ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1
บทที่ 1
ฉัน พลอยชมพู ทิพเกสร อายุ 014 ย่าง 15 ปี ลูกสาวเจ้าของบริษัท พิงค์ เจเวล บริษัทอัญมณีที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย และใหญ่เป็นที่สามของโลก
ตอนนี้ฉันพึ่งลงเครื่องที่บินมาจากอเมริกา เมืองนิวยอร์ก และกำลังจะเดินออกจากสนามบินที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย ฉันละคิดถึงประเทศไทยเหลือเกินเลย ก็ฉันเกิดที่นี่นิถึงฉันจะโตที่นู้นก็ตาม แต่ยังไงฉันก็ยังรักที่นี่มากกว่าเพราะมันไม่เป็นเพียงประเทศแม่ของฉัน แต่มันยังเป็นประเทศแม่ของพ่อแม่ฉันด้วย
เสียงจากปลายโทรศัพท์ดังเข้าสู่โสตประสาทฉันหลังจากที่ฉันเพิ่งกดรับสายเมื่อสักครู่
“ชมพู ทำไมลูกไม่บอกให้คนไปรับที่สนามบินละจ๊ะ จะบินกลับมาไฟท์ไหนก็ไม่ยอมบอกแม่” ใช่แล้วละ เสียงที่ว่านี่ก็คือเสียงคุณแม่ฉันเองแหละ ท่านก็เป็นอย่างนี้ประจำห่วงลูกมาก ก็ฉันเป็นลูกคนเดียวของท่านนี่หน่า จะไม่ให้ห่วงได้ไง ^-^
“ชมพูขี้เกียจรอนิคะ =3= เอารถมากว่าจะออกจากสนามบินได้ก็ตั้งนาน คุณแม่ก็รู้ว่าสนามบินรถมันเยอะ แล้วอีกอย่างชมพูอยากกลับเองมากกว่าค่ะ” ฉันกรอกเสียงตอบกลับไป
“แต่ลูกไม่ได้กลับมาไทยตั้ง 9 ปีแล้วนะ” คุณแม่ท่านแย้งฉัน
“โถ่...คุณแม่ค่ะ ชมพูโตแล้วนะ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ ทีที่นิวยอร์ก คุณแม่ไม่เห็นห่วงชมพูเลย =33=” ฉันเอ่ยอย่างน้อยใจ
ก็จะไม่ให้น้อยใจได้อย่างไรละ ก็คุณแม่ท่านปล่อยให้ฉันอยู่ที่นั่นคนเดียวกับคุณน้า แทนที่ท่านจะอยู่กับฉัน ท่านกลับบินไปทำงานที่โน้นที่นี่กับคุณพ่อตลอดเลย พูดถึง...คุณพ่อท่านก็อีกคน ไม่เคยได้อยู่บ้านกับฉันนานๆเหมือนพ่อคนอื่นเลยซักที อย่างมากก็ 2 อาทิตย์
“ใครบอกแม่ไม่ห่วงละ แม่ก็ห่วงเหมือนกัน แต่ลูกก็อยู่กับคุณน้านิจ๊ะ”
“ห่วง เหิ่ง อะไรกันคะ หนูได้เห็นหน้าแม่เฉลี่ยแล้ว 39 ครั้งต่อปีเป็นอย่างมาก เน้น เป็นอย่างมาก” ฉันเอ่ยน้ำเสียงตัดพ้อ ToT
“ก็แม่ต้องไปทำงานนิจ๊ะ” แม่เอ่ยแก้ตัวเสียงนุ่ม
เหอ...พูดไปแล้ว ท่านก็ไม่ผิดหรอกนะ มันจะผิดก็งานท่านนี่ละ มีมาเยอะจริงๆ แล้วแต่ละงานก็ต้องไปที่โน้นที่นี่ตลอดเลย คิดแล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ถ้างานมันมีชีวิตนะ ฉันจะเอามีดแร่เนื้อวัวไปแร่เนื้อมันออกมาเป็นแผ่นๆ แล้วก็จะเอาไปชุบแป้งทอดให้สุนัขกินให้หมดเลย ให้สาสมกับที่มันทำให้ฉันกับพ่อแม่ได้เจอกัน 39 ครั้งต่อปีเป็นอย่างมาก
“ช่างมันเถอะคะ ชมพูก็พูดไปอย่างนั้นแหละ เดี๋ยวเจอกันที่บ้านนะค่ะ สวัสดีค่ะ” ฉันพูดตัดบทก่อนกดวางสายไป
ในจังหวะนั้นเอง ฉันก็เดินชนกับผู้ชายคนหนึ่ง \"โอ๊ย!” ฉันร้องแล้วล้มลงไปกับพื้นตามแรงชน แค่ชนก็เจ็บอยู่แล้ว นี่ยังล้มลงไปกับพื้นอีกไม่ต้องพูดถึงเลย โค-ตะ-ระ เจ็บเลยละ ToT
อ๊ะ...โทรศัพท์หล่น แล้วไหนเครื่องของฉันละ ?-? มันเหมือนกันทั้งสองเครื่องเลยนี่น่า ฉันเพิ่งซื้อโทรศัพท์ใหม่ซะด้วย ไม่น่าเลย T-T โอ๊ย...ตกลงเครื่องไหนของฉันกันแน่นะ มันดันใหม่เหมือนกันทั้งสองเครื่องซะด้วยซิ
แล้วจู่ๆก็มีมือๆหนึ่งยื่นมาหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ทางขวามือฉันไป ฉันเลยหยิบเครื่องที่เหลืออยู่เก็บเข้ากระเป๋าแล้วยันตัวลุกขึ้น
ไหนขอดูหน้าไอ้คนที่เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ แล้วยังไม่มีมารยาทไม่ยอมขอโทษหน่อยซิ ฉันเค่อยๆงยหน้าขึ้นมอง เป็นผู้ชายซะด้วย แต่ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเอาซะเลย แย่จริงๆ จนกระทั่งถึงหน้านายมารยาททรามนั่น ฉันขอเรียกนายอย่างนี้ก็แล้วกันนะ ฉันว่ามันเหมาะกับนายดี เอ๊ะ...ว้าว หน้าตาหล่อซะเด็ดไปเลยละ แต่ขอโทษนายควรปรับปรุงนิสัยของนายใหม่นะ นายมารยาททราม
“นี่ นายเดินมาชนฉัน แล้วยังไม่ขอโทษอีก แสดงว่าที่บ้านคุณพ่อคุณแม่สอนมารยาทแล้วไม่จำซินะ ถึงได้มารยาททรามอย่างนี้” ฉันเอ่ยขึ้นก่อน \"
ปกติฉันไม่ค่อยด่าใครหรอกนะ ถ้ามันไม่เหลือทนจริงๆ ใครโดนฉันด่าละก็ถือว่าโชคร้ายอย่างแรงเลย เพราะฉันด่าเจ็บมากนะจะบอกให้ ใครโดนฉันด่าทีก็เป็นลมไปเลยหละ ไม่ใช่ผู้หญิงนะ ฉันไม่ด่าผู้หญิงหรอก ฉันให้จุดเดือดอารมณ์กับผู้ชายหนึ่งร้อย ส่วนผู้หญิงสองร้อย เพราะอย่างนี้ไงฉันถึงไม่เคยด่าผู้หญิง บางรายพอโดนฉันด่าก็เป็นไข้ไปเลยก็มี ^___^-O-------<
“นายนั่นแหละเดินชนฉัน แล้วยังไม่ขอโทษ ใครกันแน่ที่มารยาททราม” นายมารยาททรามตอบกลับ
นี่นายก็ปากจัดเหมือนกันนิ ไม่อยากจะเชื่อเลย เอ๊ะ...แต่เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อกี้นายเรียกฉันว่า ‘นาย’ งั้นหรอ ฉันเป็นผู้หญิงนะยะ แต่พูดไปฉันใส่เสื้อยืดตัวใหญ่ กางเกางขายาวตัวใหญ่ สวมแวนตากันแดดสีน้ำตาล แล้วก็รวบผมไว้ในหมวกใบใหญ่ ดูๆไปก็เหมือนผู้ชายอยู่นะ ในเมื่อนายมองฉันว่าเป็นผู้ชายฉันก็จะเป็นผู้ชายตามใจนายแล้วกัน นายมารยาททราม
“สงสัยโตแต่ตัว สมองไม่ยอมโตด้วย ตอนเด็กๆที่บ้านยากจนมากหรือไงห๊า ถึงไม่มีเงินซื้ออาหารมาบำรุงสมองขี้ลิงของนายนะ อย่างว่าบ้านคงมีเงินซื้อมาให้บำรุงแต่บำรุงเท่าไหร่ก็ไม่โต” ฉันด่ากลับ ขอบอกนี่ยังเบาะๆ
“ถ้าอย่างนั้นบ้านนายก็ต้องจนกว่าฉันนะซิ สมองนายถึงได้เล็กกว่าฉัน อ๋อ อีกอย่าง...เสียงนายเหมือนผู้หญิงมากเลยวะ เป็นตุดหรือป่าววะไอ้หน้าจืด” นายมารยาททรามด่าฉันกลับ
อ๊าย (o ~_~o)(o~_~ o) นายมารยาททราม ฉันไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนปากจัดเท่านายมาก่อนเลยนะเนี่ย นายเป็นคนแรกเลยนะเนี่ยที่ไม่สลบเพราะโดดฉันด่านะ นายแน่มาก คอยดูทีฉันบ้างแล้วกัน
“นายนี่สงสัยสมองขี้ลิงจริงๆแน่เลย ไม่มีสมองคิดคำด่าอื่นหรือไง ถึงต้องใช้คำฉันมาย้อนนะ” ฉันด่าต่อ แต่คราวนี้ฉันไม่ลืมที่จะดัดเสียงให้เหมือนผู้ชายด้วย ^_^ ฉันมองไปรอบๆ ฉันว่าเริ่มมีไทยมุงแล้วนะ เอ๊ะ หรือว่าฉันพูดเสียงดังเกินไป ชักอายแล้วซิ ~ - ~
“พอโดดจี้ใจดำเข้าหน่อย ดัดเสียงแมนเชียวนะ” นายมารยาททรามเอ่ยแล้วยิ้ม แต่ไม่ได้ยิ้มให้ฉันหรอกนะ เขายิ้มให้พวกสาวๆข้างหลังฉันต่างหากละ ถึงอย่างนั้นก็เถอะฉันว่านายยิ้มแล้วดูมีเสน่ห์จัง แต่ฉันก็ไม่ชอบนายหรอกนายมารยาททรามปากจัด 3-
“นี่...ถึงหน้านายจะฉาบด้วยด้วยปูนซีเมนต์ 100 ชั้น เลยไม่ยักจะอายคนอื่นเค้า แต่พอดีหน้าฉันไม่หนาอย่างนาย ฉันขอตัวนะฉันอาย” ฉันด่าปิดท้าย เป็นไงละ ชัยชนะเป็นของฉันอย่างเห็นๆ ^_^
ฉันหยิบเป้ที่หล่นเมื่อตอนชนกับนายมารยาททรามขึ้นสะพาย แล้วเดินฝ่าฝูงมด เอ้ย ฝูงคน เอ้ย คนจำนวนมาก ก่อนเดินออกไปฉันก็ไม่ลืมชนไหล่นายมารยาททรามที่กำลังยืนเอ๋อกับคำด่าของฉันอยู่ ฉันเดินมาได้ซักพัก แล้วถึงรู้ว่าลืมกล่าวลากับนายมารยาททรามอย่างเป็นทางการ จึงหันกลับไป
“นี่ นายมารยาททราม ฉันลืมบอกไปอย่างหนึ่ง ฟังดีๆนะ ฉันหวังว่าชาตินี้และชาติต่อๆไปฉันคงจะไม่โชคร้ายพบนายอีกนะ ล่าก่อน ขอให้นายโชคดีไปแล้วไปลับไม่ต้องกลับมา” ฉันเอ่ยพร้อมเดินถอยหลังไปด้วยเพื่อไม่ให้เสียเวลาไงละ ^_^ นายนั่นฟังแล้วก็ยืนเอ๋อเป็นไก่ตาแตกไปเลยละ ซะใจชะมัด
ฉันเดินออกไปพอดีกับที่มีแท็กซี่มาพอดี คนขับแท็กซี่เห็นฉันแล้วก็ชะโงกตัวมองซ้ายมองขวาข้างหลังฉัน ฉันละสงสัยจริงๆว่าลุงเค้าจะมองหาอะไรกันนะ ?-?
“ลุงค่ะ มองหาอะไรหรอค่ะ” ฉันถาม
“อ๋อ มองหากระเป๋าเดินทางของหนูไง หายหรอ” คุณลุงคนขับแท็กซี่ตอบฉัน
“อ๋อมีแค่ใบนี้ใบเดียวค่ะ” ฉันตอบ
คนส่วนใหญ่เขาเดินทางก็ต้องมีกระเป๋าเดินทางไม่แปลกหรอก แต่ฉันนะซิแปลกเพราะฉันมีเป้แค่ใบเดียว ก็ฉันขี้เกียจแบกกลับมานิ แถมเสียเวลารอกระเป๋าด้วย กว่าจะได้ต้องตรวจนู้นตรวจนี่ตั้งเยอะแยะ ฉันเลยเอามาแค่นี้ส่วนที่เหลือก็ให้เขาส่งมาที่บ้านก่อนแล้ว ป่านนี้คงถึงแล้วละ
“งั้นหรอ งั้นขึ้นรถเลยซิ” คุณลุงรีบเอ่ยให้ฉันขึ้นรถ เมื่อเห็นคนเดินมาทำท่าจะโวยเพราะว่าขวางทางรถเขาอยู่
“คะๆ” ฉันขานตอบแล้วรีบกระโจนเข้ารถแล้วปิดประตูทันที
“จะไปที่ไหนละหนู”
“51/88 ซ.xxx คะ” ฉันบอกที่อยู่บ้านฉันให้คุณลุงคนขับแท็กซี่ ฉันว่าต่อไปนี้จะเรียกคุณลุงเขาว่า คุณลุง เฉยๆดีกว่า รู้สึกว่าของเก่ามันจะยาวไปนะ
“อ๋อ บ้านทิพเกสร วันหลังขึ้นแท็กซี่ก็บอกเค้าว่า บ้านทิพเกสร ก็พอแล้วละ แค่นี้ทุกคนก็รู้แล้วว่าอยู่ไหน” คุณลุงแนะนำฉัน เอ๊ะ ฉันรู้สึกว่าคุณลุงเขาจะมีสำเนียงเหน่อนิดๆนะ เพิ่งสังเกตเหมือนกัน
“ค่ะ คุณลุงเป็นคนต่างจังหวัดหรอค่ะ” ฉันตอบรับแล้วถามต่อ
“ใช่ เป็นคนราชบุรีนะ มีสำเนียงเหน่อนิดๆ คงฟังออกละซิ^_^” คุณลุงตอบอย่างใจดี
“เออนี่...หนูจะไปทำอะไรที่บ้านนั้นหรอ”
“ไปอยู่ค่ะ” ฉันตอบ
“อ่าว...แล้วทำยังไงถึงได้ไปอยู่ละ” คุณลุงเจ้าปัญหาถามต่อ ฉันเปลี่ยนใจขอเรียกคุณลุงว่า คุณลุงเจ้าปัญหา แล้วกันนะ เห็นคุณลุงถามเยอะจัง แต่ก็ดีนะไม่เบื่อดี
“พ่อแม่อยู่ที่นั่นนะคะ”
“เซ็กซี่...เซ็กซี่...เซ็กซี่...บิชชี่...บิชชี่...บิชชี่...” เสียงโทรศัพท์เรียกเข้าดังขึ้น
“นอทที้...นอทที้...นอทที้” เสียงยังคงดังต่อไป
“หนูไม่รับโทรศัพท์หรอ” คุณลุงเจ้าปัญหาถามฉัน แต่มันไม่ใช้โทรศัพท์ฉันนิ ฉันไม่เคยใช้เสียงเรียกเข้าอันนี้เลยนี่หน่า ?-?
“ของลุงไม่ใช่หรอค่ะ หนูไม่มีเสียงเรียกเข้าอันนี้นะค่ะ” ฉันตอบไปอย่างงงๆ
“ของหนูนั่นแหละ ลุงไม่มีมือถือหรอก” คุณลุงเจ้าปัญหาตอบ
ของฉันงั้นหรอ? แต่ฉันไม่เคยใช้เพลงนี้จริงๆนะ แต่เพื่อความมั่นใจ ฉันเลยเอื่อมมือไปเปิดเป้แล้วควานหาโทรศัพท์ เอ๊ะ โทรศัพท์ฉันมันสั่นนิ ฉันหยิบโทรศัพท์ออกมาดู ใช่จริงๆด้วย มันเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ฉันเองละ ฉันกดรับสายทันทีก่อนกรอกเสียงลงไป
“ฮัลโล”
************************************************************
His sassy girl Her playboy (ยัยตัวร้ายของเขา นายเพลย์บอยของเธอ)
\"อยากจะเป็นแฟนกับฉันงั้นหรอ ถ้าเอาชนะฉันได้ทุกอย่างแล้วฉันจะคิดดูอีกที ถ้าทำไม่ได้ก็เป็นได้แค่คู่ควงเท่านั้นละ ตอนนี้สู้ชนะฉันให้ได้ก่อนซิ ถ้าแค่นี้ไม่มีน้ำยาก็ตัดใจซะเถอะ\" ยัยตัวร้ายบอกนายเพลย์บอย
^จับแป้นคุย^
สวัสดีงับ คีย์ขอสวัสดีแล้วก็ขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่กรุณาเข้ามาอ่านเรื่องของเรา ยังไงก็ลองอ่านแล้วก็เม้นท์ให้คำแนะนำ หรือติชมหน่อยนะงับ เพิ่งเคยแต่งแนวนี้เป็นครั้งแรกยังไงก็ขอคำแนะนำด้วยแล้วกันงับ ขอบคุณงับ
ฉัน พลอยชมพู ทิพเกสร อายุ 014 ย่าง 15 ปี ลูกสาวเจ้าของบริษัท พิงค์ เจเวล บริษัทอัญมณีที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย และใหญ่เป็นที่สามของโลก
ตอนนี้ฉันพึ่งลงเครื่องที่บินมาจากอเมริกา เมืองนิวยอร์ก และกำลังจะเดินออกจากสนามบินที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย ฉันละคิดถึงประเทศไทยเหลือเกินเลย ก็ฉันเกิดที่นี่นิถึงฉันจะโตที่นู้นก็ตาม แต่ยังไงฉันก็ยังรักที่นี่มากกว่าเพราะมันไม่เป็นเพียงประเทศแม่ของฉัน แต่มันยังเป็นประเทศแม่ของพ่อแม่ฉันด้วย
เสียงจากปลายโทรศัพท์ดังเข้าสู่โสตประสาทฉันหลังจากที่ฉันเพิ่งกดรับสายเมื่อสักครู่
“ชมพู ทำไมลูกไม่บอกให้คนไปรับที่สนามบินละจ๊ะ จะบินกลับมาไฟท์ไหนก็ไม่ยอมบอกแม่” ใช่แล้วละ เสียงที่ว่านี่ก็คือเสียงคุณแม่ฉันเองแหละ ท่านก็เป็นอย่างนี้ประจำห่วงลูกมาก ก็ฉันเป็นลูกคนเดียวของท่านนี่หน่า จะไม่ให้ห่วงได้ไง ^-^
“ชมพูขี้เกียจรอนิคะ =3= เอารถมากว่าจะออกจากสนามบินได้ก็ตั้งนาน คุณแม่ก็รู้ว่าสนามบินรถมันเยอะ แล้วอีกอย่างชมพูอยากกลับเองมากกว่าค่ะ” ฉันกรอกเสียงตอบกลับไป
“แต่ลูกไม่ได้กลับมาไทยตั้ง 9 ปีแล้วนะ” คุณแม่ท่านแย้งฉัน
“โถ่...คุณแม่ค่ะ ชมพูโตแล้วนะ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ ทีที่นิวยอร์ก คุณแม่ไม่เห็นห่วงชมพูเลย =33=” ฉันเอ่ยอย่างน้อยใจ
ก็จะไม่ให้น้อยใจได้อย่างไรละ ก็คุณแม่ท่านปล่อยให้ฉันอยู่ที่นั่นคนเดียวกับคุณน้า แทนที่ท่านจะอยู่กับฉัน ท่านกลับบินไปทำงานที่โน้นที่นี่กับคุณพ่อตลอดเลย พูดถึง...คุณพ่อท่านก็อีกคน ไม่เคยได้อยู่บ้านกับฉันนานๆเหมือนพ่อคนอื่นเลยซักที อย่างมากก็ 2 อาทิตย์
“ใครบอกแม่ไม่ห่วงละ แม่ก็ห่วงเหมือนกัน แต่ลูกก็อยู่กับคุณน้านิจ๊ะ”
“ห่วง เหิ่ง อะไรกันคะ หนูได้เห็นหน้าแม่เฉลี่ยแล้ว 39 ครั้งต่อปีเป็นอย่างมาก เน้น เป็นอย่างมาก” ฉันเอ่ยน้ำเสียงตัดพ้อ ToT
“ก็แม่ต้องไปทำงานนิจ๊ะ” แม่เอ่ยแก้ตัวเสียงนุ่ม
เหอ...พูดไปแล้ว ท่านก็ไม่ผิดหรอกนะ มันจะผิดก็งานท่านนี่ละ มีมาเยอะจริงๆ แล้วแต่ละงานก็ต้องไปที่โน้นที่นี่ตลอดเลย คิดแล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ถ้างานมันมีชีวิตนะ ฉันจะเอามีดแร่เนื้อวัวไปแร่เนื้อมันออกมาเป็นแผ่นๆ แล้วก็จะเอาไปชุบแป้งทอดให้สุนัขกินให้หมดเลย ให้สาสมกับที่มันทำให้ฉันกับพ่อแม่ได้เจอกัน 39 ครั้งต่อปีเป็นอย่างมาก
“ช่างมันเถอะคะ ชมพูก็พูดไปอย่างนั้นแหละ เดี๋ยวเจอกันที่บ้านนะค่ะ สวัสดีค่ะ” ฉันพูดตัดบทก่อนกดวางสายไป
ในจังหวะนั้นเอง ฉันก็เดินชนกับผู้ชายคนหนึ่ง \"โอ๊ย!” ฉันร้องแล้วล้มลงไปกับพื้นตามแรงชน แค่ชนก็เจ็บอยู่แล้ว นี่ยังล้มลงไปกับพื้นอีกไม่ต้องพูดถึงเลย โค-ตะ-ระ เจ็บเลยละ ToT
อ๊ะ...โทรศัพท์หล่น แล้วไหนเครื่องของฉันละ ?-? มันเหมือนกันทั้งสองเครื่องเลยนี่น่า ฉันเพิ่งซื้อโทรศัพท์ใหม่ซะด้วย ไม่น่าเลย T-T โอ๊ย...ตกลงเครื่องไหนของฉันกันแน่นะ มันดันใหม่เหมือนกันทั้งสองเครื่องซะด้วยซิ
แล้วจู่ๆก็มีมือๆหนึ่งยื่นมาหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ทางขวามือฉันไป ฉันเลยหยิบเครื่องที่เหลืออยู่เก็บเข้ากระเป๋าแล้วยันตัวลุกขึ้น
ไหนขอดูหน้าไอ้คนที่เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ แล้วยังไม่มีมารยาทไม่ยอมขอโทษหน่อยซิ ฉันเค่อยๆงยหน้าขึ้นมอง เป็นผู้ชายซะด้วย แต่ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเอาซะเลย แย่จริงๆ จนกระทั่งถึงหน้านายมารยาททรามนั่น ฉันขอเรียกนายอย่างนี้ก็แล้วกันนะ ฉันว่ามันเหมาะกับนายดี เอ๊ะ...ว้าว หน้าตาหล่อซะเด็ดไปเลยละ แต่ขอโทษนายควรปรับปรุงนิสัยของนายใหม่นะ นายมารยาททราม
“นี่ นายเดินมาชนฉัน แล้วยังไม่ขอโทษอีก แสดงว่าที่บ้านคุณพ่อคุณแม่สอนมารยาทแล้วไม่จำซินะ ถึงได้มารยาททรามอย่างนี้” ฉันเอ่ยขึ้นก่อน \"
ปกติฉันไม่ค่อยด่าใครหรอกนะ ถ้ามันไม่เหลือทนจริงๆ ใครโดนฉันด่าละก็ถือว่าโชคร้ายอย่างแรงเลย เพราะฉันด่าเจ็บมากนะจะบอกให้ ใครโดนฉันด่าทีก็เป็นลมไปเลยหละ ไม่ใช่ผู้หญิงนะ ฉันไม่ด่าผู้หญิงหรอก ฉันให้จุดเดือดอารมณ์กับผู้ชายหนึ่งร้อย ส่วนผู้หญิงสองร้อย เพราะอย่างนี้ไงฉันถึงไม่เคยด่าผู้หญิง บางรายพอโดนฉันด่าก็เป็นไข้ไปเลยก็มี ^___^-O-------<
“นายนั่นแหละเดินชนฉัน แล้วยังไม่ขอโทษ ใครกันแน่ที่มารยาททราม” นายมารยาททรามตอบกลับ
นี่นายก็ปากจัดเหมือนกันนิ ไม่อยากจะเชื่อเลย เอ๊ะ...แต่เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อกี้นายเรียกฉันว่า ‘นาย’ งั้นหรอ ฉันเป็นผู้หญิงนะยะ แต่พูดไปฉันใส่เสื้อยืดตัวใหญ่ กางเกางขายาวตัวใหญ่ สวมแวนตากันแดดสีน้ำตาล แล้วก็รวบผมไว้ในหมวกใบใหญ่ ดูๆไปก็เหมือนผู้ชายอยู่นะ ในเมื่อนายมองฉันว่าเป็นผู้ชายฉันก็จะเป็นผู้ชายตามใจนายแล้วกัน นายมารยาททราม
“สงสัยโตแต่ตัว สมองไม่ยอมโตด้วย ตอนเด็กๆที่บ้านยากจนมากหรือไงห๊า ถึงไม่มีเงินซื้ออาหารมาบำรุงสมองขี้ลิงของนายนะ อย่างว่าบ้านคงมีเงินซื้อมาให้บำรุงแต่บำรุงเท่าไหร่ก็ไม่โต” ฉันด่ากลับ ขอบอกนี่ยังเบาะๆ
“ถ้าอย่างนั้นบ้านนายก็ต้องจนกว่าฉันนะซิ สมองนายถึงได้เล็กกว่าฉัน อ๋อ อีกอย่าง...เสียงนายเหมือนผู้หญิงมากเลยวะ เป็นตุดหรือป่าววะไอ้หน้าจืด” นายมารยาททรามด่าฉันกลับ
อ๊าย (o ~_~o)(o~_~ o) นายมารยาททราม ฉันไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนปากจัดเท่านายมาก่อนเลยนะเนี่ย นายเป็นคนแรกเลยนะเนี่ยที่ไม่สลบเพราะโดดฉันด่านะ นายแน่มาก คอยดูทีฉันบ้างแล้วกัน
“นายนี่สงสัยสมองขี้ลิงจริงๆแน่เลย ไม่มีสมองคิดคำด่าอื่นหรือไง ถึงต้องใช้คำฉันมาย้อนนะ” ฉันด่าต่อ แต่คราวนี้ฉันไม่ลืมที่จะดัดเสียงให้เหมือนผู้ชายด้วย ^_^ ฉันมองไปรอบๆ ฉันว่าเริ่มมีไทยมุงแล้วนะ เอ๊ะ หรือว่าฉันพูดเสียงดังเกินไป ชักอายแล้วซิ ~ - ~
“พอโดดจี้ใจดำเข้าหน่อย ดัดเสียงแมนเชียวนะ” นายมารยาททรามเอ่ยแล้วยิ้ม แต่ไม่ได้ยิ้มให้ฉันหรอกนะ เขายิ้มให้พวกสาวๆข้างหลังฉันต่างหากละ ถึงอย่างนั้นก็เถอะฉันว่านายยิ้มแล้วดูมีเสน่ห์จัง แต่ฉันก็ไม่ชอบนายหรอกนายมารยาททรามปากจัด 3-
“นี่...ถึงหน้านายจะฉาบด้วยด้วยปูนซีเมนต์ 100 ชั้น เลยไม่ยักจะอายคนอื่นเค้า แต่พอดีหน้าฉันไม่หนาอย่างนาย ฉันขอตัวนะฉันอาย” ฉันด่าปิดท้าย เป็นไงละ ชัยชนะเป็นของฉันอย่างเห็นๆ ^_^
ฉันหยิบเป้ที่หล่นเมื่อตอนชนกับนายมารยาททรามขึ้นสะพาย แล้วเดินฝ่าฝูงมด เอ้ย ฝูงคน เอ้ย คนจำนวนมาก ก่อนเดินออกไปฉันก็ไม่ลืมชนไหล่นายมารยาททรามที่กำลังยืนเอ๋อกับคำด่าของฉันอยู่ ฉันเดินมาได้ซักพัก แล้วถึงรู้ว่าลืมกล่าวลากับนายมารยาททรามอย่างเป็นทางการ จึงหันกลับไป
“นี่ นายมารยาททราม ฉันลืมบอกไปอย่างหนึ่ง ฟังดีๆนะ ฉันหวังว่าชาตินี้และชาติต่อๆไปฉันคงจะไม่โชคร้ายพบนายอีกนะ ล่าก่อน ขอให้นายโชคดีไปแล้วไปลับไม่ต้องกลับมา” ฉันเอ่ยพร้อมเดินถอยหลังไปด้วยเพื่อไม่ให้เสียเวลาไงละ ^_^ นายนั่นฟังแล้วก็ยืนเอ๋อเป็นไก่ตาแตกไปเลยละ ซะใจชะมัด
ฉันเดินออกไปพอดีกับที่มีแท็กซี่มาพอดี คนขับแท็กซี่เห็นฉันแล้วก็ชะโงกตัวมองซ้ายมองขวาข้างหลังฉัน ฉันละสงสัยจริงๆว่าลุงเค้าจะมองหาอะไรกันนะ ?-?
“ลุงค่ะ มองหาอะไรหรอค่ะ” ฉันถาม
“อ๋อ มองหากระเป๋าเดินทางของหนูไง หายหรอ” คุณลุงคนขับแท็กซี่ตอบฉัน
“อ๋อมีแค่ใบนี้ใบเดียวค่ะ” ฉันตอบ
คนส่วนใหญ่เขาเดินทางก็ต้องมีกระเป๋าเดินทางไม่แปลกหรอก แต่ฉันนะซิแปลกเพราะฉันมีเป้แค่ใบเดียว ก็ฉันขี้เกียจแบกกลับมานิ แถมเสียเวลารอกระเป๋าด้วย กว่าจะได้ต้องตรวจนู้นตรวจนี่ตั้งเยอะแยะ ฉันเลยเอามาแค่นี้ส่วนที่เหลือก็ให้เขาส่งมาที่บ้านก่อนแล้ว ป่านนี้คงถึงแล้วละ
“งั้นหรอ งั้นขึ้นรถเลยซิ” คุณลุงรีบเอ่ยให้ฉันขึ้นรถ เมื่อเห็นคนเดินมาทำท่าจะโวยเพราะว่าขวางทางรถเขาอยู่
“คะๆ” ฉันขานตอบแล้วรีบกระโจนเข้ารถแล้วปิดประตูทันที
“จะไปที่ไหนละหนู”
“51/88 ซ.xxx คะ” ฉันบอกที่อยู่บ้านฉันให้คุณลุงคนขับแท็กซี่ ฉันว่าต่อไปนี้จะเรียกคุณลุงเขาว่า คุณลุง เฉยๆดีกว่า รู้สึกว่าของเก่ามันจะยาวไปนะ
“อ๋อ บ้านทิพเกสร วันหลังขึ้นแท็กซี่ก็บอกเค้าว่า บ้านทิพเกสร ก็พอแล้วละ แค่นี้ทุกคนก็รู้แล้วว่าอยู่ไหน” คุณลุงแนะนำฉัน เอ๊ะ ฉันรู้สึกว่าคุณลุงเขาจะมีสำเนียงเหน่อนิดๆนะ เพิ่งสังเกตเหมือนกัน
“ค่ะ คุณลุงเป็นคนต่างจังหวัดหรอค่ะ” ฉันตอบรับแล้วถามต่อ
“ใช่ เป็นคนราชบุรีนะ มีสำเนียงเหน่อนิดๆ คงฟังออกละซิ^_^” คุณลุงตอบอย่างใจดี
“เออนี่...หนูจะไปทำอะไรที่บ้านนั้นหรอ”
“ไปอยู่ค่ะ” ฉันตอบ
“อ่าว...แล้วทำยังไงถึงได้ไปอยู่ละ” คุณลุงเจ้าปัญหาถามต่อ ฉันเปลี่ยนใจขอเรียกคุณลุงว่า คุณลุงเจ้าปัญหา แล้วกันนะ เห็นคุณลุงถามเยอะจัง แต่ก็ดีนะไม่เบื่อดี
“พ่อแม่อยู่ที่นั่นนะคะ”
“เซ็กซี่...เซ็กซี่...เซ็กซี่...บิชชี่...บิชชี่...บิชชี่...” เสียงโทรศัพท์เรียกเข้าดังขึ้น
“นอทที้...นอทที้...นอทที้” เสียงยังคงดังต่อไป
“หนูไม่รับโทรศัพท์หรอ” คุณลุงเจ้าปัญหาถามฉัน แต่มันไม่ใช้โทรศัพท์ฉันนิ ฉันไม่เคยใช้เสียงเรียกเข้าอันนี้เลยนี่หน่า ?-?
“ของลุงไม่ใช่หรอค่ะ หนูไม่มีเสียงเรียกเข้าอันนี้นะค่ะ” ฉันตอบไปอย่างงงๆ
“ของหนูนั่นแหละ ลุงไม่มีมือถือหรอก” คุณลุงเจ้าปัญหาตอบ
ของฉันงั้นหรอ? แต่ฉันไม่เคยใช้เพลงนี้จริงๆนะ แต่เพื่อความมั่นใจ ฉันเลยเอื่อมมือไปเปิดเป้แล้วควานหาโทรศัพท์ เอ๊ะ โทรศัพท์ฉันมันสั่นนิ ฉันหยิบโทรศัพท์ออกมาดู ใช่จริงๆด้วย มันเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ฉันเองละ ฉันกดรับสายทันทีก่อนกรอกเสียงลงไป
“ฮัลโล”
************************************************************
His sassy girl Her playboy (ยัยตัวร้ายของเขา นายเพลย์บอยของเธอ)
\"อยากจะเป็นแฟนกับฉันงั้นหรอ ถ้าเอาชนะฉันได้ทุกอย่างแล้วฉันจะคิดดูอีกที ถ้าทำไม่ได้ก็เป็นได้แค่คู่ควงเท่านั้นละ ตอนนี้สู้ชนะฉันให้ได้ก่อนซิ ถ้าแค่นี้ไม่มีน้ำยาก็ตัดใจซะเถอะ\" ยัยตัวร้ายบอกนายเพลย์บอย
^จับแป้นคุย^
สวัสดีงับ คีย์ขอสวัสดีแล้วก็ขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่กรุณาเข้ามาอ่านเรื่องของเรา ยังไงก็ลองอ่านแล้วก็เม้นท์ให้คำแนะนำ หรือติชมหน่อยนะงับ เพิ่งเคยแต่งแนวนี้เป็นครั้งแรกยังไงก็ขอคำแนะนำด้วยแล้วกันงับ ขอบคุณงับ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น