ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์กลนางพญา

    ลำดับตอนที่ #2 : โบราณว่า น้ำนิ่งไหลลึก

    • อัปเดตล่าสุด 11 ธ.ค. 61



    2




           หิมะตกหนักในยามเช้า

           ซ่งอวี้ฮวาเดินออกมาจากจวนแม่ทัพเซี่ยด้วยสีหน้าแจ่มใสเป็นพิเศษ รอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมานานปรากฏขึ้นบนใบหน้าอ่อนวัยของหญิงสาว แต่เพียงไม่นานรอยยิ้มงดงามนั้นก็ต้องหุบลง ดวงเนตรคู่งามมองซ้ายแลขวาหาบิดาของตน

           ผายลม! มิเพียงแต่บิดาที่หายไป! แต่ราชรถคันงามยังหายไปด้วย! บิดาหน้าตาย!นี่ท่านโกธรผู้อื่นจนทิ้งข้าไว้เลยหรือ!

           อย่างน้อยก็ควรปฏิบัติตนให้สมกับเป็นมหาบัณฑิตผู้มากด้วยความรู้สักหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร เหตุใดความคิดแลสติของท่านเสนาบดีจึงถูกความไม่พอใจในการกระทำผู้อื่นบดบังไปจนสิ้นเล่า

          สตรีร่างบางกระทืบเท้าระบายอารมณ์ตุบๆ พลันมองไปรอบอีกครั้ง เกล็ดละอองสีขาวลอยละลองอวดความเย็น ขนกายของนางพลันตั้งชูราวกับทิวธงหน้ากองรบ ครั้นพอเป่าปากทีหนึ่งไอควันสีขาวขุ่นพลันพุ่งออกมาดุจน้ำตกในฤดูคิมหันต์ หน้าหนาวของแคว้นเจี้ยนคังไม่อาจประมาทได้ อากาศเย็นมากจนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี

           ทว่าเมื่อมองดูเสื้อผ้าของตัวเองกลับต้องทอดถอนใจอีกครา

           บางพลิ้วลิ่วลมเช่นนี้ นางจะไม่แข็งตายก่อนกลับถึงจวนหรือไร!

           “รังแกกันเกินไปแล้ว!”หญิงสาวเผลอร้องออกมาอย่างหมดความอดทน โกธรบิดาจนแทบน้ำตาไหล จวนสกุลเซี่ยกับเรือนของนางกว่าจะเดินทางถึงต้องนั่งรถม้าข้ามป่าข้ามเขาไปอีกลูก มิเช่นนั้นหากเดินต้องใช้เวลาเป็นวัน แบบนี้ไม่เรียกว่าบิดารังแกแล้วจะให้เรียกว่าอย่างไร

            แต่ถึงสบถด่า สาปแช่งเช่นไรเรื่องบิดานั่งรถออกไปแล้วไซร้ก็เป็นความจริง ชีวิตน้อยๆของนางช่างไม่เคยอยู่ในสายตาของเขาเลยสักนิด อวี้ฮวาตัดสินใจใช้เงินที่พกติดตัวมาเล็กน้อยซื้อชุดคลุมหนานุ่มหนึ่งชุด ผ้าเนื้อสีดำสนิทให้ความรู้สึกแปลกใหม่ด้วยซื้อจากเงินน้ำพักน้ำแรงของนางที่อุสส่าห์เก็บหอมรอมริบเพื่อใช่ในช่วงเวลาที่สำคัญ

             ใช่สิ ข้าคงไม่โง่งมสวมชุดสีฟ้าเตะตาล่อโจรเดินโทงๆกลับบ้านหรอก!

           และนางก็ไม่ได้โง่จริงๆ ชุดคลุมสีดำรัตติกาลตัวใหญ่สามารถลดทอนความหนาวเย็นของอากาศลงไปได้บ้าง ซ้ำยังไม่แตะตาจนเกินไปด้วย(?) ทว่ากว่าจะไปถึงเรือนก็คงใช้เวลาอีกหลายชั่วยาม

            “ท่านป้าเจ้าคะ ข้าขอซื้อซาลาเปาสองลูกเจ้าค่ะ”เสบียงเป็นสิ่งสำคัญต่อการเดินทาง อวี้ฮวาจึงคิดว่าซื้อเก็บเอาไว้กินระหว่างทางบ้าง คงจะดีกว่าท้องของนางต้องร้องประทวงเป็นไหนๆ

            “นี่จ่ะแม่นาง”ป้าที่ท่าทางใจดียื่นซาลาเปาลูกโตให้นางอย่างใจเย็น น้ำเสียงอ่อนหวานฟังแล้วรู้สึกเป็นมิตร

            อวี้ฮวายื่นมือรับมาอย่างรวดเร็วก่อนจะเก็บมันไว้ในแขนเสื้อ คราวนี้เงินก็ใช้จนหมดแล้ว จะเหลือก็แต่ถุงหอมของมารดาเท่านั้นที่ยังพอเป็นของมีค่าให้ติดตัว ถุงหอมกลิ่นดอกท้อส่งกลิ่นหอมหวานตัวถุงถูกปักด้วยลวดลายหงส์เหินสวยงามคลอเคลียกับดอกท้อสีสันสดใส ตัวถุงเย็บขึ้นจากผู้แพรสีม่วงสด ด้านในมีหยกอยู่ชิ้นหนึ่ง นับเป็นของสำคัญที่ท่านแม่มอบให้นางก่อนตาย

           “ท่านกำลังจะเดินทางไปที่ใดหรือแม่นาง”น้ำเสียงใจดีที่ดูไม่เสแสร้งแกล้งทำของหญิงวัยกลางคนเอ่ยถามอย่างคนอัชฌาสัยดี แววตาอ่อนน้อมต่อลูกค้าถูกแสดงออกมาไม่ปิดบัง จึงไม่แปลกหากร้านของป้าท่านนี้จะมีลูกค้าประจำอยู่หลายราย

            ส่วนอวี้ฮวามีหรือจะไม่ตอบกลับ“จวนท่านเสนาบดีซ่งเจ้าค่ะท่านป้า”

            พอได้ยินชื่อจวนท่านป้าก็ตาโตขึ้นทันที ก่อนจะถามต่อ“อ้อ ท่านเสนาบดีซ่ง ขุนนางผู้ใหญ่ที่ประกอบอาชีพสุจริตนี่เอง เจ้าเป็นสาวรับใช้ที่จวนท่านหรือ”

            หญิงสาวแทบอยากมุดดินหนีไป สาวใช้อันใด...ข้าเป็นธิดาของเขาเจ้าค่ะท่านป้า!

           ท่าทางสภาพนางตอนนี้คงดูย่ำแย่มากเลยกระมัง

            “เอ่อ...”อวี้ฮวากระอัดกระอวนที่จะตอบ หญิงวัยกลางคนเห็นท่าทีน่าอึดอัดของนางจึงไม่ซักไซ้ให้มากความ

            “เดินทางระวังๆล่ะแม่นาง ช่วงนี้มีกลุ่มโจรภูเขาออกอาละวาด แม้ทางการจะเร่งตามจับ แต่ยังไม่มีแม้เบาะแสที่แน่ชัด ท่านเดินทางคนเดียวต้องระวังตัวให้ดี”นางเอ่ยเตือนก่อนจะก้าวส่งอวี้ฮวาอย่างผู้ใหญ่เอ็นดูเด็ก

            หลังจากได้เสบียง หญิงสาวจึงพร้อมก้าวเดิน ทว่ายังไม่ทันได้เดินไปไหน รถวัวเทียมเกวียนคันหนึ่งพลันวิ่งมาด้วยความเร็วขนาดที่หิมะบนพ้นดินกระจุยกระจาย ชาวบ้านบางคนถึงกับสบถด่าว่าไม่รู้จะรีบไปตายที่ใด  

           วัวเทียมเกวียนท่าทางสกปรกๆและแสนจะมีพิรุธจอดเทียบหน้าร้าน ซาลาเปาของคุณป้าท่าทางใจดีคนเมื่อครู่  

            “ป้าฉิง ข้าขอซาลาเปาไส้หมูห้าลูก ขอลูกใหญ่ๆเลยนะป้า!”เสียงทุ่มนุ่มลึกบวกกับท่าทางร่าเริงจนเกินเหตุของเจ้าของรถดังออกมาแทบจะทันที พาให้ผู้คนที่เดินอยู่โดยรอบหยุดมองเจ้าของเสียงปริศนานั้นอย่างงุนงง ไม่เว้นแม้แต่ซ่งอวี้ฮวา

            “ไม่ต้องรีบร้อนก็ได้ อาเยี่ย”สิ้นเสียงอบอุ่นของท่านป้าร้านซาลาเปา ร่ายสูงใหญ่ของบุรุษจึงปรากฏขึ้น เขาเลิกผ้ากันลมออกก่อนจะก้าวลงจากรถเกวียนด้วยท่าทางสง่าอย่างประหลาด บุรุษชุดเสื้อสีหม่นตัวบางสวมเพียงกางเกงขายาวสีทึบสำหรับกรรมกร ใบหน้าถูกปิดเอาไว้เห็นเพียงนัยน์ตาสีน้ำอ่อนแปลกพิลึก ยืนกอดอกพูดจากหยอกล้อกับคนแก่อย่างเป็นธรรมชาติ

             อวี้ฮวาพูดได้คำเดียวเลยว่า ไม่หนาวหรืออย่างไร!

             “เวลาเหมือนน้ำไหล ผ่านไปไม่คืนหลับ...ท่านป้าข้าต้องทำมาหากิน จะได้มีเงินมาอุดหนุนซาลาเปาแสนอร่อยจากท่านอย่างไรเล่า”ปากหวานอีกแล้ว สตรีร่างบางวัยกลางคนเผลออมยิ้มกับท่าทีขี้เล่นที่มีให้เห็นเป็นประจำของบุรุษตรงหน้า

            “เจ้ารออยู่นี่นะอาเยี่ย”สิ้นคำพูด ป้าเจ้าของร้านซาลาเปาจึงรีบร้อนกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหาอวี้ฮวาที่อยู่ไม่ไกลในทันทีก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงใจดีอีกว่า “แม่นาง ท่านจงไปกับอาเยี่ยเถอะ เขากำลังจะเดินทางผ่านจวนท่านเสนาบดีซ่ง”

            อาเยี่ย(?)ขมวดคิ้ว นัยน์ตาซุกซนเมื่อครู่กลับเป็นคนปกติ เขามองสตรีร่างบางแปลกหน้าที่ท่าทีของนางดูไม่ไว้ใจผู้ใดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะไปสะดุจตาที่ถุงหอมลายดอกท้อของนาง คิ้วกระบี่ของชายหนุ่มตวัดเฉียงขึ้นทันใดในใจลอบคำนึงถึงเรื่องบางอย่างอยู่เงียบๆ พอคิดออกคิ้วกระบี่ของเขาก็เลิกขึ้นอย่างพึงใจ

           อวี้ฮวาได้ยินเขาก็อดดีใจไม่ได้ที่มีคนคนหนึ่งห่วงใยนางทั้งที่พึ่งพบกันครั้งแรก แต่นางยังไม่อาจไว้ใจบุรุษผู้มีกลิ่นไอพิลึกพิลั่นคนนั้นได้ จึงตอบไปว่า

           “เกรงใจท่านป้าแล้ว หากข้าไปกับเขาเกรงว่าข้าจะทำให้เขาลำบาก มิสู้ข้าเดินไปเองจะดีกว่า”นางเอ่ยปฏิเสธ ชายลึกลับตวัดสายตามองนางในทันใด แววตากึ่งหงุดหงิดกึ่งไม่พอใจแสดงออกมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขาไม่พอใจที่นางปฏิเสธหรือ(?)

            เฉวียนเยี่ยเป็นคนไม่พูดมาก เขาไม่ถนัดเรื่องแสดงความห่วงใย จึงได้เอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น

            “อยากแข็งตายหรือ”

            คำพูดแสนอัปมงคลหลุดออกมาจากปากเขาอย่างง่ายดาย ราวกับเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ อวี้ฮวาแทบอยากกระโดดเตะบุรุษตรงหน้าสักทีสองที แต่โชคยังดีที่สติของนางยังอยู่ครบ เรื่องคอขาดบาดตายเมื่อครู่จึงไม่เกิดขึ้น

           “นี่ท่าน!อันใดอีกเล่า สายตาเช่นนั้น หญิงสาวนึกระแวงบุรุษผู้นี้ในใจ พบกันหรือก็ครั้งแรก เหตุใดเขาจึงแสดงท่าทีไม่พอใจใส่นางแถมยังหายใจแรงๆเป็นเชิงบอกว่าเริ่มไม่สบอารมณ์แล้วอีก

           ทว่าความเข้าใจผิดของอวี้ฮวา เฉวียนเยี่ยมิใช่เทวดาจึงไม่อาจหยั่งรู้

           เมื่อป้าฉิงเห็นท่าไม่ดีจึงได้กล่าวเสริม ด้วยเกรงว่าแม่นางท่านนี้จะเข้าใจความหวังดีของอาเยี่ยผิดไป

           “แม่นางท่านอาศัยรถไปกับเขาเถอะ ระยะทางจากนี่ถึงจวนท่านเสนาบดีไกลมากโข หากท่านเดินเท้าไปหากหิมะไม่กัดจนไม่สบายก็คงได้กลายเป็นผีเฝ้าป่าเป็นแน่ เชื่อป้าเถอะอย่างไรพวกเราเป็นชาวเจี้ยนคังเหมือนกัน ไม่ให้ความช่วยเหลือกันแล้วไซร้ ยังจะหวังพึ่งใครได้อีก”อวี้ฮวามีท่าทีโอนอ่อนผ่อนตามอย่างไม่อาจหลบเลี่ยง เมื่อเห็นหญิงสาวมีสีหน้าอ่อนลงจึงได้กล่าวต่อ“อาเยี่ยจะไม่ทำร้ายท่าน แม้ว่าเขาจะเป็นพวกชอบใช้กำลัง แต่ก็ใช้ในทางที่ถูกที่ควรเสมอ”

           “ก็ได้เจ้าค่ะ”นางตอบตกลง ป้าฉิงอมยิ้มขึ้นทันใด

           ทันทีที่ได้ยินเสียงตอบตกลง ฝ่ายเฉวียนเยี่ยพลันมีสีหน้าดีขึ้นมา รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของชายหนุ่มชั่วพริบตา ถึงใบหน้าของชายหนุ่มจะไม่แสดงออกว่ายินดียินร้ายแต่ในใจของเขากลับให้รู้สึกโล่งอกอย่าบอกไม่ถูก แม้ตัวเขาไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นคนดี ทว่าคนอย่างเฉวียนเยี่ยจะไม่รังแกสตรีอย่างแน่นอน

           

         

           นั่งรถไม่ถึงสองชั่วยาม อวี้ฮวาก็เดินทางมาถึงจวนสมใจ เป็นดังที่ป้าท่านนั้นบอก บุรุษนามว่า “อาเยี่ย” ระหว่างทางเขาดูแลนางเป็นอย่างดี ภายในรถวัวเทียมเกวียนของเขาเต็มไปด้วยของใช้สำหรับทำการเกษตร จอบ พลั่ว คุถังกาละมังใบน้อยใบใหญ่ ท่าทางคนผู้นี้จะเป็นเสือใหญ่ใจดีมากกว่าที่นางคิดและจินตนาการเอาไว้ อวี้ฮวาไม่ได้สนทนากับอาเยี่ยเท่าใดในระหว่างทางกลับจวน ฝั่งอาเยี่ยเองก็เหมือนจะไม่ได้สนใจนางเท่าไรด้วยเหมือนกัน

          นอกเหนือจากอุปกรณ์ทำไร่สิ่งที่เตะตาซ่งอวี้ฮวาที่สุดคงจะเป็นหอผ้าแพรสีเขียวสดที่ดูจะมีพิรุธมากที่สุดในรถคันนี้ มองดีๆห่อผ้าถูกมัดไว้หลวมๆ นางเกรงว่าของด้านในจะกระเด็นออกมาเพราะแรงกระแทกของล้อไม้กับพื้นถนน นางที่เป็นคนดี(?)จึงได้ถือวิสาสะมัดให้เขาใหม่

          ทว่าก็อดไม่ได้ที่จะแกะดู ภายในห่อผ้านั้นด้านในคือชุดเครื่องเขียนสำหรับจิตรกร ที่มักใช้ในการรังสรรค์ผลงาน มีทั้งพู่กันด้ามสวย ถาดใส่สีธรรมชาติราคาแพงและสิ่งที่นางสงสัยก็คือ กรรมกรชาวบ้านธรรมดามีของพวกนี้ได้อย่างไร

          แต่จนแล้วจนรอดด้วยกลัวจะเสียมารยาท อวี้ฮวาเลยไม่ได้ถามออกไป หลังจากนางกลับถึงจวนก็ถูกหลี่ฮูหยินแม่ใหญ่ของบ้านด่าทอเอ็ดตะโรเสียลั่น หูชาไปครึ่งวันโดยที่ไม่ถามแม้แต่สาเหตุที่นางนั่งรถมากับชายแปลกหน้าที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า อีกทั้งยังเย้ยหยันเรื่องที่นางถูกสกุลเซี่ยปฏิเสธการดูตัวอย่างดูแคลน

          “นั่งสารเลว! ยังกล้ากลับมาอีกนะเจ้า หากไม่มีหญิงรากหญ้าต่ำช้าอย่างเจ้าลูกของข้าเหมยเอ๋อร์คงได้แต่งเข้าจวนอ๋องไปแล้ว ทำไมเจ้าไม่ตายๆไปสักที!”ไม่พูดเปล่าแต่ใช้ฝ่ามือดึงกระชากเส้นผมยาวสลวยของอวี้ฮวาไม่ยั้งมือ หญิงสาวเจ็บจนน้ำตาไหล ทว่าไม่มีแม้แต่เสียงร้องไห้ให้คนทำสะใจ หลี่ซู่ซู่โมโหจนควันออกหู ท่านพี่ออกไปตั้งแต่เช้า ยามนี้ยังไม่กลับมาเกรงว่าคงเสียหน้าจนไม่รู้จะเอาไปซุกไว้ที่ใด หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง ข่าวนังเด็กสารเลวนี่ถูกสกุลเซี่ยปฏิเสธการดูตัวคงดังไปทั่วเมืองหลวงแล้วกระมัง

          “ท่านพี่ท่านพูดอะไรบ้างสิ”น้องเหมยคนดีเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่าแววตาเย้ยเหยียดคนเป็นพี่ไม่อาจกลบมิด นางล่ะชังน้ำหน้าพี่สาวต่างมารดาคนนี้นัก ซ่งเหมยช่างเป็นคนที่ภูมิใจในความงดงามของตัวเองเป็นที่สุด นางมั่นใจว่าตนเองสวยกว่าอวี้ฮวาอย่างแน่นอน แน่ล่ะ ใครจะไปชอบนังตัวดำผู้ขลาดกลัวทุกสิ่งอันได้ลงเล่า!

           ชีวิตที่ผ่านมาของซ่งอวี้ฮวากับซ่งเหมยไม่อาจเอาไปเทียบกันได้แม้ปลายก้อย ท่านพ่อรักซ่งเหมยมากกว่า เขาให้ในสิ่งที่ซ่งเหมยต้องการเสมอ แม้แต่การกำจัดเสี้ยนหนามอย่างพี่สาวจอมเขลานี่ก็ด้วย!

          กับอีกแค่ลูกสาวคนโตที่ไม่มีสิทธิ์มีเสียงในบ้านให้แต่งกับกรรมกรก็คงหรูมากแล้วกระมัง!

           “ท่านแม้อย่าทำร้ายพี่อวี้ฮวาอีกเลยนะเจ้าคะ”ซ่งเหมยแสร้งทำทีสงสาร ขอร้องมารดาตน หวังให้คนโง่เง่าอย่างซ่งอวี้ฮวาร้องไห้สำนึกในบุญคุณของนาง แต่หารู้ไม่ว่าละครที่ซ่งเหมยเพียรแสดงออกมาอย่างเหนื่อยยากถูกซ่งอวี้ฮวามองทะลุจนถึงแก่น

             น่าสมเพชทั้งแม่ทั้งลูก อยากได้สามีจนตัวสั่น!

           พริบตาแววตาเย้ยหยันพลันหายไป ได้หากอยากสะใจกันนักข้าจะ ร้องไห้ให้ฟังก็แล้วกัน แสร้งมาแสร้งกลับไม่โกง!

           “ท่านแม่ใหญ่ข้ายอมแล้วเจ้าค่ะ”หญ้าสาวน้ำตานองหน้าพลันโอด ครวญอย่างน่าสงสาร น้ำเสียงเจ็บปวดเหลือประมาณถูกเปล่งออกมาอย่าง ไม่คิดเก็บไว้ ฝ่ายคนทำแสยะยิ้มเหี้ยมในทันใด มือเหี่ยวย่นจึงผลักหัวนาง ออกไปให้พ้นสองมือ

           ร่างบางค่อยๆลุกขึ้นจากพื้น เสื้อผ้าชุดสวยของนางถูกกระชากจนขาดวิ่น หากชาตินี้ซ่งอวี้ฮวาไม่ได้เอาคืนในสิ่งที่ถูกกระทำมีหวังตายตาไม่หลับอย่างแน่นอน แต่ชั่งใจเอาไว้ก่อนเวลานี้ยังไม่เหมาะที่จะลากสัมภเวสีสองแม่ลูกลงนรก รออีกหน่อย รอให้นางพร้อมอีกหน่อย!

           พวกขยะสมควรตาย!

           แม้ใจจะโกธรจนแทบกระอัก แต่อวี้ฮวากลับเก็บสีหน้าได้อย่างแนบเนียน นางยอมให้ถูกมองว่าโง่เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ ไม่ไว้ใจใคร และไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ชีวิตที่นางเลือกสักวันจะต้องมีทางออกและนางจะไม่ยอมตายจนกว่าจะได้เห็นคนพวกนี้วินาศสันตะโร

          “ออกไปให้พ้นหน้าข้า นังเด็กสกปรก!”หลี่ฮูหยินแห่งจวนเสนาบดีตวาดเสียงดังลั่น ก่อนจะเข้าไปลูบหัวลูกสาวตนเองอย่างเอ็นดู

           อวี้ฮวาพลันนึกในใจว่าใครกันแน่ที่เป็นลูกคนใช้ หลี่ซู่ซู่เดิมทีเป็นกรรมกรหาเช้ากินค่ำที่พอดีได้ช่วยชีวิตบิดานางจากการจมน้ำ บิดาหน้าโง่หลงรักหลี่ซู่ซู่ในทันทีพร้อมทั้งตบแต่งหญิงนางนี้เข้าจวนอย่างเต็มใจให้มีศักดิ์เป็นถึงภรรยารอง ก่อนจะเลื่อนขั้นเป็นภรรยาเอกเมื่อมารดาของอวี้ฮวาตายจากไป

          ซ่งอวี้ฮวาเร้นกายหายไปในทันที ไม่รีรอให้ถูกไล่ราวกับหมูหมาซ้ำสอง

         

     

          ภายในเรือนผิงอัน ประตูหน้าต่างแม้จะเก่าคร่ำคร่าแต่ก็พอปิดกั้นแสงสว่างจากภายนอกได้อยู่บ้าง

          หญิงสาวผู้มีชีวิตรันทดอดสูทอดมองภาพที่สะท้อนจากกระจกบานโตด้วยสีหน้าปลงไม่ตก ผู้หญิงผมชี้ฟูเสื้อผ้าขาดวิ่นมีสภาพไม่ต่างจากยาจกตรงหน้านี้เป็นใครกัน ยังไม่พอมุมปากบางอวบอิ่มของนางยังเป็นสีม่วงชอกช้ำจากการถูกทุบตี

          “ข้าจะทนได้อีกนานแค่ไหนกัน”ว่าพลางลูบแขนตัวเองไปพลาง

          การจะหาสามีดีๆแล้วแต่งงานออกจากจวนไป เวลานี้ช่างเป็นเรื่องที่ทำได้เสียยากแล้ว นางคิดในใจ หากหาชายหนุ่มสักคนแค่พอได้แต่งออกไปน่าจะดีเสียกว่า ทว่าเมื่อนั่งตรองดูอีกทีการไขว่คว้าหาสิ่งที่ดีที่สุด แม้ผลที่ออกมาร้ายที่สุดก็ยังนับว่าพอใช้ แต่หากนางคาดหวังเพียงพอใช้ ผลที่ดีที่สุดอาจจะเลวร้าย

          เดินหมากรุกยังต้องคิด เดินหมากชีวิตจะไม่คิดได้อย่างไร

         

          คิดแล้วก็ให้รู้สึกเศร้าใจนัก ทำอย่างไรหนอนางถึงจะหลุดพ้นจากที่แห่งนี้ ท่านผู้เฒ่าจันทราได้โปรดบันดาลเจ้าของด้ายแดงมาให้นางด้วยเถิด ฉับพลันภาพบุรุษผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นในห้วงความคิด!

           การที่นางถูกสกุลเซี่ยปฏิเสธนั้นเป็นไปตามแผนอยู่แล้ว เพราะนางไม่อยากเป็นเพียงภรรยารองที่มีไว้เพียงอุ่นเตียง จะคุณชายชนชั้นกลางหรือผู้ดีวังหลวงอย่างท่านอ๋องนางก็ไม่สนใจ เช่นนั้นไซร้ขอเพียงว่าจ้างใครสักคนมาแต่งงานด้วยได้ นั่นคงพอแล้วกระมัง!

           เมื่อคิดถึงจุดนี้หญิงสาวก็ถึงกับยิ้มออก พลันค้นหาของมีค่าในเรือนเพื่อเอาไปแลกเป็นเงิน

           ทว่าเง็กเซียนช่วย! สิ่งของในเรือนผิงอันแห่งนี้ล้วนแต่ไร้ราคาค่างวด!

          ผายลม! จะมีก็แต่หยกของมารดาชิ้นเดียวเท่านั้น! ทว่าหากเอาหยกที่เป็นมรดกไปขายเพื่อแลกกับอิสรภาพของตนเองแล้วล่ะก็ ต่อให้มีสิบชิ้นนางพร้อมยอมที่จะขาย แต่หากขายไปแล้วจะไปหาคืนได้ที่ใดเล่า เช่นนั้นควรเอาไปจำนำคงจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะเมื่อมีเงินนางสามารถที่จะไปไถ่กลับคืนได้

           คิดได้ดังนั้น อวี้ฮวาจึงรีบรุดออกไปจากเรือนในทันที

           ในระหว่างที่ซ่งอวี้ฮวารีบรุดออกไป ดูเหมือนผู้เฒ่าจันทราจะฟังคำร้องของนาง ด้ายแดงอีกเส้นปรากฏขึ้นข้างๆกันเกี่ยวกระหวัดรัดตรึงเป็นปมแน่นหนาไม่อาจแยกได้

            เท้าความถึงเรื่องเมื่อวาน บุตรสาวคนโตจากจวนเสนาบดีได้ถูกกล่าวขานไปท้วนทั่วแคว้นเจี้ยนคัง นางถูกปฏิเสธการดูตัวจากท่านรองแม่ทัพสกุลเซี่ยอย่างไร้เยื่อใย บิดาทิ้งให้เดินกลับจวน บ้างว่ายามนี้นางคงเสียใจจนคิดสั้น บ้างว่านางและบิดาตัดสัมพันธ์กันจนสิ้น เรื่องราวเข้าถึงหูคนสกุลจูญาติฝั่งมารดาซ่งอวี้ฮวา ให้พากันเดือดเนื้อร้อนใจนัก

          สกุลจูเดิมทีมิใช่ครอบครัวเล็ก ทว่าตัดขาดจากมารดาของซ่งอวี้ฮวาไปหลายปี ด้วยจูเหลียนฮวาเห็นผิดเป็นชอบ เห็นบุรุษที่นางรักดีกว่าคนในครอบครัว ดังนั้นจูเก่อคังที่เป็นบิดาจึงแค้นใจถึงขั้นตัดพ่อตัดลูก ยามนี้ได้ยินข่าวหลานสาวเป็นไปในทางเสียหายจึงให้รู้สึกโกธรจนแทบจะยิงลำแสงพิฆาตรออกจากตา ครั้นพอส่งคนไปสืบถึงความเป็นอยู่ของหลานที่ไม่เคยพบหน้าได้รู้ความจริงก็โมโหปาแจกันกระเบื้องราคาแพงแตกกระจายไปหลายใบ ในใจอยากไปรับเลือดเนื้อเชื้อไขของลูกสาวมาเลี้ยงจนเจียนบ้า

           แต่จะให้ไปขอร้องตรงๆก็กลัวเสียหน้า อีกอย่างสตรีเมื่อแต่งออกไปแล้วเป็นสมบัติของสามี จะให้คนนอกที่ตัดพ่อตัดลูกกันไปพูดก็ใช่เหตุ ทว่าก็ยังพอมีทางแก้ เพียงหาชายหนุ่มหน่วยก้านดีสักคนมาแต่งงานกับนาง

           คลุมถุงชนไปเลยอย่างไร(?)

           และชายหนุ่มที่ว่านี้มิใช่คนไกล แต่เป็นลูกชายของสหายร่วมรบ อยู่กันไปหากไม่รักค่อยเขียนหนังสือหย่ากันก็ยังไม่สาย

           “ข้าขอซื้อตัวนางด้วยทองพันชั่ง ท่านจะขายหรือไม่”พ่อค้าคนกลางเอ่ยพร้อมกับยิ้มด้วยท่าทีใจกว้างดุจมหาสมุทร จบประโยคพลันยกน้ำชาขึ้นจิบหนึ่งครั้ง ท่าทีนิ่งสงบสมกับเป็นคนรวยของเขาทำให้ซ่งเหอถึงกับหน้ามืดตามัว ครั้นพอได้ยินราคาค่างวดจึงตกใจแทบสิ้นสติ ครู่ต่อมาจึงไว้ท่าทีเยี่ยงบัณฑิตดังเดิม

           ก่อนจะเอ่ยอย่างละล่ำละลัก“พัน...พันชั่ง ท่านล้อเล่นแล้ว!

           ทองพันชั่งมีผู้ใดนำมาพูดเล่นลิ้นได้กัน!

           พ่อค้าคนกลางยิ้มเยาะ เขาเพียงทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายมาให้ดีที่สุด รับตัวเจ้าสาว ส่งค่าสนสอด เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจ

           “ข้ามิได้ล้อเล่น แต่ยังเอาตั๋วทองติดตัวมาอีกด้วย เพียงท่านแค่เอาตั๋วนี้ไปแลกที่โรงเงิน”แววตาคมกริบไล่มองซ่งเหออย่างรู้ทัน คนๆนี้เป็นดังที่นายท่านของเขาบอกมาไม่มีผิดเพี้ยนแม้แต่นิดเดียว

            “ตกลง”ซ่งเหอตอบด้วยแววตาไร้ความลังเล อย่างไรเขาก็ไร้ซึ่งอาลัยต่อเด็กคนนั้นอยู่แล้ว ดีเสียอีกที่นางแต่งออกไปซะได้

            ซ่งเหอไม่สงสัยแม้เพียงกระผีกริ้น ด้วยคิดว่าคนที่มีเงินมากมายขนาดนี้ฐานะจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน แม้จะไม่บอกชื่อก็ไม่เป็นไร ขอแค่รับลูกสาวตัวดีของเขาไปเป็นพอ

            “พรุ่งนี้จะมีเกี้ยวมารับ งานไม่ใหญ่โตนัก พวกท่านเพียงแค่เตรียมเจ้าสาวไว้ก็พอ”

    .

    .

    .

    ด้ายแดงเชื่อมประสาน สองใจรักมั่นยืนยง.




    *****
    ไม่รู้ว่ายัดปัญหาชีวิตให้คุณอวี้ฮวาคนงามเยอะไปรึเปล่านะ555+
    นางก็คงจะสู้ในเเบบของนางล่ะนะคะ☺
    ไรท์เองก็สู้ในเเบบของไรท์เหมือนกัน
    ขอบคุณที่ติดตามอ่านจนถึงตอนที่ 2 ค่ะ


    11 NOV 2018
    *เเกะน้อยร้อยเล่ห์*
    .
    .
    .
    ไฟนอลมันอบอุ่นหัวใจ 
    หากมีคำผิดต้องขอโทษด้วยเพราะตรวจคำผิดเเค่รอบเดียวค่ะ เดี๋ยวมาเเก้ที่หลังนะคะ☺
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×