเจี้ยนคังแล้วไซร้ เมืองฉางก็เปรียบดังมือขวาที่ขาดไม่ได้เช่นกัน

         “แม่นางซ่ง พวกเราจะพักกันที่โรงเตี๊ยมด้านหน้าก่อนนะขอรับ”เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านนอกรถม้า สารถีวัยห้าสิบต้นๆเลิกม่านขึ้นก่อนจะเอ่ยซ้ำว่า“ตอนนี้พวกเราเมืองเพ่ยแล้วขอรับคาดว่าพรุ่งนี้เดินทางต่ออีกครึ่งวันก็น่าจะถึงเมืองฉางขอรับ ห้าวันมานี้ม้าเหล่านี้ไม่ได้หยุดพักข้าเกรงว่าพวกมันจะล้มป่วยไปจึงอยากขอความกรุณาของแม่นางให้พวกมันได้พักสักหน่อยได้หรือไม่ขอรับ”

          ชายวัยห้าสิบเอ่ยกับนางอย่างนอบน้อมที่สุด อวี้ฮวาที่ไม่เคยได้รับความนอบน้อมเช่นนี้ย่อมแปลกใจมาก คิ้วบางดุจกิ่งหลิวของนางเลิกขึ้น ก่อนจะยิ้มรับอย่างเป็นมิตร

          “เอาเถิด ท่านลุงเองก็คุมบังเหียนม้าไม่ได้พักเช่นกัน วันนี้นอนโรงเตี๊ยมสักคืนเจ้าบ่าวของข้าคงไม่หนีไปไหนหรอก”ว่าพลางยกยิ้มงดงาม“ท่านลุกข้ามีคำถามอยากจะถามท่าน”

           น้ำเสียงที่จริงจังของนางทำให้ลุงสารถีต้องหันกลับมาอีกครั้ง ชายวัยกลางคนเตรียมพร้อมที่จะตอบคำถาม 

          “เชิญแม่นางถามมาได้เลยขอรับ”เขาตบปากรับคำอย่างว่าง่าย

          ได้ยินดังนั้นใบหน้างามจึงเปล่งรอยยิ้มสว่างไสวในทันที ในเมื่อถามจากบิดาก็ไม่ได้ความ เช่นนั้นนางก็ควรถามจากคนของเจ้าบ่าวไร้นามแทน

         “ไม่ทราบว่าท่านพอจะรู้หรือไม่ ว่าคนที่จะแต่งกับข้าแท้จริงเป็นใครกันแน่”

          ลุงสารถีมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย จะอะไรเสียอีกเล่า คำถามของสตรีร่างบางตรงหน้าหาใช่คำถามทั่วไป แต่เป็นคำถามที่ตัวแม่นางซ่งเองนั่นแหละต้องรู้ดีกว่าผู้อื่น จะอย่างไรเขาเองไม่ใช่คนที่ต้องแต่งงานเสียหน่อย จะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าบ่าวคือผู้ใด อีกอย่างเขาเป็นเพียงคนที่หาเช้ากินค่ำคงไม่มีเวลาไปสืบหาที่มาของผู้ว่าจ้างหรอก

          “แม่นางซ่งไม่รู้หรอกหรือขอรับ”อวี้ฮวามองดูคนตรงหน้าอีกครั้ง พิจารณาจากท่าทางและน้ำเสียง คนผู้นี้เองใช่ว่าจะรู้อะไรมาก เช่นนั้นที่นางถามไปคงไม่ได้ความอีกกระมัง หรือไม่แน่ลุงสารถีท่านนี้อาจจะพอรู้อะไรบ้าง

          “ท่านรู้ก็บอกมาเถิด ข้าแคลงใจนัก เขาเพียงส่งคนมาสู่ขอแล้วรับข้าออกจากจวนมาเช่นนี้ จะให้ข้าคิดเช่นไร”แม้ในใจจะยินดีที่ไม่มีญาติฝั่งบิดามาร่วมงาน  ทว่านางอดสงสัยไม่ได้ เหตุใดจึงไม่ให้นางรู้ชื่อหรือแม้กระทั่งที่มาที่ไปของเจ้าบ่าว

          “แม่นางอภัยด้วย ขะ...ข้าไม่รู้ขอรับ”ชายวัยกลางคนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วอย่างขออภัย

          “เช่นนั้น ข้าคงแย่แน่แล้ว”หญิงสาวทอดถอนใจเป็นการใหญ่  หรือเรื่องบรรลัยกำลังใกล้เข้ามาแล้ว! แต่จะให้นิ่งนอนใจนั่นคงไม่ใช่วิถีของซ่งอวี้ฮวา ครั้นจะไปถามกับผู้ใดอันนี้ก็คิดหนักอยู่

          เฮ้อ...นางชักจะปวดตุบที่ข้างขมับเสียแล้ว! ใครก็ได้ช่วยไขความกระจ่างแก่ข้าที

         ซ่งอวี้ฮวาและสารถีวัยกลางคนสนทนากันต่ออีกเพียงไม่กี่ประโยค เขาก็เตรียมท่าจะหาแท่นเหยียบมาให้หญิงสาวลงจากราชรถคันงาม ทว่าทันใดนั้นเองหูของอวี้ฮวาได้ยินเสียงหอบหายใจดังของอาชาตัวโตพร้อมกับเสียงควบตะบึงมาแต่ไกล เพียงไม่กี่อึดใจจึงพบอาชาดำตัวหนึ่งหยุดอยู่ตรงหน้ารถม้าของนาง

         บนอาชาสีทมิฬคือร่างสูงใหญ่ของบุรุษท่านหนึ่ง ในความมืดมิดนางย่อมมองไม่เห็นสีหน้าของเขา ทว่าก็ยังพอมีแสงสว่างจากโคมไฟอยู่บ้างจึงยังพอได้สังเกตการแต่งกาย ครั้นเมื่อพิจารณาดูเครื่องแต่งกายที่เขาสวมใส่ทำให้สามารถจินตนาการได้ว่าคนๆนี้ไม่ธรรมดาสามัญเป็นแน่

         ร่างแกร่งนั้นสวมอาภรณ์ทะมัดทะแมงสีครามเข้ม ลวดลายกิเลนเหินฟ้าหยอกล้อกับมวลเมฆาถูกปักลงบนผ้าแพรที่เขาสวมอยู่อย่างประณีตงดงาม รองเท้าสีดำยาวถึงเข่ามลเนื้อดีที่เขาสวมอยู่ยังมิวายปักดิ้นทองลายกนก ผมรวบสูงถูกเก็บอย่างเป็นระเบียบครอบด้วยรัดเกล้าเล็กๆดูเรียบร้อย บ่งบอกว่าคนผู้นี้เป็นคนมีวินัยไม่น้อย เมื่อมองดูชายตรงหน้าทำให้อวี้ฮวาจินตนาการว่านี่คือวิถีของผู้สูงศักดิ์ที่คนเช่นนางไม่มีทางแม้แต่เทียบชั้นได้

         ฮี่ๆ เสียงอาชาดำขู่ฟ่อๆอย่างหอบเหนื่อยเนื่องจากมันวิ่งมาหลายร้อยลี้โดยไม่ได้พัก เจ้าของก็ช่างรู้ใจรีบลงจากหลังของมันอย่างไวไม่รอช้า

          “เจ้าใช่ซ่งอวี้ฮวาหรือไหม”น้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงด้วยความตื่นเต้นดังขึ้น ชายผู้นั้นไม่รอให้นางตอบคำถาม เขาเพียงกวักมือสองครั้ง ลุงสารถีพลันเบี่ยงตัวลงจากราชรถไปในทันที อวี้ฮวาจึงคิดว่าคนผู้นี้คือเจ้านายของลุงท่านนี้ไม่ผิดแน่

          ครู่ต่อมารถม้ากลับโครงเคลงขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับร่างสูงที่เข้ามานั่งด้านในอย่างถือวิสาสะ อวี้ฮวากระถดกายหนีห่างอย่างเร็วไว พลางคิดว่าคนตรงหน้ามีจุดประสงค์อันใดจึงทำตัวไม่ให้เกียรตินางถึงเพียงนี้

          “ท่านพูดเช่นนั้นราวกับรู้จักข้า”นางหยังเชิงเขา เมื่ออยู่ใกล้จนจะเผาขนกันเล่นได้เช่นนี้ อวี้ฮวาจึงสบโอกาสลอบสังเกตใบหน้าของเขาโดยไม่รอช้า บุรุษผู้นี้รูปร่างราวกับนักรบผู้เจนศึก ภายใต้อาภรณ์ของเขาดูเหมือนจะเต็มไปด้วยมัดกล้ามได้รูป เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของเขาเมื่อมองใกล้ๆกลับดูเล็กเหลือเกิน เช่นนี้ไม่เรียกอวดหุ่นจะเรียกว่าอย่างไร

         เมื่อรู้ว่านางลอบมองเขา ริมฝีปากหนาของคนตรงหน้าพลันยกยิ้มขึ้นทันใด 

         เขาโปรยยิ้มเยี่ยงมหามิตร ทว่าไม่ลืมแนะนำตนเอง“ข้าคือจูเว่ยฉี ยินดีที่ได้พบเจ้าเสี่ยวฮวา”

         คำพูดจาที่ดูสนิทสนมเช่นนั้น ทำให้ซ่งอวี้ฮวาขมวดคิ้ว ตรู่ต่อมาจึงร้องอ้ออย่างเข้าใจ ที่แท้ก็คนสกุลจู แต่จูไหน?

         รำลึกอยู่เป็นนานจึงได้รู้ว่าทีแท้ก็ญาติฝั่งมารดาของนางนั่นเอง!

          “...”อวี้ฮวาไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ เมื่อนางลองตรองดูอีกครั้งจึงได้ตระหนักถึงอำนาจและความรวยของญาติฝั่งมารดาที่ไม่เคยเหลียวแลมารดาที่น่าสงสารของนางแม้ยามตาย!

          เอาล่ะ ยามนี้นางพูดไม่ออกเลย นี่พวกเขาก้าวก่ายแม้กระทั้งชีวิตนางเชียวหรือ!

          คราแรกหญิงสาวไม่อยากจะเดาเรื่องเจ้าบ่าวปริศนากับค่าสินสอดพันชั่งสักเท่าใดนัก ครั้นพอได้พบจูเว่ยฉีหนึ่งในสมาชิกสกุลจูผู้โด่งดังก็อดไม่ได้ที่จะนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาปะติดปะต่อขึ้นใหม่อีกครั้ง  

          “ที่แท้ทั้งหมดเป็นแผนของพวกท่านหรือ”ซ่งอวี้ฮวาเอ่ยเสียงสั่นเครืออย่างไม่นึกไม่ฝัน ก่อนหน้านี้สักครึ่งชั่วยามนางยังยิ้มรับอิสระที่บิดามอบให้อยู่เลย ไฉนตอนนี้ถึงได้รู้สึกว่าการยกยิ้มสักเพียงนิดจึงเป็นเรื่องยากแสนยาก

          พอเห็นญาติผู้น้องตรงหน้าทำท่าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ จูเว่ยฉีก็อดที่จะอธิบายไม่ได้ ปกติวิสัยทหารเช่นเขาไม่พูดมาก แม้ในยามสงครามก็ไม่พูดมาก แต่เน้นฟาดแล้วศัตรูตายโหงลูกเดียว การจะให้มานั่งปลอบสตรีจึงกลายเป็นเรื่องที่เขาไม่เคยทำมาก่อน

          แต่ตอนนี้ต้องทำ!

          “อย่าพึ่งเข้าใจพวกเราผิดไป สกุลจูไม่เคยละทิ้งหรือมองข้ามคนในครอบครัว เจ้าเองเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของอาหญิงเจ้าย่อมเป็นคนสกุลจูด้วยเช่นกัน”เขาเอ่ยเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่หญิงสาวตรงหน้า ใช่ว่าท่านตาไม่เหลียวแลนางเสียเมื่อไหร่ ก่อนจะชี้ไปที่แผ่นหยกสีเขียวอมฟ้าลายเมฆาเคลื่อนคล้อย“หยกนั่นคือสัญญาลักษณ์”

          “ข้าควรดีใจหรือไม่ที่คนสกุลจูยังเหลียวแลข้าอยู่ ครั้นมารดาข้าป่วยใกล้ตายพวกท่านไปอยู่ไหนกัน!”ซ่งอวี้ฮวาถามอย่างตัดพ้อต่อโชคชะตา หากจูเก่อคังท่านตาของนางไม่ละทิ้งท่านแม้ มีหรือท่านพ่อผู้ไฝ่หาอำนาจจะกระทำกับนางแลท่านแม่เช่นนั้น!

           แววตาเจ็บปวดจากญาติผู้น้องทำเอาจูเว่ยฉีไร้ซึ่งคำปลอบโปลม เรื่องนี้เสี่ยวฮวายังไม่เข้าใจดีนัก เขาที่มีศักดิ์เป็นหลานของท่านอาเหลียนฮวาย่อมรู้ซึ้ง ที่ท่านปู่โกธรท่านอาเหลียนฮวาจนแทบจุดไฟเผาจวนก็ด้วยนางไม่เชื่อฟัง ขัดคำสั่งหนีตามบุรุษ เช่นนี้แล้วพ่อคนไหนจะทำใจยอมรับได้

          “เรื่องนี้ไว้เราค่อยไปคุยกันทีหลังเถิด พรุ่งนี้หากเจ้าแคลงใจสิ่งใดก็จงถามไถ่จากท่านปู่ของข้าเอาเองจะดีกว่า”

          “ย่อมได้ แต่หากไม่ได้คำตอบตามที่ข้าต้องการ งานแต่งงานจะไม่เกิดขึ้น!

         

        (ต่อ)

          จวนสกุลจูใหญ่โตไม่แพ้จวนสกุลเซี่ย อีกทั้งสองตระกูลไม่ลงรอยกันจึงมักมีข่าวถึงเหตุการณ์แก่งแย่งแข่งขันช่วงชิงตำแหน่งทางกองทัพอย่างไม่มีใครยอมใคร สกุลจูและสกุลเซี่ยเป็นสองในสี่สกุลแม่ทัพใหญ่ที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่องค์จักรพรรดิแห่งเจี้ยนคังมาหลายชั่วอายุคน เรื่องความจงรักภักดีย่อมไม่ต้องพูดถึง ขอเพียงได้สังเวยชีพเพื่อแผ่นดินอันเป็นที่รักจะเป็นที่ใดย่อมไม่เกี่ยงเกรงต่อความตาย

           พวกเขาต่างดำเนินชีวิตโดยที่ขาอีกข้างอยู่ประตูนรก

           ทว่าเมื่อสิบปีก่อนเกิดกบฏอ๋องเยี่ยนหมิงคิดโค่นล้มราชบัลลังก์ สกุลจูที่เคยข้องแวะกับท่านอ๋องเยี่ยนหมิงจึงพลอยติดร่างแหไปด้วย ทำให้ฮ่องเต้ไม่พอพระทัยเป็นอย่างมาก แต่ด้วยฮ่องเต้ยังทรงเห็นแก่ความดีความชอบในอดีตจึงสั่งเนรเทศสกุลจูให้ไปประจำการที่ชายแดนเมืองฉางอย่างไม่มีกำหนดเรียกตัวกลับเมืองหลวงแทน  

           เรือนใหญ่สกุลจูวันนี้เงียบสงบยิ่งกว่าทุกวัน จูเก่อคังที่เป็นประมุขคนล่าสุดของสกุลเองวันนี้ก็เงียบสงบกว่าเมื่อสามวันก่อนเช่นกัน บ่าวไพร่ในเรือนรวมถึงบุตรชายและสะใภ้ของเขาไม่มีใครทนรับพายุแห่งความโกรธเกรี้ยวได้ไหวจึงพากันขลุกอยู่แต่ในเรือน จูเก่อคังวัยหกสิบห้าหนาวร่างกายยังคงแข็งแรงเช่นบุรุษวัยสี่สิบต้นๆเขามีภรรยาสองคนคือฮูหยินใหญ่อู่เหยียนและฮูหยินรองฮุ่ยชิง สตรีทั้งสองต่างมีบุตรธิดาให้จูเก่อคังคนละหนึ่งก่อนพวกนางสิ้นใจ

           อู่เหยียนที่เป็นฮูหยินคนแรกมีบุตรชายที่เชิดหน้าชูตาอย่างจูเฉิง ปัจจุบันดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ผู้ห้าวหารแห่งปราการเมืองฉาง นางสิ้นใจหลังคลอดจูเฉิงได้เจ็ดวัน ส่วนฮูหยินรองเองก็เช่นกันหลังจากคลอดจูเหลียนฮวามารดาของซ่งอวี้ฮวาได้สามวันนางก็สิ้นใจ

           จูเก่อคังเป็นคนรักมั่นต่อสตรีอันเป็นที่รักเขาให้สัตย์สาบานต่อเทพเง็กเซียนว่าเขาจะไม่แต่งหญิงใดเข้าบ้านอีก แม้ประมุขคนก่อนจะคัดค้านจนชีวิตหาไม่ ทว่าไม่อาจต้านทานความดื้อด้านของลูกชายได้

           หลังจากไร้ซึ่งภรรยาทั้งสอง จูเก่อคังจึงต้องเลียงดูบุตรตามลำพัง แน่นอนวิสัยนักรบพ่อหม้ายเช่นเขาเมื่อได้เลี้ยงดูบุตรมีหรือบุตรจะเป็นคนธรรมดา นิสัยเองก็ดื้อด้านไม่ต่างจากบิดาเช่นกัน ดูอย่างจูเหลียนฮวาเป็นตัวอย่าง นางหนีตามผู้ชายไปแต่งงานทำตามหัวใจโดยไม่ใยดีบิดาเช่นจูเก่อคังเลยสักนิด

           สุดท้ายเขาต้องจำใจยื่นคำขาดอย่างการตัดพ่อตัดลูกออกไป ทว่านางก็ยังไม่แม้แต่จะฟังดึงดันหัวชนฝา ไปแต่งงานกับไอ้ขุนนางราชสำนักจอมเจ้าเล่ห์ที่หัวใสคิดใช้สกุลจูเป็นท่านรองเยียบขึ้นไปสู้อำนาจ จูเก่อคังมิใช่คนโง่เงาเบาปัญญามีหรือจะยอมได้ เขายอมไสส่งลูกไม่รักดีคนนั้นยังดีเสียกว่าให้สกุลจูที่บรรพชนเพียรสร้างต้องแปดเปื้อน!

          ทว่าเมื่อได้ทราบข่าวความเป็นอยู่ของหลานสาวก็พลันทำให้จิตใจที่แข็งดั่งหินพังทลาย สามวันก่อนก่อนจูเก่อคังอาละวาดบ้านแทบแตกทำเอาจวนสกุลจูทั้งจวนลุกเป็นไฟ จูเฉิงทนเห็นบิดาทุบทำลายจานกระเบื้องราคาสามชั่วอายุไม่ได้จึงนั่งคิดแผนช่วยเหลือหลานสาวเพียงคนเดียวอย่างแข็งขัน จนได้แผนแต่งงานหลอกๆนี่มา บิดาจึงอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง

           จูเก่อคังนั่งจิบชาราคาพันตำลึงทองอย่างไม่สะทกสะท้าน สกุลจูเป็นแม่ทัพหาใช่รับแต่บำเหน็จจนร่ำรวย พวกเขายังมีกิจการร้านอาภรณ์ของสะใภ้ทั้งสองคอยช่วยเหลือจุนเจือค่าใช้จ่ายภายใน ทำให้เรื่องเงินทองไม่เป็นปัญหาเลย

           แม้ชายวัยหกสิบหนาวจะนั่งจิบชาดอกเหมยอย่างสบายอารมณ์ ทว่าก็ไม่ได้นั่งอยู่เพียงลำพังเบื้องหนายังมีชายหนุ่มที่อายุรุ่นเดียวกับจูเว่ยฉีหลานชายของเขานั่งอยู่ด้วย  

          “ขอบใจท่านมากที่แจ้งข่าวหลานสาวของข้า”อดีตแม่ทัพใหญ่จูเก่อคังเอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว แววตากร้านโลกของเขาดูเป็นมิตรขึ้นมาแปดส่วน วันนี้เขาสวมชุดตัวยาวสีขาวตัดด้วยผ้าเนื้อดีปักลวดลายอินทรีย์เช่นเคย แต่ไม่ว่าจะแต่งตัวเช่นไรเรือนกายสูงใหญ่เยี่ยงขุนศึกของเขาก็มิวายแผ่กลิ่นไอความน่าเกรงขามออกมา

          “ไม่เป็นไรขอรับ ข้ายินดี”น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยอย่างอ่อนน้อม นัยน์ตาสีนิลทอดมองอดีตแม่ทัพใหญ่ตรงหน้าด้วยความเคารพประหนึ่งผู้หลักผู้ใหญ่คนสำคัญ

          จูเก่อคังถอนหายใจอย่างโล่งอก

          “หากไม่ได้ท่านข้าคงไม่รู้ว่าหลานของข้าลำบากถึงเพียงนี้ หากไม่ได้ท่านข้าอาจจะกลายเป็นคนบาปไปชั่วชีวิต”

          ชายวัยหกสิบหนาวเอ่ยเสียงเรียบ แม้ภายนอกเขาจะดูเหมือนภูผาอันสูงใหญ่ทว่าภายในกลับเป็นดังหาดทรายที่ถูกคลื่นซัดสาด แม้ส่งเงินพันชั่งไปเป็นค่าสินสอดขอหลานสาวเพื่อไม่ให้นางน้อยหน้าใครแต่ปัญหาใหญ่คือยังหาเจ้าบ่าวมิได้

          โอ้ สวรรค์!

          นัยน์ตาสีดำขลับของอดีตแม่ทัพใหญ่พินิจมองบุรุษวัยหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตานับถือ หลายปีมาแล้วที่เขาไม่ได้สนทนาพาทีกับคนผู้นี้อย่างใกล้ชิดเช่นนี้ แม้ภายนอกสวมเพียงอาภรณ์ชาวบ้านธรรมดาสามัญทว่าภายในนั้นเลือดเนื้อของเขายังคงเป็นขององค์จักรพรรดิและราชวงค์เยี่ยนไม่อาจแปลเปลี่ยน

         เยี่ยนเฉวียนเยี่ยมองผู้อาวุโสตรงหน้าอย่างนอบน้อมนับถือเช่นกัน

         หลายปีมานี้ตัวเขาเองได้เร้นกายหายไปไม่ยุ่งเกี่ยวกับอำนาจหรือบุญคุณความแค้นใดๆอีกแล้ว เหตุที่มาปรากฏตัวในวันนี้ก็ด้วยมีหนี้ชีวิตติดค้างต่อท่านหญิงเหลียนฮวามารดาของซ่งอวี้ฮวา ท่านหญิงเคยช่วยชีวิตเขา แลเขาได้ตอบแทนด้วยการนำข่าวลูกสาวของนางมาแจ้งแก่สกุลจูแล้ว จากนี้ไปเขาจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเสียที

          “อย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลยขอรับท่านแม่ทัพ”เยี่ยนเฉวียนเยี่ยเอ่ยพลางโค้งศีรษะ

          เห็นดังนั้นจูเก่อคังเองก็ไม่อาจอยู่นิ่งได้เขาแทบประสานมือพร้อมกับโน้มตัวลงมาคำนับ ทว่าด้วยอายุที่มากแล้วทำให้การเคลื่อนไหวเชื่องช้าไป เยี่ยนเฉวียนเยี่ยที่ไวกว่าจึงถลาตัวเข้ามาพยุงไว้ได้ทัน บุรุษหนุ่มส่ายศีรษะเป็นการปฏิเสธการทำความเคารพนั้น

          จูเก่อคังเห็นเช่นนั้นยิ่งทวีความชื่นชมแก่คนตรงหน้า ในใจนึกถึงภาพบุรุษบนหลังอาชาเหงื่อโลหิตคู่ใจที่ควบตะบึงไปไกลพลางสังหารศัตรู เยี่ยนเฉวียนเยี่ยเมื่อครั้งก่อนช่างเป็นเด็กหนุ่มผู้ห้าวหารและชาญฉลาดกว่าผู้ใด แต่ชะตาฟ้าช่างเล่นตลกเหลือเกิน

          คนชั่วเริงอำนาจ ส่วนคนดีๆที่ควรทำประโยชน์แก่แผ่นดีกลับต้องหลบซ่อนตัว

          ช่างไม่สมควร ช่างไม่สมควร“เยี่ยนซื่อจื่อ*ท่านช่างเป็นคนดีเหลือเกิน”

          ได้ยินคำเยินยอเยี่ยนเฉวียนเยี่ยกลับไม่ดีใจเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงค้อมศีรษะแก่ผู้อาวุโสจูน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อน“โปรดอย่าเรียกข้าด้วยชื่อนั้นเลยท่านแม่ทัพจู ข้าไม่ใช่ซื่อจื่อแห่งเจื้ยนคังอีกต่อไปแล้ว เวลานี้ข้าเป็นเพียงเฉวียนเยี่ยเกษตรกรแห่งเมืองฉางเท่านั้นหาได้มียศศักดิ์เช่นวันวานไม่”

          “แต่อย่างไรท่านก็มีเลือดแห่งขัตติยะ มีเชื้อสายของกษัตริย์ไหลเวียนอยู่ในตัว แม้ใจท่านจะปฏิเสธ ทว่าความจริงไม่อาจเปลี่ยนแปลง”จูเก่อคังกล่าว

          เยี่ยนเฉวียนเยี่ยพยุงเขาให้กลับไปนั่งที่เก้าอี้หินอ่อนดังเดิม แสดงออกเพียงใบหน้าเรียบเฉยไร้ซึ่งคลื่นความรู้สึก ราวกับคนๆนี้ปล่อยว่างแล้วซึ่งทุกสิ่งอย่าง ในใจไม่เหลือแม้แต่ความแค้น จูเก่อคังให้สงสัยเหลือเกินว่าเยี่ยนเฉวียนเยี่ยไม่คิดล้างมลทินให้แต่บิดาบ้างเลยหรือไฉนหลายปีมานี้เขาจึงหลบซ่อนตัวเล่า ไม่เคียดแค้นเลยหรืออย่างไร

          ทว่าผู้อาวุโสเช่นจูเก่อคังได้แค่คิดเท่านั้น ในใจไม่กล้าแม้แต่ไถ่ถามแลเกรงว่าหากถามไปแล้วกลัวจะได้คำตอบที่อาจไม่เป็นดังเขาคาดหวัง

          เมื่อไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใดต่อเยี่ยนเฉวียนเยี่ยจึงลุกขึ้นเตรียมทำความเคารพผู้อาวุโสแล้วเดินจากไป ทว่าก่อนที่เขาจะได้กระทำเช่นนั้นจูเก่อคังกลับรั้งท่อนแขนของเขาเอาไว้เสียก่อน อดีตท่านแม่ทัพวัยหกสิบหนาวลุกพรวดขึ้นทันที

         “เช่นนั้นท่านช่วยข้าอีกประการได้หรือไม่”เขาเอ่ยก่อนที่ฝ่ามือใหญ่จะรั้งท่อนแขนเยี่ยนเฉวียนเยี่ยเอาไว้แน่น

          ร่างสูงชะงักไปครู่หนึ่งราวกับกำลังตรึกตรองอะไรบางอย่าง ก่อนจะพยักหน้าหนึ่งครั้งเป็นการตอบตกลง

          “คำขอของสหายร่วมรบของบิดาใยข้าจะปฏิเสธได้ลงเล่า มีสิ่งใดให้ช่วยจงบอกมาเถิด หากไม่มากจนเหลือบากกว่าแรงข้าย่อมช่วยท่านไม่บิดพลิ้วแน่นอน”

          จูเก่อคังรู้แน่นอนว่าคนอย่างเยี่ยนเฉวียนเยี่ยเมื่อได้เอ่ยออกมาแล้ว ย่อมไม่ผิดคำพูดเป็นแน่ เช่นนั้นจึงได้เอ่ยออกมาอย่างไม่ปิดบัง

          “ช่วยรับหลานสาวของข้าเป็นฮูหยินของท่านด้วยเถิด”

     

    *****

    ซื่อจื่อ* 世子

        มีไว้เรียกลูกชายผู้จะสืบทอดบรรดาศักดิ์ของผู้พ่อเท่านั้น ซึ่งเหล่าคุณชายของ ชินอ๋อง อ๋อง โหวเหย ผู้มีบรรดาศักดิ์ทั้งหลาย จะถูกเรียกว่า ซื่อจื่อ ส่วนมากจะเป็นลูกชายคนโต แต่บางครั้งก็อาจมีข้อยกเว้นเป็นลูกชายคนรองก็ได้ หากผู้เป็นบิดาตั้งใจจะให้ลูกคนอื่นที่ไม่คนโตสืบบรรดาศักดิ์

        ตัวอย่าง หลอเฉิง บุตรชายแม่ทัพหลออี้สมัยปลายราชวงศ์สุย ที่มีบรรดาศักดิ์เป็น เยียนหวัง ก็จะเป็น ซื่อจื่อ

    ที่มา: The Crazy Sisters Channel


    เเจ้ง*

       ขอเปลี่ยนชื่อท่านปู่ของอวี้ฮวาคนงามจาก "จูเก่อเหลียง ไปเป็น จูเก่อคังนะคะ" เพราะจูเก่อเหลียงเป็นชื่อของขงเบ้งปราชญ์ผู้เลื่องชื่อของจีนค่ะ>///< ขออภัยที่เปลี่ยนเอาดื้อๆนะคะ


    *****

    โผล่หัวกลับมาเเล้วววทุกคนนนนนนน

    หิ๊วววว หิววว อยากกินชาบูหลังสอบเสร็จค่ะ><!

    คือไรท์สอบไปก็ไม่ได้Aหรอกค่ะ ขนาดบวกคะเเนนเก็บเเล้วยังกลัวไม่พ้นFเลย คือเพื่อนในเเก๊งกับไรท์เองก็พากันหอบเสื้อผ้าหนีFกันจ้าละหวั่น

    อกสั่นขวัญเเขวนเหมือนดูหนังจูออนตอนกลางคืน ขนลุกซู่ซ่าน่าหวาดเสียว ตัวร้ายของเรื่องก็คือวิชาเอกของคณะนี่เเหละค่ะ555+


    เอาเป็นว่าไรท์คนดีศรีอโยธยากลับมาเเล้วนะคะ คิดถึงทุกคนนะคะ เย็นนี้หลังจากไปดูอควาเเมนเเล้วจะเเวะมาอัฟที่เหลือต่อนะคะ หากมีคำไหนผิดพลาดหรือสงสัยอะไรถามไรท์ได์เลยนะคะ เพราะไรท์ก็ลงเเบบตรวจคำผิดเเค่รอบเดียว กลัวเหลือเกินว่าทุกคนจะงงงวยกับภาษาของไรท์ 


    ขอบคุณที่ติดตามอ่านเเละคอมเมนต์ให้กำลังใจนะคะ


    พอได้กลับมาเขียนไรท์ก็มีความสุขมากๆ

    นั่งขำอยู่คนเดียวจนคนที่บ้านคิดว่าเป็นบ้า

    อย่าซีเรียสสสเลยค่ะ ไรท์มันบร้าาา555+ 

    .

    .

    24/12/2018

    เเกะน้อยร้อยเล่ห์

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×