NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ
  • มีการบรรยายเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงสูง

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ◆ Magic Bar ◆ บาร์คลายหลอนสารพัดนึก (Magic Shop ภาค2) มี E-book มีเล่ม

    ลำดับตอนที่ #1 : EP.01 || Are you lost? (1)

    • อัปเดตล่าสุด 29 ก.ค. 65


    SQW

    EP.01

    Are you lost? (1)

    --------------------------




     

          ฮัลโหล ว่า?..

            ท่ามกลางถังสีและแผ่นพลาสติกที่ปูอยู่กลางห้องขนาดกลางของโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง สาวจิตรกรร่างเล็กกำลังตั้งอกตั้งใจวาดแมวไม่มีหูตัวสีฟ้าบนผนังกำแพงตามแบบที่ได้บรีฟมาจากหัวหน้าทีมอย่างขะมักเขม้น แต่เพราะเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือดันมาดังเอาตอนที่เธอกำลังวาดถึงจุดที่ต้องใช้สมาธิสุดๆอยู่เธอจึงรีบกดรับปลายสายแบบปัดๆโดยที่สายตายังคงจับจ้องภาพวาดตรงหน้าและมืออีกข้างก็ยังคงบรรจงทำงานศิลปะต่อไปแบบไม่มีเบรกมือ

            [นารา! แกได้อ่านไลน์เพื่อนบ้างไหมเนี่ย!]

            “อ้าว แกไลน์มาด้วยเหรอ”

            [นั่นไง ว่าแหละว่าต้องปิดเสียงไลน์ เดชะบุญแค่ไหนที่ยังไม่ปิดเสียงโทรศัพท์]

            “อย่าเวอร์หน่าแก นี่มันเวลางานนะเว่ย”

            [เวลางานของคุณนารามีตั้ง 24 ชั่วโมงแล้วอิฉันจะเอาเวลาไหนแทรกตัวเข้าไปหาคุณได้ล่ะคะถ้าไม่โทรมาจิกเนี่ย]

            “เออๆ นี่ฉันก็รับสายคุณแล้วนี่ไงคะคุณปุยฝ้าย มีอะไรก็รีบๆพูดมา”

            [งานสละโสดของพี่อีฟอ่ะ ตกลงแกจะมาไหม]

            “พี่อีฟ?...”

            ฉันหวนกลับไปคิดถึงช่วงเรียนมหาลัยฯปี 1 หรือราวๆเมื่อ 4 ปีก่อน เพื่อนในคณะศิลปกรรมฯที่ฉันสนิทส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย ฉะนั้นแก๊งค์เพื่อนสาวที่ชวนกันไปไหนมาไหนเป็นทีมจะเป็นแก๊งค์สาวๆจากคณะนิเทศฯซึ่งก็คือเพื่อนร่วมคณะของ  ‘ปุยฝ้าย’ เมคอัพอาร์ติสสาวดาวรุ่งผู้ที่ทนคบฉันมาตั้งแต่เรียนปรับพื้นฐานจนถึงวัยทำงาน นับจากวันนั้นจนถึงตอนนี้ความสนิทของเราก็มีมากขึ้น ดูได้จากความเกรงใจในการด่าที่มีน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดในตอนนี้เลย

            “อ๋อ เจ๊อีฟน่ะเหรอ แล้วเจ้าบ่าวยังเป็นพี่พีอยู่ป่ะ”

            [ก็ต้องเป็นพี่พีซิยะ คู่นั้นเขาคบกันมาตั้ง 6 ปีแล้วนะ]

            “ฉันรู้น่า ฉันก็แซวเล่นไปงั้นแหละ”

            [แล้วนี่ตกลงแกจะมาใช่ป่ะฉันจะได้บอกพี่อีฟให้จองโต๊ะเผื่อแกด้วย]

            “เอ่อ..... มันต้องจองโต๊ะด้วยเหรอวะ?”

            [อย่ามาพูดเหมือนจะไม่ไปนะ งานสละโสดครั้งนี้พี่อีฟลงทุนเล่นใหญ่เวอร์ ดั้นด้นหาบาร์หรูๆคิวจองโต๊ะแน่นๆมาจนได้ แล้วงานนี้ก็มีธีมด้วย ลิสต์เสื้อผ้าที่ฉันส่งไปให้แกดูก่อนหน้านั้นอ่ะ หาชุดมาให้ทันและให้ได้ด้วยนะคะ!] ปุยฝ้ายเน้นย้ำคำพูดราวกับเป็นคำสั่ง

            “เฮ้อ! เมื่อไหร่พวกแกจะเลิกนิสัยแต่งตัวเหมือนมีตู้เสื้อผ้าเดียวกันสักทีนะ”

            [ทำไมอ่า คุมบรรยากาศดีออกแถมถ่ายรูปก็สวยด้วย]

            “เออๆ แล้วจะไปกันวันไหนอ่ะ”

            [เย็นนี้]

            “หะ!? เย็นนี้!? นี่แกจะบ้าเหรอ! ฉันติดงานอยู่แถวพระรามเก้าเลยนะ ชุดก็ยังไม่มีด้วย”

            [โห่ย ก็เย็นนี้พวกเราว่างกันหมดนิแก พรุ่งนี้ก็วันอาทิตย์ด้วย ขอหัวหน้าแกกลับเร็วสักวันจะเป็นไรไป]

            “งานของฉันไม่ใช่งานออฟฟิศที่ทำเสร็จเป็นเวลาซะหน่อยแกก็รู้”

            [แล้วมันกินเวลามากไหมอ่า ปกติกลับถึงบ้านกี่โมงเนี่ย]

            “ก็ไม่เป็นเวลาหรอก เข้างานยังไม่เป็นเวลาเลย วันนี้มีช่างคนนึงรถล้มเลยขอลา 3 วัน วันนี้ฉันก็เลยต้องมาช่วยทีมเพ้นท์งานวันนึง”

            [แล้วแบบนี้แกจะเอาเวลาไหนมาเจอเพื่อนฝูงได้เนี่ย]

            “ช่วงว่างงานฉันก็มีไหม ทีฉันว่างพวกแกก็ไม่ว่างกัน”

            [เออๆจะว่าไงก็ช่างเถอะ แต่คืนนี้ขอคืนนึงได้ไหม เราไม่ได้เจอกันมาเกือบ 7 เดือนแล้วนะนารา]

            “..... อืม... ก็จริงของแก”

            [คืนนี้เป็นคืนปาร์ตี้สละโสด มีแต่เพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวไปกันตั้งสิบกว่าคน ไม่แน่แกอาจจะได้ปิ๊งปั๊งกับใครสักคนในคืนนี้ก็ได้ หรือไม่แน่นะ! แกอาจจะได้เจอหนุ่มในฝันของแกซะทีไง]

            นี่มันก็ผ่านมา 4 ปีแล้ว ยัยปุยฝ้ายยังเอาเรื่องนี้มาล้อฉันซ้ำไปซ้ำมาอยู่ได้ นี่กะจะล้อกันยันลูกบวชเลยใช่ไหมเนี่ย

            “หนุ่มในฝันอะไรกัน ฉันก็บอกแกแล้วไงว่า ‘พวกเขา’ เป็นแค่นายแบบในจินตนาการของฉันเท่านั้น พวกเขาไม่มีตัวตนจริงๆซะหน่อย”

            [อ่าๆ นายแบบก็นายแบบ อย่ามัวแต่หลงนายแบบในจินตนาการจนหาแฟนในชีวิตจริงไม่ได้ซะทีนะยะ จริงๆฉันก็ยังแอบเชียร์แกกับทอยอยู่นะ ถ้าแก 2 คนยังหาแฟนไม่ได้ลองหันมาคบกันดูไหมล่ะ ฉันว่าทอยก็เป็นตัวเลือกที่ดีอยู่นะ]

            “พอเลย เริ่มนอกเรื่องไปไกลละ เอาเป็นว่าถ้าแกอยากให้ฉันไปงานคืนนี้ทันแกก็หาชุดมาให้ฉันละกัน กุญแจบ้านฉันก็อยู่ใต้กระถางต้นไม้สีฟ้า เข้าไปนั่งรอฉันในบ้านก่อนก็ได้”

            [ได้ๆ เรื่องแค่นี้ไม่คณามือฉันหรอก ดีนะที่เรา 2 คนใส่ไซส์เดียวกัน]

            “จ้าาา”

            [บ้านแกคือบ้านเดี่ยวสีขาวหลังโตที่อยู่ท้ายซอยXXXป่ะ?]

            “ใช่ ฉันก็ยังอยู่ที่เดิมแหละไม่ได้ย้ายไปไหน”

            [เออ พอคิดถึงบ้านแกแล้วก็อดคิดถึงป้าแกไม่ได้เลยอ่ะ บ้านแกฐานะก็ดีแต่ป้าแกดันส่งแกสอบชิงทุนเรียนฟรีจนจบปริญญาตรีเพื่อเอาชนะลูกป้าข้างบ้านเนี่ยนะ พอกลับไปคิดถึงตอนนั้นทีไรก็ยังฮาไม่หาย แกต้องวิ่งวุ่นหางาน Part-Time ทำด้วย]

            “ก็ป้าข้างบ้านอะดิ กรอกหูป้าโรสว่าลูกเขาเรียนไปทำงานไปจนจบวิศวะ ป้าโรสก็บ้าจี้ตัดค่าขนมฉันแหลกเลย”

            [ฮ่าๆๆ ก็ดีแล้วนี่ ตอนนี้แกก็ได้รู้ซึ้งถึงค่าของเงินแล้วไง]

            “โคตรรู้ซึ้งเลยแก ฉันทำงาน Part-Time เลือดตาแทบกระเด็น เงินเก็บได้แค่ไม่กี่บาท ซ้ำยังถูกจ้างออกกลางคันอีก”

           [ไอ้งานแม่บ้านในร้านขายของสารพัดนึกที่แกชอบมาบ่นเรื่องเจ้านายให้ฉันฟังแทบทุกวันนั่นอะนะ หึ แกนี่ถึกจริงๆ ]

            “...”

            ...! ตอนที่ฉันทำงานที่นั่นฉันดูทำงานหนักขนาดนั้นเลยเหรอ?

            [เอาเป็นว่าเรื่องปาร์ตี้คืนนี้เดี๋ยวฉันจัดการให้แกเอง แกรีบกลับไปทำงานของแกให้เสร็จๆเหอะ แล้วคืนนี้เจอกันนะ]

            “อะ..เอ่อ! โอเค แล้วเจอกัน”

            [งั้นแค่นี้น้า!!! บ๊ายบ่าย]

            ตู๊ด!.... 

            พอปุยฝ้ายวางสายไปฉันก็รู้สึกโหวงๆ ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันผุดขึ้นมาในหัวได้ยังไง นี่ฉันกำลังเข้าใจหรือไม่เข้าใจเรื่องที่ปุยฝ้ายบอกกันนะ? สับสนแปลกๆแฮะ

     

     

     

            เวลา 18.42 น.

     

            แกล็ก!

            ฉันไขกุญแจประตูใหญ่อีกชุดที่มีอยู่กับตัวเข้าบ้านสไตล์โมเดิร์น 2 ชั้นด้วยสภาพอิดโรย บ้านหลังโตที่ป้าโรสยกให้หลังจากเรียนจบหลังนี้เดิมทีเป็นบ้านที่พ่อกับแม่ตั้งใจจะซื้อเพื่อสร้างครอบครัวของเรา แต่เพราะเกิดอุบัติเหตุกลางคันคนที่รับช่วงต่อในการผ่อนบ้านให้ก็คือป้าโรส ป้าโรสเรียกได้ว่าเป็นเศรษฐีนีที่มีทรัพย์สินและกิจการมากมายทั้งในไทยและต่างประเทศ เพราะแบบนั้นป้าโรสจึงต้องไปๆมาๆหลายประเทศไม่ค่อยได้กลับมาดูแลฉันเท่าไหร่ ประจวบกับตอนนี้ฉันเรียนจบมีงานมีการทำแล้วด้วย ภาระเรื่องดูแลฉันจึงไม่จำเป็นอีกต่อไป พักหลังๆป้าโรสเลยหายเข้ากลีบเมฆ ส่งมาแต่อีเมลกับของฝากเท่านั้น

            ป้าโรสตั้งใจซื้อบ้านหลังนี้ให้เป็นของขวัญในการเริ่มต้นชีวิตของฉัน มันอาจจะดูใหญ่ไปหน่อยสำหรับจิตรกรอิสระที่ได้เงินเดือนไม่แน่นอน แต่กำลังของฉันก็เพียงพอจะดูแลบ้านหลังนี้ให้ดีได้

     

            “กลับมาแล้วเหรอ!

           

            เสียงเจื้อยแจ้วของปุยฝ้ายดังขึ้นมาจากห้องนั่งเล่น ฉันได้แต่ทำหน้าอึ้งๆหันไปมองห้องนั่งเล่นที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้า เครื่องแต่งหน้า และรองเท้ามากมายวางพาดอยู่ทุกสัดส่วนของโซฟาก่อนเดินผ่านเลยไปที่ห้องครัวเพื่อไปหาน้ำเย็นๆกิน

            “ฉันเตรียมชุดให้แกได้แล้วนะ ผ่าหลังแบบใครเห็นต้องเหลียวหลังกลับมามองใหม่เลย”

            “กลับมามองว่ากล้าใส่ไปได้ยังไงใช่ไหม”

            “ปากคอ...” ปุยฝ้ายหรี่ตาเขม่นใส่ฉัน

            ฉันได้แต่ยิ้มๆแล้วกินน้ำให้หมดแก้ว

            “หึ เห็นพวกมันกี่ครั้งฉันก็ยังทึ่งไม่หาย..”

            ปุยฝ้ายเดินไปดูห้องทำงานของฉันที่อยู่ติดกับห้องนั่งเล่น ฉันที่กินน้ำเสร็จแล้วจึงเดินเข้ามาหาเธอ และสิ่งที่เบนความสนใจของปุยฝ้ายจากเสื้อผ้าสวยๆพวกนี้ได้ก็คือภาพวาดมากมายที่กองรวมๆกันอยู่ มีทั้งแบบสีน้ำมัน สีน้ำ สีไม้ สีชอล์ค ทุกภาพล้วนเป็นภาพผู้ชายในอิริยาบถต่างๆ แต่ที่ทำให้มันน่าสนใจมากเป็นพิเศษนั่นก็คือภาพผู้ชายเหล่านั้นทุกคนหันหลังหมดทั้งสิ้น และมีอยู่ภาพหนึ่งโดดเด่นกว่าใคร มันตั้งอยู่บนขาตั้งรูปเป็นภาพที่ยังวาดไม่เสร็จดี ภาพนั่นคือภาพวาดผู้ชายตั้งแต่ศีรษะถึงอก ผมของเขามีสีดำโครงหน้าคมชัดแต่ไม่มีใบหน้า

            “ถึงพวกเขาไม่เคยหันหน้ามาแต่ฉันมั่นใจ 100 % ว่าพวกเขาต้องหล่อมากแน่ๆ” ปุยฝ้ายเยินยองานที่ไม่สมบูรณ์ของฉัน

            “ฉันเองก็มั่นใจนะว่าถ้าฉันวาดใบหน้าพวกเขาออกมายังไงพวกเขาก็ต้องหล่ออยู่แล้ว แต่ฉันแค่... คิดโครงหน้าพวกเขาในหัวออกมาไม่ได้เท่านั้น”

            “นี่แกยังไม่หายสงสัยเรื่องรูปในวันเปิดบ้านนั่นอีกเหรอ”

            “...”

            ใช่.. ยังไม่หายสงสัย และนับวันก็ยิ่งอยากรู้ว่าคนในรูป 7 คนนั่นเป็นใครกันแน่

            “หรือบางทีมันอาจจะเป็นเวทย์มนต์ก็ได้นะ”

            “เหอะ นี่แกยังไม่เลิกพร่ำเพ้อเรื่องเวทย์มนต์อยู่อีกเหรอ”

            “แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะไม่เชื่ออ่า งั้นแกก็คิดได้แล้วดิว่าแกวาดภาพนั้นขึ้นมาตอนไหน เว้นแต่แกจะโดนเวทย์มนต์ลบความจำจริงๆ”

            “เพ้อเจ้อเก่งจริงเลยแก! ฉันว่าความเป็นไปได้มากที่สุดอะนะ คือมีคนวาดภาพนี้ทิ้งไว้แล้วทอยไปเจอในห้องเก็บรูปของคณะเลยโมเมไปเองว่าเป็นรูปของฉัน ที่ฉันพยายามวาดโครงหน้าของพวกเขาให้ได้เพราะมันเป็นเบาะแสเดียวที่จะเอาภาพนี้ไปคืนเจ้าของไง”

            “จะมีเจ้าของจริงป่าวเหอะ นี่มันผ่านมา 4 ปีละนะ ไม่เห็นมีใครมาโวยวายในคณะแกเลยว่าทำรูปหาย”

            “ฉันก็ไม่รู้อ่ะ แค่มั่นใจอย่างเดียวว่าฉันไม่ได้เป็นคนวาดภาพนั้นแน่ๆ ไม่อย่างนั้นฉันก็ต้องจำหน้าพวกเขาได้สิ”

            “เฮ้อ.. เอาเหอะๆ จำไม่ได้ก็ไม่ต้องจำ แกเอาเวลาที่คิดถึงนายแบบในจินตนาการของแกไปอาบน้ำดีกว่าจะได้เปลี่ยนชุดแล้วออกไปสนุกกัน”

            ก็จริงอย่างที่ปุยฝ้ายว่า เอาเวลาที่คิดถึงคนไม่มีตัวตนไปทำอย่างอื่นดีกว่า

            “..... เออ ก็ได้ รอแป็บนะ”

            “จ้ะ เร็วๆนะ”


     


     

    ---------------------------------------------

    ฝากติดตาม เรื่อง Magic Bar บาร์คลายหลอนสารพัดนึก (Magic Shop ภาค2) ใน readawrite ด้วยนะคะ เอาไว้ลง NC ค่าา

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×