NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ
  • มีการบรรยายเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงสูง

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ◆ Magic Bar ◆ บาร์คลายหลอนสารพัดนึก (Magic Shop ภาค2) มี E-book มีเล่ม

    ลำดับตอนที่ #4 : EP.04 || Good Night (1)

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.พ. 65


    SQW

    EP.04

    Good Night (1)

    --------------------------




     

            “เธอมาเที่ยวที่นี่เหรอ”

            พี่บูมตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ฉันที่ยืนงงๆเอ๋อๆอยู่ก็ได้แต่แสร้งยิ้มให้แม้ในใจจะมีคำถามมากมายอยากถามเขากลับก็ตาม

            “ค่ะ... มางานปาร์ตี้สละโสดของรุ่นพี่”

            พี่บูมพยักหน้าตอบรับก่อนหันไปส่งยิ้มหวานให้ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างกายเขา

            “พลอยเข้าไปรอเราในห้องโกลก่อนนะ เดี๋ยวเราขอคุยธุระกับเด็กในบริษัทแป็บนึง เสร็จแล้วจะรีบตามไป”

            “อืม ได้สิ โต๊ะเราอยู่ในสุดนะ อย่าเดินหลงอีกล่ะ”

            หญิงสาวผมลอนยิ้มรับอย่างเข้าใจแล้วยกมือขึ้นจัดเสื้อเชิ้ตของพี่บูมตรงส่วนที่ยับให้ดูเรียบร้อยก่อนขอตัวเดินออกไปจากบริเวณนี้อย่างสุภาพ

            เมื่อกี้เขาว่าอะไรนะ? ‘เด็กในบริษัท’ งั้นเหรอ? นี่ฉันถูกพี่บูมพูดถึงในฐานะของลูกน้องธรรมดาๆคนนึงแค่นั้นใช่ไหม? ไอ้สถานการณ์น่าอึดอันอย่างนี้มันคืออะไรกัน? ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร? เพื่อนพี่บูมเหรอ? ทำไมฉันถึงไม่รู้จักเธอเลยล่ะ? ไม่สิ....... ไม่ใช่แค่ผู้หญิงคนนั้น พี่บูมไม่เคยแนะนำคนใกล้ตัวของเขาให้ฉันรู้จักเลยสักคนนี่หน่า

            “ไม่เห็นบอกพี่เลยว่าจะมาเที่ยวกับเพื่อน”

            พี่บูมเริ่มเปิดบทสนทนาด้วยสีหน้าและท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวอย่างที่เขาชอบทำ

            “พี่บูมก็ไม่เห็นบอกนาราเลยนิคะ ว่าจะมาที่นี่กับใคร”

            “ ’พลอย’ อะเหรอ? พลอยเป็นลูกสาวของเพื่อนแม่พี่ เราสนิทกันตั้งแต่เด็กๆแล้ว”

            “ค่ะ ดูก็รู้แล้วว่าพวกพี่คงสนิทกันมากจริงๆเธอถึงไม่ไว้ตัวกับพี่เลย”

            “บ้านพลอยทำธุรกิจอสังหาทรัพย์ บ้านพี่ทำงานด้านวิศวกรรม มันต้องพึ่งใบบุญกันและกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม่พี่ให้พี่เทคแคร์พลอยเป็นพิเศษแต่เด็ก จนถึงตอนนี้เราเลยติดเป็นนิสัยกันไปแล้ว”

            “ติดเป็นนิสัย? นี่เหรอเหตุผลของพี่”

            “แล้วนาราอยากได้เหตุผลอะไรจากพี่ล่ะ อยากให้พี่โกหกว่าอะไรก็บอกพี่มาจะได้เลิกพูดจาประชดประชันพี่แบบนี้ซะที”

            “นาราไม่ได้ประชดนะคะ นาราแค่อยากเข้าใจว่าตอนนี้นาราต้องรู้สึกยังไงที่เห็นคนที่กำลังดูใจกันอยู่อยู่สองต่อสองกับผู้หญิงอื่นในสถานที่แบบเนี่ย”

            “พลอยไม่ใช่คนอื่นซะหน่อย”

            “!”

            นี่เขาแคร์ผู้หญิงคนนั้นมากกว่าฉันอีกเหรอ........ ตลอด10 เดือนที่เรารู้จักกันและใน 5 เดือนนั้นที่เราศึกษาดูใจกันมามันไม่มีความหมายอะไรกับเขาเลยใช่ไหม.....

            “งั้นนาราก็เป็น ‘คนอื่น’ ใช่ไหม”

            น้ำตาฉันคลอเบ้าโดยไม่รู้ตัว ทำไมมันถึงได้รู้สึกหน่วงและอึดอัดแบบนี้ แค่ต้องทนแอบคุยกันไม่ให้คนในที่ทำงานรับรู้มันก็หนักหนามากพออยู่แล้ว นี่เขาจะใจร้ายกับฉันไปถึงไหน

            “ไม่ใช่ นาราก็เป็นคนสำคัญของพี่เหมือนกันนะ”

            “แล้วในบรรดาคนที่พี่ให้ความสำคัญ นาราอยู่ลำดับที่เท่าไหร่เหรอคะ”

            “!” พี่บูมถึงกับชะงักเหมือนเพิ่งคิดได้ว่าไม่ควรพูดคำนั้นออกไปเลย

            “.... เหอะ นาราถามพี่บูมจริงๆนะ พี่บูมบอกพี่บูมอยากทำตามความฝันเลยขอให้นารารอ แล้วฝันนั้นน่ะมีนารายืนอยู่ข้างๆพี่บูมด้วยรึเปล่า ถ้านารายอมรอต่อไป นาราจะได้เป็นแฟนของพี่บูมไหมคะ”

            “นารา...” พี่บูมพยายามยื่นมือขึ้นมาจับแขนฉันแต่ฉันก็สะบัดตัวออก

            “นาราไม่อยากอยู่แบบนี้แล้วอ่ะ นาราเหนื่อยที่จะวิ่งตามพี่บูมแล้ว”

            “แต่ที่ผ่านมาเราก็อยู่กันได้นิ”

            “??? ที่ผ่านมาเหรอ?... ที่ผ่านมามีแต่พี่บูมที่เป็นฝ่ายรับ นาราไม่เคยได้รับอะไรจากพี่บูมเลย แม้แต่ความเห็นใจ”

            “...”

            “ครั้งนี้นาราขอความเห็นใจจากพี่นะคะ อย่ามายุ่งกับนาราอีกเลย”

            ฉันพยายามกลั้นน้ำตาเม็ดเป้งไม่ให้ไหลออกมาแต่น้ำตามันสั่งไม่ได้ดั่งใจเหมือนเราสั่งอาหารซะหน่อย ฉันหันหลังเดินหนีพี่บูมด้วยสีหน้าเจ็บปวด ไม่มีเสียงสะอื้น ไม่มีคำโวยวาย มีเพียงน้ำตาที่ไหลเป็นสายกับปลายจมูกที่เริ่มแดงก่ำเท่านั้น ยอมรับว่ามีเสี้ยวความคิดนึงผุดขึ้นมาในหัวว่าอยากให้เขาเดินมาง้อหรือหาวิธีที่จะทำให้เราทั้ง 2 ไม่จบความสัมพันธ์ลงง่ายๆแบบนี้ แต่ฉันก็คิดผิด...

            ทันทีที่ฉันเลี้ยวเข้ามุมฉันเอาหลังพิงกำแพงแล้วร้องไห้โฮแบบไม่มีเสียง ผ่านไปสักพักเมื่อรู้สึกเหมือนไม่มีใครเดินตามหลังฉันมาฉันก็ชะเง้อหน้าออกไปมองจากมุมกำแพง สิ่งที่ฉันเห็นคือพี่บูมไม่คิดจะตามง้อ เขาเดินกลับเข้าไปในบาร์ด้วยท่าทางหัวเสียมากกว่าจะเสียใจ แค่นี้ฉันก็เข้าใจได้อย่างลึกซึ้งแล้วว่าที่ผ่านมาเรารักกัน หรือมีแค่ฉันที่รักพี่บูม

            “ฮึก...”

            ฉันทนความเจ็บปวดแบบจุกในอกต่อไปไม่ไหวจึงทรุดตัวลงนั่งย่อกอดเข่าตัวเองร้องไห้ลำพังอยู่ตรงมุมกำแพงนอกบาร์ไร้ซึ่งผู้คน มันทั้งเงียบและเย็นยะเยือก บรรยากาศตอนนี้ถ้ามีฝนตกอีกซะหน่อยคงเหมือนซีนในมิวสิกวีดีโอที่นางเอกโดนหักอกจากพระเอกแหงๆ

           

     

            ตรึงตึงตึงตรึงตือ ♫~

     

     

          !?

            ขณะที่ฉันกำลังนั่งจมกับความเศร้าอยู่นั้นจู่ๆก็มีเสียงเปียโนดังตลบอบอวนขึ้นมาทั่วบริเวณนี้ ฉันเงยหน้าขึ้นจากอ้อมแขนแล้วหันซ้ายแลขวาหาต้นตอของเสียงเปียโนนั่น พอได้พิกัดว่าเสียงเปียโนมันดังมาจากด้านหลังของบาร์ฉันก็ลุกขึ้นชะเง้อหน้ามองไปทางนั้นด้วยความสนใจ ดูเหมือนด้านหลังบาร์จะมีพื้นที่อีกส่วน ส่วนนี้เงียบสงัดมากต้องเดินผ่านสวนหย่อมเข้าไป

            หรือบาร์นี้จะมีอีกห้อง? ทำไมถึงได้ทำคอนเซ็ปท์บาร์ให้มันดูซับซ้อนขนาดนี้นะ อยากเห็นหน้าเจ้าของร้านจริงๆเลย

            ว่าแต่ นี่ฉันมาเข้าห้องน้ำไม่ใช่เหรอ? แล้วห้องน้ำมันไปทางไหนล่ะ? หน้าฉันจะเลอะเครื่องสำอางมากไหมเนี่ย ว่าแล้วก็ขอหยิบตลับแป้งพับขึ้นมาส่องสภาพตัวเองหน่อยดีกว่า

            “..... อ่า ว่าแล้วเชียว”

            มาสคาร่าที่ยึดขนตาปลอมให้สวยเด้งไหลตามคราบน้ำตาออกมานิดหน่อย ฉันใช้นิ้วปาดๆพอให้มันดูไม่น่าเกลียดแล้วเริ่มตั้งสติกลับมาโฟกัสที่เป้าหมายแรกนั่นก็คือการตามหาห้องน้ำ จะได้เช็คสาระรูปตัวเองตอนนี้ด้วย

            แต่ว่า... ห้องน้ำมันอยู่ทางไหนว่ะเนี่ย! ฮือออ ไม่มีแรงจะหลงทางซ้ำสองแล้วนะ งั้นตัดปัญหาไปหาถามคนเล่นเปียโนมันเลยละกัน คนเล่นคงไม่ใช่ลูกค้าหรอกหรือต่อให้เป็นนักดนตรีที่ว่าจ้างมาเขาก็คงรู้ทางไปเข้าห้องน้ำมากกว่าฉันแน่ๆ

            เมื่อคิดได้ดังนั้นฉันก็รีบสาวเท้าเดินไปตามระเบียงทางเดินที่มีสวนหย่อมเป็นจุดกึ่งกลาง แต่พอเริ่มเดินเข้ามาใกล้ประตูเสียงเปียโนมันก็เงียบหายไป ฉันเอื้อมมือไปเปิดประตูด้วยความร้อนใจกลัวว่านักดนตรีคนนั้นจะเดินหนีหายไปซะก่อน แล้วมันก็เป็นอย่างที่ฉันคิดจริงๆ หลังบานประตูคือห้องโถงขนาดใหญ่พอสมควร มีเค้าเตอร์บาร์เล็กๆอยู่ตรงมุมด้านขวาของห้อง กลางห้องเป็นโซฟาขนาดยาว 2 ฝั่ง มีโต๊ะเตี้ยคั้นกลาง และอีกมุมนึงของห้องก็มีเปียโนหลังใหญ่วางไว้อยู่ นี่เองคือต้นตอของเสียงเพลงที่ฉันได้ยินเมื่อกี้

            ฉันค่อยๆสาวเท้าเดินตรงไปที่เปียโนหลังนั้นใกล้ๆด้วยความอยากรู้ บนเปียโนมีกระป๋องเบียร์อาซาฮีที่มีร่องรอยการดื่มของใครบางคนวางอยู่ คาดว่าน่าจะเป็นของนักดนตรีคนเมื่อกี้นี้แหละ

            ฉันหันซ้ายแลขวาเพื่อมองไปรอบๆห้องนี้อย่างละเอียดอีกครั้ง คราวนี้ฉันได้พบขุมสมบัติมหาศาลเข้าอย่างจัง มันคือตู้แช่เบียร์หลากหลายยี่ห่อรวมถึงเหล้ากระป๋องที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ 35% อัพบริเวณข้างๆเค้าเตอร์บาร์

            “ไหนว่าไม่มีอย่างอื่นขายไง”

            ด้วยความอยากเมาฉันจึงเดินตรงเข้าไปคว้าเบียร์และเหล้ากระป๋องเหล่านั้นออกมานั่งซดบริเวณหน้าเค้าเตอร์และไม่ลืมที่จะหยิบแบงค์สีเทาออกมาจากกระเป๋าตังค์ 2 ใบวางไว้บนโต๊ะ ฉันเปิดฝากระป๋องเบียร์แล้วยกซดยกซดชนิดที่ว่าน้ำเมากระป๋องแรกยังไม่ซึมเข้าเส้นเลือดฉันก็กระดกกระป๋องที่สองใส่ปากแล้ว

            ติ้งติง!

            เสียงไลน์ดังขึ้นขัดจังหวะ แต่ฉันก็ไม่ได้อารมณ์เสียถึงขั้นจะไม่หยิบมันขึ้นมาตอบหรอกนะ

     

            ปุยฝ้าย : แกหาห้องน้ำเจอยังเนี่ย

     

            ถามเหมือนรู้เลยแฮะ

     

            นารา : เจอแล้ว เข้าแล้ว และกำลังจะกลับแล้ว

     

            หาข้ออ้างกลับเลยละกัน

     

            ปุยฝ้าย : เฮ้ย ได้ไงอ่ะ ทุกคนกำลังสนุกเลยนะ

            นารา : สนุกก็ดีแล้ว ฝากลาพี่อีฟกับพี่พีให้ด้วยนะ บอกว่าฉันมีงานด่วนต้องรีบไปสะสางก็ได้ งานของฉันเป็นงานออกแบบ พี่อีฟคงเข้าใจแหละ

            ปุยฝ้าย : ทำไมถึงรีบกลับจัง เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า?

     

            ….. แล้วฉันจะบอกปุยฝ้ายยังไงดีล่ะ

     

            นารา : ฉันปวดท้องเมนอ่ะ เพิ่งเป็นเมื่อกี้เลย มันทรมานมากจนแทบยืนไม่ไหว ฉันไม่อยากใช้เป็นข้ออ้างขอกลับบ้านกลัวพี่อีฟจะโกรธ แกเข้าใจฉันใช่ป่ะ

     

            โกหกซ้ำซ้อนอะไรอย่างนี้นะเรา

     

            ปุยฝ้าย : เออๆฉันเข้าใจ หมีจำศีลมานานร่ายกายเลยปรับสภาพไม่ทันสินะ เดี๋ยวเรื่องพี่อีฟฉันจัดการให้เอง แกกลับไปพักเหอะ

            ปุยฝ้าย : กลับบ้านเองดีๆละแก ถึงบ้านแล้วก็ไลน์มาบอกด้วย

            นารา : โอเคแก ขอบใจมากนะ

            ปุยฝ้าย : (สติ๊กเกอร์การ์ตูนหมายิ้มกว้างพร้อมชูนิ้วโป้งให้)

     

            “เฮ้อ....”

            ฉันวางโทรศัพท์ไว้ข้างตัวอย่างไร้เยื่อใยหลังจากเคลียร์กับปุยฝ้ายเสร็จ จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินไปหยิบกระป๋องเบียร์มาเติมเชื้อเพลิงให้ร่างกายอีก 3-4 กระป๋อง ถ้ากินล็อตนี้เสร็จจะเรียกแกร็บมารับล่ะ ดูท่าฉันสภาพนี้คงเดินไปนั่ง BTS กลับเองลำบากแน่ๆ ตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกตัวลอยนิดๆแล้วด้วย

           

           

            ทำไมความสัมพันธ์ของฉันกับพี่บูมมันถึงได้จบเร็วแบบนี้นะ ความจริงฉันก็น่าจะรู้ตัวดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอว่าการรักคนที่มันเกินตัวมีแต่จะลดคุณค่าในตัวเองลง เขารู้ดีอยู่แล้วว่ายังไงเราก็เลือกเขาเขาถึงได้ทำตัวใจร้ายกับเราสารพัดโดยไม่แคร์ความรู้สึกเราเลย ความจริงมันก็มีสัญญาณส่งมาตั้งนานแล้วเพียงแต่ฉันทำเป็นตาบอดมองไม่เห็นมันก็แค่นั้นเอง

     

     

          “ฮึบ!...”

            เวลาผ่านไปสักพัก ฉันยกเบียร์กระป๋องสุดท้ายกระดกเข้าปากจนหมดเกลี้ยงแล้วลุกขึ้นเดินออกจากบริเวณนั้นโดยวางทั้งซากกระป๋องเบียร์กับเงินทิ้งไว้บนโต๊ะเค้าเตอร์บาร์ทั้งอย่างนั้น เมื่อทิ้งระเบิดและชดใช้ค่าเสียหายไปมากโขแล้วมันก็ได้เวลาที่ฉันจะหอบตัวเองกลับไปนอนหมดสภาพที่บ้านซะที

            โอ๊ยย.... แล้วทำไมขามันเดินตรงไม่ได้ดั่งใจเลยเนี่ย เห็นทีต้องรีบโทรเรียกแกร็บก่อนจะตุ้บละ แล้วโทรศัพท์ล่ะ? ฉันต้องหยิบโทรศัพท์ โทรศัพท์ในกระเป๋า...  ต้องกดเบอ…

           

            ตุบ!

     

            “อ๊ะ!!”

            ระหว่างที่ฉันกำลังก้มหน้าก้มตาหาโทรศัพท์ในกระเป๋าถืออยู่นั้นจู่ๆฉันก็รู้สึกเหมือนหัวไปชนอะไรบางอย่างแข็งๆเข้า พอเงยหน้าขึ้นมามองฉันก็เห็นชายหนุ่มร่างสูงหุ่นล่ำทำผมทรงอันเดอร์คัทปาดไปด้านหลังแต่ทิ้งปรอยผมด้านหน้าลงมาดูเป็นการเซ็ตผมแบบไม่ได้ตั้งใจเซ็ต เขาสวมเสื้อคลุมผ้าซาตินสีแดงยาวถึงเข่าทับเสื้อเชิ้ตลายเสือดาวที่ปลดกระดุมถึง 4 เม็ด จะมองมุมไหนผู้ชายคนนี้ก็แผ่ออร่าความอันตรายออกมาทุกอนุ การแต่งตัวของเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าช่างเซ็กซี่และดึงดูดสายตาของทุกเพศให้จับจ้องไปที่เขาอย่างไม่มีข้อกังขา ตอนนี้ฉันอยู่ใกล้เขามากจนสังเกตเห็นว่าดวงตาของเขามีสีน้ำเงินเข้มและมันเปล่งประกายออกเป็นสีฟ้าสว่างทันทีที่ต้องกับแสงไฟที่สาดส่องเข้ามา งั้นเขาก็ไม่ได้ใส่คอนแทคเลนส์น่ะสิ เขาเป็นชาวต่างชาติรึไงนะ?

            “เธอเข้ามาที่นี่ได้ยังไง...!

            น้ำเสียงทุ่มเข้มที่แฝงไปด้วยความโกรธจัดดังขึ้นผ่านริมฝีปากหยักได้รูปของเขา ฉันที่เผลอมองเขานานไปต้องรีบดึงสติแล้วก้าวขาถอยห่างโดยอัตโนมัติ

            “เอ่อ.. ขะ..ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะบุกรุกนะคะ ฉันแค่...”

            ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดจบประโยค ชายเสื้อคลุมแดงก็เดินตะฟัดตะเฟียดตรงไปที่เค้าเตอร์บาร์แล้วกวาดสายตามองดูกองกระป๋องเบียร์ที่ฉันกินทิ้งไว้อย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม

            “ฉันยินดีชดใช้ค่าเสียหายให้นะคะ ระ..หรือว่าจะให้ทำความสะอาดให้ก็ได้”

            นี่เขาจะหักคอฉันไหมเนี่ย ส่างเมาเลยฉันทีนี้

            “ไม่มี...”

            “???.. หะ?”

            “ไม่มีอาหารมาวางไว้เลยเหรอ”

            เขาหันกลับมาถามด้วยสีหน้าที่ยังโมโหอยู่

            “มะ..ไม่มีนะคะ”

            อย่าบอกนะว่าที่เดือดเป็นฝืนเป็นไฟนี่คือโมโหหิว?

            “อ๊า!!!..”

            เขากัดฟันกรอดก่อนกำหมัดแน่นแล้วเดินตะฟัดตะเฟียดเข้าๆออกๆห้องข้างๆเหมือนกำลังตามหาใครอยู่

            “พี่วิลล์! พี่ศิลา!”

            เสียงตะโกนลั่นดังออกมาจากอีกด้านหนึ่งของห้อง แม้ตัวจะเดินออกไปไกลแล้วแต่พลังเสียงกลับทรงพลังจนฉันที่ยืนอยู่อีกห้องได้ยิน ทำไมจู่ๆฉันก็รู้สึกเหมือนเขาเป็นเด็กน้อยที่ร้องหาพ่อแม่เวลาหิวนมนะ?

           

            โครม!! แกร็ง!ๆๆๆๆ

     

            “!!!”

            ยังไม่ทันที่ฉันจะหายสงสัยในพฤติกรรมชวนงงของเขา จู่ๆก็เหมือนมีเสียงข้าวของหล่นกระจายออกมาจากอีกห้อง และด้วยความที่ฉันเป็นหญิงแกร่งแถมยังจิตใจดี ฉันห่วงว่าเขาจะเป็นอันตรายอะไรขึ้นมาจึงเดินตรงไปหยั่งอีกห้องซึ่งเป็นโถงทางเดินมีเส้นทางให้เดินลึกเข้าไปอีก ฉันเดินตามเสียงเอะอะโวยวายนั้นจนมาถึงห้องโทนดำด้านใน ดูเหมือนว่าห้องห้องนี้จะเป็นห้องนอนของใครบางคน ขอเดามัวๆไว้ก่อนละกันว่าคงเป็นห้องของเขาเนี่ยแหละ

            “คุณ!”

            ร่างของเขาทรุดลงข้างๆเตียง ฝ่ามือหนาๆฉีกทึ้งม่านประดับเตียงจนขาดเป็นทางยาว เขาเอามือขึ้นมากุมหัวใจและหายใจหอบแรงอย่างน่ากลัว

            “คุณเป็นอะไรไหม? ให้ฉันไปตามใครมาช่วยไหมคะ!?”

            “...... ไม่... อ่า.... อย่าตามใครเข้ามาทั้งนั้นนอกจากคนในร้าน....”

            “คนในร้าน...” งั้นฉันไปตามคนหัวทองกับคนหัวเทามาช่วยเขาดีกว่า “ได้ค่ะ! เดี๋ยวฉันไปตามมาให้นะคะ!”

            “ไม่ต้อง!

            “!?”

            ฉันชะงักและนิ่งไปเมื่อเขาตะโกนท้วงขึ้นมา

            “ไม่ทันแล้ว...”

            น้ำเสียงสุดท้ายของเขาฟังดูแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินเสียงนั้น

            “แล้วคุณจะให้ฉันช่วยยังไง?”

            “เข้ามาใกล้ๆหน่อย”

            “? ทะ..ทำไมต้อง...”

            “เข้ามาใกล้ๆฉันเถอะ”

            เขาเงยหน้าวิงวอนขอให้ฉันเข้าไปใกล้ ไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองรึเปล่าแต่ใบหน้าที่เขาสื่ออารมณ์ออกมามันน่าหลงไหลแปลกๆและบรรยากาศโดยรอบก็เริ่มเยือกเย็นขึ้นจนเสียวสันหลังวาบไปหมด

            “...”

            ฉันยืนตัดสินใจไม่นาน สุดท้ายก็ยอมก้าวขาเข้าไปใกล้เขามากขึ้น มากขึ้น และยิ่งใกล้มากขึ้นเท่าไหร่ฉันก็ยิ่งรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้า มันวูบๆวาบๆเหมือนคนกำลังยืนอยู่ตรงปากเหว พอได้มองลึกเข้าไปในนัยน์ตาสีน้ำเงินเป็นประกายของเขาร่างกายฉันก็ตอบสนองทันที ฉันค่อยๆย่อตัวลงมานั่งข้างๆเขาอย่างว่าง่ายพลางมองดูใบหน้าที่สวยหวานราวกับผู้หญิงแต่ถูกแต่งเติมด้วยเสื้อผ้าและทรงผมแบบผู้ชายทรงเสน่ห์ พระเจ้า... นี่เขาเป็นมนุษย์จริงๆรึเปล่าเนี่ย


     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×