คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บาปที่ ❶ || บาปแห่งวัยเยาว์ (3)
กึก! กึก! กึก!ๆๆๆๆๆๆ
เสียงฝีเท้านับสิบกว่าชีวิตวิ่งอย่างไม่ลดระดับมาหยั่งทุ่งดอกทานตะวันตามที่คนดูแลสวนได้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ พวกเรารีบเอาข่าวล่าสุดนี้ไปบอกผู้กองเหมันต์และเหนือจึงทำให้เราวิ่งไปดูจุดเกิดเหตุช้ากว่าพวกตำรวจ
“หลีกทางหน่อยครับ!”
ผู้กองเหมันต์นำทีมคนในหน่วยวิ่งฝ่าไทยมุมเข้าไปดูซากศพของเด็กๆที่ว่า
“!!!!”
ฉันที่วิ่งตามหลังผู้กองเหมันต์มาติดๆถึงกับยืนสั่นด้วยความโมโหปนเสียใจ ภาพที่เห็นเป็นอย่างที่คนดูแลบอกไว้ทุกอย่าง ศพเด็กๆเหลือแต่กระดูกจนดูไม่ออกว่าเค้าโครงเดิมของพวกเขาเป็นยังไงถูกกองรวมกันในหลุมที่ขุนขึ้นมาแบบลวกๆ และที่ทำให้ทุกคนมั่นใจว่าศพพวกนี้ต้องเป็นเด็กๆที่หายไปนั่นก็เพราะเสื้อผ้าที่หุ้มศพเหล่านี้อยู่คือชุดที่พวกเด็กๆสวมใส่ก่อนจะหายตัวไปนั่นเอง
“ไม่จริงน่า..” ฉันเผลอน้ำตาคลอโดยไม่รู้ตัว
เหล่าบรรดาผู้ปกครองพยายามฝ่ากลุ่มเจ้าหน้าที่ที่กำลังเตรียมทำเส้นกั้นเข้ามาดูศพลูกๆหลานๆของตัวเองแต่เพราะที่นี่คือสถานที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ทุกคนจำต้องแข็งใจห้ามทุกคนเอาไว้เพื่อรักษาสภาพที่เกิดเหตุไว้ให้ได้มากที่สุด
“ฉันช้าไปเหรอ”
ผู้กองเหมันต์กำหมัดแน่นด้วยความโมโหไม่แพ้ฉัน ดวงตาแข็งกร้าวมองดูซากศพเด็กๆอย่างน่าเวทนาก่อนพลันสายตาขึ้นมาจับจ้องไปหยั่งมุมบ้านหลังหนึ่งเพราะรู้สึกเหมือนว่าเหตุการณ์นี้มีใครบางคนกำลังจ้องมองเขาอยู่
“!?”
ชายร่างสูงผิวแทนนิดๆใส่เสื้อโอเวอร์โค้ทสีดำดูสะดุดตาคนหนึ่งจ้องมองมาที่ผู้กองเหมันต์อย่างไม่วางตาแต่พอมีตำรวจนายหนึ่งเดินตัดหน้าเขาไปเพียงพริบตาเดียวชายคนนั้นก็หายตัวไปเสียแล้ว
“!!! หมอนั้นเป็นใคร!?”
ผู้กองเหมันต์โวยวายพลางชะเง้อหน้าไปทางที่ชายแปลกหน้าคนนั้นหายตัวไป
“คนไหนเหรอ?” ธามถาม
“คนที่ยืนอยู่ตรงบ้านหลังสีครีมเมื่อกี้ เป็นผู้ชาย ใส่เสื้อโอเวอร์โค้ทสีดำ ตัวสูง ผิวเข้มหน่อย”
ธามกวาดตามองหาคนที่ผู้กองเหมันต์ว่าแต่ไม่ว่าเขาจะมองไปทางไหนก็ไม่มีใครที่ใส่เสื้อโอเวอร์โค้ทสีดำและมีเค้าโครงตามที่ผู้กองเหมันต์บอกเลยสักคน
“ไหน? มีคนแบบนั้นอยู่แถวนี้ด้วยเหรอ? ทำไมกูมองไม่เห็นเลยล่ะ?”
“มีสิ เมื่อกี้ยังเห็นยืนอยู่เลย” ผู้กองเหมันต์มั่นใจมากว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด
“ถ้าคนใส่เสื้อโอเวอร์โค้ทสีดำล่ะก็ ทั้งหมู่บ้านผมเห็นอยู่คนนึงนะ” โรคความจำดีของอคินเหมือนจะรู้งาน
เวลา 18.53 น.
ณ. สนามเด็กเล่นที่ตอนนี้กลายเป็นที่พักชั่วคราวของพวกเราไปแล้ว ดีที่หน่วยนี้เตรียมการมาดีเลยไม่ต้องขับรถฝ่าด่านนักข่าวออกไปนอนโรงแรมนอกหมู่บ้านเหมือนเจ้าหน้าที่ทีมอื่น เริ่มเห็นข้อดีของการเอารถบ้านไปไหนมาไหนด้วยแล้วแฮะ
“...”
ฉันได้แต่นั่งเหม่อข้างๆกองไฟที่สายฟ้าจุดทิ้งเอาไว้ก่อนเข้าไปนอนสบายใจเฉิบในเต็นท์ของเขา พวกเราทำได้แค่รอผล DNA จากศพที่พบเมื่อช่วยเย็นที่ผ่านมาเท่านั้น เพราะจำนวนศพมีเยอะมากทางนิติฯจึงต้องใช้เวลาถึง 7 วันกว่าจะได้ DNA ที่ชัดเจน ถ้าผลตรวจ DNA ออกมาว่ากองซากศพพวกนั้นเป็นของเด็กๆจริงๆก็เท่ากับว่าฉันทำคดีแรกพลาดอย่างไม่น่าให้อภัยเลย
“ผมวาดเสร็จแล้ว!”
เสียงของอคินดังขึ้นในรถบ้าน ทันใดนั้นเขาก็เดินออกมาพร้อมภาพวาดในมือแผ่นหนึ่ง สายฟ้ารีบคลานออกมานอกเต็นท์ เลนและธามที่นั่งเล่นชิงช้าอยู่ก็ลุกขึ้นมาพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย คนอื่นๆที่กระจายตัวกันไปสูบบุหรี่ต่างจัดการดับไฟบนมวนบุหรี่อย่างรวดเร็วแล้วมารวมตัวกันรอบกองไฟโดยมีอคินนั่งอยู่ตรงกลางข้างๆกับเก้าอี้ของฉัน
“ผู้ชายในชุดโอเวอร์โค้ทสีดำที่ผมเห็นคือคนนี้แหละ” อคินคลี่รูปภาพที่วาดได้อย่างเป็นมืออาชีพให้ทุกคนดู ความสามารถของเขาทำเอาฉันทึ้งจนอยากจะปรบมือให้ แต่มันคงไม่ใช่เวลาสินะ
“ผู้ชายคนนี้ล่ะที่กูเห็นตอนนั้น! หมอนี่เป็นใคร? ใช่คนในหมู่บ้านไหม?” ผู้กองเหมันต์มั่นใจมากขึ้นว่าตัวเองไม่ได้ดูผิดไปจริงๆ
“ในความทรงจำของผม ผมเห็นเขาเดินไปเดินมาในหมู่บ้าน ไม่พูดคุยกับใคร แว๊บมาแล้วก็แว็บไปเหมือนตัวประกอบในละครมากกว่า”
“แต่ตอนที่วินบอกให้กูหันไปดู กูก็เพ่งสายตาสุดกำลังจนมองเลยบ้านไป 3 หลังก็ยังไม่เห็นหมอนี่เลยนะ” ธามแก้ตากให้ตัวเอง
“นั่นสิ เขาหายตัวไปไวมาก มองตามแทบไม่ทัน” ผู้กองเหมันต์เห็นด้วย
“หายตัวไปไวงั้นเหรอ เข้าเค้าคนร้ายนิดนึงแฮะ” เลนทำสีหน้าเจ้าเล่ห์ใส่
“ถ้าพี่เห็นลายนิ้วมือเขาด้วยก็ดีสิเราจะได้ตรวจสอบง่ายขึ้นว่าเขาเป็นใคร” สายฟ้าแอบเสียดาย
“ลายนิ้วมือเหรอ?” อคินนึกภาพเหตุการณ์บางอย่างขึ้นมาได้ “จำตอนที่เราแยกย้ายกันไปหาเบาะแสในโบสถ์ได้ไหม มีช่วงนึงกูรู้สึกตื้อกับคดีนี้มากเลยเดินออกไปนอกโบสถ์แล้วหมุดตัวกวาดสายตามองดูพฤติกรรมของทุกคนแบบไม่มีจุดหมาย”
“ว่างจัดเหรอมึง” เหนือตำหนิด้วยน้ำเสียงหยอกๆ
“แต่มันก็ได้ผลนะพี่! ผมเห็นเขานั่งพักที่ม้านั่งก่อนดันตัวเองลุกขึ้นเดินไปหาคนคนนึง แย่หน่อยที่มุมนั้นมีต้นไม้บังอยู่ผมเลยไม่เห็นคนที่เขาคุยด้วยแต่น่าจะเป็นคนตัวสูงนะเพราะระดับสายตาเขาที่มองคนคนนั้นอยู่ในระดับเดียวกันเลย”
“แล้วไอ้เหตุการณ์นี้มันช่วยให้เราหาตัวผู้ชายคนนี้ได้ยังไง?” ธามสงสัย ฉันก็ด้วย
“ผมก็พูดอยู่ว่าตอนที่เขาลุกขึ้นเขาดันตัวเองลุกจากม้านั่ง มือของเขาสัมผัสม้านั่งเต็มๆเลย”
“แปลว่าม้านั่งตัวนั้นอาจมีลายนิ้วมือของเขาอยู่ใช่ไหม” สายฟ้าเก็ททันที
“ใช่!”
“เหนือ”
เมื่อได้รับเบาะแสจากอคินมาผู้กองเหมันต์ก็คิดแผนขั้นต่อไปเดี๋ยวนั้น เขาหันหน้าไปส่งซิกให้เหนือโดยไม่พูดร่ำทำเพลงอะไรให้มากความ
“อุปกรณ์พร้อม รอแค่คำสั่ง” เหนือยิ้มหน้าระรื่นใส่ผู้กองเหมันต์
เวลาต่อมา
หน่วยของเราเดินเท้าไปหยั่งสถานที่ต้องสงสัยเพื่อเก็บรอยนิ้วมือของชายปริศนาโดยมีอคินเป็นลูกมือบอกพิกัดที่แน่ชัดของรอยนิ้วมือให้เหนือได้รู้ ส่วนคนอื่นๆส่วนมากก็แค่มาช่วยกันยืนส่องไฟฉายให้เพราะตอนนี้ถนนเส้นนี้มืดมากและไฟจากเสาไฟข้างถนนก็เบาบางเกินกว่าที่เราจะใช้ประโยชน์จากมันได้
“ฉันไม่เชื่อว่าเด็กๆจะหายตัวไปเพราะมิสเตอร์พีสั่งให้ทำหรอกค่ะ!”
ระหว่างที่เรากำลังวุ่นกับการเก็บลายนิ้วมือตรงม้านั่งอยู่นั้น จู่ๆก็มีผู้หญิงคนนึงเค้นเสียงใส่เจ้าหน้าที่ที่กำลังเก็บหลักฐานอยู่รอบโบสถ์ด้วยความไม่พอใจจนโลมที่อยู่แถวนั้นพอดีต้องเดินเข้ามาห้าม
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร?” มาร์คหันไปมองด้วยสีหน้ารำคาญนิดๆ
“คนไหน!?...” เมื่อได้ยินมาร์คถามอคินจึงหันไปมองหน้าเธอชัดๆ “เออนั่นสิ ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นหน้าเธอเลย”
คำตอบของอคินทำเอาฉันนึกสงสัยผู้หญิงคนนั้นตามไปด้วย
“เหนือ มึงเอาลายนิ้วมือพวกนี้ไปตรวจที่รถบ้าน ส่วนอคินกับลิต้าตามฉันมา คนอื่นๆจะไปหาเบาะแสที่ไหนต่อก็ไปแต่อย่าอยู่ห่างจากฉันตามระยะที่คำสั่งศาลกำหนด แถวนี้ตำรวจเยอะเราเล่นนอกเกมไม่ได้ แล้วอีก 1 ชั่วโมงเจอกันที่รถบ้าน”
พอผู้กองเหมันต์ออกคำสั่งเสร็จก็เดินนำฉันกับอคินกลับเข้าไปในรั้วโบสถ์
ดูเหมือนทุกคนจะว่านอนสอนง่ายกว่าที่คิด ถ้าเป็นฉันเมื่อได้รับอิสระคงหาช่องทางหนีไปแล้ว ยิ่งมือไม่ได้ถูกมัดเท้าไม่ได้ถูกล่ามแบบนี้ก็ยิ่งไม่ใช่ปัญหา หรือเพราะพวกเขาอยู่ด้วยกันมานานความผูกพันก็เลยกลายเป็นความเชื่อใจ(?)กันนะ
“เกิดอะไรขึ้น?”
ผู้กองเหมันต์เดินตรงเข้าไปหาโลมที่กำลังยืนคุยกับหญิงวัย 30 ต้นๆแต่งกายด้วยชุดกระโปรงสีเรียบแลดูเป็นทางการคนนึงอยู่
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกครับผู้กอง นี่คือคุณครู ‘วิภา’ เป็นครูประจำชั้นเด็กๆส่วนใหญ่ที่หายตัวไป”
“ครูประจำชั้นเหรอ?”
ผู้กองเหมันต์เหล่หางตามองคุณครูวิภาอย่างไม่ได้สนใจอะไรมาก จะมีครู พ่อ แม่ พี่ น้อง หรือญาติๆออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้เด็กที่ตายบ้างก็คงไม่แปลก
“ผม ผู้กองเหมันต์ เป็นเจ้าของคดีนี้โดยตรง ถ้าคุณครูมาที่นี่เพราะมีเบาะแสเกี่ยวกับเด็กๆที่หายตัวไปมาบอกผมผมยินดีรับฟังคุณ แต่ถ้าเป็นเรื่องอื่นผมคงต้องขอเชิญคุณออกไปจากบริเวณนี้เพราะคุณกำลังขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่อยู่”
ครูประจำชั้นเมื่อได้ยินการแนะนำตัวของผู้กองเหมันต์ก็ถึงกับเบิกตาโตแล้วเปลี่ยนเป้าหมายใหม่มาเป็นเขาทันที
“คุณเป็นเจ้าของคดีนี้เหรอคะ!?”
“ครับ”
“คือว่า.. ฉันไม่มีเบาะแสหรอกค่ะแต่...”
“งั้นผมขอตัวก่อน พาเธอออกไป”
คุณครูวิภาพูดยังไม่ทันจบประโยคผู้กองเหมันต์ก็ปัดมือเรียวๆของเขาทีนึงเพื่อส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่ตำรวจบริเวณนั้นพาตัวเธอออกไปได้แล้ว
“แต่ฉันมีข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับเด็กๆอยากจะบอกคุณค่ะ!”
คุณครูวิภาพยายามปัดป้องตัวเองจากวงแขนเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าถึงตัวผู้กองเหมันต์อีกครั้งให้ได้
“ข้อมูลอะไรคะ”
ถึงผู้กองจะไม่สนแต่ฉันสน ฉันเดินเข้าไปส่งสายตาอ้อนวอนเจ้าหน้าที่ให้ลดใช้ความรุนแรงลงแล้วตั้งใจฟังสิ่งที่คุณครูวิภากำลังจะพูด
“เด็กๆในหมู่บ้านนี้พิเศษกว่าเด็กทั่วไป ฉันพูดคุณอาจไม่เชื่อแต่พวกเขามีบางอย่างที่แตกต่างจากเราจริงๆนะคะ ฉันสัมผัสได้ว่าทุกคนกำลังมีปัญหาบางอย่างอยู่ ก่อนทุกคนหายตัวไปพวกเขาดูเศร้ามากเหมือนกับรู้อยู่แล้วว่าตัวเองต้องไปเจอกับอะไร”
“แล้ว ‘อะไร’ ที่ว่ามันคืออะไรคะ?”
“บอกตามตรงว่าฉันเองก็ไม่รู้ค่ะ ฉันถึงได้เป็นห่วงพวกเขาอยู่นี่”
“บางทีคุณอาจเป็นห่วงเด็กๆที่หายตัวไปจนเผลอคิดมากไปเองก็ได้นะครับ” โลมพยายามหาเหตุผลอื่นมาซัพพอร์ตความรู้สึกของเธอ
“ไม่ค่ะ! ฉันไม่ได้คิดไปเองแน่ๆ เด็กๆในหมู่บ้านนี้ไม่เชื่อเรื่องเล่าหรือนิทานที่ฉันอ่านให้พวกเขาฟังเลย พวกเขาฉลาดและมีไหวพริบมาก พวกเขาไม่มีทางเชื่อโฆษณาชวนเชื่อของไอศกรีมยี่ห่อมิสเตอร์พีจนออกไปตามหาเกาะสายรุ้งอย่างที่ข่าวลือว่าหรอกค่ะ”
“ข่าวลืออะไรคะ?”
“ 2-3 วันมานี้มีข่าวลือแปลกๆในโรงเรียนว่าเด็กๆที่หายตัวไปทำตามคำสั่งของมิสเตอร์พีเพื่อหาทางไปหยั่งเกาะสายรุ้ง”
“ฟังดูเหมือนโจรลักพาตัวคนนี้กำลังหลอกปั่นหัวเด็กๆให้งมงายเรื่องเกาะสายรุ้งแล้วใช้ความเชื่อนั่นหลอกเด็กๆให้มาหลงกลยังไงก็ไม่รู้” อคินสันนิษฐาน
“ไม่ค่ะ เด็กๆไม่เชื่อใครง่ายขนาดนั้น”
“ทำไมคุณถึงมั่นใจนักล่ะ ยังไงเด็กก็คือเด็กนะครับ” ผู้กองเหมันต์สงสัย
“... ฉันก็บอกไม่ถูกเหมือนกันค่ะ แต่พวกเขาพิเศษมากจริงๆ จะเรียกว่าอัจฉริยะกันทุกคนจะได้ไหมนะ?”
“เอาเป็นว่าเด็กๆไม่เชื่อใครง่ายๆสินะครับ มีแค่นี้ใช่ไหมครับที่คุณครูอยากจะบอกผม”
“นอกจากเรื่องที่เด็กๆไม่มีทางเชื่อเรื่องงมงายพันนั้นแล้ว ยังมีอีกเรื่องนึงที่ฉันคิดว่ามันไม่จำเป็นต้องบอกแต่พวกคุณรู้ไว้ก็ดี”
“เรื่องอะไรครับ?”
“เด็กๆในหมู่บ้านนี้เป็นเด็กหลอดแก้วกันทุกคนเลยค่ะ”
“!?”
ความคิดเห็น