คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : EP.01 - คู่ค้า(ขา) - 01
Episode 01
คู่ค้า(ขา) (1)
:: Part Thyme ::
คืนนี้เป็นอีกคืนที่ผมเหนื่อยล้าจากการทำงานหนัก ผมอยู่ออกแบบจิวเวลรี่คอลเลคชั่นใหม่จนเลยเวลาโอทีของพวกพนักงานทั่วไปมาเกือบ 5 ชั่วโมงแล้ว ถ้าไม่ติดว่านี่มันเป็นบริษัทของผมผมคงโดนยามตามมาไล่ให้กลับบ้านตั้งแต่ 2 ทุ่ม ผมในโหมดทำงานเนี่ย แม้แต่ตัวเองก็ยังห้ามยากจริงๆ
“อ้า...”
ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ตัวโปรดแล้วบิดขี้เกียจ 2-3 ทีเพื่อคลายความตึงเส้นตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย พอเหลือบมองไปที่นาฬิกาข้อมือก็พบว่าตอนนี้ผมกำลังจะไปตามนัดสายเสียแล้ว ผมจึงเร่งเก็บข้าวของและหอบแบบแปลงเครื่องประดับทุกใบไปที่รถเพื่อกลับไปทำมันต่อที่บ้าน ก็หลังจากที่ผมทำธุระบางอย่างเสร็จก่อนน่ะนะ
ระหว่างขับรถ ผมมองไปหยั่งท้องถนนอันกว้างใหญ่ด้วยความรู้สึกว่างเปล่าอย่างบอกไม่ถูก ปกติช่วงเวลานี้จะเป็นเวลาที่ผมเฝ้ารอมาตลอดทั้งวัน เพราะหลังจากได้ใช้สมองจนเหนื่อยล้าเต็มที่แล้ว การใช้หัวอย่างอื่นระบายความเครียดออก มันก็ทำให้บาลานซ์ความเครียดของผมกลับมาสมดุลอีกครั้ง แถมยังช่วยเรื่องปวดหัวไมเกรนด้วย
ใช่ ผมกำลังพูดถึงเรื่องเซ็กส์ กิจกรรมวิเศษที่สร้างทั้งความสุขและความทุกข์ไปพร้อมๆ กัน จะว่าผมติดใจในรสชาติของมันหรือเป็นเพราะสัญชาตญาณเพศผู้ที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ
แต่ที่แน่ๆ เกือบทุกเย็นหลังเลิกงาน ผมต้องโทร.นัดสาวๆ จากคลับย่าน BR (Blue Road) มาบริการที่โรงแรมจนมันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ผมไม่ใช่ประเภทชอบบีบบังคับหรือขืนใจให้ใครมานอนด้วยทั้งที่ไม่เต็มใจหรอกนะ ยิ่งเรื่องไปเอาเปรียบพวกเธอผมยิ่งไม่ชอบใหญ่ ถึงจะเป็นงานที่สังคมพากันปิดตาข้างหนึ่ง แต่มันก็คืองานงานนึงเหมือนกับทุกงาน พวกเธอเปรียบเสมือนคู่ค้าที่ผมต้องร่วมงานด้วย จะไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบ เราต้องวินทั้ง 2 ฝ่าย ถ้าพวกเธอบริการผมดีผมก็พร้อมจ่ายหนักจัดเต็ม ค่ำคืนนั้นคนที่ได้กำไรควรเป็นเราทั้ง 2 ฝ่าย แบบนี้สิถึงจะเรียกว่า ธุรกิจ
เอี๊ยด!!!!!!!!!!!
“!!!!! เฮ้ย!”
ขณะที่ผมขับรถมาเพลินๆ จู่ๆ ก็มีคนวิ่งตัดหน้ารถมาแบบกะทันหัน ผมเหยียบเบรกรถแทบไม่ทัน โชคยังดีที่ผมหักหลบเข้าข้างทางสวนกับตัวคนทำให้ทั้งรถทั้งคนไม่ได้รับความเสียหายใดๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะปล่อยผ่านไปได้ ทำแบบนี้มันอันตรายมากนะ ต้องลงไปสั่งส...
“!...”
ผมชะงักก่อนดึงมือกลับไม่เปิดประตูรถออกไป ที่นี่มันคือเมืองการเวก แล้วเบาะหลังก็มีสร้อยเพชร 3 ชุด ขืนเป็นลูกไม้ของพวกมิชาชีพขึ้นมาคงไม่คุ้มเสียแน่
ผมตัดสินใจไม่ลงจากรถแต่เปิดไฟหน้าให้มันสว่างจ้าแทน ผมเพ่งสายตาที่ ‘ไม่ปกติ’ มองออกไปรอบๆ รวมถึงจ้องมองคู่กรณีตาเขม่น
“!!!!”
แต่ไม่ทันไรผมก็เบิกตาโตพร้อมแสดงสีหน้าประหลาดใจเมื่อหญิงสาวคู่กรณีในชุดกระโปรงสั้นสีบานเย็นค่อยๆ ลุกขึ้นมาจากพื้นแล้วหันหน้ามาสบตาผมจังๆ
“นั่นมัน...”
ความทรงจำในวัยเด็กของผมไหลกลับเข้ามาในหัวราวกับสายฟ้าฟาด
เมื่อ 9 ปีก่อนหลังจากที่ผมได้กลับมาใช้ชีวิตแบบเด็กปกติ ผมเข้าเรียนโรงเรียนสหแห่งนึงและได้พบกับ ‘เธอ’ เธอสวยเด็นสะดุดตาผมในวัยเพียงแค่ 13 ปีซึ่งกำลังเรียนอยู่ในชั้น ม.1 แต่ทว่าตอนนั้นผมเรียนอยู่ชั้น ม.6 แล้ว มันดูจะข้ามรุ่นไปหน่อยที่จะเดินเข้าไปจีบเด็กน้อยขนาดนั้น เธอเป็นเหมือนกับทุ่งดอกไม้ที่มองไปเห็นทีไรก็รู้สึกสดชื่น ผมไม่ต้องการเด็ดเธอมาดอมดมแค่ได้มองจากที่ไกลๆ ได้ชื่นชมความสวยสดใสของเธอ แค่นั้นก็พอแล้ว ผมจำได้รางๆ ว่าเธอเรียนเก่งมากและยังมีหัวในด้านอื่นๆ อีก ไม่ว่าจะมีแข่งวิชาการหรือแข่งดนตรีจะมีชื่อเธอเข้าชิงเสมอ เธอคือไอดอลของเด็กนักเรียนในชั้นปีนั้นเลยก็ว่าได้
เส้นทางของเรา 2 คนไม่น่าจะเวียนมาบรรจบกันได้หลังจากคืนนั้น... คืนงานพรอมปาร์ตี้หลังจบการศึกษา ผมก็สนุกกับงานพรอมตามภาษาเด็กวัยรุ่นทั่วๆ ไป พอใกล้จะดึกมากแล้วและงานเลี้ยงก็กำลังจะเลิกรา ผมเดินออกมาเข้าห้องน้ำอีกตึกเพราะตึกจัดงานคนเยอะ ไปตึกไกลหน่อยจะได้ไม่ต้องไปแย่งห้องน้ำกับใคร และอีก 10 นาทีคนขับรถของที่บ้านก็จะมารับแล้วด้วย
ทุกอย่างดูจะเป็นปกติดีถ้าจู่ๆ ไม่มีเด็กผู้หญิงในชุดนักเรียนโดนฉีกทึ้งเสื้อผ้าจนขาดรุ่งริ่งคนนึงวิ่งมาทางนี้
‘!!!???’
ผมจำได้ทันทีว่าเธอคือเด็กคนนั้น เด็กผู้หญิงที่ผมแอบมองมาโดยตลอด
‘น้อง! เกิดอะไรขึ้น!?’
ผมวิ่งเข้าไปกันหน้าเธอไว้ เธอพยายามจะสะบัดตัวหนีและเอาแต่ร้องไห้เป็นวักเป็นเวนโดยไม่คิดจะฟังคำถามของผมเลยสักนิด
ผมใช้สายตาที่ ‘ไม่ปกติ’ ของผมมองตรงไปหยั่งทางที่เธอวิ่งหนีมา ปรากฏว่ามีผู้ชายในชุดนักเรียน 3 คนกำลังวิ่งหน้าตั้งมาทางนี้
‘มาหลบในนี้ก่อนเร็ว’
ผมดึงแขนเธอเข้าไปในห้องวิทยาศาสตร์ที่ไม่ได้ล็อคกลอนและดันตัวปิดประตูไว้เพื่อไม่ให้พวกมันผลักประตูเข้ามาได้ แต่ปรากฏว่าพวกมันไม่เห็นพวกเราและวิ่งผ่านเลยไปเฉยๆ
ผมถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนทรุดตัวนั่งลงพิงประตูข้างๆ ร่างของเด็กผู้หญิงคนนั้น เธอยังคงก้มหน้าร้องไห้ด้วยความเสียขวัญ พอมองดูสถานการณ์โดยรวมแล้วมันเหมือนกับเธอกำลังถูกรุมทำร้ายร่างกายหรือถูกรุมขืนใจอยู่เลย ไอ้พวกนั้นมันพวกอันธพาลที่อยู่ห้อง 8 นิ ไหงมาอยู่กับเธอได้?
‘เกิดอะไรขึ้น เล่าให้พี่ฟังได้ไหม?’
‘ฮึ.. ฮือ... พวกมันจะข่..มขืนหนู ฮือ...’
เธอเล่าโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาสบตาผมเลย สงสัยจะยังกลัวอยู่
‘ให้พี่แจ้งอาจารย์ให้ไหม’
‘ไม่ได้! พ่อพวกเขาเป็นอาจารย์ ถ้าไปฟ้อง อาจารย์ต้องว่าหนูแน่’
‘จะไปกลัวอะไรกับคนเลวๆ พวกนี้ งั้นแจ้งความไปเลยดีกว่า’
‘ไม่ได้นะ!’
พรึบ!
ผมกำลังจะลุกขึ้นแต่เธอก็คว้าชายเสื้อผมลงมาทำให้ผมสะดุดล้มลงมาคร่อมร่างของเธอโดยปริยาย นั่นจึงเป็นครั้งแรกที่เรา 2 คนได้สบสายตากันในระยะประชิดมากๆ เล่นเอาหัวใจผมเต้นแรงจนเหมือนจะหลุดออกมาจากอกเลย
‘!!!…’
‘…’
‘ระ..เรื่องนี้หนูจัดการเอง’
‘…’
‘ขอบคุณพี่มากนะคะ’
เรา 2 คนค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วเบนหน้าหนีกันทั้งคู่ด้วยความเขินอาย
‘ไม่เป็นไร’
แล้วเรื่องในวันนั้นก็จบด้วยการที่ผมไปส่งเธอที่ป้ายรถเมล์โดยเธอได้ขอร้องให้ผมอย่าเอาเรื่องในวันนี้ไปบอกใคร แล้วหลังจากนั้นน้องคนนั้นก็ขาดเรียนและไม่มาเหยียบที่โรงเรียนนี้อีก ผมสงสัยเรื่องในวันนั้นมากจึงไปตีสนิทกับผู้หญิงคนนึงที่อยู่ห้อง 8 เรามีค่ำคืนที่สุดเหวี่ยงด้วยกัน และในจังหวะที่เราเสร็จกิจ ช่วงที่นั่งโอบร่างเปลือยเปล่าของกันและกันอยู่ผมก็ได้ชวนเธอคุยนอกเรื่องไปเรื่อยและหลอกถามเธอเกี่ยวกับเรื่องน้องคนนั้น
ผมจับใจความได้ว่าเธอชื่อ ‘แพร’ เธอน่ารักถูกใจ ‘โจ้’ หัวหน้าแก๊งค์อันธพาลที่มีพ่อเป็นครูฝ่ายปกครองของโรงเรียนเรามาก ดูเหมือนโจ้จะจ้องเธออยู่นานแล้ว ปู่ที่เลี้ยงดูเธอมาตลอดเป็นภารโรงของโรงเรียนนี้ เขาเพิ่งจะเสียชีวิตไปเมื่ออาทิตย์ก่อนด้วยโรคประจำตัวเธอเลยต้องอาศัยอยู่บ้านพัก ภารโรงหลังโรงเรียนคนเดียวมาตลอด โจ้จึงน่าจะใช้โอกาสที่มีงานพรอมปาร์ตี้ซึ่งนักเรียนชั้น ม.6 จะอยู่โรงเรียนช่วงดึกได้โดยไม่น่าสงสัยเข้าไปขืนใจแพร
และที่แพรหายตัวไปก็น่าจะเป็นเพราะแรงกดดันของอาจารย์ฝ่ายปกครองที่ไม่ต้องการให้ลูกตัวเองติดคุก แพรเลยน่าจะจำใจเดินทางกลับไปอยู่กับญาติที่ต่างจังหวัดสักแห่งในแผ่นดินใหญ่ เพราะงั้นตลอด 9 ปีมานี้ผมจึงไม่เห็นหน้าค่าตาเธออีกเลย
ไม่นึกเลยว่าเราจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในสถานการณ์แบบนี้
“เฮ้ย! หยุดนะเว้ย!”
ผมนั่งจ้องมองเธอผ่านกระจกรถได้สักพัก จู่ๆ ก็มีชายฉกรรจ์ 3 คนวิ่งเข้ามารวบแขนเธอและพยายามบังคับให้เธอไปกับพวกเขา หรือเธอจะวิ่งหนีคนพวกนี้มา?
“พวกพี่ปล่อยหนูเถอะ อย่าทำกับหนูแบบนี้เลยนะ”
ไอ้หตุการณ์นี้มันเดจาวูแปลกๆ นี่เธอกำลังโดนขืนใจอีกแล้วเหรอ?
“อะไรวะเนี่ย” ผมเปิดประตูรถออกมาด้วยสีหน้าไปสบอารมณ์
“อย่ามาเสือก! เรื่องของผัวเมีย!”
“ฉันไม่ใช่เมียแก!.. โอ๊ย!”
ทันทีที่แพรพยายามจะขัดขืนไอ้ตัวที่ห้ามไม่ให้ผมเสือกก็บิดข้อมือเธออย่างแรงเป็นการขู่
“จะทำอะไรก็ช่วยอย่าประเจิดประเจ้อนัก กฎหมายเมืองนี้ไม่ได้เขียนไว้เล่นๆ นะ”
“ไม่ต้องมาพูดเรื่องกฎหมายกับพวกกูในเมืองนี้เว่ย! มึงไม่รู้ใช่ไหมว่าเจ้านายพวกกูเป็นใคร แล้วเขตนี้ใครคุม”
“ไม่รู้หรอก...” ผมสุดจะทนที่คนชั้นต่ำอย่างพวกมันทำเป็นอวดเบ่งกับผมอยู่นั่น ผมเลยเดินเข้าไปในรถแล้วหยิบปืนออกมาจ่อหน้าพวกมันซะเลย “แต่พวกมึงควรรู้ว่ากำลังพูดอยู่กับใคร”
“!!!!”
ตามกฎหมายของเมืองนี้ คนที่สามารถพกปืนได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายคือคนที่มีทรัพย์สินรวมได้ 10 ล้านอัพ หรือก็คือพวกมาเฟีย ยากูซ่า และนายทุนที่ร่ำรวยมหาศาลจนมีศัตรูรอจ้องจะทำร้ายยาวเป็นหางว่าว หรือถ้าจะมองอีกมุม ก็อาจมองได้ว่าผมซื้อปืนเถื่อนแล้วมาอ้างว่าตัวเองเป็นผู้ทรงอิทธิพลเก๊รึเปล่า แต่ยี่ห่อรถที่ขับ เสื้อผ้าแบรนด์หรูที่ใส่ นาฬิกาสุดแพงหูฉี่ที่ข้อมือ รวมๆ กันแล้วพวกมันก็น่าจะเดาได้ไม่ยากว่าผมอยู่ชนชั้นไหน
“ทะ.. ท่านครับ ใจเย็นๆ นะครับ ค่อยๆ คุยกันก็ได้”
ท่าทีของพวกมันเปลี่ยนจากหน้าเท้าเป็นหลังมือทันที
“คือผู้หญิงคนนี้ถูกป้าขายขัดดอกหนี้พนันบ่อนเรา เพราะงั้นเพื่อไม่ให้ทุกฝ่ายเดือดร้อนเราอย่ามาทับเส้นกันเลยนะครับ”
“ขัดดอกหนี้พนันเหรอ? บ่อนไหน”
“บะ.. บ่อนเฮียสองครับ”
“เฮียสอง... เขตนี้... ชื่อบ่อนไม่คุ้นเลย แน่ใจเหรอว่าคุมเขตนี้จริงๆ ? งั้นฉันขอโทรไปถามคุณประเสริฐเจ้าของที่ดินผืนนี้แป๊บนะ”
“มะ..ไม่ต้องครับ! บ่อนเราเป็นแค่บ่อนไฮโลเล็กๆ เองครับ อย่าโทรเลยครับนายท่าน”
เหอะ พูดออกมาแล้วสินะ ที่ว่าพวกหมาหมู่มักเก่งแต่ปากท่าจะจริง
“แล้วหนี้ของเธอเท่าไหร่”
“!!! นายท่านถามทำไมครับ?”
“ไหนๆ พวกแกก็ทำฉันเสียเวลาแล้วนิ ถ้าฉันกลับไปมือเปล่าคงหงุดหงิดกว่าเดิม”
“!!!!”
“ค่าตัวเธอเท่าไหร่ พูดมา”
สุดท้ายผมก็ต้องเขียนเช็คให้พวกมันไป 20,000 ทีแรกคิดว่าจำนวนมันจะเยอะกว่านี้ซะอีก นี่ผมได้ตัวเธอมาในราคาแค่นี้เองเหรอ? เหมือนขุดเจอโคตรเพชรในตลาดเลหลังเลยแฮะ
“... คือว่า...”
ขณะที่ผมกำลังขับรถไปเรื่อยๆ โดยมีแพรนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถอยู่ข้างๆ เธอก็เอ่ยปากพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ยังสั่นเครืออยู่ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่กล้าสบตาผม และพยายามจะดึงชายกระโปรงที่มันสั้นเกินไปในลงมาปิดเข่าอยู่ตลอดเวลา
“จะเอาไงต่อ ตอนนี้เธอติดหนี้ฉันอยู่ 20,000 ”
“! ฉะ.. ฉันรู้ค่ะ ฉันขอโทษ... แล้วก็ขอบคุณคุณมากๆ ที่ช่วยฉัน”
ทำไมท่าทีของเธอเหมือนจะจำผมไม่ได้นะ หรือเธอจำผมไม่ได้จริงๆ ?
“แต่ว่าตอนนี้ฉันไม่มีเงินจะจ่ายคืนคุณจริงๆ บ้านก็ไม่มีให้กลับ ส่วนญาติ... ก็ไม่มีอีกแล้ว ถ้าจะให้ฉันเอาเงินคืนคุณตอนนี้คงทำไม่ได้...”
แหงล่ะ แต่ผมก็ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินขนาดนั้น ก็ไม่ได้คิดจะเร่งเร้าให้เธอคืนเงินเร็วๆ นี้หรอก
“เพราะงั้น... ฉันขอจ่ายเป็น ‘ตัวฉัน’ แทนได้ไหมคะ”
“!?!? ห้ะ?” ผมแทบช็อกคาพวงมาลัย ก็อยากจะจอดรถคุยกับเธอจริงจังอยู่หรอกนะ ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้ผมกำลังขับรถอยู่บนทางด่วนเนี่ย!
“ฉันไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ฉันทำได้ทุกอย่างเพื่อแลกกับหนี้ 20,000 จะอะไรก็ได้ค่ะที่คุณต้องการ ฉันจะไม่ขัดขืนเลย ฉันทำได้ทุกอย่างจริงๆ นะคะ”
“...”
ผมได้แต่นั่งนิ่งพูดไม่ออกเลยสักคำ ผู้หญิงที่ผมเคยมองว่าสดใสและส่องสว่างขนาดนั้น ทำไมถึงได้หม่นหมองและตกมาอยู่ในจุดเดียวกับผมได้ขนาดนี้
เหอะ ไม่น่าเชื่อว่าเมืองนี้มันจะเปลี่ยนคนได้จริงๆ
ความคิดเห็น