ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หนุ่มพันธ์ห้าว...กะสาวจอมเฮ้ว

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 3 ระหว่างทาง...ซอยเดียวกัน

    • อัปเดตล่าสุด 9 พ.ย. 48




        หลังจากนายเป้กลับไปแล้ว กลุ่มของพี่เอ๋ก็เตรียมตัวกลับเช่นเดียวกัน



    โดยที่โยเองก็กำลังถอดรองเท้าอยู่ ขณะที่คู่ของจิ๊งค์กับมะเดี่ยว และผึ้งเล็กกับเต่ายังสนุกสนานกับการเล่นไอซ์



    และดูเหมือนกับว่า สองคู่นั้นไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้แม้แต่น้อย



    ผิดกับผึ้งใหญ่ที่นั่งทำหน้าเซ็งๆ ขณะที่ตัวเองก็กำลังเปลี่ยนรองเท้า







    “โยจะกลับแล้วใช่ป่ะ” ผึ้งใหญ่หันมาถาม







    “อืม... ก็ว่างั้นล่ะ ไม่อยากเล่นแล้ว เดี๋ยวไว้พรุ่งนี้ค่อยหัดใหม่” โยบอกกับเพื่อนแบบนี้







    “สนิทกันจังเลยเนอะ... ทั้งที่เพิ่งเจอกันเอง” ผึ้งใหญ่เปรยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย



    พร้อมกับมองไปทางพี่ๆ ทั้ง 3 คนที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน







    “อือ...” โยบอกพร้อมกับมองไปที่พี่ๆ พวกนั้นเหมือนกัน แต่ดูสายตาเธอจะจับจ้องอยู่แต่กับพี่ธีร์ซะส่วนใหญ่







    “ผึ้งหมายถึงโยกับพี่ๆ พวกนั้นต่างหากล่ะ” ผึ้งบอกพร้อมกับหันมามองหน้าเพื่อน



    “โดยเฉพาะกับคนที่ชื่อเป้ด้วยแล้ว ยิ่งดูสนิทกันเหลือเกิน” เธอบอกอีกครั้ง







    “ไม่ล่ะ ถ้าจะบอกว่าโยสนิทกับพี่ๆ พวกนั้นน่ะ คงจะใช่ เพราะพวกพี่ๆ เค้าคุยสนุกดีออก



    โดยเฉพาะพี่หญิง ส่วนกับพี่ธีร์ก็สนิทกันเพราะว่า พี่เขารับปากจะสอนเล่นไอซ์ก็เท่านั้น



    แต่กับนายเป้นั่นน่ะ ไม่มีทางหรอก โยไม่อยากคุยกับคนแบบนั้น คุยด้วยทีไร



    ก็มีแต่จะพูดจากระทบกระแทกแด กดัน เถื่อนซะไม่มีเลย ดูอย่างวันนี้สิ ไปมีเรื่องกับคนอื่นซะงั้น



    มนุษยสัมพันธ์แย่ถึงขั้นติดลบ” โยบอกพร้อมกับส่ายหัว







    “เหรอ...” ผึ้งใหญ่พูดออกมาแบบนี้พร้อมกับจ้องหน้าโยอยู่สักพัก







    “ทำไมเหรอ... มีอะไรติดอยู่ที่หน้าโยรึไงกัน” โยถามพร้อมกับมองหน้าเพื่อน



    “แล้วทำไมผึ้งไม่ลงไปเล่นต่อหน่อยล่ะ พวกเราก็ยังอยู่กันนี่นา” เธอถามพร้อมกับ



    ชี้มือไปที่คู่ของจิ๊งค์และผึ้งเล็กที่กำลังเล่นไอซ์อยู่ในลานน้ำแข็ง







    “ไม่ล่ะ นั่งรออยู่ตรงนี้ดีกว่า ลงไปก็เท่านั้น ไม่สนุกน่ะ” ผึ้งบอก



    “โยเองนั่นแหละ รีบกลับบ้านเหอะ เดี๋ยวรถติดไม่รู้ด้วยนะ” เธอบอกพร้อมกับหยิบกระเป๋านักเรียนส่งให้โย







    “ขอบใจ... งั้นโยกลับบ้านก่อนนะ ฝากบอกสี่คนนั้นด้วยแล้วกัน ดูสิ กำลังสนุกเชียว



    เอาไว้โยเล่นได้คล่องเมื่อไหร่ โยจะลงไปเล่นเป็นเพื่อนผึ้งเอง... แต่อย่างว่า คงอีกนานเลยแหละ”



    โยบอกพร้อมกับหัวเราะเจื่อนๆ จากนั้นก็คว้ากระเป๋านักเรียน







    “นั่นน้องโยจะกลับแล้วเหรอ” พี่หญิงถามขณะที่กำลังลุกขึ้นเตรียมกลับบ้านเหมือนกัน







    “ค่ะ... ขืนกลับบ้านช้า... มีหวังโดนแน่เลย” โยบอกพร้อมกับหัวเราะแหะ แหะ







    “ไปด้วยกันไหม พอดีพวกพี่จะไปบ้านพี่เอ๋กันน่ะ เดี๋ยวแวะส่งน้องโยที่บ้านก่อนไง



    อยู่ตรงไหนของพัฒนาการเหรอ” พี่ธีร์ถามพร้อมกับเดินมาคว้ากระเป๋านักเรียนของโย







    “ใช่ๆ ยังไงก็น่าจะไปทางเดียวกันได้นะ พี่ว่างั้น” พี่หญิงเออ ออด้วย







    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ขอบคุณมากๆ เลยพี่ แต่โยว่า...” โยบอก



    พร้อมกับดึงกระเป๋านักเรียนของตัวเองกลับมาจากมือพี่ธีร์







    “เอาน่า...ไม่ต้องเกรงใจอะไรหรอก คิดมากไปได้ ก็ไปด้วยกันนั่นแหละ เดี๋ยวพี่แวะส่งบ้านให้”



    พี่เอ๋พูดแบบนี้พร้อมกับเดินออกไปกับพี่หญิง ปล่อยให้โยกับพี่ธีร์เดินตามมาข้างหลัง



    พร้อมกับแย่งกระเป๋านักเรียนกัน โดยที่ระหว่างนั้นผึ้งใหญ่ก็เฝ้ามองอยู่ตลอดพร้อมกับรำพึงออกมาเบาๆ







    “โยนี่... ช่างไม่เข้าใจอะไรเลยจริงๆ” แล้วเธอก็นั่งรอเพื่อนที่ยังเล่นไอซ์กันอยู่เพียงลำพัง





                         .............................................................................................................



        หลังจากที่ทั้ง 4 คนขึ้นรถกระบะสีเหลืองเตะตาคันนั้นแล้ว พี่เอ๋ก็ขับออกสู่ถนนรามคำแหง



    โดยที่รถราบนท้องถนนก็ดูคับคั่ง และการจราจรก็เริ่มจะติดขัดแล้ว ทั้งที่สภาพการณ์นั้นออกจะน่าอึดอัด



    สำหรับผู้ที่ต่างขับขี่ยวดยาน หากแต่ดูเหมือนทุกคนที่อยู่ในรถกระบะสีเหลืองที่มีสติ๊กเกอร์



    Rally Art ติดอยู่นั้น จะไม่ใคร่กังวลเท่าไหร่กับการที่ต้องมานั่งอยู่บนรถที่จอดแน่นิ่งมาได้เกือบ 10 นาทีแล้ว



    เพราะกระจกรถยนต์ที่ปิดสนิทอยู่นั้น ช่วยบดบังเสียงของเพลงที่เปิดดังกระหึ่มอยู่ภายในได้เป็นอย่างดี



    ซึ่งโยกำลังตั้งใจฟังอย่างมาก เพราะพี่หญิงออกปากบอกกับเธอเลยว่า เพลงนี้เป็นเพลงที่พี่เอ๋มอบให้



    เมื่อตอนครบรอบวันเกิด 17 ปีของเธอที่เพิ่งผ่านไปไม่นานมานี้เอง และชื่อของเพลงนี้ก็คือ



    I for You ของ Luna Sea ซึ่งไม่ว่าโยจะตั้งใจฟังเท่าไร ก็ไม่สามารถเข้าใจความหมายได้เลย



    เพราะมันเป็นภาษาญี่ปุ่นเกือบจะเรียกว่าทั้งเพลงเลยก็ได้ มีเพียงท่อนฮุคเท่านั้นที่เป็นภาษาอังกฤษ



    ซึ่งก็หมายถึงชื่อของเพลงนั้นนั่นเอง แม้กระนั้น เธอก็ยังรู้สึกว่า เพลงนี้คงมีเนื้อหาที่กินใจอย่างมากเลยทีเดียว







    ** (และผู้เขียนต้องขอบอกก่อนเลยว่า ในช่วงเวลานั้น วงดนตรีจากญี่ปุ่นนั้น



    เพิ่งจะเข้ามาสร้างกระแสความนิยมในหมู่วัยรุ่นไทยได้ระยะหนึ่ง



    โดยวงดนตรีที่เป็นที่รู้จักอย่างดีในช่วงระยะเวลานั้นก็ได้แก่ X Japan ซึ่งปัจจุบัน



    วงนี้ได้ประกาศยุบวงไปเรียบร้อย ภายหลังจากการเสียชีวิตของสมาชิกคนหนึ่งในวง



    นั้นก็คือ Hide ซึ่งก็เคยเป็นข่าวครึกโครมในบ้านเราอยู่ช่วงหนึ่งเช่นกัน นอจากวงดนตรีนี้แล้ว



    ก็ยังมีวงอื่นๆ อีก เช่น Penicillin ภายใต้การนำของจิซาโตะ Smap ,Luna Sea



    และ L’arc en Ciel เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันก็มีอีกหลายวงตามมา)**







    จะว่าไปแล้ว โยเองก็เคยฟังเพลงญี่ปุ่นเหมือนกัน และวงดนตรีที่เธอชอบจนถึงหลงรักนั้น



    ก็คงจะเป็น X Japan ซึ่งเกือบทุกอัลบั้มที่วงดนตรีนี้ทำออกมา เธอจะหาซื้อมาครอบครองไว้



    ราวกับมันเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างนั้น ด้วยเหตุนี้ เธอจึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมทันทีที่เพลงนี้จบ



    พี่หญิงจึงกรอกลับฟังอีกครั้ง และดูเหมือนจะไม่มีใครปฏิเสธที่จะต้องฟังเพลงนี้อีกรอบ







    “เพลงประจำกลุ่มน่ะ” พี่หญิงหันมาบอกอย่างร่าเริง “อันที่จริงพี่ชอบเพลงนี้นะ...



    ก็อย่างที่บอกล่ะว่ามันมีความหมาย แล้วนายธีร์เองก็ไม่ได้มีทีท่าว่าไม่ชอบ เจ้าเป้เอง



    ก็ดูเหมือนจะฮัมตามด้วย พี่เลยยกให้เพลงนี้เป็นเพลงประจำกลุ่มน่ะ” เธอหันมาบอกกับโย



    ซึ่งตอนนี้นั่งอยู่ด้านหลังกับพี่ธีร์







    “ก็เห็นว่าเพลงนี้เพราะดี พี่เลยซื้อมาให้หญิงเค้าน่ะ” พี่เอ๋บอกพร้อมกับหยิบกล่องซีดีส่งมาให้โย



    “น้องโยเคยฟังไหม” เขาถาม







    “เคยฟังของวงยุ่นไม่กี่วงหรอกค่ะ แต่วงในดวงใจน่ะ X Japan



    โยชอบมือกลอง ชื่อเดียวกับโยเลย” โยบอกพร้อมกับยิ้มกว้าง







    “ถ้าพูดถึงกลองก็ต้องยกให้เจ้าธีร์ รายนี้เขาตีกลองมาตั้งแต่ม.ต้นแล้ว



    มือกลองมือหนึ่งเลยล่ะ” พี่เอ๋บอกพร้อมกับหัวเราะชอบใจ







    “อย่าไปเชื่อเจ้าเอ๋เลย พี่ก็แค่เป็นมือกลองของวงโยตอนม.ต้นแค่นั้นเอง



    แต่พี่ก็รู้จักโยชิกิมือกลอง X Japan นะ ชอบดูลีลาตอนเขาตีกลองน่ะ สะใจเหลือเกิน”



    พี่ธีร์บอกกับโยแบบนี้พร้อมกับทำท่าว่าตัวเองกำลังตีกลองอยู่ จากนั้นกับหันมาเลิกคิ้วให้กับโย



    “โยกหัวยังงี้เลยใช่ไหมล่ะ” เขาบอกแบบนี้พร้อมกับที่โยหัวเราะ







    “ยังงี้เราก็มีเรื่องคุยกันอีกเรื่องนึงแล้วสินะพี่” โยบอกพร้อมกับทำท่าตีกลองเหมือนกัน



    “สุดยอดเลย ป๋าโยน่ะ หาใครเทียบไม่ได้แล้วล่ะ” เธอบอกอีกครั้ง







    “คงต้องปล่อยให้มือกลองสองคนเค้าคุยกันเองแล้วสินะ” พี่หญิงบอกพร้อมกับหัวเราะชอบใจ



    ในขณะที่พี่เอ๋ก็กำลังวุ่นกับการแกะกล่องซีดี







    “เอ้า... หญิงเอาแผ่นนี้ใส่ลงไปดิ่” พี่เอ๋บอกพร้อมกับส่งกล่องซีดีให้พี่หญิง







    “นี่ไงน้องโย ฟังนะ อภินันทนาการจากพี่เอ๋เค้า” พี่หญิงบอก



    ขณะที่กำลังเอาซีดีใส่ลงไปในเครื่องเล่น ซึ่งทันทีที่โยได้ฟังเธอก็ฉีกยิ้มกว้าง



    พร้อมกับทำท่าเหมือนกำลังนั่งตีกลองอย่างนั้น







    “ดูท่าจะเล่นกลองด้วยเหรอ” พี่ธีร์ถาม ขณะที่เพลง Dahlia ของวง X Japan กำลังเล่นอยู่



    “มีวงดนตรีด้วยรึเปล่า”







    “ไม่มีหรอกค่ะ แล้วก็ไม่ได้เล่นกลองจริงๆ จังๆ หรอก เพื่อนที่เรียนปทุมเค้าสอนให้



    พอดีตอนนั้นวงของเพื่อนกำลังเข้าประกวดน่ะค่ะ แล้วโยไปดูเพื่อนมันซ้อมบ่อยๆ



    มันเลยอาสาจะสอนเล่นกลอง เพราะรู้ว่าโยชอบกลองก็เท่านั้นเอง เอาเข้าจริงๆ



    ก็ไม่มีวงเป็นของตัวเองหรอกค่ะ โยยังตีกลองไม่เก่งหรอก” โยบอก



    “ก็ตั้งใจว่าสักวันอยากเก่งให้ได้แบบป๋าโยชิกิเค้าน่ะค่ะ” แล้วเธอก็หัวเราะแหะ แหะ







    “เอาน่า... ซ้อมบ่อยๆ เดี๋ยวก็เป็นเอง อย่างพี่เอง พอออกจากวงโย พี่ก็เลิกเล่นกลองไปพักนึง



    พอเจ้าเอ๋ซื้อกลองเข้าบ้าน พี่เลยได้กลับไปตีอีกรอบ” พี่ธีร์บอก



    “เออ... จะว่าไปเดี๋ยวไว้ไปซ้อมตีกลองกันไหม ที่บ้านเจ้าเอ๋มันนั่นแหละ



    เพราะบ้านพี่น่ะไม่มีกลองหรอก พ่อไม่ซื้อให้ พ่อบอกว่าไร้สาระน่ะ” เขาบอกพร้อมกับยิ้มแหยๆ







    “พ่อมันน่ะ...สุดโหดเลย” พี่เอ๋เอ่ยขึ้น “สมัยก่อนที่พี่เคยโดดเรียนไปกับมัน



    รู้สึกว่าจะไปที่ไหนนะหญิง” พี่เอ๋หันไปถามพร้อมกับทำท่าครุ่นคิด







    “ชะอำ... พอดีตอนนั้นเจ้าเอ๋ก็แอบเอารถออกมาด้วย ก็น้องโยคิดดูนะ ใบขับขี่ก็ไม่มี



    เสือ กอุตริไปถึงชะอำ ไม่โดนพ่อเรียกมาทักทายก็บุญแล้ว” พี่หญิงบอกพร้อมกับส่ายหัว







    “ใช่ๆ ไปชะอำ พอกลับบ้านพี่ก็แวะไปส่งมัน เห็นพ่อมันถือหน้าสามมายืนรอที่หน้าบ้าน...



    คราวนั้นพี่เกือบตายแน่ะ พ่อมันก็เอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อพี่ เป็นอันว่า



    พี่โดนเล่นเรื่องแอบเอารถออกไป แถมลักพาตัวนักเรียนหญิงไปอีก



    ทั้งที่ยัยนั่นน่ะ เต็มใจหนีเรียนตามพี่ไปด้วยซ้ำ” พี่เอ๋พูดแบบนี้ขณะที่พี่หญิงก็ตีแขนดังเพี๊ยะ







    “อย่าไปเชื่อนายนี่นักเลย มันกระชากพี่ขึ้นรถไปด้วยต่างหาก



    พี่เลยถูกพ่อกับแม่สวดเสียยกใหญ่ แล้วสั่งห้ามคบหรือติดต่อกับนายนี่อีก” พี่หญิงบอกแบบนี้



    “แต่สุดท้ายก็ให้เราคบกัน เพราะนายนี่เข้าไปบ้านพี่วันที่พี่ไม่อยู่



    จากนั้นก็อธิบายเรื่องทั้งหมดให้ที่บ้านพี่เข้าใจ แล้วก็บอกกับพ่อของพี่ว่า



    จะจีบลูกสาวเขา ถึงผู้ใหญ่จะไม่อนุญาต เขาก็จะทำทุกทางเพื่อให้ได้คบกัน จนสุดท้าย



    แม่พี่เองก็ใจอ่อน ยอมให้คบกัน เพราะนายนี่ออกปากว่าจะไม่ทำให้ชีวิตและการเรียนของพี่เสียหาย



    ส่วนพ่อน่ะ ถึงจะไม่ได้บอกยินยอมให้คบกัน แต่ก็ไม่ได้ขัดขวาง” เธอบอกพร้อมกับมองหน้าพี่เอ๋







    “คิดดูนะน้องโย พี่น่ะโดนตัดเงิน โดนดุด่า แถมสั่งห้ามยุ่งกับลูกสาวเขา



    ส่วนนายธีร์น่ะถูกพ่อสั่งกักบริเวณ ใครกันแน่ที่น่าเห็นใจ” พี่เอ๋บอกเสียงอ่อยๆ



    จากนั้นทุกคนก็หัวเราะขึ้นมาลั่นรถ จนโยเองก็สับสน ปรับอารมณ์ไม่ถูก



    “ล้อเล่นน่ะเรื่องจริงมันมีแค่ว่า พี่ถูกพ่อกับแม่ของหญิงสั่งให้เลิกยุ่งกับลูกสาวเขา



    แต่เพราะได้เจ้านี่แหละ พวกเราถึงได้คบกัน” พี่เอ๋บอกขณะเลี้ยวรถเข้าถนนพัฒนาการ







    “มันเป็นบุญคุณที่จะติดตัวสองคนนี้ไปจนตายเลยล่ะ” พี่ธีร์บอกพร้อมกับที่พี่หญิงเอื้อมมือมาตีไหล่



    “ตีเราอีกละ ทำไมไม่หันไปหวดเจ้าเอ๋แทนล่ะ”







    “เฮ้ย... ขับรถอยู่นะ อย่ามาตีกันบนรถเด่ะ แล้วอ้ายธีร์... นั่นแฟนของกระผมนะขอรับ



    ก็ขอบคุณที่ทำให้พวกเราต้องเป็นหนี้บุญคุณนายนะ” พี่เอ๋บอก







    “ก็แหงมล่ะ... จำไว้แล้วกันว่า ที่ช่วยน่ะ เพราะเห็นแก่หญิง



    ซึ่งเคยชอบพอกันมาก่อนจะเจอหน้านายเสียอีก ถึงจะเลิกกันไป...



    ก็ยังดีใจที่เธอได้เจอคนดีๆ อย่างนาย” พี่ธีร์บอกแบบนี้พร้อมกับที่ทั้งสามหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน



    โดยที่มีเพียงโยคนเดียวเท่านั้นที่ทำหน้าตาเหลอหลา



    ดูท่าว่าเธอจะเชื่อมั่นอย่างสุดใจกับคำที่นายธีร์ของเราพูดออกไป







    “จะว่าไป... มุกนี้ก็ไม่เลวนะ น้องโยอึ้งรับประทานเลย” พี่หญิงบอกพร้อมกับหัวเราะออกมา



    “ล้อเล่นกันน่ะ แค่ล้อเล่นหรอก อย่าคิดมากนะน้องโย”







    “อ้อ... ล้อเล่นงั้นเหรอคะ” โยยิ้มแหยๆ “พวกพี่ล้อเล่นกันแรงเนอะ”







    “ก็ยังงี้แหละ พวกเรามีกันแค่นี้นี่นา ก็ต้องรักใคร่กลมเกลียวกันเป็นธรรมดา...



    จะว่าไปแล้ว มันเกี่ยวกันไหมเนี่ย” พี่หญิงหันมาบอกกับโยพร้อมกับหัวเราะ



    โยก็ร่วมหัวเราะไปด้วย ทั้งที่ในใจก็แอบอิจฉาอยู่เล็กนิดหน่อยว่าพี่ๆ ทั้ง 3 คนนั้น



    ต่างสนิทสนมกันมากทีเดียว ขนาดเวลาอยู่ที่ลานไอซ์สเกตซ์แล้ว ต่อให้จะมีใครๆ เข้ามาทักทาย



    แต่อันที่จริงก็ดูเหมือนกับว่า พวกพี่ๆ นั้นมีกันอยู่แค่ 3 คน และคงจะไม่มีใคร



    เข้าไปแทรกระหว่าง 3 คนนั้นได้อย่างแน่นอน ยกเว้นนายเก๋าโจ๋คนนั้นคนเดียว







    “ว่าไงล่ะจ้ะ... สนใจไหม” พี่หญิงถามขึ้นมาพร้อมกับหันมามองโย







    “คะ... พี่หญิงว่าอะไรนะ” โยถามกลับ “โทษทีนะพี่ โยคิดอะไรเพลินๆ อีกแล้วอ่ะ”







    “พี่ถามว่าจะเข้ามาอยู่กลุ่มพวกเราไหม... แต่ยังไม่ต้องรีบให้คำตอบก็ได้นะจ้ะ



    กลับไปคิดก่อนก็ได้” พี่หญิงถามแบบนี้







    “ได้...เหรอคะ” โยถามอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง โดยที่แอบคิดไปว่าพี่หญิงอาจจะอ่านใจเธอได้กระมั้ง



    “คือ... หนูหมายถึง พวกพี่จะให้โยเข้ากลุ่มด้วยเหรอคะ”







    “อืม... พี่เองก็อยากมีน้องสาวน่ะ พวกเราทุกคนเป็นลูกคนเดียวหมดเลย



    น้องชายก็มีแล้ว คือเจ้าบ้านั่น น้องสาวก็อยากให้น้องโยมาเป็นน่ะ พี่คุยด้วยแล้วสบายใจดี”



    พี่หญิงบอกแบบนี้พร้อมกับหันไปพยักหน้ากับพี่เอ๋และพี่ธีร์







    “พี่ก็ว่าดีออก พวกพี่จะได้มีน้องสาวเอาไว้หวงกับเขาบ้าง อีกอย่าง



    เผื่อเจ้าหญิงเบื่อที่จะคุยกับพี่แล้ว ก็จะได้คุยกันตามประสาสาวๆ ด้วยไง” พี่เอ๋บอกแบบนี้







    “ถ้ายังไง น้องโยเอาไปคิดก่อนก็ได้ ยังไม่ต้องให้คำตอบหรอก พรุ่งนี้



    มะรืนนี้ก็ไม่มีปัญหา” พี่ธีร์บอกแบบนี้พร้อมกับยิ้มให้โย







    “อ้อ... แล้วอย่าลืมบอกเจ้านั่นมันด้วย เดี๋ยวมันจะโวยเอา” พี่เอ๋บอกอีกครั้ง







    “มัวแต่คุยกันเพลินเลย แล้วนี่น้องโยบ้านอยู่แถวไหนล่ะ เลยมารึยัง”



    พี่ธีร์ถามขณะที่กำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง







    “อยู่ซอย 20 อ่ะค่ะ พี่จอดตรงสะพานลอยข้างหน้าก็ได้ เดี๋ยวโยจะได้ต่อรถเข้าซอยเอง”



    โยบอกแบบนี้ขณะที่พี่เอ๋ก็ขับรถเลยไปเรียบร้อยแล้ว







    “จะไปต่อรถสีแดงใช่ป่ะ” พี่เอ๋ถามพร้อมกับหันไปยิ้มอย่างมีเลศนัยกับพี่หญิง







    “ค่ะ พี่รู้ได้ไงอ่ะ” โยถาม ‘อย่ามาบอกกันนะว่าพวกพี่ๆ เดาใจคนได้น่ะ’ เธอคิดแบบนี้







    “พี่อ่านใจคนได้” พี่เอ๋บอกออกมา ทำเอาโยตีหน้าไม่ถูกเลย หน้าเธอตอนนี้ งง สุดๆ



    “ล้อเล่น... ล้อเล่นอีกแล้ว เราอยู่ซอยเดียวกันเลย” พี่เอ๋บอก ขณะที่พี่หญิงและพี่ธีร์ก็ปล่อยก๊ากออกมา



    “พี่ชอบดูเวลาน้องโยทำหน้าเอ๋ออ่ะ ขำดี” พี่เอ๋บอกแบบนี้พร้อมกับหัวเราะออกมา



    ขณะที่กำลังกลับรถเพื่อเตรียมเลี้ยวเข้าซอย







    “จริงเหรอพี่ ทำไมโยไม่เคยเห็นหน้าพี่เลยล่ะ” โยถามแบบนี้



    พร้อมกับที่พี่เอ๋ชี้มือไปที่ปั๊มน้ำมันที่อยู่ทางขวามือ







    “บ้านพี่เลี้ยวเข้าไปซอยนั้นน่ะ” พี่เอ๋บอกขณะที่รถค่อยๆ แล่นผ่านไป



    “บ้านหลังใหญ่รั้วสีขาวนั่นน่ะ บ้านพี่เอง” เขาบอกแบบนี้ ขณะที่โยเองก็มองตาม







    “นั่นมันบ้านของเจ้าของปั๊มนี้นี่พี่” โยถามพร้อมกับทำหน้าเหลอหลา







    “อืม... นั่นน่ะ ลุงของพี่เอง พอดีบ้านพี่กับบ้านลุงน่ะ เราอยู่รั้วเดียวกัน



    แต่พี่ต้องเดินเลยเข้าไปนิดเดียวเอง จะลองแวะเข้าไปหน่อยมั้ย” พี่เอ๋ถาม







    “ไม่ล่ะค่ะ” โยบอกพร้อมกับทำหน้าเหวอ “เอาไว้คราวหลังดีกว่า” เธอบอกพร้อมกับโบกไม้โบกมือ



    “งั้นแสดงว่าพี่ก็นามสกุลใหญ่ล่ะสิ... ใช่ไหม” เธอถามอีก







    “อืม... ก็แค่นามสกุลน่ะนะ มันช่วยไม่ได้นี่ที่พี่เกิดมานามสกุลนี้



    แต่พี่ไม่เคยเอานามสกุลนี้ไปเบ่งใส่ใครนะ” พี่เอ๋บอกแบบนี้พร้อมกับทำหน้าผิดหวังนิดๆ



    “คุณลุงพี่ท่านเป็นนักการเมืองชื่อดัง ใครเห็นก็ต้องเกรงอกเกรงใจเป็นธรรมดา



    จริงๆ พี่รู้สึกว่าเหมือนกับตัวเองเป็นโรคติดต่ออย่างนั้น ไปทางไหนก็มีแต่คนคอยหลบ



    คอยหลีกหนี ไม่อยากข้องแวะด้วย พี่ไม้รู้ว่า ที่คนพวกนั้นทำไปเพราะเคารพนับถือ



    หรือว่าเกรงกลัวอิทธิพลของนักการเมืองกันแน่ มันน่าเบื่อใช่ไหมล่ะ



    ที่รอบข้างมีแต่คนใส่หน้ากาก เราไม่มีทางรู้เลยว่า พวกเขาดีกับเราจริงๆ



    หรือว่าดีกับเราเพราะแค่หวังผลประโยชน์ทางการเมืองน่ะ” พี่เอ๋บอกอย่างเอือมระอา







    “แหม... พี่เอ๋ก็... คิดมากไปรึเปล่าคะ บางทีคนพวกนั้นอาจจะหลีกทางให้จริงๆ



    เพราะพวกเขาให้ความนับถือก็ได้ แล้วอีกอย่าง โยว่ารอบข้างพี่



    ก็ไม่ได้มีแต่คนที่ใส่หน้ากากเท่านั้นนะคะ อย่างน้อยคนที่อยู่ในรถคันนี้ ทุกคนน่ะ



    ไม่มีใครใส่หน้ากากกับพี่หรอก มันก็เหมือนกับที่พี่เองก็ไม่ได้ใส่หน้ากากเข้าหาใครสักหน่อยนึง”



    โยบอกอย่างมั่นอกมั่นใจเหลือเกิน “คนอื่นจะยังไงไม่สำคัญหรอกค่ะ มันสำคัญแค่ว่า



    พวกพี่ให้ความสำคัญระหว่างกันก็พอแล้ว” เธอบอกอีก



    “และเท่าที่หนูมองดูน่ะ ระหว่างพวกพี่ทั้ง 3 คนดูเหมือนว่า มิตรภาพระหว่างเพื่อน



    มันออกจะแน่นแฟ้นเสียจนคนนอกไม่สามารถแทรกเข้าไปได้เลยล่ะค่ะ”







    “คุยกันมาตั้งนานแล้ว ตกลงบ้านน้องโยอยู่ไหนเหรอ เลยมาแล้วรึยัง” พี่ธีร์ถามขึ้น



    ขณะที่โยก็มองซ้ายมองขวา







    “เลยโค้งนี้ก็จอดได้แล้วล่ะค่ะ จากนั้นก็เข้าไปกลับรถในลานจอดรถนั่นได้เลย” โยบอก







    “แล้วบ้านน้องโยล่ะ อย่าบอกนะว่าอยู่แมนชั่นเนี่ย” พี่หญิงถามพร้อมกับชี้มือไปที่ตึก 5 ชั้น



    ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งโยเพิ่งจะบอกให้เข้าไปกลับรถได้นั่นเอง







    “อ๋อ เปล่าค่ะ บ้านโยอยู่ริมคลองน่ะ เดี๋ยวลงตรงนี้ก็ข้ามถนน แล้วก็เดินเข้าสะพานริมคลอง



    ตรงนั้นไงคะ สะพานปูนตรงนั้นน่ะ” โยบอกพร้อมกับชี้มือไปที่สะพานคอนกรีตสีขาว



    ที่ทอดยาวเลียบคลองสายนั้น “บ้านที่มีรั้วไม้ระแนงนั่นแหละ ของโยเอง”







    “บ้านไม้เหรอ” พี่ธีร์ถาม ขณะที่ทุกคนมองไปที่บ้านไม้ใต้ถุนสูงหลังนั้นเป็นตาเดียว







    “ก็ค่ะ... บ้านของคุณตากับคุณยายน่ะ ตั้งแต่จำความได้ โยก็อยู่ที่นี่มาตลอดเลย” โยบอก



    “อีกอย่าง แม่บอกว่าอยู่บ้านตึกแล้วท่าจะร้อน ทุกคนก็เลยชอบบ้านทรงไทยหลังนี้มากกว่า



    ที่สำคัญ มันตกทอดมาหลายรุ่นแล้ว คุณตาเคยบอกว่า บ้านทรงไทยหลังนี้อยู่มาตั้งแต่



    ก่อนที่ญี่ปุ่นจะยกทัพมาเสียอีก” เธอบอกอย่างภาคภูมิใจ “แล้วบ้านก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรหรอกค่ะ



    ก็แค่บ้านไม่ธรรมดาๆ หลังนึงเท่านั้นเอง” เธอบอกอย่างอายๆ







    “น่าอยู่มากเลย” พี่หญิงเอ่ยขึ้นในที่สุด “บ้านพี่ก็เป็นบ้านไม้ แถมไม่มีเนื้อที่กว้างขนาดนี้หรอก



    บ้านน้องโยน่ะ มีต้นไม้เต็มเลย ดูร่มรื่นดีจะตายไป” เธอบอกพร้อมกับยิ้มให้







    “ใช่ๆ ถึงบ้านพี่จะใหญ่ในสายตาของน้องโยนะ แต่ความจริงก็เงียบเหงามากเลยล่ะ



    ไม่มีคุณตา คุณยาย แถมอยู่กันจริงๆ ก็แค่ 3 คนพ่อแม่ลูก วันๆ พ่อพี่ก็ออกไปข้างนอกกับคุณลุงบ่อยๆ



    ไม่ค่อยมีเวลาอยู่บ้านเท่าไหร่ พี่เลยต้องใช้เวลาอยู่ข้างนอกให้นานที่สุด ไม่ก็จะชวน 2 คนนี้



    ไปเที่ยวที่บ้าน พูดง่ายๆ ก็ชวนไปอยู่เป็นเพื่อนนั่นแหละ” พี่เอ๋บอกเสียงอ่อย







    “ที่บ้านพี่เองก็เงียบๆ เหมือนกัน มีกันอยู่ 3 คนพ่อแม่ลูก แม่ไปทำงานแต่เช้าที่กระทรวง



    พ่อเองก็ไปที่โรงเรียนที่ท่านเป็นทั้งเจ้าของและผู้อำนวยการที่นั่น จะว่าไป



    พี่ก็ไม่มีใครนอกจากสองคนนี้ ต่อให้พี่จะสอบได้คะแนนสูงสุดกลับไปที่บ้าน



    ก็ไม่รู้จะบอกกับใคร และถึงบอกไปก็เท่านั้น พวกเราเลยคิดว่า มีกันอยู่แค่นี้ก็ดีแล้ว



    อยู่กับเพื่อนๆ ที่เข้าใจและดูแลกันและกันไปตลอดแบบนี้น่ะ” พี่ธีร์บอกอย่างเศร้าๆ







    “เมื่อก่อนพวกเราอิจฉาเจ้าเป้จะตายไป นายนั่นมีทั้งพี่สาวและน้องสาว



    พี่สาวชื่อปุ้ย เลิศเลอเพอร์เฟคทุกอย่าง ทั้งสวย ทั้งเรียนเก่ง ส่วนน้องสาวชื่อป้อม



    เรียนเก่งเหมือนกัน แต่ดูท่าไม่ค่อยกินเส้นกันเท่าไหร่ ชอบทะเลาะกันอยู่ตลอด



    จะว่าไปก็ยังดีที่มีคนชวนทะเลาะล่ะน่า ดีกว่าพวกพี่ที่เป็นลูกคนเดียวเสียอีก” พี่หญิงบอกอย่างนึกเสียดาย



    “แล้วน้องโยล่ะ มีพี่น้องกี่คนเหรอ” ว่าแล้วก็หันมาถามโย







    “11 คนค่ะเกือบจะตั้งเป็นทีมฟุตบอลได้แล้วด้วย แต่พี่ฝาแฝดมาเสียชีวิตไปเสียก่อน



    ไม่งั้นคงได้ตั้งทีมกีฬาแน่ๆ เลย” โยบอกแบบนี้พร้อมกับทำหน้าเศร้าๆ







    “เอาน่า ยังไงก็ยังมีพี่น้องเยอะกว่าพวกพี่อยู่ดี ยังงี้ น้องโยคงไม่อยากมีพี่ชายกับพี่สาวเพิ่มล่ะสิ”



    พี่หญิงพูดออกมาแบบนี้พร้อมกับที่พี่เอ๋และพี่ธีร์ต่างมองหน้าโยพร้อมกัน







    “ใครบอกล่ะ โยอยากมีพี่อีกเยอะๆ เลย จะได้มีคนคอยชวนทะเลาะไง



    อีกอย่างพวกพี่เองก็คงอยากมีน้องสาวไว้ชวนตีใช่ไหมล่ะคะ” โยถามกลับแบบนี้



    ขณะที่เห็นรอยยิ้มผุดขึ้นที่ใบหน้าของพี่ทั้ง 3 คน



    “นอกเสียจากว่า พี่ๆ ไม่อยากมีน้องสาวที่เล่นไอซ์ไม่เก่งน่ะ”







    “สอนกันได้อยู่แล้ว” พี่หญิงบอกแบบนี้พร้อมกับขยี้หัวโย พี่เอ๋ก็เอากับเขาด้วย



    มีพี่ธีร์เพียงคนเดียวที่ลูบหัวเธอเบาๆ “ตกลงมาเป็นน้องพวกเรานะ” พี่หญิงถามอีกครั้ง







    “ได้อยู่แล้วล่ะค่ะ” โยบอกพร้อมกับยิ้มกว้าง ซึ่งก็อีกครั้งที่หัวเธอถูกขยี้พร้อมกันหลายๆ มือ



    จะว่าไป นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นพี่ๆ ทั้ง 3 คน หัวเราะร่าเริงแบบนี้เป็นครั้งแรก เ



    ป็นเสียงหัวเราะที่บ่งบอกได้เลยว่า มีความสุขขนาดไหน จนกระทั่งเสียงนาฬิกาข้อมือของพี่ธีร์



    ดังขึ้น บอกเวลา 6 โมงเย็น... เท่านั้นแหละ



    “เสียงไรอ่ะพี่” โยถามขึ้น







    “ก็ 6 โมงเย็นไงทำไมเหรอน้องโย จะชวนไปเคารพธงชาติที่ไหนเหรอ” พี่เอ๋เอ่ยแซวขึ้น







    “6 โมงเย็น!” เสียงโยตอนนี้ดังแทบจะทะลุกระจกรถออกมา



    “ตายแล้ว! กลับบ้านช้า... โดนตีแน่ๆ เลย” เธอบอกแบบนี้พร้อมกับที่พี่ๆ ทั้ง 3 คนทำหน้า งง







    “โดนตีเหรอ” พี่หญิงทวนคำ



    “สมัยนี้ยังมีตีกันด้วยเหรอ แล้วนี่ก็เพิ่งจะ 6 โมงเย็นเอง ตะวันยังไม่ตกดินเลยนะ”







    “โยต้องรีบไปแล้วนะคะพี่ๆ ทั้งหลาย ทั้งพี่ชายและพี่สาว



    ช้ากว่านี้น้องสาวคนนี้ต้องโดนหวดแน่ๆ เลย แบบว่า คุณตาท่านไม่ชอบให้กลับเกินเวลาน่ะค่ะ”



    โยบอกพร้อมกับขยับตัวเอง “พี่ธีร์ หลีกทางให้โยด้วยดิ่” เธอบอกแบบนี้



    พร้อมกับที่หญิงเปิดประตูรถเดินลงมา จากนั้นพี่ธีร์จึงขยับตัวออกจากรถ



    และโยถึงได้ก้าวลงมาจากรถได้



    “ไว้เจอกันคราวหลังนะคะ” โยบอกพร้อมกับตั้งท่าเตรียมวิ่ง







    “แล้วน้องโยมีเบอร์โทรไหมล่ะ พี่จะได้โทรนัดเวลาจะไปรับที่โรงเรียนไง” พี่หญิงบอกแบบนี้



    พร้อมกับที่พี่เอ๋เปิดรถลงมาด้วย







    “ก็เดินไปส่งน้องโยที่บ้านเลยก็หมดเรื่อง แล้วอธิบายให้ที่บ้านน้องโยเข้าใจว่า



    ทำไมวันนี้น้องโยถึงกลับช้าไง ดีไหม” พี่เอ๋บอกแบบนี้ ขณะที่หน้าของโยถอดสี







    “ไม่ได้แน่ๆ เลยค่ะ โยขอร้องล่ะ คุณตาโยไม่ชอบให้พาผู้ชายไปบ้าน” โยบอกอย่างหวั่นๆ



    “แค่มาส่งแค่นี้ก็พอแล้วล่ะค่ะ ขอบคุณพี่ๆ มากเลยนะคะ แล้ว...” โยบอกแบบนี้



    พร้อมกับเปิดกระเป๋าหยิบกระดาษกับปากกาออกมา จากนั้นก็ก้มลงเขียนอะไรสักอย่าง



    แล้วส่งให้พี่หญิง “นี่เบอร์เพจของโยนะคะ แล้วไว้เจอกันนะพี่ๆ” เธอบอก



    พร้อมกับวิ่งตื๋อกลับบ้านทันทีที่พี่หญิงยื่นมือไปหยิบกระดาษแผ่นนั้น







    “จี้ดีนะ น้องโยเนี่ย” พี่เอ๋บอกขณะที่กำลังมองดูโยเดินเข้าประตูรั้วไม้ระแนงนั่น



    พร้อมกับผู้ชายอีกคนที่น่าจะเป็นพี่ชายเธอ ทันทีที่ประตูรั้วไม้ปิดลง



    พี่เอ๋ก็หันมามองหน้าแฟนสาว และเพื่อนอีกคนที่กำลังจ้องมองบ้านไม้ทรงไทยหลังนั้น



    ราวกับว่า ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยพบเห็นบ้านแบบนั้นมาก่อน



    “เราต้องไปบ้านเจ้าเป้กันเดี๋ยวนี้” พี่เอ๋พูดขึ้น







    “หมายความว่าไง ไปบ้านเจ้าเป้น่ะ” พี่หญิงเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่ทุกคนขึ้นรถกันแล้ว







    “ก็เพราะ... นายนั่นเป็นน้องชายของพวกเราน่ะสิ” พี่เอ๋บอกขึ้นมา



    “ขืนให้น้องโยเข้ากลุ่มโดยไม่บอกเจ้านั่น มีหวังเคืองกันไปนานเลยนะ



    เจ้านั่นเคยว่าไง ตอนที่พวกเราจะรับน้องซีที่มาตามจีบเจ้าธีร์เข้ากลุ่มด้วยน่ะ



    ‘กลุ่มเรามีกันแค่นี้แหละ ดีแล้ว ไม่รับใครเข้าไม่เอาใครออก’ จำได้ป่าว” เขาบอกอีกครั้ง



    พร้อมกับเลียนแบบเสียงนายเป้เมื่อครั้งที่เขาลั่นวาจาไว้แบบนี้ นั่นทำให้ทั้งหญิงและธีร์นึกขึ้นได้







    “เออ... จริงด้วยสิ ขืนรับน้องโยเข้ากลุ่มแล้วเจ้านั่นยังไม่รู้ล่ะก็ เดี๋ยวก็เป็นเรื่องหรอก”



    พี่ธีร์บอกแบบนี้ ขณะที่พี่เอ๋ออกรถทันที ส่วนหญิงนั้นก็รีบโทรหานายเป้ก่อน



    เพื่อบอกว่าจะเข้าไปหาที่บ้าน







    “หมายความว่าไงกันน่ะพี่... จะเข้ามาที่บ้านผมเหรอ วันนี้เวรพวกพี่ต้องไปบ้านพี่เอ๋ไม่ใช่รึไงกัน”



    เสียงหนึ่งตอบกลับมาจากปลายสาย นายเป้นั่นเอง ดูท่าเขาก็ งง งง กับพวกพี่ๆ ทั้ง 3 คนเช่นกัน



    “มีอะไรหรือเปล่าพี่... แต่ช่างเหอะ ตอนนี้ผมอยู่บ้านแล้วล่ะ เพิ่งจะมาถึงเมื่อกี้นี้เอง



    พอดีแวะเอามอไซค์ไปเติมน้ำมันแล้วเจอกับเพื่อนน่ะ เลยแวะคุยเรื่องรถกันนิดหน่อย”







    “เหรอ... พอดีว่า วันนี้ลุงของเจ้าเอ๋มีแขกมาเยอะแยะเลย คนมากไปพวกเราก็รำคาญกัน



    เลยว่าไหนๆ ก็มาแถวนี้แล้ว บ้านนายก็อยู่ซอยเดียวกับพี่เอ๋เขานี่นา แล้วก็ใกล้กว่าบ้านพวกพี่อีก



    ก็เลยว่า มาสิงกันที่บ้านนายก่อนนั่นแหละ” พี่หญิงบอกกลับไปแบบนี้







    “เอางั้นก็ได้พี่ แล้วซื้ออะไรเข้ามาด้วยล่ะ ที่บ้านไม่มีใครอยู่หรอก แม่ยังไม่กลับจากร้าน



    ส่วนพี่ปุ้ยก็ยังไม่มา เจ้าป้อมตัวแสบคงกำลังอยู่บ้านเพื่อนมั้ง” นายเป้บอกละเอียดยิบ







    “อืม... งั้นเดี๋ยวเข้าไปนะ อยากกินไรไหมล่ะ จะได้ซื้อเข้าไปด้วย” พี่หญิงถามกลับไป







    “หึ ไม่ล่ะ พวกพี่อยากกินไรก็เอาเข้ามาแล้วกัน ยกเว้นหมูนะ... แล้วก็ของที่ผมกินไม่ได้



    ที่เหลือก็แล้วแต่พวกพี่” นายเป้บอกกลับมาแบบนี้ จากนั้นก็วางสายไป



    นายเอ๋จึงรีบบึ่งรถไปบ้านของนายเป้ทันที ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง



    ลึกเข้าไปในซอยนี้อีก โดยขับเลยไปก่อน เพื่อแวะซื้อของขบเคี้ยวตามที่แฟนสาวบอก



    จากนั้นก็ค่อยวนรถกลับมาที่บ้านนายเป้อีกครั้ง







    To Be Cont...
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×