เส้นทางรัก 7 วัน (Seven days way to love) - เส้นทางรัก 7 วัน (Seven days way to love) นิยาย เส้นทางรัก 7 วัน (Seven days way to love) : Dek-D.com - Writer

    เส้นทางรัก 7 วัน (Seven days way to love)

    โดย AXS

    ใครมันจะไปรู้ล่ะว่าแค่ชายแปลกหน้าคนหนึ่งจะทำให้ชีวิตที่แสนน่าเบื่อของเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล

    ผู้เข้าชมรวม

    88

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    88

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    1
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  4 มี.ค. 65 / 15:06 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

    1 กรกฎาคม 25xx

    ท่ามกลางเมืองใหญ่อย่างโตเกียวที่มีคนพลุกพล่านมากมายแต่กลับเงียบเหงาสำหรับใครบางคน แสงไฟสลัวลอดผ่านหน้าต่างห้องสะท้อนให้เห็นเงาของหญิงสาวที่ขดตัวอยู่กับผ้าห่มผืนหนา 'สวัสดีฉันหวัง เสี่ยวเว่ย วัยรุ่นจบใหม่ที่กำลังตกงานคงสงสัยใช่มั้ยล่ะว่าทำไมคนจีนแบบฉันถึงมาทำงานที่ญี่ปุ่นเอาเป็นว่าเรื่องมันยาวมากให้เล่าวันเดียวก็คงไม่จบหรอก'

    สองสามวันที่ผ่านมานี้เธอเพิ่งโดนไล่ออกจากงานแถมยังโดนวิ่งราวอีกทำเอาเธอหัวปั่นไม่หยุดยังดีที่ไม่มีของสำคัญในนั้นแล้วก็ยังมีเงินพอติดตัวมาบ้างแต่เงินในนั้นก็ไม่ใช่น้อย ๆเลยอีกอย่างไม่กี่วันก็ต้องจ่ายค่าเช่าห้องแล้วคนอะไรจะโชคร้ายขนาดนี้

    สารภาพเลยว่าตั้งแต่ได้เริ่มทำงานชีวิตของฉันก็แทบจะไม่มีความสุขอีกเลยฟังดูเกินจริงไปหน่อยแต่ว่าการที่ต้องมานั่งทำงานท่ามกลางความกดดันและทำแต่อะไรแบบเดิมซ้ำไปซ้ำมามันน่าเบื่อจะตายชักลองคิดดูว่าคุณต้องกินเมนูซ้ำ ๆเป็นเดือนจะรู้สึกยังไงแค่คิดก็ชวนอ้วกแล้ว

    "พูดถึงของกินแล้วก็หิวขึ้นมาซะงั้น" เธอก้าวเท้าลงมาจากตึกก่อนจะเดินจ้ำอ้าวไปร้านสะดวกซื้อที่อยู่ใกล้ ๆ ไม่นานเธอก็กลับมาพร้อมกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบถ้วยกับขนมขบเขี้ยวอีกหนึ่งห่อเป็นอีกวันที่เธอต้องมานั่งกินอาหารสำเร็จรูปแบบนี้ถ้าให้เลือกได้ก็ไม่อยากนั่งกินแต่อาหารเดิมๆหรอก"คนเราน่ะกินเพื่ออยู่ไม่ใช่อยู่เพื่อกินไม่ใช่หรอฮ่า ๆ"

    ยอมรับเลยว่าสัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่หนักหน่วงสำหรับเธอมากเลยจริง ๆ ตอนนี้เธอนั่งมองถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากว่าสิบนาทีโดยที่ไม่กลัวว่ามันจะเย็นชืดหรืออะไรก็ตาม สักพักดวงตากลมโตก็เริ่มร้อนผาวของเหลวใสไหลออกมาจากดวงตาอย่างไม่ขาดสายเธอก้มหน้างุดแล้วปล่อยให้น้ำใส ๆนั้นไหลไปตามใบหน้าสวย "ฉันแค่อยากมีความสุขเหมือนกับคนอื่นเท่านั้นเอง ขอแค่วันเดียวก็ได้ ขอร้องเถอะนะ.." เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทาแล้วปาดน้ำตาที่ไหลอยู่อย่างลวกๆ

    สุดท้ายวันนี้เธอก็ตัดสินใจทิ้งอาหารเย็นลงถังขยะจากนั้นก็ล้มตัวลงนอนแล้วก็ปล่อยให้ความหิวหายไปพร้อมกับคราบน้ำตา

    .

    .

    .

    .

    2 กรกฎาคม 25xx

    แสงแดดยามเช้าลอดผ่านม่านมากระทบลงตรงตาของเธอเล็กน้อยทำให้ร่างบางตื่นจากห้วงนิทรา เธอลุกขึ้นบิดขี้เกียจก่อนจะเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับเช้าวันนี้ ใช้เวลาไม่นานเธอก็แต่งตัวเสร็จสรรพพร้อมที่จะออกไปหางานต่อโดยที่ไม่ลืมว่าจะต้องล็อคห้องให้ดี'ถ้าโดนขโมยอีกรอบมีหวังไส้แห้งตายแน่ ๆ'

    "เดี๋ยวทางเราจะติดต่อกลับไปนะครับ"

    "ค่ะ ขอบคุณนะคะ"

    เธอกล่าวขอบคุณคนตรงหน้าก่อนจะเดินออกมา นี่คงเป็นการสัมภาษณ์งานรอบที่ล้านแปดของเธอได้แล้วล่ะมั้งและดูเหมือนว่าจะไม่ผ่านซะด้วย'เดี๋ยวทางเราจะติดต่อกลับไปนะครับ/คะ'เธอได้ยินประโยคนี้มานับไม่ถ้วนแต่ก็ไม่มีคนไหนจะติดต่อกลับมาสักคน เป็นประโยคปฏิเสธที่น่าเบื่อเอาการเลย

    "ถามจริง?" คงต้องโทษลิฟท์เจ้ากรรมที่ดันมาพังเอาตอนเธอเพิ่งกลับมาเสียดื้อ ๆจะมีอะไรลำบากไปกว่าการที่ต้องขึ้นตึกแปดชั้นด้วยลำแข้งของตัวเองอีก เธอหอบสังขารของตัวเองขึ้นมาบนตึกอย่างเหนื่อยอ่อนทำไมการสัมภาษณ์งานถึงกินพลังงานไปมากขนาดนี้กันนะ

    "ถึงสักที"เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยหอบพร้อมกับปาดเม็ดเหงื่อเล็ก ๆบนใบหน้า ขึ้นมาที่สูงแท้ ๆแต่ทำไมกลับเหมือนเดินดำดิ่งลงไปในนรกซะงั้นอีกไม่กี่อึดใจก็จะได้นอนหมกตัวอยู่ในห้องแล้ว เธอไม่รอช้ารีบเอื้อมมือไปเปิดประตูที่ปิดอยู่ออก

    'แกร๊ก'

    "เดี๋ยวนะ..จำได้ว่าล็อกประตูไปแล้วหนิ"เธอพูดกับตัวเองก่อนจะชะงักเล็กน้อยภาพจำที่เธอล็อคประตูเมื่อเช้าทับซ้อนเข้ามา'โจรหรอ'เธอฉุดคิดอยู่พักหนึ่งความคิดเมื่อครู่ทำเอาเธอสั่นไปทั้งตัวมือเรียวปล่อยออกมาจากลูกบิดประตูอย่างช้า ๆ'ตั้งสติก่อนเสี่ยวเว่ยเธออาจจะลืมล็อคเองก็ได้' 'แต่ฉันจำได้ว่าล็อคแล้วนะ' เธอเถียงกับความคิดในหัวของตัวเอง

    "เอาวะเป็นไงเป็นกันโจรก็มาเถอะจะฟาดให้น่วมเลยไหน ๆก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว"สารภาพเลยว่าวินาทีนั้นฉันไม่ได้นึกถึงตำรวจเลยแม้แต่น้อยสงสัยคงจะใส่อารมณ์มากไปหน่อย เธอหยิบร่มในกระเป๋าออกมาแล้วกำในมือแน่นก่อนจะผลักประตูห้องเข้าไปอย่างรวดเร็ว

    ภาพตรงหน้าปรากฎเป็นชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มที่สะพายกระเป๋าเป้ใบใหญ่กำลังนั่งดูทีวีในห้องของเธออย่างหน้าตาเฉย คนตรงหน้าเกิดอาการสะดุ้งเล็กน้อยจากเสียงประตูที่กระทบกับผนังห้อง

    "!!!!"

    "ค..คุณเข้ามาได้ไง"เธอกำร่มในมือแน่น

    "ช่วยวางไอนั่นลงก่อนได้มั้ยแล้วมาคุยกันดี ๆ"คนตรงหน้าพยายามไกล่เกลี่ย เข้ามาในห้องคนอื่นโดยที่ไม่ได้รับอนุญาติแถมยังเป็นผู้ชายอีกโรคจิตชัดๆ

    "ไม่"เธอปฏิเสธเสียงแข็ง

    "ผมจะอธิบายทุกอย่างให้คุณฟังเองแต่ช่วยวางร่มลงก่อนเถอะนะ"

    "ฉันจะมั่นใจได้ไงว่าคุณไม่ใช่โจร"

    "แล้วหน้าตาของผมมันบ่งบอกตรงไหนว่าเหมือนโจร"

    "ไม่รู้แหละแต่ฉันไม่มีทางวางร่มนี่เด็ดขาด"

    "จะเอาแบบนี้ใช่มั้ยเสี่ยวเว่ย"จบประโยคคนตรงหน้าพุ่งตรงมาที่ฉันอย่างรวดเร็วดูเหมือนว่าเป้าหมายของเขาจะคือร่มคันนี้แต่เดี๋ยวนะแล้วตานั่นรู้ชื่อของฉันได้ยังไงไม่มีเวลามาคิดแล้ว ตอนนี้เราทั้งสองคนต่างฉุดกระชากร่มคันเดียวกันอยู่แต่ดูเหมือนว่าเสี่ยวเว่ยจะได้เปรียบเธออาศัยช่องโหว่ของคนตรงหน้าแล้วยึดร่มมาเป็นของตัวเองก่อนจะฟาดร่มลงที่หัวคนตรงหน้าอย่างเต็มแรง

    "โอ๊ยย.."คนตรงหน้าอุทานออกมาด้วยความเจ็บปวด

    "คุณ!!"เธอทิ้งร่มก่อนจะวิ่งเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว"เจ็บมากมั้ย"

    "ลองมาโดนเองมั้ยล่ะ"

    "ฉันขอโทษไม่นึกว่าจะลงแรงเยอะขนาดนี้"

    สุดท้ายก็จบที่เธอต้องมานั่งทำแผลให้กับคนแปลกหน้า ยังดีที่หัวไม่ถึงกับแตกแต่ก็น่าเป็นห่วงอยู่ดีแผลที่ไม่เลือดออกอันตรายกกว่าแผลที่มีเลือดซะอีกตอนแรกฉันก็เสนอให้ไปโรงบาลแต่เจ้าตัวก็ปฏิเสธอยู่ท่าเดียวบอกว่าไม่ชอบโรงพยาบาลก็เลยมาจบที่นั่งทำแผลให้เองแบบนี้

    "สรุปแล้วคุณเข้าห้องฉันมาได้ไง"

    "วาร์ปเข้ามา...โอ๊ย"ฉันเอาสำลีจิ้มลงที่แผลเขาหนึ่งทีข้อหากวนประสาท"นี่คุณจะฆ่าผมรึไง"

    "อย่ากวนได้มั้ยไม่งั้นฉันจะแจ้งตำรวจแล้วนะ"

    "เข้าใจแล้ว ๆผมเป็นหลานของเจ้าของตึกน่ะ"เขาพูดพร้อมกับโชว์ลูกกุญแจในมือ

    "คิดว่าเป็นหลานเจ้าของตึกแล้วจะเข้าห้องใครก็ได้งั้นหรอ"

    "เดี๋ยวสิฟังผมก่อนคือว่า..ผมจะขอมาอยู่ด้วยได้มั้ย"คำพูดของคนตรงหน้าทำเอาเธองงเป็นไก่ตาแตกอยู่ดีๆคนแปลกหน้าก็มาขออยู่ด้วยและก็เป็นหลานเจ้าของตึกอีก บ้านเขาขัดสนหรอก็ไม่น่าใช่แถมยังเป็นผู้ชายอีกไม่ได้เด็ดขาด

    "นี่คุณจะบ้าหรอ"

    "ผมพูดจริง ๆแลกกับค่าเช่าเดือนนี้หรือถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรผมจะไปหาที่อื่นเอง"คนแปลกหน้าทำทีเหมือนว่าจะเดินออกไปจากประตู

    "เดี๋ยวก่อนคุณ ฉันตกลง"ข้อเสนอของคนแปลกหน้าทำเอาเธอหูผึ่งฉันไม่ได้เห็นด้วยกับข้อเสนอเลยจริง ๆนะแค่คิดว่าห้องเดี๋ยวนี้น่ะมันหายากถือซะว่าทำบุญทำทานก็แล้วกัน

    "ขอบคุณมากๆนะ"เขาพูดพร้อมพนมมือขึ้นเหนือหัวก่อนจะถูไปมา

    "จริงสิฉันยังไม่รู้ชื่อคุณเลย"ตอนแรกก็แอบสงสัยนะว่าตานั่นรู้ชื่อฉันได้ยังไงแต่พอรู้ว่าเป็นหลานเจ้าของตึกก็พอเดาได้แล้วล่ะว่ารู้มาจากไหน

    "เรื่องนั้นน่ะไม่ต้องใส่ใจหรอก"

    "แล้วทีนี้ฉันจะเรียกคุณได้ไงคิดหน่อยสิ"

    "ผมมาอยู่แค่อาทิตย์เดียวเพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้"

    "แปลกคนจริง ๆเอาเป็นว่าฉันจะเรียกคุณเผิงโหย่วละกัน"

    "เผิงโหย่ว?"

    "แปลว่าเพื่อนน่ะ"ฉันยกยิ้มเล็กน้อย

    จากนั้นเราก็ทำความรู้จักกันเล็กน้อยแต่เหมือนว่าเขาจะเป็นฝ่ายรู้ข้อมูลฉันคนเดียวซะมากกว่าเพราะเจ้าตัวไม่ยอมตอบคำถามที่เกี่ยวกับตัวเองเลยสักประโยค ไม่ใช่ว่าเป็นนักโทษหลบหนีหรืออะไรทำนองนั้นใช่มั้ย

    เวลาผ่านไปจนถึงตอนช่วงพลบค่ำอีกคนอาสาจะเป็นฝ่ายทำอาหารเย็นให้เองนับว่าโชคดีเป็นอย่างมากเพราะเธอไม่ต้องออกค่าวัตถุดิบแถมไม่ต้องทำอาหารเองอีกต่างหาก สกิลทำอาหารของเธอถือว่าเป็นศูนย์เลยไม่สิติดลบก็ว่าได้

    "เป็นไงอร่อยใช่มั้ย"คนตรงหน้าถาม"

    "ก็อร่อยดี....นี่เผิงโหย่ว"

    "หืม"

    "คุณคงไม่ใช่นักโทษหลบหนีหรือว่าพวกหนีคดีมาหรอกใช่มั้ย"ฉันถามออกไปด้วยความสงสัย

    "ผมว่าคุณดูหนังมากไป"

    "ก็คุณเล่นไม่บอกอะไรเกี่ยวกับตัวคุณเลยหนิ"

    "ผมแค่คิดว่าเราไม่ต้องสนิทกันขนาดนั้นก็ได้"

    "你疯了.. (คุณบ้าไปแล้ว..) "เธออุทานเบา ๆได้ยินคำพูดคนตรงหน้าแล้วมันตะหงิดใจยังไงชอบกลฉันดูเป็นคนไม่ดีถึงขนาดไม่อยากเป็นเพื่อนเลยหรอหรือว่าเขาเป็นพวกอีโก้สูงกัน

    "รู้นะว่าด่าน่ะ"

    "ป่าวซะหน่อย"ฉันทำท่าเป็นไม่รู้ไม่ชี้

    และแล้วก็ถึงเวลาเข้านอนเนื่องจากห้องของฉันไม่มีเตียงก็เลยเป็นเรื่องง่ายที่จะแบ่งพื้นที่ในการนอนเราสองคนช่วยกันปูที่นอนก่อนจะกันเขตโดยการวางหมอนข้างผืนยาวไว้ขั้นพื้นที่ระหว่างเราสอง'คนลองข้ามมาดูสิจะต่อยให้ตาเขียวเลย'

    "นี่คุณ"ฉันถามอีกคนที่อยู่อีกฝั่งของหมอนข้าง

    "ว่าไง"

    "ทำไมคุณถึงมาขออยู่กับฉันหรอ"

    "..."เขาเงียบ

    "หลับแล้วงั้นหรอ"เธอชะโงกหน้าไปดูอีกคนก่อนจะพบว่าเขากำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่ แต่เมื่อกี้ยังขานรับฉันอยู่เลยดูก็รู้ว่าตานั่นน่ะแกล้งหลับ มีอะไรที่ทำให้อีกคนต้องปิดบังตัวตนกับเธอขนาดนี่กันนะแล้วแบบนี้จะไม่ให้ฉันสงสัยได้ไงให้ตายสิ"ไม่รู้ด้วยแล่ว"เธอทำท่าทีฮึดฮัดก่อนจะคลุมโปงแล้วก็ผลอยหลับไป

    .

    .

    .

    .

    3 กรกฎาคม 25xx

    กลิ่นหอมจาง ๆโชยออกมาจากในห้องครัวทำให้เธอตื่นจากการหลับไหล ดูเหมือนว่าอีกคนจะลุกออกจากที่นอนไปแล้วนั่นคงเป็นสาเหตุของกลิ่นหอมในห้องครัว เธอทำการยืดเส้นยืดสายเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปในครัวเพื่อหาอะไรทาน

    "ตื่นแล้วหรอ"เผิงโหย่วถาม

    "อื้อ"เธอขานรับก่อนจะยัดขนมปังแผ่นเข้าปาก

    "อาบน้ำก่อนแล้วค่อยมากินสิ"เขาดึงจานกลับ

    "ค่ะ ๆรับทราบแล้วค่ะ"

    นี่คงจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่เธอได้ทานอาหารเช้าที่ไม่ใช่กาแฟพอได้ทานอาหารครบห้าหมู่แล้วก็รู้สึกมีกำลังใจในการหางานขึ้นมาเลย

    "หน้าตาคุณดูมีความสุขนะ"เผิงโหย่วเอ่ย

    "งั้นหรอ"

    "แล้วตกลงมีความสุขมั้ย"

    "ไม่อะ รอให้ฉันได้งานก่อนเถอะฉันก็จะเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกเลย"

    "ผมจะรอดูแล้วกัน"

    ใช้เวลาเกือบครึ่งวันเธอก็กลับมาถึงที่พักโดยสวัสดิภาพ

    "กลับมาแล้วค่ะ"เธอพูดพร้อมกับผลักประตูเข้ามาอย่างเบามือ

    "ทำไมทำหน้าบูดแบบนั้นล่ะ"

    "ดูเหมือนว่าจะสัมภาษณ์ไม่ผ่านน่ะสิ"เธอทำหน้าเศร้าเล็กน้อย

    "พรุ่งนี้ก็ยังมีเวลาลองใหม่อีกสักครั้งจะเป็นไรไป"

    "ฉันก็เหนื่อยเป็นเหมือนกันนะคุณ แอบท้อใจด้วย"

    "งั้นหรอ"

    "คุณจะทำอะไร"คนตรงหน้าเดินเข้ามาหาฉันอย่างช้าๆ

    "ปลอบคุณไง"เขาหยุดอยู่ตรงหน้าก่อนจะนำมือลูบหัวของฉันอย่างเบามือ ถึงจะเป็นแค่การลูบหัวก็เถอะแต่ฉันก็สามารถรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นของอีกคน สายตาของเธอเริ่มมัวขึ้นเนื่องจากน้ำที่เอ่อล้นอยู่บริเวณขอบตา

    "นี่คุณจะร้องไห้หรอฮ่าๆๆ"

    "ฉันไม่ได้จะร้องไห้สักหน่อย!"ฉันผลักเขาออก

    "ไม่ร้องก็ไม่ร้อง"

    "ฉันจะไปอาบน้ำแล้วบาย"จบประโยคเธอก็รีบเผ่นแนบเข้าห้องน้ำไป เมื่อกี้นี้มันอะไรกันฉันจะให้นายนั่นแตะตัวฉันอีกเป็นครั้งที่สองไม่ได้ให้ตายเถอะ

    เวลาผ่านไปจนถึงช่วงพลบค่ำอีกคนอาสาจะทำอาหารให้เธออีกเช่นเคย ฉันยื่นเงินจำนวนหนึ่งให้คนตรงหน้าแต่ก็โดนปฏิเสธโดยเจ้าตัวบอกว่าเป็นการตอบแทนที่ให้มาอยู่ด้วยแถมยังบอกว่าจะทำให้กินทุกวันอีก สำหรับฉันแค่ค่าเช่าเดือนนี้ก็มากพอแล้วนะยังมาทำอาหารให้กินอีกรู้สึกผิดขึ้นมาเลย

    "ทำไมยังทำหน้าบูดอยู่อีก ไม่อร่อยหรอ"

    "ป่าวฉันรู้สึกผิดน่ะ คุณจ่ายค่าเช่าให้ตั้งเดือนนึงแถมยังทำอาหารให้กินอีก"

    "ไม่ต้องเกรงใจหรอกหน่าคิดซะว่าผมเป็นเพื่อนคุณคนนึง"

    "เพื่อนอะไรชื่อยังไม่รู้เลย"เธอบ่นพึมพำ

    "ได้ยินนะ"

    "งั้นคุณก็บอกชื่อมาสักทีสิ"

    "คุณจะอยากรู้ไปทำไมกัน"

    "ไม่รู้ก็ไม่รู้"ฉันตอบปัดก่อนจะตักอาหารเข้าปาก หลังจากทานข้าวเสร็จเราสองคนก็ช่วยกันจัดที่นอนแล้วก็แยกย้ายกันไปเตรียมตัวเพื่อที่จะเข้านอนในคืนนี้

    "เผิงโหย่ว..ถ้าฉันเอาโจรมาอยู่ด้วยฉันจะกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดมั้ย"ฉันพลิกตัวมาอีกฝั่งเผื่อถามคนที่อยู่หลังหมอนข้าง

    "ยังไม่เลิกคิดว่าผมเป็นโจรอยู่อีกหรอ"

    "ก็ดูคุณทำตัวสิ"

    "ถ้าผมป็นโจรป่านนี้ห้องคุณคงไม่เหลืออะไรแล้ว"

    "..."จริงอย่างที่เขาพูดแต่ถ้านายนั่นไม่ยอมบอกชื่อเราก็ไปถามเจ้าของตึกเองก็ได้หนิทำไมเพิ่งมานึกได้เอาตอนนี้นะฉันคิดในใจก่อนจะยกยิ้มชั่วร้ายออกมา

    "คิดอะไรอยู่น่ะ"

    "ป...ป่าวสักหน่อย คุณนอนไปเถอะ"ฉันหันหลังกลับไปอีกฝั่ง จริงสิใกล้จะถึงวันทานาบาตะแล้วหนิหลังจากนี้ก็ขอพักเหนื่อยหน่อยสักสองสามวันก็แล้วกันจะนอนให้อิ่มเลยคอยดู

    *สามารถข้ามไปอ่านวันที่เจ็ดได้เลยถ้ารู้สึกว่าเนื้อเรื่องยาว

    .

    .

    .

    .

    4 กรกฎาคม 25xx

    "นี่คุณตื่นได้แล้ว"

    "..."

    "หวัง เสี่ยวเว่ย!!"

    "!!!! ตกใจหมด"

    "โทษที ก็เรียกตั้งนานแล้วคุณไม่ตื่นสีกที"

    "ช่วงนี้ฉันไม่ได้ไปหางานสักสองสามวันเพราะฉะนั้นเรื่องหางานน่ะก็ไม่ต้องเป็นห่วง"

    "ป่าวหรอกผมแค่กลัวอาหารมันเย็น"

    "..."ฉันมองขวางใส่อีกคน

    "จริงสิวันนี้คุณไม่ได้ไปไหนใช่มั้ย งั้นก็ออกไปซื้อของกับผมหน่อยสิของในตู้เย็นหมดแล้ว"

    "ไม่มีทางฉันวางแผนว่าจะนอนมาราธอนไว้แล้ว"

    "เสี่ยวเว่ย"

    "ไม่"

    "หวัง เสี่ยวเว่ย!"

    "ไม่มีทางอย่างเด็ดขาด!"

    สุดท้ายฉันก็โดนอีกคนลากมาที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในโตเกียวอย่างไม่เต็มใจ ดูเหมือนว่าพอใกล้เทศกาลทานาบาตะเข้าห้างร้านต่างๆก็พากันตกแต่งด้วยกระดาษสีเต็มไปหมดในระหว่างที่เธอกำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบข้างรู้ตัวอีกทีคนที่ลากเธอมาก็หายหน้าหายตาไปเสียแล้ว'คนเยอะแบบนี้จะหากันเจอได้ไงเนี่ย'

    เธอเดินวนรอบๆบริเวณที่เดินผ่านมากว่าครึ่งชั่วโมงแต่ก็ไม่พบวี่แววของคนที่เธอหาเลย'ถ้าฝั่งนู้นก็ตามหาเราเหมือนกันแล้วแบบนี้จะหากันเจอหรอ'เสี่ยวเว่ยหยุดชะงักเล็กน้อยก่อนที่สมองของเธอจะสั่งการให้ไปรออีกคนที่ทางเข้าของห้างเธอรีบสาวเท้าอย่างรวดเร็วไม่นานก็มาถึงประตูทางเข้าและเธอก็ได้พบกับคนตรงหน้าที่กำลังหันซ้ายหันขวาเหมือนว่าจะหาบางอย่างอยู่

    "นี่คุณไปไหนมาเนี่ย"อีกคนถาม

    "ฉันสิต้องถามว่าคุณไปไหนมา"

    "ซื้อของไง"เขาพูดพร้อมชูถุงที่อยู่ในมือ

    "รู้มั้ยว่าไปไหนมาไหนคนเดียวมันอันตราย"

    "คุณเป็นห่วงผมหรอ"

    "ก..ก็ใช่น่ะสิ ถ้าคุณถูกจับไปเรียกค่าไถ่แล้วใครจะจ่ายค่าห้องให้ฉันล่ะ"

    "งั้นก็ทำแบบนี้สิจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง"เขาดึงมือฉันไปจับเบาๆ

    "ฉ..ฉันไม่เอาด้วยหรอก"ฉันสลัดมือเขาทิ้งก่อนจะเบือนหน้าหนี

    "อะไรน่ะ เขินหรอ"เขาจ้องฉันตาเขม็ง

    "บ้ารึป่าวก็แค่จับมือเองใครมันจะไปเขินกันคุณมั่วละ ฉันจะกลับบ้านแล้วบาย"ฉันพูดพร้อมเดินห่างออกไป

    "แต่ทางกลับทางนี้นะคุณ"

    "ฉันรู้หน่า!"

    จบบทสนทนาฉันก็รีบจ้ำอ้าวเดินหนีอีกคนมาเสียดื้อ ๆบางคนอาจจะคิดว่าการจับมือคงเป็นอะไรที่ธรรมดามากแต่คงไม่ใช่สำหรับเสี่ยวเว่ยเพราะเธอคิดว่ามีแต่พวกคู่รักหวานแหววเท่านั่นแหละที่จับมือกันเดินไปไหนมาไหน

    ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงทั้งสองคนก็กลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย เสี่ยวเว่ยหย่อนตัวลงบนโซฟาช้า ๆพร้อมกับมองอีกคนที่ดูทีวีตาไม่กระพริบดูเหมือนว่าอีกคนจะให้ความสนใจกับรายการทำอาหารบนทีวีเป็นอย่างมากถึงขนาดต้องจ้องแล้วจ้องอีก

    "จ้องขนาดนั้นไม่เอาหัวมุดเข้าไปเลยล่ะ"

    "คุณรู้มั้ยว่าผมชอบรายการนี้แค่ไหน"

    "ไม่ยักจะรู้ว่าคุณดูรายการแบบนี้ด้วย"

    "สูตรอาหารผมก็เอามาจากในนี้หมดนั่นแหละ"

    "แสดงว่าคุณก็เป็นแฟนพันธุ์แท้รายการนี้เลยน่ะสิ"

    "แน่นอนอยู่แล้วฮ่า ๆๆ"เขาขำเล็กน้อย

    เราสองคนใช้เวลาไปกว่าหนึ่งชั่วโมงในการชมรายการโทรทัศน์สารภาพเลยว่าถึงฉันจะไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้รายการทำอาหารแต่พอได้ดูรายการแล้วก็รู้สึกเพลินดีเหมือนกัน จู่ๆเธอก็รู้สึกถึงน้ำหนักที่ไหล่ด้านขวา เธอหันไปก่อนจะพบสาเหตุว่าอีกคนกำลังนอนหลับตาพริ้มพิงไหล่ของเธออยู่ สงสัยคงจะเหนื่อยจากการไปซื้อของ"เพิ่งจะเคยเจอเหมือนกันผู้ชายที่ชอบช็อปปิ้งเนี่ย"เธอขำเล็กน้อยก่อนจะยีผมของอีกคน

    เป็นครั้งแรกที่เธอได้มองเห็นหน้าอีกคนแบบชัด ๆใบหน้าของเขาราวกับว่าพระเจ้าตั้งใจสร้างยังไงอย่างงั้น จมูกโด่งเป็นสัน คิ้วเข้มโก่ง ผิวขาวอมชมพูตัดกับเส้นผมสีน้ำตาล ดูดีๆแล้วก็เป็นคนที่หน้าตาดีเอามาก ๆเลยถ้าไม่ติดที่นิสัยชอบกวนไม่แฟร์ชะมัด เธอเอนหลังลงกับโซฟาเล็กน้อยก่อนจะหลับไปพร้อมกับอีกคนฉันคงจะโดนพิษช็อปปิ้งเล่นงานเข้าแล้วล่ะ รู้ตัวอีกทีเธอก็มาโผล่อยู่ที่นอนซะแล้ว

    .

    .

    .

    .

    5 กรกฎาคม 25xx

    "ตื่นแล้วหรอ"

    "อื้อ กี่โมงแล้ว"

    "แปด"

    "แปดโมง!!"ฉันรีบลุกพรวดออกจากที่นอน จำได้ว่าดูรายการอาหารจบแล้วก็เผลอหลับไปเลยรู้ตัวอีกทีก็เช้าแล้วข้าวเย็นก็ยังไม่ได้กินเลยบ้าจริง

    "เห็นคุณดูเหนื่อยๆก็เลยไม่กล้าปลุก หิวแล้วหรอ"

    "ก็ใช่น่ะสิข้าวเย็นเมื่อวานก็ยังไม่ได้กิน"ฉันทำหน้ามุ่ย

    "ขอโทษพอดีวันนี้ผมตื่นสายน่ะเลยไม่ได้ทำไว้"

    "ไม่เป็นไรๆ งั้นเราออกไปกินข้าวข้างนอกดีมั้ย"

    "ก็ดีเหมือนกันนะ"

    ฉันทำการสั่งจองโต๊ะอาหารในแอพพลิเคชั่นก่อนจะรีบไปแต่งตัวเพื่อทานอาหารมื้อเช้า ไม่นานเราสองคนก็เดินมาถึงร้านที่ได้จองไว้ฉันเลือกร้านอาหารที่ฉันมาทานประจำนั่นก็คือร้านราเมงแถวที่พัก ด้านในร้านตกแต่งแบบธรรมดาให้บรรยากาศเหมือนอยู่ที่บ้าน ฉันเลือกที่จะนั่งหน้าบาร์กับอีกคน

    "ฉันบอกเลยว่าร้านนี้น่ะเด็ดสุดในโตเกียว"

    "ขนาดนั้นเลยหรอ"

    "ของแบบนี้มันต้องลองกันเอง"ผ่านไปสักพักถ้วยราเมงก็มาเสิร์ฟอยู่ด้านหน้าของทั้งคู่

    "จะทานแล้วนะครับ"เขาพูดก่อนจะคีบเส้นเข้าปาก

    "เป็นไงบ้าง"

    "อร่อยมากเลย"อีกคนพูดพร้อมทำตาลุกวาว

    "อร่อยก็กินเยอะๆ เดี๋ยวมื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง"

    "จะกินให้เกลี้ยงเลยคอยดู"

    หลังจากทานเสร็จทั้งสองคนก็ออกมาเดินเล่นข้างนอกเล็กน้อยบรรยากาศรอบๆชวนให้น่าเดินเป็นอย่างมาก รอบข้างตกแต่งไปด้วยไม้ไผ่และกระดาษสีดูเหมือนว่าทุกคนกำลังจะตื่นเต้นกับเทศกาลทานาบาตะที่ใกล้จะถึงในเร็ววันคงจะมีแค่เธอที่ไม่ได้ดูตื่นเต้นสักเท่าไหร่ ตอนนี้เราสองคนก็ได้เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านไอศกรีมแห่งหนึ่งฉันจิ้มนิ้วเลือกสิ่งที่ฉันต้องการบนเมนูก่อนจะมานั่งทานที่ม้านั่งในระแวกนั้น

    "คุณจะไม่กินจริงๆหรอ"ฉันถามอีกคน

    "แค่ราเมงถ้วยเดียวผมก็อิ่มจะตายอยู่ละ"

    "อย่าเว่อหน่อยเลยคุณ"

    "ผมพูดจริงๆ นี่เสี่ยวเว่ย"เขาพูดพร้อมชี้ที่มุมปาก

    "ตรงนี้หรอ"

    "ขอโทษนะ"คนตรงหน้าโน้มตัวลงมาหาเธอเล็กน้อยก่อนจะถือวิสาสะหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กมาเช็ดที่มุมปากของเธอ"เรียบร้อย"

    'ตึกตัก ตึกตัก' การกระทำของคนตรงหน้าทำให้หัวใจของเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ จมูกโด่งเป็นสันห่างจากใบหน้าของเธอเพียงไม่กี่เซนติเมตรนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่จ้องมองมาที่เธอทำเอาเธอทำตัวไม่ถูก "ข..ขอบคุณ"

    "งั้นก็กลับกันเถอะ"เขายืนขึ้นพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย

    ฉันลุกขึ้นจากม้านั่งก่อนจะสะพายกระเป๋าข้าง แต่เหมือนวันนี้โชคชะตาก็เล่นตลกกับเธออีกเช่นเคย ชายร่างผอมสูงวิ่งมากระชากกระเป๋าของเธออย่างรวดเร็วและวิ่งหนีออกไป เธอวิ่งตามชายคนนั้นแต่เคราะห์ร้ายที่เธอนั้นสะดุดขาตัวเองแล้วล้มลงไปกองกับพื้น ตอนนี้เธอทำอะไรไม่ได้เพราะดูเหมือนว่าชายคนนั้นจะวิ่งออกไปไกลเสียแล้ว

    แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีเผิงโหย่วรีบวิ่งตามชายคนนั้นไปได้ทันก่อนที่จะปล่อยหมัดใส่ชายคนนั้นอย่างเต็มแรงจนล้มลง ไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่มาจับกุมชายคนนั้นไป ภาพตรงหน้าของเธอปรากฎเป็นเผิงโหย่วที่กำลังวิ่งมาหาเธอพร้อมกับชูกระเป๋าของเธอขึ้น

    "เจ็บมากมั้ย"เขาพูดพร้อมย่อตัวลงมาหาฉันที่กำลังนั่งอยู่กับพื้น

    "ขอบคุณนะ ขอบคุณจริงๆ"จบประโยคเธอก็พุ่งสวมกอดอีกคนถ้าไม่มีเผิงโหย่วป่านนี้เธอคงไม่มีหวังที่จะได้กระเป๋านั่นกลับมาแล้วแน่ๆ เธอคิดในใจก่อนที่จะกระชับอ้อมแขนพร้อมกับมุดหน้าเข้าหาไหล่กว้างแล้วปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย คนตรงหน้าดูตกใจกับฉันเอามากๆเขานำมือลูบหัวฉันเบาๆเพื่อเป็นการปลอบโยนก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาให้เธออย่างเบามือ

    "ลุกได้มั้ย"

    "..."ฉันส่ายหัว

    "ขึ้นมาสิ"เขาหันหลังให้ฉันก่อนที่จะย่อเข่าลง

    "ไม่เอาหรอก"

    "หวัง เสี่ยวเว่ย"เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

    สุดท้ายฉันก็ยอมขี่หลังอีกคนแต่โดยดีถ้าปฏิเสธฉันอาจจะโดนอัดจนตัวปลิวเหมือนโจรนั่นก็ได้ฉันไม่เอาด้วยหรอกแต่เดี๋ยวนะตานั่นใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนเดียวกันกับที่ใช้เช็ดปากเลยหนิ ฉันนึกในใจก่อนจะตีเข้าที่บ่าของอีกคน

    "คุณทำอะไรเนี่ย"

    "นี่คุณเอาผ้าที่เช็ดปากมาเช็ดหน้าต่อเนี่ยนะ"

    "แล้วไม่ได้หรอ"

    "ก็ไม่ได้นะสิ!"ฉันโวยวาย

    "ขอโทษก็แล้วกัน"ดูเหมือนว่าอีกคนจะไม่ได้รู้สึกผิดแม้แต่น้อยแถมยังขำให้เธออีกต่างหาก

    เขาแบกฉันเดินไประหว่างทางเรื่อยๆถึงระยะทางจะห่างจากบ้านไม่มากแต่ทำไมเส้นทางมันดูยาวนานซะเหลือเกินบรรยากาศรอบๆดูช้าไปหมดเหมือนเวลาจะหยุดเดินยังไงอย่างนั้น ไม่รู้สิแต่ฉันก็ไม่ได้เกลียดมันสักไหร่หรอกนะเหมือนได้ใช้เวลาทั้งวันอย่างคุ้มค่าและก็ได้ใช้เวลาอยู่กับเพื่อนใหม่อย่างเผิงโหย่วอีกด้วย

    ผ่านไปสักพักทั้งคู่ก็มาถึงที่หมาย เขาวางเธอลงตรงโซฟาก่อนจะนำผ้าชุบน้ำอุ่นที่เพิ่งเตรียมมากดลงที่ข้อเท้าของเธอแล้วใช้ฝ่ามือทั้งสองนวดข้อเท้าของเธออย่างเบามือ

    "ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้คุณ"

    "ยาทาอยู่ตรงไหนหรอ"เขาทำเป็นหูทวนลม

    "ฟังกันหน่อยสิ!"จบประโยคฉันก็ชี้ไปที่กล่องปฐมพยาบาลหลังตู้เย็น เขาเดินไปหยิบหลอดยาที่อยู่หลังตู้เย็นแล้วทำการทายาลงที่ข้อเท้าพร้อมกับนวดอย่างช้าๆเสร็จแล้วก็ส่งยิ้มให้ฉันหนึ่งที 

    .

    .

    .

    .

    6 กรกฎาคม 25xx

    ร่างบางลุกขึ้นจากที่นอนก่อนจะใช้ฝ่ามือตบไปที่หน้าของตัวเองเบาๆเป็นการเรียกสติ เกือบจะหนึ่งสัปดาห์แล้วที่มีอีกคนเข้ามาในชีวิตของเธอบอกเลยว่าตั้งแต่มีเขาเข้ามาในอยู่ในชีวิตก็ทำให้ชีวิตประจำวันของเธอง่ายเป็นเท่าตัวเลยไม่รู้จะขอบคุณยังไงดีวันนี้ก็เลยว่าจะลองตามใจนายนั่นทั้งวันดู

    "นี่คุณวันนี้อยากออกไปไหนหน่อยมั้ย"ฉันถาม

    "ขาคุณหายแล้วหรอ"

    "แค่นี้สบายๆ"เธอกระโดดให้เขาดูหนึ่งที

    "คงอยากเดินเล่นแถวๆนี้แหละมั้ง"

    "งั้นก็ไปกันเถอะ"

    อีกคนทำหน้าตาสงสัยแต่ก็ทำตามเธออย่างว่าง่าย ทั้งคู่เดินเท้าออกมาเรื่อยๆจนถึงริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง พวกเขาหย่อนตัวนั่งบนขั้นบันไดริมแม่น้ำก่อนจะมองออกไปข้างหน้า วิวตรงหน้าถึงจะเป็นแค่แม่น้ำธรรมดาแต่บรรยากาศรอบๆก็ทำให้แม่น้ำที่ธรรมดาดูน่าตื่นตาขึ้นมาได้

    เธอนั่งกอดเข่ามองคนที่อยู่ข้างๆ เขาลุกขึ้นพร้อมกับหยิบหินก้อนเล็กขึ้นมาเขวี้ยงไปบนผิวน้ำ หินนั่นเด้งสองสามที่ก่อนจะจมลงสู่ก้นแม่น้ำเขาปาได้สองสามก้อนก่อนจะยื่นหินที่อยู่ในมือมาให้ฉัน

    "ลองดูสิ"

    "ฉันทำไม่ได้หรอก"

    "คุณก็เป็นซะแบบนี้ไม่ลองจะรู้หรอ"

    "ก็ได้ๆๆ"ฉันขว้างหินอย่างสุดแรงเกิด

    'จ๋อม' ไม่ทันที่หินจะเด้งบนผิวน้ำก็จมลงสู่ก้นแม่น้ำอย่างน่าอนาถใจ

    "ทำแบบนี้สิคุณ ขว้างหินให้มันอยู่ระนาบเดียวกันกับผิวน้ำพอหินกระแทกน้ำมันก็จะเด้งขึ้นมาเอง"เขาทำการสาทิตให้ดู

    "ค่ะๆพ่อคนเก่ง"ฉันกำหินที่อยู่ในมือแน่นก่อนจะทำตามเทคนิคที่อีกคนแนะนำมาและสุดท้ายผลก็ออกมาดีเกินคาดก้อนหินนั่นเด้งประมาณสองทีก่อนจะจมลงไป ดูเหมือนว่าคนที่ดีใจที่สุดน่าจะไม่ใช่ฉันแต่เป็นตานั่นมากกว่า

    "เห็นมั้ยทำได้แล้ว!"อีกคนคนพุ่งเข้ามาสวมกอดเธอก่อนที่ดวงตาของของทั้งคู่จะสบกัน เขาขยับหน้าเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เหมือนโลกทั้งใบได้หยุดลงจริงๆเลยรอบข้างดูช้าไปหมดช้าจนสามารถมองเห็นใบไม้ที่กำลังปลิวไปมาร่วงลงอย่างช้าๆ ตอนนี้ใบหน้าของทั้งสองห่างกันเพียงไม่กี่เซนติเมตร เธอหุบตาลงก่อนจะพบว่า..

    "ใบไม้น่ะ"เขายิ้มให้ฉันเล็กน้อยก่อนจะโยนใบไม้นั่นทิ้งไป

    "..."ฉันกระพิบตาถี่ๆในใจเกิดแต่ความสงสัย

    "คุณ"เขาโบกมือไปมาตรงหน้าฉัน

    "..."ฉันไม่พูดอะไรก่อนจะดึงมือเขาเข้ามางับ

    "โอ้ยยย..ทำอะไรของคุณเนี่ย!"

    "แล้วใครบอกให้เอาหน้าเข้ามาใกล้ขนาดนั้นเล่า"

    "ก็ผมเห็นคุณเอาแต่หลับตา นึกว่ารออะไรอยู่"เธอไม่รอช้าฟาดฝ่ามืออรหันต์ลงตรงที่แขนของเขาทันที

    "รอบ้าบออะไรฉันจะกลับบ้านแล้ว"ฉันรีบหันหลังเพื่อไม่ให้อีกคนเห็นสีหน้าที่ผิดปกติ คนที่อยู่ข้างหลังได้แต่สงสัยก่อนจะวิ่งตามเธอมา

    สุดท้ายดูเหมือนว่าแผนวันนี้จะล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าตามใจบ้าอะไรไม่ทำมันแล้ว เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนถึงช่วงค่ำเราทั้งสองช่วยกันจัดที่นอนอีกเช่นเคยแต่ดูเหมือนว่าวันนี้เธอจะนอนไม่หลับเพราะมัวแต่นึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันที่พอนึกถึงทีไรก็ทำให้เธอใจเต้นทุกที

    "คุณนอนรึยัง"ฉันถามคนที่อยู่อีกฝั่งของหมอนข้าง

    "ยัง ทำไมหรอ"

    "ฉันแค่นอนไม่หลับ"

    "งั้นเดี๋ยวผมไปต้มนมอุ่นให้รอสักพัก"ไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมกับแก้วนมอุ่นที่อยู่ในมือ

    "ขอบคุณ"

    "คุณคิดว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไงบ้าง"

    "วันทานาบาตะน่ะหรอ ก็วันธรรมดาวันหนึ่งล่ะมั้งฉันก็คงแค่ไปขอพรแล้วก็กลับมานอนในห้อง"

    "คุณนี่มันคุณจริงๆเลย"

    "เป็นฉันแล้วมันทำไม จริงสิแล้วคุณจะกลับวันไหนหรอ"

    "อีกสักสองวันเนี่ยแหละผมไม่อยู่ให้เป็นภาระคุณหรอก"จบประโยคเขาก็ขำเล็กน้อย

    หลังจากดื่มนมเสร็จฉันก็ล้มตัวลงบนที่นอนอีกครั้งหนึ่ง เธอมองไปบนเพดานก่อนจะคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย อะไรที่ทำให้อีกคนคิดว่าตัวเองเป็นภาระกันไม่เลยสักนิดอยู่ดีๆภาพจำของเมื่อตอนกลางวันก็ทับซ้อนขึ้นมา ทำไมฉันต้องใส่ใจตานั่นด้วยอีกไม่กี่วันก็จะไม่เจอกันแล้วหนิ จะเห็นแก่ตัวไปมั้ยถ้าฉันอยากให้ตานั่นอยู่ต่ออีกสักหน่อยฉันยังนึกภาพไม่ออกเลยว่าถ้าไม่มีเขาอยู่ด้วยแล้วชีวิตของฉันจะเป็นแบบไหนต่อไป

    .

    .

    .

    .

    7 กรกฎาคม 25xx (วันทานาบาตะ)

    "คุณเชื่อเรื่องโอริฮิกับฮิโกโบชิมั้ย"

    "คิดว่าฉันเป็นเด็กรึไงกัน เรื่องแบบนี้มันจะไปมีจริงได้ที่ไหน"

    "นั่นสินะ"

    "แต่ได้เจอคนรักปีละครั้งเป็นอะไรที่น่าเศร้าอยู่เหมือนกันนะ"ฉันพูดพร้อมตักอาหารใส่ปาก

    "ก็ยังดีกว่าไม่เจอกันเลย"

    "จริงของคุณ"

    หลังจากทานอาหารเสร็จทั้งคู่ก็ต่างทำธุระส่วนตัวก่อนจะมานั่งจ๋องอยู่หน้าทีวี เราสองคนนั่งเงียบมากว่าสิบนาทีก่อนที่อีกคนจะเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนา

    "คุณไม่คิดจะไปไหนจริงๆหรอ"

    "ไม่รู้สิ ฉันไม่ค่อยชอบคนเยอะๆน่ะ"

    "งั้นเราลองไปหาที่สงบ ๆกันดูมั้ย"

    "แต่นี่มันโตเกียวนะคุณ"

    "เอาหน่าแค่ตามผมมาก็พอ"

    อีกคนเดินนำฉันมาเรื่อย ๆก่อนจะถึงทางเดินลัดเข้าไปที่ไหนสักแห่ง สองข้างทางไม่มีแม้แต่สักคนที่เดินผ่านมารอบข้างมีแต่ต้นไม้เต็มไปหมดคงไม่ได้จะพาฉันมาปล้นหรอกใช่มั้ย เราสองคนเดินมาสักพักก่อนจะเจอบันไดที่นำทางไปที่หมาย ตอนนี้ทั้งคู่เดินมาหยุดอยู่ที่ศาลแห่งหนึ่งบนเขาลูกเล็ก

    "คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม"ฉันถามอีกคนด้วยความสงสัย

    "ก็เห็นคุณบอกว่าจะขอพร"

    "จริงด้วย"

    "จะบอกว่าที่นี่น่ะศักดิ์สิทธิ์มากๆเลยนะ"

    "แล้วคุณรู้จักที่นี่ได้ยังไง"

    "เวลาผมเครียดๆก็มาเดินเล่นแถวนี้ประจำ"

    "งั้นหรอ"

    เธอกุมมือแน่นพร้อมกับอธิฐานในใจก่อนจะโค้งคำนับให้กับศาลเจ้า คงไม่ต้องเดาว่าเธอที่เธออธิฐานนั้นเป็นเรื่องอะไรก็คงจะไม่พ้นเรื่องเกี่ยวกับงานอย่างแน่นอน เธอจ้องมองอีกคนที่กำลังทำการอธิฐานเช่นเดียวกันกับเธอก่อนที่เขาจะหันหน้ามาสบตากับเธอ

    'ตึกตัก ตึกตัก'หัวใจของเธอทำการสูบฉีดเลือดอีกครั้งนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่จ้องมาที่เธอทำให้เธอเหมือนว่าจะหลุดไปอยู่อีกมิติหนึ่งยังไงอย่างงั้น ในหัวของเธอตอนนี้ว่างเปล่าคงจะมีแค่เสียงนกในระแวกนั้นที่ก้องอยู่ในโสทประสาท คนตรงหน้าโบกมือไปมาข้างหน้าเธอเพื่อเป็นการเรียกสติ

    "คุณๆ"เขาโบกมือไปมา

    "ห..หืมว่าไง"

    "ก็ผมเห็นคุณเอาแต่เหม่อ"

    "มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะ"

    "คงไม่ได้ป่วยหรอกใช่มั้ย"เขาเดินมาใกล้ฉันก่อนจะนำฝ่ามือหน้าทาบบริเวณหน้าผาก"ก็ปกติดีหนิ"

    'ตึกตัก'หัวใจของเธอเต้นรัวขึ้นอีกครั้งเก่งจังเลยเรื่องทำให้ใจคนอื่นเต้นเนี่ย ช่วงนี้หัวใจชักจะเต้นบ่อยเกินไปแล้วนะถ้าเต้นอีกรอบฉันคงต้องไปเช็คที่โรงบาลซะแล้วว่าเป็นเพราะตานั่นหรือโรคหัวใจกันแน่

    "ฉันว่าเรากลับกันเถอะ"ฉันพูดก่อนจะหันหลังหนีอีกคน

    "คุณรู้ทางกลับหรอ"

    "นายก็นำไปสิ!"

    เราสองคนกลับมาที่บ้านอีกครั้ง เธอล้มตัวลงโซฟาจุดประจำก่อนจะหลับตานอนเพื่อพักผ่อนสายตา 

    'ที่นี่คือที่ไหนกัน'เธอลุกขึ้นมาจากโซฟาก่อนจะพบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางถนนเมืองโตเกียว เสี่ยวเว่ยวิ่งไปรอบๆก่อนจะพบว่าไม่มีใครสักคนที่อยู่บริเวณนี้เลย เธอเดินไปเรื่อยๆและพบกับเผิงโหย่วที่อยู่ตรงหน้าของเธอแต่อีกคนกลับเดินหนีเธอไปเสียอย่างนั้นยิ่งเธอวิ่งตามอีกคนก็ยิ่งห่างออกไป เสี่ยวเว่ยตะโกนเรียกเผิงโหย่วแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าอีกคนจะตอบกลับเธอเลยไม่แม้แต่จะหันมามองด้วยซ้ำไป'เผิงโหย่วกลับมาก่อน' 'นายจะไปไหนน่ะ'

    เธอลืมตาขึ้นมาก่อนจะพบว่าทุกอย่างเป็นเพียงแค่ความฝัน เธอมองออกไปนอกหน้าต่างก่อนจะพบว่าข้างนอกฟ้าได้เปลี่ยนสีเสียแล้ว

    "ตื่นแล้วหรอ"

    "อื้ม"

    "ทำไมไม่ร่าเริงเอาซะเลย"

    "ฉันฝันน่ะ ฝันร้าย"

    "ออกไปสูดอากาสกันหน่อยมั้ย"

    "ก็ดีเหมือนกัน"

    เขานำฉันมาเรื่อยๆก่อนจะมาหยุดอยู่หน้าวัดแห่งหนึ่งที่ห่างจากที่พักออกมาประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนเข้าวัดเขาได้พาเธอมาเปลี่ยนชุดยูกาตะในระแวกนั้น เธอเดินเข้าไปและพบว่ามีร้านต่างๆอยู่เต็มสองข้างทางพร้อมกับคนอีกจำนวนมากภายในวัด

    ถึงจะมีคนมากมายแต่ก็ไม่ได้ทำให้เธออึดอัดเลยแม้แต่น้อยเผิงโหย่วเองก็เดินตามเธอเข้ามาอย่างติดๆพร้อมกับจับไหล่ข้างซ้ายของเธอไว้จะได้ไม่หลงกันเราสองคนใช้เวลาอย่างมีความสุขในวัดมากว่าสองชั่วโมงก่อนจะปลีกวิเวกกับฝูงชนออกมานั่งข้าง ๆบ่อน้ำพุในวัด

    "ชุดใส่แค่ครั้งเดียวจะซื้อมาให้ฉันทำไม"

    "ถือว่าเป็นของขวัญไง"

    "เนื่องในวันอะไร"

    "วันทานาบาตะนี่ไง"

    "ฉันล่ะเชื่อเค้าจริง ๆเลย"

    "คุณดูนั่น"เขาชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า

    เธอมองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วพบว่าบนนั้นเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับมากมายตกแต่งอยู่บนท้องฟ้าชวนให้น่ามองราวกับว่าเป็นผลงานศิลปะชิ้นโบว์แดง ไม่ใช่เพียงแค่ดวงดาวที่ส่องประกายแต่รวมไปถึงดวงจันทร์ด้วยเช่นกัน แสงสีทองแผ่ซ่านไปทั่วลานวัดทำให้ยิ่งดูหน้าหลงไหลแม้ว่าจะเป็นตอนกลางคืนแต่กลับเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน

    ไม่นานดอกไม้ไฟก็จุดขึ้นพร้อมกับเสียงที่ดังกึ่งก้องไปทั่วบริเวณ ในวัดห้อมล้อมไปด้วยแสงจากดอกไม้ไฟและแสงจากดวงจันทร์ ทุกคนต่างมองขึ้นไปบนท้องฟ้าคงจะมีแค่เธอที่หันไปมองคนข้างๆแสงวูบวาบทำให้เธอสามารถเห็นหน้าของเขาได้อย่างชัดเจนแต่เหมือนอีกคนจะรู้ตัวเข้าให้แล้ว

    ดวงตาของทั้งสองสบกันอีกครั้งแต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะนานกว่าครั้งไหนๆเพียงแค่เวลาแสนสั้นก็ทำให้เธอเหมือนหลุดไปอยู่อีกมิติหนึ่งเลยก็ว่าได้ใบหน้าของทั้งสองขยับเข้ามาใกล้กันเรื่อยๆทำให้ก้อนเนื้อในอกของเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ อีกคนนำมือมาทัดผมของเธออย่างเบามือก่อนจะเอียงคอเล็กน้อย

    'ครืดด ครืดด'เสียงจากโทรศัพท์ของเธอทำให้ทั้งคู่เด้งตัวออกจากกัน เธอกดรับสายบนหน้าจอโทรศัพท์ก่อนจะตอบรับปลายสาย

    "ค่ะ"

    "จริงหรอคะ"

    "ได้ค่ะ ขอบคุณมาก ๆนะคะ"

    ดูเหมือนว่าคำอธิษฐานจะสัมฤทธิ์ผลไวกว่าที่คิดสำนักงานที่เธอไปสัมภาษณ์รอบล่าสุดสมัครใจรับเธอเข้าทำงานด้วย เธอทำท่าดีใจก่อนจะโผเข้ากอดอีกคนอย่างแน่น

    "คุณฉันทำได้แล้ว"เธอพูดทั้งที่ยังสวมกอดเขาอยู่

    "งั้นหรอดีใจด้วย"เขาพูดพลางลูบหัวเธอไปด้วย

    "แต่น้ำเสียงคุณดูไม่มีความสุขเลย"

    "มีสิทำไมผมจะไม่มีฮ่า ๆ"เขาขำเล็กน้อย

    "ไว้พรุ่งนี้ฉันจะเลี้ยงราเมงถ้วยใหญ่เลย"

    "งั้นหรอ คุณคงมีความสุขมากๆสินะ"

    "ก็ใช่น่ะสิ บอกแล้วไงถ้าฉันได้งานแล้วฉันจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกเลย"

    "เข้าใจแล้วล่ะ"เขาพูดพร้อมผละฉันออกมาจากอ้อมแขนก่อนที่จะพูดคำหนึ่งขึ้นมา"ยูตะ"

    "??"

    "ทากาฮาชิ ยูตะชื่อของผม"

    เธอได้แต่เกิดความสงสัยอยู่ดีๆอีกคนก็เอ่ยชื่อของตัวเองออกมาทั้งที่เธอยังไม่ได้เอ่ยปากขอเลยแม้แต่น้อย เราทั้งคู่นั่งเงียบมาสักพักหนึ่งก่อนที่ดอกไม้ไฟลูกสุดท้ายจะพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เสียงดังกึ่งก้องขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับท้องฟ้าที่สว่างวาบ สะเก็ดไฟค่อยๆตกลงมาก่อนจะปลิวหายไปในอากาศ

    "ลาก่อน"สิ้นสุดเสียงของดอกไม้ไฟลูกสุดท้ายเธอก็ได้ยินเสียงกระสิบที่ดังก้องไปทั่วโสดประสาท

    เธอหันไปหาอีกคนก่อนจะพบว่าอีกคนได้หายไปแล้วไม่มีแม้แต่ร่องรอยของการจากลามีเพียงแค่ลมเย็นที่พัดผ่านตัวของเธอไป เธอไม่รอช้ารีบเร่งฝีเท้าฝ่าฝูงชนไปเพื่อตามหาอีกคนแต่ไม่ว่าเธอจะตามหาเท่าไหร่ก็ไม่พบแม้แต่วี่แววเลยก่อนเธอจะนึกขึ้นได้ว่าเขานั้นเป็นหลานเจ้าของตึก

    เธอวิ่งกลับมาที่ตึกโดยไม่นึกเลยว่าข้อเท้าที่เจ็บของเธอจะเป็นอย่างไรบ้าง เคราะห์ร้ายที่ข้อเท้าของเธอนั้นเจ็บจากการเดินขึ้นเขาเมื่อวานเธอใช้แรงเฮือกสุดท้ายวิ่งกลับไปยังตึกให้เร็วที่สุดเท้าที่จะทำได้ ผ่านไปไม่นานเธอก็มาหยุดที่หน้าทางเข้าก่อนจะเจอเข้ากับเจ้าของตึก

    "คุณรู้จักคนที่ชื่อทากาฮาชิ ยูตะมั้ยคะ"เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยหอบ

    "ฉันไม่น่าจะรู้จักคนชื่อนี้นะ"เธอทำหน้าสงสัย

    "...ขอบคุณนะคะ"

    เธอแบกสังขารอันบอบช้ำขึ้นมาถึงบนห้องในใจได้แต่เกิดความสงสัยก่อนเธอจะทรุดตัวลงที่หน้าประตู เปลือกตาบางหุบลงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินไปตามใบหน้า หัวใจของเธอเจ็บจนบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้ ก็แค่คนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันแต่ทำไมเธอถึงเจ็บใจได้เพียงนี้

    ตอนนี้เธอสับสนไปหมดทำไม่อยู่ดีๆอีกคนถึงได้หายไปอย่างไร้วี่แวว เธอเดินไปรอบๆห้องเพื่อเช็คหาอีกคนแต่ก็ไม่พบอะไรเลยกระเป๋าที่เขาพกมาด้วยก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับยูตะหายไปราวกับเวทมนต์ทำเอาดวงใจของเธอเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูกเธอได้แต่โทษตัวเองว่าเป็นสาเหตุที่อีกคนหายไป

    ตอนนี้เธอได้แต่นั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่นานฝนก็ตกพรำลงมาเหมือนฉากในละครไม่มีผิด ละอองฝนก่อตัวที่ริมหน้าต่างก่อนจะไหลลงมาเป็นทางยาวดูเหมือนว่าฝนในวันนี้จะตกหนักขึ้นเรื่อยๆแสงสีขาววาบผ่านหน้าต่างตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องแต่ในหัวของเธอตอนนี้คงได้ยินเพียงแค่คำบอกลาของอีกคน เธอฟุบหน้าลงกับโซฟาก่อนจะเผลอหลับไป

    .

    .

    .

    .

    8 กรกฎาคม 25xx

    เธอตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงทีวีที่ดังอยู่ในห้อง ขาเล็กรู้สึกเจ็บแปล็บขึ้นมาทันทีที่ยืนขึ้น เธอมองไปที่ขาของตัวเองก่อนจะพบว่าขาของเธอนั้นถูกพันด้วยผ้าพันแผลอย่างดี เธอสังเกตสิ่งรอบตัวที่ผิดปกติไปทั้งทีวีที่เปิดอยู่พร้อมกับจานอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะคงไม่มีทางที่เธอจะละเมอแล้วลุกขึ้นมาทำมันอย่างแน่นอนนอกซะจากว่ามีคนเตรียมไว้

    เธอกวาดสายตาไปรอบๆห้องก่อนจะพบกระดาษใบหนึ่งที่ถูกจานอาหารวางซ้อนไว้อยู่เธอเดินช้าเพื่อไปหยิบกระดาษนั่นมาอ่านโดยใจความในกระดาษมีอยู่ว่า

    'ถึงหวัง เสี่ยวเว่ย

    นี่ผมเองทากาฮาชิ ยูตะคุณคงสงสัยในการหายไปของผมอยู่สินะ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกที่ที่ผมอยู่น่ะสบายกว่าที่คุณคิดไว้ซะอีก หลังจากนี้คุณก็ไม่จำเป็นต้องตามหาผมอีกต่อไปแล้วเพราะว่าผมน่ะอยู่ในที่ที่ไกลมาก ๆซะแล้วสิถ้าถามว่าจะได้เจอกันอีกไหมผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกันก็คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตาซะแล้วสิหลังจากนี้ก็ดูแลตัวเองดี ๆด้วยล่ะเวลาที่ผ่านมาผมมีความสุขมากๆหวังว่าคุณเองก็จะมีความสุขเช่นกันยินดีที่ได้รู้จักแล้วก็ลาก่อน'

    หลังจากที่เธออ่านจบกระดาษก็ได้สลายไปพร้อมกับสายลม ดวงตาสีดำขลับมีน้ำตาขึ้นมาอีกครั้งเธอกำมือเล็กแน่นก่อนจะก้มหน้างุดเพื่อให้น้ำตานั้นได้ไหลออกมา ถึงจะไม่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดมันเกิดอะไรขึ้นแต่อย่างน้อยอีกคนก็ได้บอกลาเธอในแบบที่เธอไม่ได้ทิ้งคำถามไว้

    เธอปาดน้ำตาอย่างลวกๆก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าอีกไม่นานรายการโปรดของเขาก็กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว เธอนั่งลงบนโซฟาก่อนจะจ้องมองไปที่ทีวี ภาพจำในวันนั้นที่เธอดูทีวีกับอีกคนทับซ้อนเข้ามาเธอได้แต่ยิ้มให้กับภาพความทรงจำเก่าๆก่อนที่จะกดปิดทีวี เธอตัดสินใจเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับงานใหม่ในวันพรุ่งนี้ถึงจะใช้เวลานานซะหน่อยในการทำใจแต่ก็ไม่เป็นไร

    'คนเราน่ะจะมัวจมอยู่แต่กับอตีดไม่ได้ใช้มั้ยล่ะงั้นฉันก็จะเริ่มต้นใหม่ ขอบคุณมากๆนะทากาฮาชิ ยูตะหลังจากนี้ฉันก็จะดูแลตัวเองให้ดีแล้วก็ขอบคุณอีกรอบสำหรับทุกอย่างนะฉันสัญญาว่าจะจดจำนายตลอดไปยินดีที่ได้รู้จักแล้วก็ลาก่อน..'

     

    END

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×