NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ
  • มีการบรรยายเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงสูง

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ◆ Magic Bar ◆ บาร์คลายหลอนสารพัดนึก (Magic Shop ภาค2) มี E-book มีเล่ม

    ลำดับตอนที่ #3 : EP.03 || Are you lost? (3)

    • อัปเดตล่าสุด 1 มี.ค. 65


    SQW

    EP.03

    Are you lost? (3)

    --------------------------





          “ว่าแต่คุณ” จู่ๆชายผมเทาที่นั่งเถียงกับชายผมบลอนด์อยู่ก็เอียงหน้าหันมามองฉันตาเขม่น

            “คะ?” ฉันสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจก่อนหันไปมองเขาตอบ

            “ถ้าไม่รีบดื่มมันจะจืดเอานะ”

            “!”

            ฉันค่อยๆก้มหน้าลงไปมองแก้วค็อกเทลที่ว่าอยู่บนบาร์อย่างงงๆ อะไรของคนพวกนี้กันนะ พาฉันมานั่งฟังพวกเขาตีกัน ยื่นค็อกเทลที่ไม่ได้สั่งให้ แล้วตอนนี้ก็มาเพ่งเล็งให้ฉันดื่มมันอีก ชักไม่น่าไว้ว่างใจเลยแฮะ

            “คือ.. คือว่าฉัน...... !!”

     

            กลึก! แอ๊ด....

           

            โอ๊ะ! นั่นพวกยัยปุยฝ้ายนิ! เดินเข้ามาในห้องบรอนซ์พอดีเลย

            “เพื่อนฉันมาแล้วค่ะ! ฉันขอตัวก่อนนะคะ”

            โกยเถอะเรา นี่ฉันมานั่งทำบ้าอะไรกับคนพวกนี้ตั้งนานเนี่ย!!!

            ขณะที่ฉันกำลังเดินกลับไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆอยู่นั้น สายตาของพนักงานทั้ง 3 ยังคงจับจ้องมาที่ฉันอย่างไม่ละสายตา แม้แต่นักร้องบนเวทีคนเดิมก็ยังหันใบหน้าตามจนฉันเอาก้นหย่อนนั่งลงเก้าอี้โต๊ะ 12 แล้วพวกเขาก็ยังไม่หยุดมองกันอีก

            ผลั๊วะ!

            ชายผมเทาลุกขึ้นกระชากคอเสื้อชายผมบลอนด์ให้โน้มตัวลงมาแล้วกระซิบข้างหูเขาใกล้ๆ

            “เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง!

            “แล้วผมจะไปรู้ไหมเล่า! ปล่อยผมก่อน เดี๋ยวลูกค้าก็ตกใจหรอก”

            “แกจะไม่รู้ได้ไงแกเป็นคนพาเธอเข้ามา!”

            “เธอมากับเพื่อน นู่น! แหกตาที่มองได้เป็นไมล์ๆของพี่ไปมองหน่อย”

            “...” ชายผมเทายอมใจเย็นลงแล้วหันไปมองนารา เป็นจังหวะให้ชายผมบลอนด์ได้สลัดมือชายผมเทาออกจากคอเสื้อของเขาซะที “เราย้ายกลับมาอยู่ที่นี่แค่เดือนเดียว อุตส่าห์ย้ายร้านมาไกลจากที่เดิมตั้งหลายกิโลฯ สุดท้าย เวลาก็พาเธอกลับมาหาเราอีกจนได้”

            “ถึงจะรู้ว่าสักวันคงได้เจอกันอีก แต่แบบนี้มันก็เร็วจนน่าใจหายเหมือนกันนะ” ชายผมบลอนด์จัดชุดไปบ่นงึมงำไป

            “แต่ฟังจากน้ำเสียงพวกคุณ 2 คนแล้ว...” สาวลูกครึ่งยื่นมือเข้ามาช่วยจัดชุดให้ชายผมบลอนด์ราวกับรู้หน้าที่ แม้เธอจะพูดอยู่แต่สายตาของเธอกลับจับจ้องไปที่เสื้อผ้าของชายตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ “พวกคุณดูดีใจมากกว่าประหลาดใจนะคะ”

            “หึ ฉันอุตส่าห์เก็บอาการแล้วนะ ทำยังไงถึงได้เดาใจฉันถูกตลอดเลยหื้ม?” ชายผมบลอนด์เล่นหน้าเล่นตาใส่สาวลูกครึ่ง เธอได้แต่ยิ้มกลับโดยมีท่าทีสงวนตัวแม้จะใกล้ชิดเขามาก ดูเผินๆเหมือนเธอกำลังนัวเนียเขาแต่โดยรวมแล้วเธอเข้าหาเขาในเชิงดูแลซะมากกว่า

            “คุณก็ไม่ใช่พวกเดายากนิคะ รู้สึกอะไรก็พูดออกมาหมด ฉันก็แค่ประมวลคำพูดพวกนั้นออกมาให้เข้าใจง่ายๆเท่านั้นเอง”

            “... เธอเล่นมาอยู่ในร้านเราแบบเนี่ย ‘เจ้าของร้าน’ รู้เรื่องแล้วรึยัง?” ชายผมเทาหันมาถามชายผมบลอนด์กับสาวลูกครึ่ง ทั้ง 2 เริ่มมีปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด จากกำลังหยอกเย้ากันอยู่ดีๆทั้ง 2 ก็ชัดสีหน้ากลายเป็นตึกเครียดจนใบหน้าสวยๆหล่อๆของพวกเขายับยู่ยี่ไม่เป็นทรง

            “แล้วพี่คิดว่าถ้า ‘เขา’ รู้แล้ว บาร์ยังจะสงบได้ขนาดนี้เหรอ”

            “...” ชายผมเทาชะงักไป เขาเข้าใจคำพูดของชายผมบลอนด์ในทันที “งั้นก็ระวัง อย่าให้เธอไปอีก 3 ห้องที่เหลือก็แล้วกัน”

            “รู้แล้วน่า ใครจะกล้าพาไป”

            อีกด้าน ในขณะที่ปาร์ตี้สละโสดโต๊ะ 12 กำลังดำเนินไปอย่างรื่นเริง อาหารทานเล่นต่างๆถูกยกมาเสิร์ฟโดยบริกรร่างสูงตัวขาวซีดราวกับพวกเขาทั้งหมด Cover เป็นบริกรผีดิบในงานฮาโลวีนอย่างไงอย่างงั้น

           


     

            น่าแปลก!

     


     

            ทั้งร้านทั้งบรรยากาศราวกับมีมนต์ขลังบางอย่างปกคลุมอยู่ ทุกคนดูเอ็นจอยแม้จะมีค็อกเทลเข้าปากแค่ชนิดเดียว ฉันได้แต่นั่งยิ้มแห้งๆ จนจะ 40 นาทีแล้ว ยังไงฉันก็ยังรู้สึกไม่ไว้ใจบาร์แห่งนี้อยู่ดี ค็อกเทลยินสลิงแก้วใหม่ที่บริกรเสิร์ฟมาให้ยังวางอยู่ตรงหน้าจนน้ำแข็งละลายไม่เหลือความน่าอร่อย พวกเพื่อนๆ พากันเกาะกลุ่มเม้าส์มอยเรื่องสัพเพเหระ เอาเข้าจริง สังคมนี้ที่ฉันรู้จักก็มีแต่ยัยปุยฝ้ายคนเดียว คนที่เหลือที่พอจะสนิทบ้างก็มีแต่พวกพี่อีฟ นอกนั้นก็เป็นเพื่อนพี่พีแล้วก็เพื่อนในคณะนิเทศฯคนอื่นๆ ที่ฉันไม่ค่อยได้คุยด้วย บางคนเรียกได้ว่าไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ

            “ปุยฝ้าย ฉันขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”

            ในที่สุดฉันก็ทนความอึดอัดไม่ไหวจนต้องหันไปสะกิดแขนปุยฝ้ายที่นั่งอยู่ด้านข้างเพื่อขอปริตัวออกห่างจากจุดนี้สักพัก

            “เออๆ รีบไปรีบมานะแก”

            “อื้ม”

            ฉันพยักหน้ารับแล้วสะพายกระเป๋าเดิมดุ่มๆออกไปนอกห้องบรอนซ์ตามป้ายบอกทางว่าห้องน้ำนั้นอยู่ด้านนอก พอเปิดประตูออกมาฉันก็พบกับบันไดทางเดินที่ยาวขึ้นไปด้านบนและอดไม่ได้ที่จะหันไปดูประตูอีก 3 บานที่เหลือ

            ทำไมห้องอื่นดูเงียบจัง? ไม่มีแม้แต่เสียงเพลงเร้นรอดออกมาเลยด้วย หรือบาร์ห้องอื่นจะเป็นห้องแบบเก็บเสียงกันนะ?

     

            “คุณลูกค้า

     

            “!!!!”

            เสียงทุ้มๆที่เต็มไปด้วยความเอ็นของใครบางคนดังมาจากด้านหลังของฉัน ฉันสะดุ้งตัวโหยงแล้วรีบหันหลังกลับมาสบตาชายร่างสูงในชุดสูทสีกรม ทั้งเสื้อผ้าและทรงผมของเขาถูกเซ็ทมาอย่างดี บรรยากาศรอบตัวของชายคนนี้ดูแตกต่างกับพนักงานต้อนรับทั้ง 4 คนที่ฉันเจอมาก่อนหน้านั้นลิบลับ

            “ทางเดินที่นี่มันแคบ ถ้าจะเดินลงก็ช่วยชิดขวาด้วยนะครับ”

            “!... ค- ค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ ฉันแค่ดูการตกแต่งทางเชื่อมของที่นี่เพลินไปหน่อย มันมีศิลปะหลากหลายด้านที่น่าสนใจดี”

            “ผมจ้างนักออกแบบมืออาชีพหลายคนมาออกแบบที่นี่ งานที่ได้เลยดูแตกต่างแต่ลงตัว”

            “ค่ะ เป็นอย่างนั้นจริงๆ คุณเซ้นต์ดีนะคะคุณเจ้าของร้าน”

            ฉันยิ้มอย่างเชยชมเขาก่อนชิดขวาแล้วเดินผ่านร่างเขาลงมาตามที่เขาต้องการ

           “ไม่ใช่”

           “!”

            น้ำเสียงแผ่วเบาของเขาทำเอาฉันฝีเท้าของฉันหยุดชะงัก ฉันขมวดคิ้วงงหน่อยๆแล้วค่อยๆหันกลับมาเงยหน้าประสานสายตากับเขาอีกครั้ง

            “ผมไม่ใช่เจ้าของร้าน คุณเข้าใจผิดแล้ว”

            “เอ๊ะ?” 

            อ้าว งั้นเหรอ? แล้วทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนว่าเขาเป็นนะ? 

            “ยะ..อย่างงั้นเหรอคะ ขอโทษด้วยค่ะ ลุคคุณดูเหมือนเจ้าที่นี่เลย”

            “หึ” เขากระตุกยิ้มมุมปากที่แลดูเจ้าเล่ห์นิดๆออกมา “ผมไม่ชอบบรรยากาศมืดหม่น ถ้าเป็นร้านของผมต้องครึกครื้นกว่านี้”

            “!”

            พอเขาพูดจบเขาก็หันหลังเดินขึ้นไปชั้นบนด้วยสีหน้าอารมณ์ดี

            “เดี๋ยวก่อนค่ะ!”

            ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงเรียกเขา แต่บางอย่างในตัวเขามันทำให้ฉันสงสัยจริงๆ

            “ครับ?”

            เข้าเอียงตัวเล็กน้อยเพื่อหันกลับมาตอบฉัน

            “คุณชื่ออะไรเหรอคะ?”

            “.... ทำไมคุณถึงอยากรู้ชื่อผม”

            “คือฉัน... ฉันก็แค่อยากรู้เฉยๆ ไม่มีเหตุผลอะไรหรอกค่ะ แต่ถ้าคุณไม่อยากตอบงั้นก็ไ...”

            “ศิลา ผมชื่อศิลา ผมดูแลห้องโกลอยู่ ถ้าเป็นไปได้ก็อย่ามาใช้บริการห้องนี้เลย”

            “?”

            อะไรกัน ทำไมต้องพูดจาแรงขนาดนี้ด้วย ฉันไม่ได้คิดจะตามตื้อเขาซะหน่อย แค่อยากถามเพราะสงสัยบางอย่างเท่านั้นเอง

            รอบนี้ฉันไม่ได้พูดขัดหรือเอ่ยปากตะโกนขอให้เขาหยุด ฉันได้แต่ยืนนิ่งจ้องมองเขาตาเขม่นขณะที่เขากำลังเดินขึ้นไปหยั่งชั้นบนเกือบสุดทางเดินแล้วเปิดประตูบานสีทองเข้าไปด้านใน

            “เหอะ ฉันก็ไม่คิดจะมาใช้บริการที่นี่รอบ 2 อีกแล้วล่ะ”

            ฉันสะบัดบ็อบใส่ก่อนเร่งฝีเท้าเดินออกจากบริเวณนั้นด้วยความอารณ์เสีย ที่จริงฉันไม่ได้อยากเข้าห้องน้ำตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แวะไปนั่งเล่นโทรศัพท์ในสวนสักพักก่อนแล้วค่อยกลับไปหาทุกคนละกัน

           

     

            ใช่ครับ ที่นี่แหละ

     

     

            เสียงคุ้นเคยของใครบานคนดังขึ้นมาตรงมุมทางเดิน ฉันชะลอฝีเท้าพลางคิดหนักว่าคนที่กำลังจะเดินมาเจอกันใช่คนที่ฉันคิดไว้รึเปล่า

            “ห้องที่ผมจอ...!!”

            “พี่บูม!”

            ฉันคลี่ยิ้มทันทีที่เห็นชายร่างสูงใส่แว่นท่าทางภูมิฐานเดินออกมาจากมุมทางเดิน แต่ทว่าฉันก็ต้องหุบยิ้มทันทีเช่นกันที่เห็นว่าชายคนนี้กำลังเดินควงแขนมากับผู้หญิงผมลอนยาวสีน้ำตาลเข้มอีกคน

            “.... นารา”

            พี่บูมชักสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด แต่เขาก็มีเซ้นต์ดีพอที่จะกลบสีหน้าตกใจนั้นเอาไว้ได้

            “?”

            หญิงสาวผมลอนยาวสีน้ำตาลเข้มคนนั้นหันหน้างงๆมามองเรา 2 คนสลับกันไปมาด้วยความสงสัย ฉันถึงกับประกอบสีหน้าไม่ถูกไม่รู้ว่าควรแสดงอารมณ์แบบไหนออกมา ฉันจะยิ้มทักท้ายในฐานะลูกน้องในทีม หรือต้องโมโหแล้วอาละวาดใส่พี่บูมในฐานะที่เรากำลังดูใจกันอยู่ดีนะ?

            เรื่องของเราเริ่มต้นที่ต้นปีหรือเมื่อ 10 เดือนก่อน ฉันมาสมัครงานที่ ‘BOOM Art Studio’ ในตำแหน่งนักออกแบบพ่วงงานเพ้นท์สี (ถ้าช่างขาด) ฉันมีหัวหน้าเป็นเจ้าของบริษัทชื่อว่าพี่ ‘บูม’ ชายมานิ่ง คิดการไกล ทะเยอทะยาน และมีฝีมือการออกแบบเป็นเลิศจนขยับขยายร้านเพ้นท์ผนังจนกลายเป็นบริษัทได้ ด้วยความที่ฉันเป็นนักออกแบบ เวลามีเคสงานยากๆเข้ามาฉันก็ต้องอยู่บรีฟงานและร่วมกันคิดหาแบบที่ลูกค้าต้องการกับพี่บูมอย่างใกล้ชิดแบบนี้เป็นประจำ และความที่เขาดูเป็นคนนิ่งๆพูดน้อยแต่ต่อยหนัก ทั้งยังมีมาดผู้นำและเก่งงาน มันเลยทำให้ฉันเผลอไปหลงชอบเขาได้ไม่ยากนัก

            ความสัมพันธ์ของเราเริ่มต้นได้ดี พี่บูมดูออกว่าฉันชอบเขาและเขาก็ชอบฉันเหมือนกัน เรา 2 คนจึงเริ่มทำความรู้จักกันมากขึ้น ชวนกันไปกินข้าวดูหนังเหมือนกับคนเป็นแฟนเขาทำกัน แต่เรื่องที่ฉันกำลังศึกษาดูใจกับเขาเขากลับขอให้ฉันปิดเป็นความลับ พี่บูมเป็นลูกชายคนที่ 4 ในครอบครัวนักธุรกิจ จัดได้ว่าฐานะทางบ้านร่ำรวยพอสมควร เขาอยากตั้งใจทำงานให้ประสบความสำเร็จสูงสุดก่อนเพื่อให้พ่อแม่ของเขาได้เห็นว่าเขาก็เก่งไม่แพ้พวกพี่ชาย เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางเขาถึงจะเริ่มมาโฟกัสเรื่องความรัก

            พี่บูมบ้างานมาก บางวันก็แทบไม่มีเวลาให้ฉันเลยแต่ฉันก็ไม่เคยน้อยใจเพราะฉันเข้าใจคนที่รักการทำงานดี และด้วยตำแหน่งหน้าที่ในงานของฉันฉันก็สามารถซัพพอร์ตพี่บูมได้อยู่แล้ว นั่นจึงทำให้ฉันยิ่งเข้าใจว่าทำไมงานแต่ละงานของเขาถึงต้องทุ่มกับมันไปมากมายขนาดนั้นนัก

     

     

          แต่ตอนนี้ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมพี่บูมถึงมาอยู่ที่นี่... กับผู้หญิงคนนี้?

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×