คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ประมุขใหญ่แห่งสกุลจู
3
สายลมพัดหวีดหวิวขณะที่ราชรถคันงามกำลังเคลื่อนที่ไปตามเส้นทางซึ่งทอดยาวสู่เมืองชายแดนอันห่างไกล
เส้นทางขรุขระเต็มไปด้วยหลุมบ่อมากมาย ทำเอาคนที่นั่งอยู่ด้านในหัวสั่นโคลงเคลง
วันนี้ซ่งอวีฮวาสวมชุดสีสันสดใสมากกว่าทุกวัน ริมฝีปากอวบอิ่มถูกแต่แต้มด้วยชาดทาปากสีแดงสด
ใบหน้านวลเนียนปะด้วยเครื่องประทินโฉมเล็กน้อยส่งเสริมให้ดูมีชีวิตชีวา
พรุ่งนี้นางจะเป็นอิสระจากคนสกุลซ่งแล้ว!
ไม่คาดว่าผู้เฒ่าจันทรายังคงเห็นใจคนดีๆเช่นนางอยู่บ้าง(?) เมื่อวานหลังจากที่พยายามนำหยกที่เป็นมรดกตกทอดจากมารดาไปขาย
ทางเรือนใหญ่ก็มีข่าวดีมาให้ได้ยินอีกครั้ง อวี้ฮวาดีใจจนตัวลอย
นางกำลังจะได้แต่งออกไปจากจวนสกุลซ่งแล้วจริงๆ
จากนั้นหญิงสาวแทบจะหยุดยิ้มไม่ได้ อวี้ฮวาเพียรถามบิดาว่าฝ่ายเจ้าบ่าวเป็นผู้ใด
ทว่าคำตอบที่ได้กลับเป็นอาการส่าหน้าไม่รู้เหนือใต้ของท่านเสนาบดีผู้ชาญฉลาด แต่เอาเถิด
ไม่ว่าบุรุษผู้นั้นจะเป็นใคร หน้าตาอัปลักษณ์เช่นไรนางพร้อมใจที่จะแต่งกับเขาอย่างไม่บิดพลิ้ว
ขอเพียงได้ออกไปจากจวนสกุลซ่งเร็วๆ เมื่อนางตัดสินใจเลือกเส้นทางของตัวเองไปแล้ว
ไม่มีทางที่นางจะหันหลับ
เพื่อจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ อวี้ฮวาจึงตัดสินใจละทิ้งทุกสิ่ง
บุญคุณความแค้นที่มีต่อคนสกุลซ่งขอให้จบกันไป
เรื่องจะแก้แค้นสร้างเวรสร้างกรรมต่อกันคงต้องพักเอาไว้ก่อน
ต่อจากนี้หากคนพวกนั้นยังรังควานนางไม่เลิก
ถึงเวลานั้นค่อยมาคิดบัญชีหนีแค้นกันทีหลัง แต่นี้ไปนางจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
ตามที่มารดาปราถนาไว้ก่อนตาย จะไม่มีการลำบากเพราะถูกใครกดขี่ อดทนหรือดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดอีกแล้ว
เวลานี้จุดมุ่งหมายของราชรถคือส่งนางไปเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินที่เมืองฉาง
เมื่อชายแดนที่มีอาณาเขตติดกับแม่น้ำกวานซีที่เปรียบเสมือนกำแพงกั้นระหว่างแคว้นเจี้ยนคังและแคว้นต้าเหว่ย
เมืองฉางในความทรงจำของอวี้ฮวาเมื่อวัยเยาว์นั้นเป็นเมืองที่เป็นไปด้วยย่านการค้า
เหตุเพราะเป็นเมืองที่มีเขตติดแม่น้ำสายใหญ่ดังนั้นจึงมีท่าเรือสินค้ามากมาย
นับเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญของแคว้น
หากเมืองหลวงคือหัวใจของแคว้นเจี้ยนคังแล้วไซร้
เมืองฉางก็เปรียบดังมือขวาที่ขาดไม่ได้เช่นกัน
“แม่นางซ่ง พวกเราจะพักกันที่โรงเตี๊ยมด้านหน้าก่อนนะขอรับ”เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านนอกรถม้า
สารถีวัยห้าสิบต้นๆเลิกม่านขึ้นก่อนจะเอ่ยซ้ำว่า“ตอนนี้พวกเราเมืองเพ่ยแล้วขอรับคาดว่าพรุ่งนี้เดินทางต่ออีกครึ่งวันก็น่าจะถึงเมืองฉางขอรับ
ห้าวันมานี้ม้าเหล่านี้ไม่ได้หยุดพักข้าเกรงว่าพวกมันจะล้มป่วยไปจึงอยากขอความกรุณาของแม่นางให้พวกมันได้พักสักหน่อยได้หรือไม่ขอรับ”
ชายวัยห้าสิบเอ่ยกับนางอย่างนอบน้อมที่สุด อวี้ฮวาที่ไม่เคยได้รับความนอบน้อมเช่นนี้ย่อมแปลกใจมาก
คิ้วบางดุจกิ่งหลิวของนางเลิกขึ้น ก่อนจะยิ้มรับอย่างเป็นมิตร
“เอาเถิด ท่านลุงเองก็คุมบังเหียนม้าไม่ได้พักเช่นกัน
วันนี้นอนโรงเตี๊ยมสักคืนเจ้าบ่าวของข้าคงไม่หนีไปไหนหรอก”ว่าพลางยกยิ้มงดงาม“ท่านลุกข้ามีคำถามอยากจะถามท่าน”
น้ำเสียงที่จริงจังของนางทำให้ลุงสารถีต้องหันกลับมาอีกครั้ง
ชายวัยกลางคนเตรียมพร้อมที่จะตอบคำถาม
“เชิญแม่นางถามมาได้เลยขอรับ”เขาตบปากรับคำอย่างว่าง่าย
ได้ยินดังนั้นใบหน้างามจึงเปล่งรอยยิ้มสว่างไสวในทันที
ในเมื่อถามจากบิดาก็ไม่ได้ความ เช่นนั้นนางก็ควรถามจากคนของเจ้าบ่าวไร้นามแทน
“ไม่ทราบว่าท่านพอจะรู้หรือไม่ ว่าคนที่จะแต่งกับข้าแท้จริงเป็นใครกันแน่”
ลุงสารถีมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย จะอะไรเสียอีกเล่า
คำถามของสตรีร่างบางตรงหน้าหาใช่คำถามทั่วไป แต่เป็นคำถามที่ตัวแม่นางซ่งเองนั่นแหละต้องรู้ดีกว่าผู้อื่น
จะอย่างไรเขาเองไม่ใช่คนที่ต้องแต่งงานเสียหน่อย จะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าบ่าวคือผู้ใด
อีกอย่างเขาเป็นเพียงคนที่หาเช้ากินค่ำคงไม่มีเวลาไปสืบหาที่มาของผู้ว่าจ้างหรอก
“แม่นางซ่งไม่รู้หรอกหรือขอรับ”อวี้ฮวามองดูคนตรงหน้าอีกครั้ง พิจารณาจากท่าทางและน้ำเสียง
คนผู้นี้เองใช่ว่าจะรู้อะไรมาก เช่นนั้นที่นางถามไปคงไม่ได้ความอีกกระมัง
หรือไม่แน่ลุงสารถีท่านนี้อาจจะพอรู้อะไรบ้าง
“ท่านรู้ก็บอกมาเถิด ข้าแคลงใจนัก
เขาเพียงส่งคนมาสู่ขอแล้วรับข้าออกจากจวนมาเช่นนี้ จะให้ข้าคิดเช่นไร”แม้ในใจจะยินดีที่ไม่มีญาติฝั่งบิดามาร่วมงาน ทว่านางอดสงสัยไม่ได้
เหตุใดจึงไม่ให้นางรู้ชื่อหรือแม้กระทั่งที่มาที่ไปของเจ้าบ่าว
“แม่นางอภัยด้วย
ขะ...ข้าไม่รู้ขอรับ”ชายวัยกลางคนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วอย่างขออภัย
“เช่นนั้น ข้าคงแย่แน่แล้ว”หญิงสาวทอดถอนใจเป็นการใหญ่ หรือเรื่องบรรลัยกำลังใกล้เข้ามาแล้ว! แต่จะให้นิ่งนอนใจนั่นคงไม่ใช่วิถีของซ่งอวี้ฮวา ครั้นจะไปถามกับผู้ใดอันนี้ก็คิดหนักอยู่
เฮ้อ...นางชักจะปวดตุบที่ข้างขมับเสียแล้ว! ใครก็ได้ช่วยไขความกระจ่างแก่ข้าที
ซ่งอวี้ฮวาและสารถีวัยกลางคนสนทนากันต่ออีกเพียงไม่กี่ประโยค
เขาก็เตรียมท่าจะหาแท่นเหยียบมาให้หญิงสาวลงจากราชรถคันงาม
ทว่าทันใดนั้นเองหูของอวี้ฮวาได้ยินเสียงหอบหายใจดังของอาชาตัวโตพร้อมกับเสียงควบตะบึงมาแต่ไกล
เพียงไม่กี่อึดใจจึงพบอาชาดำตัวหนึ่งหยุดอยู่ตรงหน้ารถม้าของนาง
บนอาชาสีทมิฬคือร่างสูงใหญ่ของบุรุษท่านหนึ่ง
ในความมืดมิดนางย่อมมองไม่เห็นสีหน้าของเขา ทว่าก็ยังพอมีแสงสว่างจากโคมไฟอยู่บ้างจึงยังพอได้สังเกตการแต่งกาย
ครั้นเมื่อพิจารณาดูเครื่องแต่งกายที่เขาสวมใส่ทำให้สามารถจินตนาการได้ว่าคนๆนี้ไม่ธรรมดาสามัญเป็นแน่
ร่างแกร่งนั้นสวมอาภรณ์ทะมัดทะแมงสีครามเข้ม
ลวดลายกิเลนเหินฟ้าหยอกล้อกับมวลเมฆาถูกปักลงบนผ้าแพรที่เขาสวมอยู่อย่างประณีตงดงาม
รองเท้าสีดำยาวถึงเข่ามลเนื้อดีที่เขาสวมอยู่ยังมิวายปักดิ้นทองลายกนก ผมรวบสูงถูกเก็บอย่างเป็นระเบียบครอบด้วยรัดเกล้าเล็กๆดูเรียบร้อย
บ่งบอกว่าคนผู้นี้เป็นคนมีวินัยไม่น้อย
เมื่อมองดูชายตรงหน้าทำให้อวี้ฮวาจินตนาการว่านี่คือวิถีของผู้สูงศักดิ์ที่คนเช่นนางไม่มีทางแม้แต่เทียบชั้นได้
ฮี่ๆ เสียงอาชาดำขู่ฟ่อๆอย่างหอบเหนื่อยเนื่องจากมันวิ่งมาหลายร้อยลี้โดยไม่ได้พัก
เจ้าของก็ช่างรู้ใจรีบลงจากหลังของมันอย่างไวไม่รอช้า
“เจ้าใช่ซ่งอวี้ฮวาหรือไหม”น้ำเสียงราบเรียบ
ทว่าแฝงด้วยความตื่นเต้นดังขึ้น ชายผู้นั้นไม่รอให้นางตอบคำถาม เขาเพียงกวักมือสองครั้ง
ลุงสารถีพลันเบี่ยงตัวลงจากราชรถไปในทันที
อวี้ฮวาจึงคิดว่าคนผู้นี้คือเจ้านายของลุงท่านนี้ไม่ผิดแน่
ครู่ต่อมารถม้ากลับโครงเคลงขึ้นอีกครั้ง
พร้อมกับร่างสูงที่เข้ามานั่งด้านในอย่างถือวิสาสะ
อวี้ฮวากระถดกายหนีห่างอย่างเร็วไว พลางคิดว่าคนตรงหน้ามีจุดประสงค์อันใดจึงทำตัวไม่ให้เกียรตินางถึงเพียงนี้
“ท่านพูดเช่นนั้นราวกับรู้จักข้า”นางหยังเชิงเขา
เมื่ออยู่ใกล้จนจะเผาขนกันเล่นได้เช่นนี้
อวี้ฮวาจึงสบโอกาสลอบสังเกตใบหน้าของเขาโดยไม่รอช้า บุรุษผู้นี้รูปร่างราวกับนักรบผู้เจนศึก
ภายใต้อาภรณ์ของเขาดูเหมือนจะเต็มไปด้วยมัดกล้ามได้รูป เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของเขาเมื่อมองใกล้ๆกลับดูเล็กเหลือเกิน
เช่นนี้ไม่เรียกอวดหุ่นจะเรียกว่าอย่างไร
เมื่อรู้ว่านางลอบมองเขา ริมฝีปากหนาของคนตรงหน้าพลันยกยิ้มขึ้นทันใด
เขาโปรยยิ้มเยี่ยงมหามิตร ทว่าไม่ลืมแนะนำตนเอง“ข้าคือจูเว่ยฉี
ยินดีที่ได้พบเจ้าเสี่ยวฮวา”
คำพูดจาที่ดูสนิทสนมเช่นนั้น ทำให้ซ่งอวี้ฮวาขมวดคิ้ว
ตรู่ต่อมาจึงร้องอ้ออย่างเข้าใจ ที่แท้ก็คนสกุลจู แต่จูไหน?
รำลึกอยู่เป็นนานจึงได้รู้ว่าทีแท้ก็ญาติฝั่งมารดาของนางนั่นเอง!
“...”อวี้ฮวาไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ เมื่อนางลองตรองดูอีกครั้งจึงได้ตระหนักถึงอำนาจและความรวยของญาติฝั่งมารดาที่ไม่เคยเหลียวแลมารดาที่น่าสงสารของนางแม้ยามตาย!
เอาล่ะ ยามนี้นางพูดไม่ออกเลย
นี่พวกเขาก้าวก่ายแม้กระทั้งชีวิตนางเชียวหรือ!
คราแรกหญิงสาวไม่อยากจะเดาเรื่องเจ้าบ่าวปริศนากับค่าสินสอดพันชั่งสักเท่าใดนัก
ครั้นพอได้พบจูเว่ยฉีหนึ่งในสมาชิกสกุลจูผู้โด่งดังก็อดไม่ได้ที่จะนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาปะติดปะต่อขึ้นใหม่อีกครั้ง
“ที่แท้ทั้งหมดเป็นแผนของพวกท่านหรือ”ซ่งอวี้ฮวาเอ่ยเสียงสั่นเครืออย่างไม่นึกไม่ฝัน
ก่อนหน้านี้สักครึ่งชั่วยามนางยังยิ้มรับอิสระที่บิดามอบให้อยู่เลย
ไฉนตอนนี้ถึงได้รู้สึกว่าการยกยิ้มสักเพียงนิดจึงเป็นเรื่องยากแสนยาก
พอเห็นญาติผู้น้องตรงหน้าทำท่าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
จูเว่ยฉีก็อดที่จะอธิบายไม่ได้ ปกติวิสัยทหารเช่นเขาไม่พูดมาก
แม้ในยามสงครามก็ไม่พูดมาก แต่เน้นฟาดแล้วศัตรูตายโหงลูกเดียว
การจะให้มานั่งปลอบสตรีจึงกลายเป็นเรื่องที่เขาไม่เคยทำมาก่อน
แต่ตอนนี้ต้องทำ!
“อย่าพึ่งเข้าใจพวกเราผิดไป สกุลจูไม่เคยละทิ้งหรือมองข้ามคนในครอบครัว
เจ้าเองเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของอาหญิงเจ้าย่อมเป็นคนสกุลจูด้วยเช่นกัน”เขาเอ่ยเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่หญิงสาวตรงหน้า
ใช่ว่าท่านตาไม่เหลียวแลนางเสียเมื่อไหร่
ก่อนจะชี้ไปที่แผ่นหยกสีเขียวอมฟ้าลายเมฆาเคลื่อนคล้อย“หยกนั่นคือสัญญาลักษณ์”
“ข้าควรดีใจหรือไม่ที่คนสกุลจูยังเหลียวแลข้าอยู่
ครั้นมารดาข้าป่วยใกล้ตายพวกท่านไปอยู่ไหนกัน!”ซ่งอวี้ฮวาถามอย่างตัดพ้อต่อโชคชะตา
หากจูเก่อคังท่านตาของนางไม่ละทิ้งท่านแม้
มีหรือท่านพ่อผู้ไฝ่หาอำนาจจะกระทำกับนางแลท่านแม่เช่นนั้น!
แววตาเจ็บปวดจากญาติผู้น้องทำเอาจูเว่ยฉีไร้ซึ่งคำปลอบโปลม
เรื่องนี้เสี่ยวฮวายังไม่เข้าใจดีนัก
เขาที่มีศักดิ์เป็นหลานของท่านอาเหลียนฮวาย่อมรู้ซึ้ง
ที่ท่านปู่โกธรท่านอาเหลียนฮวาจนแทบจุดไฟเผาจวนก็ด้วยนางไม่เชื่อฟัง
ขัดคำสั่งหนีตามบุรุษ เช่นนี้แล้วพ่อคนไหนจะทำใจยอมรับได้
“เรื่องนี้ไว้เราค่อยไปคุยกันทีหลังเถิด
พรุ่งนี้หากเจ้าแคลงใจสิ่งใดก็จงถามไถ่จากท่านปู่ของข้าเอาเองจะดีกว่า”
“ย่อมได้ แต่หากไม่ได้คำตอบตามที่ข้าต้องการ งานแต่งงานจะไม่เกิดขึ้น!”
(ต่อ)
จวนสกุลจูใหญ่โตไม่แพ้จวนสกุลเซี่ย
อีกทั้งสองตระกูลไม่ลงรอยกันจึงมักมีข่าวถึงเหตุการณ์แก่งแย่งแข่งขันช่วงชิงตำแหน่งทางกองทัพอย่างไม่มีใครยอมใคร
สกุลจูและสกุลเซี่ยเป็นสองในสี่สกุลแม่ทัพใหญ่ที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่องค์จักรพรรดิแห่งเจี้ยนคังมาหลายชั่วอายุคน
เรื่องความจงรักภักดีย่อมไม่ต้องพูดถึง ขอเพียงได้สังเวยชีพเพื่อแผ่นดินอันเป็นที่รักจะเป็นที่ใดย่อมไม่เกี่ยงเกรงต่อความตาย
พวกเขาต่างดำเนินชีวิตโดยที่ขาอีกข้างอยู่ประตูนรก
ทว่าเมื่อสิบปีก่อนเกิดกบฏอ๋องเยี่ยนหมิงคิดโค่นล้มราชบัลลังก์
สกุลจูที่เคยข้องแวะกับท่านอ๋องเยี่ยนหมิงจึงพลอยติดร่างแหไปด้วย ทำให้ฮ่องเต้ไม่พอพระทัยเป็นอย่างมาก
แต่ด้วยฮ่องเต้ยังทรงเห็นแก่ความดีความชอบในอดีตจึงสั่งเนรเทศสกุลจูให้ไปประจำการที่ชายแดนเมืองฉางอย่างไม่มีกำหนดเรียกตัวกลับเมืองหลวงแทน
เรือนใหญ่สกุลจูวันนี้เงียบสงบยิ่งกว่าทุกวัน
จูเก่อคังที่เป็นประมุขคนล่าสุดของสกุลเองวันนี้ก็เงียบสงบกว่าเมื่อสามวันก่อนเช่นกัน
บ่าวไพร่ในเรือนรวมถึงบุตรชายและสะใภ้ของเขาไม่มีใครทนรับพายุแห่งความโกรธเกรี้ยวได้ไหวจึงพากันขลุกอยู่แต่ในเรือน
จูเก่อคังวัยหกสิบห้าหนาวร่างกายยังคงแข็งแรงเช่นบุรุษวัยสี่สิบต้นๆเขามีภรรยาสองคนคือฮูหยินใหญ่อู่เหยียนและฮูหยินรองฮุ่ยชิง
สตรีทั้งสองต่างมีบุตรธิดาให้จูเก่อคังคนละหนึ่งก่อนพวกนางสิ้นใจ
อู่เหยียนที่เป็นฮูหยินคนแรกมีบุตรชายที่เชิดหน้าชูตาอย่างจูเฉิง
ปัจจุบันดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ผู้ห้าวหารแห่งปราการเมืองฉาง
นางสิ้นใจหลังคลอดจูเฉิงได้เจ็ดวัน ส่วนฮูหยินรองเองก็เช่นกันหลังจากคลอดจูเหลียนฮวามารดาของซ่งอวี้ฮวาได้สามวันนางก็สิ้นใจ
จูเก่อคังเป็นคนรักมั่นต่อสตรีอันเป็นที่รักเขาให้สัตย์สาบานต่อเทพเง็กเซียนว่าเขาจะไม่แต่งหญิงใดเข้าบ้านอีก
แม้ประมุขคนก่อนจะคัดค้านจนชีวิตหาไม่ ทว่าไม่อาจต้านทานความดื้อด้านของลูกชายได้
หลังจากไร้ซึ่งภรรยาทั้งสอง จูเก่อคังจึงต้องเลียงดูบุตรตามลำพัง
แน่นอนวิสัยนักรบพ่อหม้ายเช่นเขาเมื่อได้เลี้ยงดูบุตรมีหรือบุตรจะเป็นคนธรรมดา
นิสัยเองก็ดื้อด้านไม่ต่างจากบิดาเช่นกัน ดูอย่างจูเหลียนฮวาเป็นตัวอย่าง
นางหนีตามผู้ชายไปแต่งงานทำตามหัวใจโดยไม่ใยดีบิดาเช่นจูเก่อคังเลยสักนิด
สุดท้ายเขาต้องจำใจยื่นคำขาดอย่างการตัดพ่อตัดลูกออกไป
ทว่านางก็ยังไม่แม้แต่จะฟังดึงดันหัวชนฝา ไปแต่งงานกับไอ้ขุนนางราชสำนักจอมเจ้าเล่ห์ที่หัวใสคิดใช้สกุลจูเป็นท่านรองเยียบขึ้นไปสู้อำนาจ
จูเก่อคังมิใช่คนโง่เงาเบาปัญญามีหรือจะยอมได้
เขายอมไสส่งลูกไม่รักดีคนนั้นยังดีเสียกว่าให้สกุลจูที่บรรพชนเพียรสร้างต้องแปดเปื้อน!
ทว่าเมื่อได้ทราบข่าวความเป็นอยู่ของหลานสาวก็พลันทำให้จิตใจที่แข็งดั่งหินพังทลาย
สามวันก่อนก่อนจูเก่อคังอาละวาดบ้านแทบแตกทำเอาจวนสกุลจูทั้งจวนลุกเป็นไฟ
จูเฉิงทนเห็นบิดาทุบทำลายจานกระเบื้องราคาสามชั่วอายุไม่ได้จึงนั่งคิดแผนช่วยเหลือหลานสาวเพียงคนเดียวอย่างแข็งขัน
จนได้แผนแต่งงานหลอกๆนี่มา บิดาจึงอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง
จูเก่อคังนั่งจิบชาราคาพันตำลึงทองอย่างไม่สะทกสะท้าน
สกุลจูเป็นแม่ทัพหาใช่รับแต่บำเหน็จจนร่ำรวย พวกเขายังมีกิจการร้านอาภรณ์ของสะใภ้ทั้งสองคอยช่วยเหลือจุนเจือค่าใช้จ่ายภายใน
ทำให้เรื่องเงินทองไม่เป็นปัญหาเลย
แม้ชายวัยหกสิบหนาวจะนั่งจิบชาดอกเหมยอย่างสบายอารมณ์ ทว่าก็ไม่ได้นั่งอยู่เพียงลำพังเบื้องหนายังมีชายหนุ่มที่อายุรุ่นเดียวกับจูเว่ยฉีหลานชายของเขานั่งอยู่ด้วย
“ขอบใจท่านมากที่แจ้งข่าวหลานสาวของข้า”อดีตแม่ทัพใหญ่จูเก่อคังเอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว
แววตากร้านโลกของเขาดูเป็นมิตรขึ้นมาแปดส่วน วันนี้เขาสวมชุดตัวยาวสีขาวตัดด้วยผ้าเนื้อดีปักลวดลายอินทรีย์เช่นเคย
แต่ไม่ว่าจะแต่งตัวเช่นไรเรือนกายสูงใหญ่เยี่ยงขุนศึกของเขาก็มิวายแผ่กลิ่นไอความน่าเกรงขามออกมา
“ไม่เป็นไรขอรับ ข้ายินดี”น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยอย่างอ่อนน้อม
นัยน์ตาสีนิลทอดมองอดีตแม่ทัพใหญ่ตรงหน้าด้วยความเคารพประหนึ่งผู้หลักผู้ใหญ่คนสำคัญ
จูเก่อคังถอนหายใจอย่างโล่งอก
“หากไม่ได้ท่านข้าคงไม่รู้ว่าหลานของข้าลำบากถึงเพียงนี้
หากไม่ได้ท่านข้าอาจจะกลายเป็นคนบาปไปชั่วชีวิต”
ชายวัยหกสิบหนาวเอ่ยเสียงเรียบ แม้ภายนอกเขาจะดูเหมือนภูผาอันสูงใหญ่ทว่าภายในกลับเป็นดังหาดทรายที่ถูกคลื่นซัดสาด
แม้ส่งเงินพันชั่งไปเป็นค่าสินสอดขอหลานสาวเพื่อไม่ให้นางน้อยหน้าใครแต่ปัญหาใหญ่คือยังหาเจ้าบ่าวมิได้
โอ้ สวรรค์!
นัยน์ตาสีดำขลับของอดีตแม่ทัพใหญ่พินิจมองบุรุษวัยหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตานับถือ
หลายปีมาแล้วที่เขาไม่ได้สนทนาพาทีกับคนผู้นี้อย่างใกล้ชิดเช่นนี้ แม้ภายนอกสวมเพียงอาภรณ์ชาวบ้านธรรมดาสามัญทว่าภายในนั้นเลือดเนื้อของเขายังคงเป็นขององค์จักรพรรดิและราชวงค์เยี่ยนไม่อาจแปลเปลี่ยน
เยี่ยนเฉวียนเยี่ยมองผู้อาวุโสตรงหน้าอย่างนอบน้อมนับถือเช่นกัน
หลายปีมานี้ตัวเขาเองได้เร้นกายหายไปไม่ยุ่งเกี่ยวกับอำนาจหรือบุญคุณความแค้นใดๆอีกแล้ว
เหตุที่มาปรากฏตัวในวันนี้ก็ด้วยมีหนี้ชีวิตติดค้างต่อท่านหญิงเหลียนฮวามารดาของซ่งอวี้ฮวา
ท่านหญิงเคยช่วยชีวิตเขา แลเขาได้ตอบแทนด้วยการนำข่าวลูกสาวของนางมาแจ้งแก่สกุลจูแล้ว
จากนี้ไปเขาจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเสียที
“อย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลยขอรับท่านแม่ทัพ”เยี่ยนเฉวียนเยี่ยเอ่ยพลางโค้งศีรษะ
เห็นดังนั้นจูเก่อคังเองก็ไม่อาจอยู่นิ่งได้เขาแทบประสานมือพร้อมกับโน้มตัวลงมาคำนับ
ทว่าด้วยอายุที่มากแล้วทำให้การเคลื่อนไหวเชื่องช้าไป เยี่ยนเฉวียนเยี่ยที่ไวกว่าจึงถลาตัวเข้ามาพยุงไว้ได้ทัน
บุรุษหนุ่มส่ายศีรษะเป็นการปฏิเสธการทำความเคารพนั้น
จูเก่อคังเห็นเช่นนั้นยิ่งทวีความชื่นชมแก่คนตรงหน้า ในใจนึกถึงภาพบุรุษบนหลังอาชาเหงื่อโลหิตคู่ใจที่ควบตะบึงไปไกลพลางสังหารศัตรู
เยี่ยนเฉวียนเยี่ยเมื่อครั้งก่อนช่างเป็นเด็กหนุ่มผู้ห้าวหารและชาญฉลาดกว่าผู้ใด แต่ชะตาฟ้าช่างเล่นตลกเหลือเกิน
คนชั่วเริงอำนาจ ส่วนคนดีๆที่ควรทำประโยชน์แก่แผ่นดีกลับต้องหลบซ่อนตัว
ช่างไม่สมควร ช่างไม่สมควร“เยี่ยนซื่อจื่อ*ท่านช่างเป็นคนดีเหลือเกิน”
ได้ยินคำเยินยอเยี่ยนเฉวียนเยี่ยกลับไม่ดีใจเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงค้อมศีรษะแก่ผู้อาวุโสจูน้อยๆ
ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อน“โปรดอย่าเรียกข้าด้วยชื่อนั้นเลยท่านแม่ทัพจู ข้าไม่ใช่ซื่อจื่อแห่งเจื้ยนคังอีกต่อไปแล้ว
เวลานี้ข้าเป็นเพียงเฉวียนเยี่ยเกษตรกรแห่งเมืองฉางเท่านั้นหาได้มียศศักดิ์เช่นวันวานไม่”
“แต่อย่างไรท่านก็มีเลือดแห่งขัตติยะ มีเชื้อสายของกษัตริย์ไหลเวียนอยู่ในตัว
แม้ใจท่านจะปฏิเสธ ทว่าความจริงไม่อาจเปลี่ยนแปลง”จูเก่อคังกล่าว
เยี่ยนเฉวียนเยี่ยพยุงเขาให้กลับไปนั่งที่เก้าอี้หินอ่อนดังเดิม แสดงออกเพียงใบหน้าเรียบเฉยไร้ซึ่งคลื่นความรู้สึก
ราวกับคนๆนี้ปล่อยว่างแล้วซึ่งทุกสิ่งอย่าง ในใจไม่เหลือแม้แต่ความแค้น
จูเก่อคังให้สงสัยเหลือเกินว่าเยี่ยนเฉวียนเยี่ยไม่คิดล้างมลทินให้แต่บิดาบ้างเลยหรือไฉนหลายปีมานี้เขาจึงหลบซ่อนตัวเล่า
ไม่เคียดแค้นเลยหรืออย่างไร
ทว่าผู้อาวุโสเช่นจูเก่อคังได้แค่คิดเท่านั้น ในใจไม่กล้าแม้แต่ไถ่ถามแลเกรงว่าหากถามไปแล้วกลัวจะได้คำตอบที่อาจไม่เป็นดังเขาคาดหวัง
เมื่อไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใดต่อเยี่ยนเฉวียนเยี่ยจึงลุกขึ้นเตรียมทำความเคารพผู้อาวุโสแล้วเดินจากไป
ทว่าก่อนที่เขาจะได้กระทำเช่นนั้นจูเก่อคังกลับรั้งท่อนแขนของเขาเอาไว้เสียก่อน
อดีตท่านแม่ทัพวัยหกสิบหนาวลุกพรวดขึ้นทันที
“เช่นนั้นท่านช่วยข้าอีกประการได้หรือไม่”เขาเอ่ยก่อนที่ฝ่ามือใหญ่จะรั้งท่อนแขนเยี่ยนเฉวียนเยี่ยเอาไว้แน่น
ร่างสูงชะงักไปครู่หนึ่งราวกับกำลังตรึกตรองอะไรบางอย่าง
ก่อนจะพยักหน้าหนึ่งครั้งเป็นการตอบตกลง
“คำขอของสหายร่วมรบของบิดาใยข้าจะปฏิเสธได้ลงเล่า
มีสิ่งใดให้ช่วยจงบอกมาเถิด
หากไม่มากจนเหลือบากกว่าแรงข้าย่อมช่วยท่านไม่บิดพลิ้วแน่นอน”
จูเก่อคังรู้แน่นอนว่าคนอย่างเยี่ยนเฉวียนเยี่ยเมื่อได้เอ่ยออกมาแล้ว
ย่อมไม่ผิดคำพูดเป็นแน่ เช่นนั้นจึงได้เอ่ยออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“ช่วยรับหลานสาวของข้าเป็นฮูหยินของท่านด้วยเถิด”
*****
ซื่อจื่อ* 世子
มีไว้เรียกลูกชายผู้จะสืบทอดบรรดาศักดิ์ของผู้พ่อเท่านั้น ซึ่งเหล่าคุณชายของ ชินอ๋อง อ๋อง โหวเหย ผู้มีบรรดาศักดิ์ทั้งหลาย จะถูกเรียกว่า ซื่อจื่อ ส่วนมากจะเป็นลูกชายคนโต แต่บางครั้งก็อาจมีข้อยกเว้นเป็นลูกชายคนรองก็ได้ หากผู้เป็นบิดาตั้งใจจะให้ลูกคนอื่นที่ไม่คนโตสืบบรรดาศักดิ์
ตัวอย่าง หลอเฉิง
บุตรชายแม่ทัพหลออี้สมัยปลายราชวงศ์สุย ที่มีบรรดาศักดิ์เป็น เยียนหวัง ก็จะเป็น
ซื่อจื่อ
ที่มา: The
Crazy Sisters Channel
เเจ้ง*
ขอเปลี่ยนชื่อท่านปู่ของอวี้ฮวาคนงามจาก "จูเก่อเหลียง ไปเป็น จูเก่อคังนะคะ" เพราะจูเก่อเหลียงเป็นชื่อของขงเบ้งปราชญ์ผู้เลื่องชื่อของจีนค่ะ>///< ขออภัยที่เปลี่ยนเอาดื้อๆนะคะ
*****
โผล่หัวกลับมาเเล้วววทุกคนนนนนนน
หิ๊วววว หิววว อยากกินชาบูหลังสอบเสร็จค่ะ><!
คือไรท์สอบไปก็ไม่ได้Aหรอกค่ะ ขนาดบวกคะเเนนเก็บเเล้วยังกลัวไม่พ้นFเลย คือเพื่อนในเเก๊งกับไรท์เองก็พากันหอบเสื้อผ้าหนีFกันจ้าละหวั่น
อกสั่นขวัญเเขวนเหมือนดูหนังจูออนตอนกลางคืน ขนลุกซู่ซ่าน่าหวาดเสียว ตัวร้ายของเรื่องก็คือวิชาเอกของคณะนี่เเหละค่ะ555+
เอาเป็นว่าไรท์คนดีศรีอโยธยากลับมาเเล้วนะคะ คิดถึงทุกคนนะคะ เย็นนี้หลังจากไปดูอควาเเมนเเล้วจะเเวะมาอัฟที่เหลือต่อนะคะ หากมีคำไหนผิดพลาดหรือสงสัยอะไรถามไรท์ได์เลยนะคะ เพราะไรท์ก็ลงเเบบตรวจคำผิดเเค่รอบเดียว กลัวเหลือเกินว่าทุกคนจะงงงวยกับภาษาของไรท์
ขอบคุณที่ติดตามอ่านเเละคอมเมนต์ให้กำลังใจนะคะ
พอได้กลับมาเขียนไรท์ก็มีความสุขมากๆ
นั่งขำอยู่คนเดียวจนคนที่บ้านคิดว่าเป็นบ้า
อย่าซีเรียสสสเลยค่ะ ไรท์มันบร้าาา555+
.
.
24/12/2018
เเกะน้อยร้อยเล่ห์
ความคิดเห็น