คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : EP.00 || Prologue
‘นี่ มันมีอยู่จริงๆเหรอ ร้าน Magic Shop น่ะ’
‘ที่เขาลือกันว่าเป็นร้านที่สามารถซื้อได้ทุกอย่างแม้กระทั่งโพยข้อสอบของทุกชั้นปีอ่ะนะ?’
‘แค่โพยยังถือว่าเป็นเคสเด็กๆย่ะ
ฉันเคยได้ยินพวกพี่ปี 3 เล่ากันว่า มีนักศึกษาคนนึงเคยซื้อชีวิตคืนกลับมาจากความตายด้วย’
‘สุดยอดเลย! ชักอยากไปบ้างแล้วสิ แล้วร้านมันตั้งอยู่ที่ไหนเหรอ?’
‘เธอไม่มีทางหามันเจอ มันจะปรากฏต่อหน้าคนที่ต้องการความช่วยเหลือจริงๆเท่านั้น และถึงเธอจะมีเงินเป็นล้านเธอก็ไม่สามารถซื้อของชิ้นไหนในร้าน Magic Shop ได้ นั่นเพราะว่าร้านนี้ไม่รับค่าตอบแทนเป็นเงิน แต่รับเป็นวิญญาณ’
“กรี๊ดดดดด!!!!!!!!!!!”
“!”
ร่างของหญิงสาวไว้ผมหน้าม้าสีน้ำตาลอ่อนสะดุ้งโหยงเมื่อกลุ่มนักศึกษาสาวในโรงอาหารกลุ่มหนึ่งกำลังเล่าเรื่องหลอนประจำมหาลัยฯกันอย่างออกรสและส่งเสียงกรี๊ดขึ้นมาเพื่อเพิ่มอรรถรสในการเล่า
‘น่ากลัวจังเลย!!!’
“ใครกันแน่ที่น่ากลัว
เมื่อกี้ข้าวเกือบติดคอแน่ะ!” ‘นารา’ นักศึกษาในมหาวิทยาลัยXXXคณะศิลปกรรมศาสตร์ ปี 1
ได้แต่บ่นพึมพำให้เพื่อนสาวผมดำยาวที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกันฟังอย่างไม่สบอารมณ์
“ช่วยไม่ได้นี่หน่า
เรื่องเล่าร้าน Magic Shop ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยก็ยังคงบูมในมหาลัยฯนี้ไม่เปลี่ยน” ‘ปุยฝ้าย’ สาวเนื้อหอมตัวเล็กน่ารักจากคณะนิเทศศาสตร์พยายามปลอบให้เพื่อนใจเย็น
เธอเป็นเพื่อนสนิทของนาราตั้งแต่เรียนปรับพื้นฐานก่อนเข้ามหาลัยฯจนถึงตอนนี้
“มันจะมีอยู่จริงๆเหรอ
ร้านมหัศจรรย์ที่เสกทุกอย่างได้ตามสั่งแบบนั้น”
“อืม..
ฉันว่ามันก็มีเปอร์เซ็นที่จะมีจริงอยู่นะ ไม่งั้นข่าวลือเรื่องนี้คงหายไปนานแล้ว”
“นี่เธอเชื่อเรื่องไสยศาสตร์แบบนั้นจริงดิ?”
“เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามนะจ๊ะ
ที่นี่เขาเชื่อกันแบบนั้นเราก็ต้องเชื่อด้วย โลกนี้มีอะไรอีกมากมายที่เรายังไม่เคยเห็นนะนารา
ใช่ว่าเราไม่เคยเห็นไม่ได้แปลว่ามันไม่มีอยู่จริงซะหน่อย”
“....” นาราเบะปากงอนๆเมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวไม่เข้าข้างเธอเลยสักนิด
“ว่าแต่
เธอหางาน Part-Time ได้หรือยัง?”
“ยังเลย
วันนี้ว่าจะไปเดินดูแถวมหาลัยฯ แถวนี้มีร้านอาหารและคาเฟ่เปิดเยอะน่าจะมีสักร้านที่ยังเหลืองานให้ฉันทำอยู่”
“ขอให้เธอเจอร้านที่ถูกใจและเขาก็อ้าแขนรับเธอเข้าทำงานนะ”
“เฮ้อ.. เริ่มแล้วสินะชีวิตนักศึกษาทุนอย่างฉัน”
“เธอทำได้อยู่แล้ว
ทึกๆอย่างเธอทั้งเรียนทั้งทำงานไปด้วยแค่นี้ไม่ทำให้ผมร่วงเหรอ”
“จ้า!!!!”
หลังจากที่นาราและปุยฝ้ายกินข้าวเสร็จพวกเธอก็ไปเรียนต่อในคาบบ่ายจนถึง
4 โมงเย็น พอถึงเวลากลับบ้านทั้ง 2 ก็แยกย้ายกันตามปกติ แต่ว่าวันนี้นารามีแผลนที่จะไปหาสมัครงาน Part-Time เธอจึงยังไม่ได้ต่อรถกลับบ้านแต่แวะมาในย่านถนนคนเดินแล้วเร่หาสมัครงานตามร้านอาหารต่างๆ
แต่จนแล้วจนรอดกระทั่งพระอาทิตย์ตกดินเธอก็ยังหาสมัครงานไม่ได้เลยสักที
แหงล่ะ
แถวนี้ติดมหาลัยฯแถมวัยรุ่นก็เยอะ คงมีคนมาสมัครงาน Part-Time จนเกลื่อร้านแน่อยู่แล้ว
สงสัยฉันคงต้องไปหางานที่อยู่ไกลมหาลัยฯไกลหออีกสักเขตสองเขตแล้วล่ะ
ตื้อ..!!!
ในระหว่างที่นารากำลังยืนพิงรั้วถนนเพราะเหนื่อยล้าจากการเดินวนทั้งย่านอยู่นั้น
จู่ๆแสงไฟหน้าร้านก็สว่างขึ้นจากในซอกตึกตรงข้ามกับที่เธอยืนอยู่ เธอจึงเงยหน้าขึ้นไปมองด้วยความสงสัยและพบเข้ากับร้านค้าเรียบหรูอยู่ด้านในสุดของซอกตึกมืดๆนั่น
สาบานได้ว่าตอนเธอเดินผ่านมาหางตาของเธอเห็นแต่เพียงถังขยะใบใหญ่กับกำแพงมืดๆเท่านั้น
มีที่แบบนี้อยู่ตรงนี้ด้วยเหรอ?
ด้วยความสงสัยที่เพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณนาราจึงตัดสินใจเดินเข้าไปในซอกตึกจนมาถึงหน้าร้านขายของที่มีป้ายเขียนบอกไว้ว่า ‘Magic Shop’
“คุณพระช่วย! มีจริงด้วย!”
นาราถึงกับเบิกตาโตด้วยความตกใจแล้วยกมือทั้ง
2 ข้างขึ้นมาปิดปาก
“ต้องถ่ายรูปส่งไปให้ปุยฝ้ายดูแล้ว”
นาราลนลานหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายทุกซอกทุกมุมของร้าน Magic Shop ด้วยความตื่นเต้นจนไม่รู้สึกตัวเลยว่ามีใครบางคนกำลังจ้องมองพฤติกรรมแปลกๆของเธออยู่
“ทำอะไรน่ะ”
“!!!!”
นาราใจหายว๊าปตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อหันไปเห็นชายผมบลอนด์ร่างสูงในชุดสูทสีดำแดง
ผิวขาวซีด ใบหน้าหล่อเหลาเกินมนุษย์มนาคนหนึ่งกำลังยืนกอดอกพิงประตูร้านจ้องมาที่เธออยู่
“อะ..
เอ่อ.. คือว่า ร้านนี้ดูเป็นสไตล์ฉันดีฉันเลยอยากถ่ายรูปเก็บไว้น่ะค่ะ”
“เหรอ..” ชายร่างสูงค่อยๆกวาดสายตามองนาราลงมาตั้งแต่หัวจรดเท้า
“!”
“ชอบร้านเราก็ดี
แบบนี้ค่อยคุ้มกับค่าต่อเติมหน่อย”
“ร้าน Magic
Shop นี่เป็นของคุณเหรอ?”
“ป่าวหรอก ฉันเป็นแค่ลูกจ้างน่ะ
เข้ามาสิอย่าเสียเวลามายืนคุยกันตรงนี้เลย”
“เอ๊ะ!? ด.. เดี๋ยวก่อนค่ะ!...”
ชายร่างสูงตรงเข้ามาคว้าแขนนาราเดินเข้าไปในร้านอย่างรวดเร็ว
พละกำลังของเขามีเยอะมากจนนาราไปอาจดึงตัวกลับได้
“ทุกคนวันนี้เรามีลูกค้าแล้ว!!”
เสียงเรียกของชายร่างสูงทำให้ชายหนุ่มอีก
6 คนที่กำลังพักผ่อนอยู่ในมุมของตัวเองต่างหันมามองที่เขาและนาราเป็นตาเดียว
“มาซะที
นึกว่าเดือนนี้เราจะนอนเฉาตายคาร้านกันจริงๆซะละ” หนุ่มหล่อไหล่กว้างที่นั่งดูทีวีอยู่ที่โซฟารีบสำรวมท่าทีพร้อมรับแขกด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มแบบเฟคๆ
“ผมบอกพี่เป็นหมื่นๆครั้งแล้วไงพี่ศิลา
ลูกค้าเราชอบมาช่วงฤดูร้อน”
“เดาไปเรื่อยแหละแก
ครั้งที่แล้วบอกฉันฤดูฝน ก่อนหน้านั้นก็บอกฤดูหนาว”
“แหม
ความจำดีนะพี่เนี่ย ผมพูดอะไรไปผมยังจำคำพูดของตัวเองไม่ได้เลย ฮ่าๆ”
“รีบพาลูกค้ามานั่งได้แล้ว
มัวพูดแต่เรื่องไร้สาระอยู่ได้วี”
“ครับพี่!.. เชิญนั่งตรงนี้เลยครับ”
ชายร่างสูงที่ดึงแขนนาราเข้ามาในร้านหรือ ‘วี’ ประคองตัวเธอมานั่งที่โซฟาสีแดงก่อนไปรวมตัวกับคนอื่นๆที่นั่งและยืนกันอยู่ที่โซฟาด้านตรงข้าม
“วิลล์..” ชายไหล่กว้างที่นั่งเถียงกับวีหรือ ‘ศิลา’ หันไปหาชายร่างสูงที่นั่งอยู่ตรงกลางเพื่อบอกให้เขาเริ่มทำหน้าที่ผู้จัดการร้านเดี๋ยวนั้น
“สวัสดีครับ ผมชื่อ ‘วิลล์’ เป็นผู้จัดการร้าน Magic
Shop ผมจะไล่ชื่อแล้วก็ตำแหน่งของทุกคนตั้งแต่ฝั่งซ้ายมือไปจนถึงขวามือนะครับ
คนนั้นชื่อ ‘นาคิน’ เป็นพนักงานต้อนรับ
อยู่ฝ่ายบัญชีและประชาสัมพันธ์ ถัดมาชื่อ ‘เจย์’ เป็นธุรการ ช่างซ่อม และอื่นๆ
ขอไม่ลงรายละเอียดยิบย่อยละกัน คนถัดมาชื่อ ‘วี’
‘ลูคัส’ ‘แซค’ เป็นพนักงานประจำ และคนสุดท้ายเป็นเจ้าของร้านนี้ชื่อ ‘ศิลา’ ”
“....” นารานั่งงงในดงคนหล่อ เธอสตั้นไปกับการแนะนำตัวสมาชิกในร้าน Magic
Shop ของวิลล์
ดีที่สมองของเธอเป็นเหมือนฟองน้ำที่ดูดซึมทุกอย่างได้อย่างรวดเร็วเธอจึงสามารถจำชื่อของหนุ่มหล่อทั้ง
7 คนนี้ได้อย่างง่ายดาย
“แล้วคุณล่ะครับชื่ออะไร?”
“ฉันเหรอคะ? ฉันชื่อ ‘นารา’ ค่ะ..”
“อ๋อ
แล้..”
“แต่ก่อนที่เราจะถลำไปมากกว่านี้! ฉันไม่ได้ตั้งใจจะเข้ามาในร้านนี้นะคะ ฉันแค่เห็นว่าร้านนี้ตกแต่งสวยดีเลยอยากถ่ายรูปเก็บไว้
ละ..แล้วเขาก็ลากฉันเข้ามา!” นาราชี้ไปที่วีราวกับเด็กน้อยกำลังฟ้องครูประจำชั้นอยู่
“!?” วีชี้หน้าตัวเองตอบด้วยความแปลกใจ
“คุณจะบอกว่าคุณไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากเราเหรอ?” ลูคัสจ้องเขม่งใส่นารา
นาราพยักหน้ารัวๆแทนคำตอบ
“แปลกมาก! แล้วเธอเห็นร้านนี้ได้ไง?” ศิลาแสดงสีหน้าสงสัยอย่างเห็นได้ชัด
“มนต์พี่มันคงเสื่อมแล้วมั่ง
แก่แล้วก็อย่างนี้แหละ” วีก้มตัวลงมาแหย่ศิลาที่นั่งหัวเสียอยู่
“เงียบน่า! คนอย่างฉันยิ่งแก่ยิ่งน่ากลัว ไม่มีทางที่มนต์จะเสื่อมได้”
“เธออาจจะมีความต้องการบางอย่าง
แต่ตัวเองยังไม่รู้สึกตัวก็ได้นะ” นาคินเสนอแนะ
“ประเภทปากไม่ตรงกับใจน่ะเหรอ?” เจย์ช่วยคิด
“เธอคิดดีแล้วใช่ไหมว่าไม่ต้องการอะไรจากเรา
แล้วสิ่งที่เธอต้องการตอนนี้ล่ะคืออะไร?” แซคเลิกสนใจความเห็นไม่เข้าท่าของน้องๆแล้วลองถามนาราไปตรงๆดู
“เอาตอนนี้วินาทีนี้เลยเหรอคะ?”
“อื้ม!!!!” ทั้ง 7 พยักหน้าพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
“ตอนนี้..
ฉันก็แค่อยากหางาน Part-Time ใกล้ๆหอทำ
ฉันตระเวนไปทั่วแล้วแต่ร้านไหนๆพนักงานก็เต็มแล้วทั้งนั้น
ฉันอยากได้งานทำก่อนปิดเทอมจะได้เป็นงานเร็วๆและมีเงินเก็บเยอะๆก่อนเริ่มเทอม 2 ”
“....”
คำตอบของนาราเล่นเอาทั้ง
6 หนุ่มถึงกับอึ้งมองหน้าสลับกันไปมาอย่างงงๆ
“เอ่อ..
ขอโทษนะครับคุณนารา เราขอประชุมแบบส่วนตัวสักครู่”
วิลล์ลากพนักงานทุกคนเข้าไปหลังกำแพงแล้วปรึกษากันด้วยเสียงกระซิบฟังดูอู้อี้แต่นารากลับได้ยินเสียงพวกเขาพูดคุยกันอย่างชัดเจน
แซค : แบบนี้ก็มีด้วยเหรอ!?
ศิลา : แล้วฉันจะไปรู้ไหม อยู่มาเป็นพันๆปีก็เพิ่งจะเคยเจอเคสแบบนี้ครั้งแรกเนี่ยแหละ
วิลล์ : ไฟหน้าร้านเราเสียรึเปล่า?
เจย์ : ฉันเช็คทุกวัน
ไม่มีทางเป็นแบบนั้นได้หรอกน่า
วี : ที่แน่ๆคือเธอไม่ใช่คนธรรมดาใช่ไหม
ลูคัส : แต่ไฟวิญญาณเธอเป็นสีขาวนะ
วิลล์
: หรือเธอจะเป็นพวกซิกซ์เซนส์ (Sixth
sense) ?
ศิลา
: ถึงเป็นซิกซ์เซนส์ (Sixth sense) ก็เข้ามาในร้านนี้ไม่ได้หรอก ก็รู้ๆกันอยู่นิว่าลูกค้าร้านเรามีแต่ประเภทไหน
นาคิน : ถ้าเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาจะฝ่ามนต์ของพี่ศิลาเข้ามาได้ไง
เจย์ : หรือเธอจะเป็นพวกแม่หมอ? ร่างทรง? หมอผี?
วิลล์ : เดี๋ยวเราก็รู้
“!”
นาราขวัญเสียหนักกว่าเดิมเมื่อได้ยินบทสนทนาของเหล่าชายหนุ่มทั้ง
7 โดยไม่ได้ตั้งใจ และทันทีที่พวกเขาเดินออกมาจากกำแพงนาราก็นั่งหลังตรงตัวแข็งทื่อทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดทั้งๆที่เสียงของพวกเขามันดังลั่นห้องอย่างเห็นได้ชัดซะขนาดนั้น
“คุณนารา” วิลล์กลับมานั่งที่เดิมของเขาด้วยท่าทางที่นิ่งสงบกว่าตอนแรก
“คะ?”
“คุณว่าคุณกำลังหางาน Part-Time ทำใช่ไหม?”
“ค่ะ”
“งั้นก็ดีเลย
ร้านเรากำลังขาดพนักงานใส่ใจความเรียบร้อยภายในร้านอยู่พอดี”
“เอ๊ะ?”
“แม่บ้านน่ะ” ลูคัสแปลไทยเป็นไทยให้นาราเข้าใจ
“อ๋อ..”
“ผมจะจ้างคุณด้วยเงินจำนวนนี้ต่อเดือน
คุณคิดว่าไง” วิลล์หยิบเช็คขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วกดปากกาเขียนตัวเลขที่ตนนึกไว้ลงไปก่อนส่งให้นารา
“?...” นาราจำใจรับเช็คนั้นมาดูก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ “20,000 บาท!!!!”
“ใช่”
“นี่มันไม่เยอะเกินไปเหรอคะ!? เป็นแค่แม่บ้านเอง!?”
“แม่บ้านในโรงแรม
3 ดาวก็ราคาเท่านี้นิครับ”
“ฉันรู้ค่ะ
แต่ฉันแค่อยากได้งาน Part-Time ธรรมดาทำ”
“นี่ก็ธรรมดานะครับ
คุณเขียนตารางเรียนของคุณให้เจย์แล้วเขาจะจัดการเรื่องกะมาทำงานให้คุณเอง”
“!? แต่ฉันว่ามัน...”
“คิดดีๆก่อนปฎิเสธนะครับ
งานดีเงินดีแบบนี้ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ” นาคินช่วยประเล้าประโลมนารา
“.... แล้วงานแม่บ้านที่นี่ฉันต้องทำอะไรบ้างคะ?”
“ก็ง่ายๆนะครับ
แค่ทำตามสิ่งที่แม่บ้านทั่วไปเขาทำกัน แต่ผมมีกฎให้คุณอยู่ 3 ข้อ” วิลล์พูดต่อ
“กฎอะไรคะ?”
“หนึ่ง
อย่าตกใจถ้าได้ยินเสียงโครมครามในร้านหรือในห้องของพวกเรา สอง
อย่าตั้งข้อสงสัยหรือถามเรื่องที่พวกเราไม่อยากจะตอบ สาม.. คุณไม่กลัวอสูรกายใช่ไหม?”
“ไม่ค่ะ”
“ตอบเร็วงี้แปลว่าเป็นพวกไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติสินะ” วีแสยงยิ้มอย่างได้ใจ
“แล้วการเป็นแม่บ้านมันเกี่ยวอะไรกับอสูรกายเหรอคะ?”
“มันเป็นหลักประกันว่าคุณจะไม่หนีไปไหนหากเจอเรื่องไม่คาดฝันในร้านนี้” วิลล์ตอบ
“เอ๊ะ?”
“ไม่กลัวโดนอสูรกายจับกินน่ะ” ลูคัสแปลไทยเป็นไทยอีกรอบ
“!? อสูรกายไม่มีจริงซะหน่อย ถึงมีก็คงไม่ได้มาเดินเล่นอยู่แถวนี้หรอกค่ะ”
“แล้วตกลงว่าคุณจะรับข้อเสนอของเราไหม?” ศิลากลั้นหัวเราะก่อนถามนารา
“ถึงฉันจะไม่กลัวอสูรกายแต่ฉันว่าที่นี่ไม่เหมาะกับฉันหรอกค่ะเงินก็มากเกินไปสำหรับนักศึกษาอย่างฉันด้วย
ขอโทษนะคะ แต่ฉันขอไม่รับข้อเสนอนี้ดีกว่า..” ในขณะที่นารากำลังยื่นเช็คคืนวิลล์ข้อศอกของเธอก็บังเอิญไปชนแจกันที่จู่ๆก็มาปรากฏอยู่ข้างตัวทำให้มันล้วงหล่นแตกกระจายเต็มพื้นโดยที่นารายังไม่ทันรู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำ
แพล้ง!!!!!!!!!
“เอ๊ะ!!!!” นาราก้มลงไปมองเศษแจกันอย่างประหลาดใจ
เธอจำไม่ได้สักนิดว่ามีแจกันวางอยู่ข้างตัวเธอตอนไหน เธอนั่งคนเดียวกลางโซฟาขนาด 3
คนนั่ง ไม่มีใครอยู่ใกล้ตัวเธอเลยนอกจากชายหนุ่มทั้ง 7 คนแต่พวกเขาทั้ง 7
ก็นั่งอยู่ตรงข้ามกับเธอ ไม่มีทางที่พวกเขาจะเอาแจกันลายหินอ่อนที่ดูมีราคานี้มาวางข้างตัวเธอได้อย่างแน่นอน
“ว้า!! แจกันยุคเรเนสซองส์ ที่มีมูลค่ากว่า 90,000,000 บาทซะด้วยสิ เล่นแตกยับแบบนี้คงเสียค่าซ่อมไม่น้อยเลย” วีพูดด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์
“ตะ..แต่มันเป็นไปได้ไง!? ฉันไม่เห็นมันวางอยู่ตรงนี้เลยนะ!”
“มันก็วางอยู่ตรงนั้นมาตลอดนิ” ลูคัสร่วมเล่นสนุกกับพวกพี่ๆด้วย
“ฉันสาบานได้ตรงนี้มันไม่มีแจกันอะไรวางอยู่เลย!”
“แล้วที่แตกไปนั่นคือจานรึไง?” แซคต่อกลับแบบเจ็บๆ
“คุณนารา
ของในร้านนี้ทุกชิ้นล้วนแต่เป็นของโบราณหายากทั้งสิ้น กว่าเราจะสะสมกันมาได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ” วิลล์พูดจบก็หันไปหาเจย์
“แจกันนี้เป็นของจริงแท้แน่นอน
เรามีใบยืนยันจากยูเนสโกด้วยนะครับ ลองเอาไปตรวจสอบได้เลย” ว่าแล้วเจย์ก็ยื่นใบรับประกันที่มีตราป้ำจากองค์กรโลกอย่างถูกต้องตามกฎหมายให้นาราดู
“!!!!”
“ตั้ง
90,000,000 บาทเลยนะ ทำงาน Part-Time ในร้านขายไก่ทั้งชาติไม่รู้จะพอไหม?” วีตอกย้ำอีกหน
“ผมว่าคุณลองตัดสินใจใหม่ดีกว่า
คราวนี้พูดให้ถูกต้องด้วยนะครับ” วิลล์จ้องแววตาจริงจังใส่นารา
“!!!!”
“คุณจะรับข้อเสนอของเราไหม?”
“... ฉัน.. ฉันรับก็ได้ค่ะ”
และนั่น ก็คือจุดเริ่มต้นเรื่องราวชุลมุนชวนหลอนของฉัน..กับพวกเขา!
ความคิดเห็น