ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หนุ่มพันธ์ห้าว...กะสาวจอมเฮ้ว

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2 การเผชิญหน้ากันในวันพุธ... สุดเดือด

    • อัปเดตล่าสุด 4 เม.ย. 48




        วันนี้ขณะที่ทุกคนกำลังสนใจกับการเรียนที่อยู่ตรงหน้า กลุ่มของโยกลับเลือกที่จะสุมหัวกันหลังห้อง



    เพื่อคุยกันถึงเรื่องเย็นนี้ ซึ่งจะว่าไป ยิ่งใกล้ช่วงเวลา พวกสาวๆ ต่างก็ตื่นเต้นกันทุกคน ยกเว้นสองหนุ่ม มะเดี่ยวและเต่า



    ซึ่งตัดสินใจว่า วันนี้ขอบาย เพราะอยากจะเตะบอลมากกว่า ซึ่งพวกสาวๆ เองก็ไม่มีใครขัดศรัทธา โดยตกลงกันว่าจะไปเพียง 4 คนเท่านั้น



    ส่วนอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อพี่เอ๋เลิกเรียนแล้ว เขาก็รอออกมาพร้อมกับหญิงเลย จากนั้นก็จะขับรถไปรับพี่ธีร์ต่อที่โรงเรียนมัธยม



    จากนั้นจึงจะขับรถกลับมายังหน้าราม เพื่อมายังลาน Ice Skate ตามที่ได้นัดกันไว้กับเด็กนักเรียนรุ่นน้องที่เพิ่งเจอกัน



    โดยที่ฝ่ายพวกพี่ๆ เองก็รอการติดต่อกลับมาของนายเป้ ว่าจะมาด้วยหรือไม่







        ไม่นานนัก ขณะที่ฝ่ายพี่ๆ นั้นมาถึงที่ลาน Ice Skate เรียบร้อยแล้ว ต่างคนก็ต่างไปเล่นไอซ์กันตามปกติ



    เหมือนเช่นทุกครั้ง เพียงแต่คราวนี้เปลี่ยนสถานที่เท่านั้น ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกัน กลุ่มของน้องๆ ก็กำลังนั่งเรียนวิชาสุดท้ายของวันนี้



    ซึ่งเป็นวิชาที่แสนจะน่าเบื่อเหลือเกิน นั่นคือวิชาประวัติศาสตร์ ที่ต่อให้จะเบื่อแค่ไหน แต่เมื่อทั้ง 4 คิดถึงสิ่งที่รออยู่ตรงหน้า



    ก็คิดว่า ยอมทนไปอีกหน่อยแล้วกัน ไม่นานนักหลังจากที่ความอดทนใกล้จะหมดลง โดยหนังตาเริ่มจะหย่อนลงมา



    เสียงกริ่งก็ดังขึ้นพอดี ทุกคนจึงตื่นเต็มตา จากนั้นทั้ง 4 ก็รีบแจ้นไปยังลานไอซ์เหมือนทุกวันอย่างเคย







    “แล้วโยนึกไงล่ะ ถึงไปนัดกับพี่สาวแสนสวยคนนั้นไว้น่ะ” จิ๊งค์ถามขณะที่ทั้ง 4 กำลังเดินไปที่ห้างสรรพสินค้า



    ซึ่งข้างๆ กันนั้นมีลานไอซ์สเกตซ์อยู่







    “นึกไงไม่สำคัญ... แต่ไปรู้จักกันได้ไงน่ะ รู้ไหมพี่ผู้ชายสองคนนั้นเล่นเก่งมากๆ เลยนะ จะเรียกว่าสุดยอดเลยก็ได้” ผึ้งใหญ่บอก



    เธอคนนี้แทบจะเรียกได้เลยว่ารอบรู้เรื่องราวของลานน้ำแข็งเลยก็ว่าได้ เพราะเธอเล่นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ที่สำคัญคือ



    เธอเป็นน้องสาวของนักสเกตซ์น้ำแข็งดาวรุ่งด้วย “สองคนนั้นน่ะ ผึ้งเคยเห็นฝีมือแล้วล่ะ เก่งกว่าพี่ชายผึ้งอีก



    แต่ไม่เห็นลงแข่งอะไรกับเขาเลย”







    “พี่ๆ พวกนั้นคงแค่ชอบเล่นเท่านั้นล่ะมั้ง คงไม่คิดจะแข่งขันกับใครหรอก” ผึ้งเล็กออกความเห็นบ้าง



    “แต่จะว่าไปแล้วก็เก่งจริงๆ อ่ะ พี่สุดสวยคนนั้นด้วย เคยเห็นเค้าเล่นคู่กับพี่คนที่ใส่กางเกงขายาวนะ...



    ผึ้งว่า ถ้าลงแข่งขันล่ะก็... ชนะขาด” เธอบอก







    “พี่สุดสวยที่เรียกกันน่ะ ชื่อพี่หญิง ส่วนพี่ผู้ชายที่ใส่กางเกงขายาวนั่นชื่อพี่เอ๋ สองคนนี้เป็นแฟนกัน



    แล้วพี่ผู้ชายที่เรียนม.ปลายนั้นชื่อพี่ธีร์ จะว่าไป โยก็ไม่ได้รู้จักกันมาก่อนหรอก แต่พี่ๆ เค้าก็นิสัยดีกันทั้งนั้นนี่



    ใช่ไหมล่ะ” โยบอกกับเพื่อนแบบนี้พร้อมกับยิ้มกว้าง เพราะขณะนี่ทุกคนกำลังเดินขึ้นมาถึงหน้าประตูทางเข้าแล้ว







    “อีกคนนึงล่ะ ที่ใส่ขายาวเหมือนกัน ที่วันนั้นเอาแต่เงียบน่ะ ชื่อไรเหรอ โยรู้ป่ะ” ผึ้งใหญ่ถามด้วยท่าทีที่แสดงออกว่า



    ให้ความสนใจอย่างยิ่ง “คนนั้นก็เล่นเก่งเหมือนกันนะ ดูท่าแล้วน่าจะเป็นพี่พวกเราด้วย แต่ก็คงจะเป็นรุ่นน้องของพี่ๆ



    คนอื่นใช่ไหม เห็นด้วยป่ะ” เธอถามอีก







    “คนนั้นเรียนช่างกล ชื่อเป้ โยรู้แค่นี้แหละ” โยบอกกับเพื่อนขณะที่ตัวเองเดินไปซื้อบัตรผ่านประตู



    “เข้าไปกันเหอะ... สงสัยพวกพี่ๆ คงมาถึงกันแล้วแหงมเลย” เธอบอกพร้อมกับเดินเรียงแถวเข้าไปด้านใน







    “ทางนี้... น้องโย... อยู่ทางนี้จ้ะ” เสียงหนึ่งตะโกนเรียกขึ้น พี่หญิงนั่นเอง เธอกำลังโบกมือหยอยๆ อยู่อีกฝั่งของลานน้ำแข็ง







    “หวัดดีค่ะพี่หญิง” ทุกคนเอ่ยทักทายพร้อมกันหมด จากนั้นก็จัดแจงเปลี่ยนรองเท้ากันเรียบร้อย



    “พี่มานานแล้วใช่ไหมคะ” โยถามขึ้นหลังจากที่ผูกเชือกรองเท้าเรียบร้อยแล้ว







    “ก็เพิ่งมาเองจ้ะ เพราะพอดีวันนี้เลิกเร็วด้วย เลยกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อน อีกอย่างที่นี่ไม่ใช่ถิ่นพี่



    ขืนตาเอ๋ใส่ชุดช่างกลมา พี่กลัวว่าจะมีเรื่องน่ะจ้ะ” พี่หญิงบอกแบบนี้พร้อมกับตะโกนเรียกพี่เอ๋และพี่ธีร์



    ซึ่งโยเองก็เพิ่งสังเกตว่า ทั้งสามคนใส่ชุดนอกกันทุกคนเลย ยิ่งทำให้น่ามองเข้าไปใหญ่ เพราะดูผิดกับเมื่อวานมาก



    พี่หญิงเองก็รวบผมไว้ที่ต้นคอ สวมเสื้อยืดสีม่วงอ่อน มีแจ้กเก็ตยีนส์สวมทับ กางเกงยีนส์พอดีเข่า ส่วนพี่เอ๋และพี่ธีร์



    สองคนนั้นก็แต่งตัวธรรมดา แค่ใส่เสื้อยืดข้างในและสวมเสื้อเชิ้ตทับข้างนอกกับกางเกงยีนส์ธรรมดาเท่านั้น



    แต่ก็ยังทำให้หลายๆ คนต่างจับตามอง







    “ว่าไง... น้อง... ชื่ออะไรนะ” พี่ธีร์เดินเข้ามาทักพร้อมกับทำท่าว่ากำลังนึกอยู่



    “ล้อเล่นน่ะ... น้องโย กับเพื่อนๆ ชื่ออะไรกันบ้างล่ะเนี่ย”







    “คนนี้ชื่อจิ๊งค์ค่ะ สุดสวยประจำกลุ่ม ส่วนสองคนนี่ชื่อผึ้งทั้งคู่ค่ะ” โยบอกพร้อมกับที่พี่ๆ หันมายิ้มให้กับน้องๆ 3 คนที่ยืนอยู่ข้างๆ







    “พอดีหนูเกิดก่อน เลยเรียกว่าผึ้งใหญ่ ส่วนผึ้งคนนี้เกิดทีหลัง เลยเรียกว่าผึ้งเล็กค่ะ” ผึ้งใหญ่บอกแบบนี้



    พร้อมกับมองหน้าพี่เอ๋ “แล้วพี่อีกคนไม่มาเหรอคะ” เธอถาม







    “อ๋อ... เจ้านั่นน่ะเหรอ ยังไม่โทรมาเลย ก็ไม่รู้ว่าตกลงจะมาหรือเปล่าน่ะ” พี่เอ๋บอก







    “อืม... งั้นพวกเราก็ฝากตัวด้วยแล้วกันค่ะ” ผึ้งใหญ่บอกแบบนี้ ซึ่งพี่ๆ ทุกคนก็พยักหน้า



    จากนั้นต่างก็แยกย้ายกันไปเล่นไอซ์สเกตซ์ ยกเว้นโยและพี่หญิงที่เดินออกไปพร้อมกัน







    “เดี๋ยวพี่สอนให้ก่อนแล้วกันนะ อย่าไปเกร็งล่ะ ปล่อยไปตามสบายเลย” พี่หญิงบอกขณะที่โยนั้นจับมือเธอไว้แน่น



    แล้วสองคนนั้นต่างก็จับมือเดินไปด้วยกัน







        ระหว่างที่ต่างกำลังเล่นไอซ์สเกตซ์กันอยู่ ไม่นานมะเดี่ยวและเต่าก็ตามมาสมทบด้วย



    เพราะสองคนนั้นเลิกเล่นบอลแล้วไม่รู้จะไปไหนต่อ ซึ่งปกติแล้วทั้งกลุ่มจะต้องมาขลุกอยู่ที่ลานสเกตซ์



    หรือไม่ก็ไปดูหนัง ไปเดินเล่นด้วยกัน ในที่สุด ทั้งสองคนเลยต้องตามมาที่นี่ เพราะจิ๊งค์กับผึ้งเล็กก็อยู่



    และหลังจากนั้นอีกไม่นานเช่นกัน ที่มีกลุ่มนักเรียนช่างกลกลุ่มใหญ่เดินเข้ามายังลานไอซ์นี้ ซึ่งโดยปกติแล้ว



    นักเรียนพวกนี้ไม่ได้เข้ามาเล่นหรืออย่างใด เพราะส่วนใหญ่ จะเข้ามาตามจีบเด็กนักเรียนหญิงที่มาเล่นเสียมากกว่า



    ภายหลังจากนักเรียนช่างกลุ่มแรกเข้ามาไม่ถึง 5 นาที ก็มีนักเรียนช่างจากที่อื่นเข้ามาอีก สำหรับลานไอซ์ในตอนนี้



    ก็มีเด็กช่างที่อยู่ต่างสถาบันกันหลายกลุ่มแล้ว หากแต่ยังคงอยู่ในสัดส่วนที่เป็นของกลุ่มตัวเอง ยังไม่มีใครข้องเกี่ยวใคร



    จนอีกไม่นานจากนั้น ก็มีเด็กช่างกลคนหนึ่งเดินเข้ามาเดี่ยวๆ ด้วยอากัปกิริยาท่าทางการเดินแล้ว เตะตาสาวๆ หลายคน



    รวมไปถึงเปรี้ยว teen บรรดาเด็กช่างด้วยกันเสียอีก ในมือถือรองเท้าสเกตซ์และหมวกกันน้อคไว้อย่างละข้าง



    จากนั้นเด็กช่างกลคนนั้นก็เดินผ่ากลางวง ฝ่าดง teen ตรงเข้ามายังด้านในสุดของลานไอซ์



    แล้วก็วางหมวกกันน้อคลงบนโต๊ะที่กลุ่มของโยและพี่หญิงตั้งของไว้ ทันทีที่โยหันมาเห็น



    เธอก็รีบเดินจ้ำอ้าวกลับมาที่โต๊ะโดนที่มีพี่หญิงเดินตามมาติดๆ







    “ไม่เห็นหรือไง ว่ามีของวางเอาไว้แล้วน่ะ” โยว่าออกไปแบบนี้ ขณะที่เธอเดินมาหยุดอยู่ข้างหลังเด็กช่างคนนั้น



    “นี่...ชั้นพูดกับนายอยู่น่ะ” เธอพูดอย่างมีอารมณ์ ในขณะที่เด็กช่างคนนั้นยังแสดงอาการหูทวนลม ไม่ได้ยินที่เธอพูดอย่างนั้น



    “เฮ้ย!” โยพูดมาได้เท่านี้ เพราะตอนนี้มือของเธอคว้าหมวกกันน้อคมาพร้อมกับวางมันลงที่โต๊ะข้างๆ







    “นี่คิดจะทำอะไรน่ะ” เด็กช่างคนนั้นพูดพร้อมกับหันมามองหน้าโยพร้อมกับดึงหมวกกันน้อคกลับมาวางที่เดิม



    “หวัดดีครับพี่หญิง... แล้วสองคนนั้นล่ะ” นายเป้นั่นเอง







    “อยู่ตรงนั้นแน่ะ” พี่หญิงบอกพลางชี้มือไปที่ลานน้ำแข็ง “จะมาทำไมไม่โทรมาบอกก่อนล่ะ



    เห็นว่าไม่อยากมาไม่ใช่รึไงกัน แล้วดูซิ ใส่มาเต็มยศงี้ อยากมีเรื่องมากนักรึไง ทำไมไม่ใส่เสื้อขาวแบบเมื่อวานล่ะ



    เจ้าตัวแสบเอ๊ย...” พี่หญิงบอกอย่างเอือมระอา







    “ก็เลิกเรียนแล้วเลยขี่มอไซค์มาเนี่ย ใครจะไปมีเวลาเปลี่ยนเสื้อแบบพวกพี่กันล่ะ” เขาบอกพลางมองหน้าโย



    “อีกอย่างที่นี่น่ะ ถิ่นผม ใครกล้าก็ลองดูเด่ะ” เขาพูดหน้าตาเฉย







    “งั้นจะบอกให้ สองกลุ่มตรงนั้นมันมองมาแน่ะ เชื่อเหอะ วันนี้ไม่รอดแน่... โผล่มาคนเดียวแบบนี้ด้วย



    คราวนี้จะไม่ให้เอ๋ช่วยเหมือนตอนนั้นหรอกนะ” พี่หญิงพูด







    “ไม่ต้องห่วงผมหรอกน่า... ผมเอาตัวรอดได้อยู่แล้วล่ะ” เขาบอกพร้อมกับนั่งลงเปลี่ยนรองเท้า



    “ว่าแต่ยัยจิ๋วเนี่ย วันนี้เวรใครสอนล่ะ” เขาพูดอย่างไม่ค่อยใส่ใจ



    “เอามาเป็นภาระเปล่าๆ พี่ธีร์นี่ก็น้า... คิดยังไงกันนะ” ดูเหมือนว่าเขาตั้งใจพูดประโยคนี้ดังกว่าปกติ







    “ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้” โยพูดพร้อมกับทุบโต๊ะเสียงดังปัง ตอนนี้เธอรู้สึกเหลืออดแล้ว กับคำพูดและกิริยาที่สุดจะเถื่อนของเขา







    “ทำไม...” นายเป้หันมาถามพร้อมกับจ้องหน้าเธอเขม็ง



    “ก็เธอมันตัวจิ๋วจริงๆ นี่ นี่นั่งคุยกับเราอยู่หรือเปล่าเนี่ย” เขาบอกพร้อมกับยิ้มที่มุมปาก







    “เอาล่ะ... นายเป้ ถอนคำพูดซะ น้องเค้าไม่ได้ตัวจิ๋วซะหน่อย ใครเขาจะไปสูงเปร ต อย่างนายล่ะ” พี่หญิงบอกแบบนี้



    พร้อมกับจ้องหน้าเขาเขม็งเหมือนกัน “แล้วอีกอย่างวันนี้เป็นเวรนาย ต้องสอนน้องเค้าเล่นไอซ์ด้วย



    สอนดีๆ นะไม่งั้นโดนแน่” พี่หญิงบอกแบบนี้ “งั้นพี่ก็ฝากเจ้านี่ด้วยแล้วกันนะจ้ะน้องโย” พูดจบพี่หญิงก็ลงสนามไปเลย



    ทิ้งให้นายเป้อยู่กับสาวโยแค่สองคน







    “ถ้าอยากเล่นเก่งก็ตามมา” เขาพูดแบบนี้พร้อมกับลุกขึ้นเดินไป ขณะที่สาวโยยังคงนั่งนิ่งอยู่กับที่



    “ตกลงจะเอาไงเนี่ย อยากเล่นไอซ์เป็นรึเปล่า หรือจะแค่มานั่งดูคนอื่นเขาเล่นกัน ถ้างั้นก็ไปเปลี่ยนรองเท้าเหอะ



    เพราะถ้าใส่รองเท้าแล้วแสดงว่าจะเล่น ไม่ใช่จะมานั่งดู เข้าใจไหมเนี่ย” เขาพูดแบบนี้ใส่หน้าเธอ







    “ไม่ไป” ในที่สุดโยก็เอ่ยขึ้น “ชั้นไม่มีทางให้นายสอนเด็ดขาด ผู้ชายนิสัยแย่ๆ แบบนี้” เธอบอกพร้อมกับมองหน้าเขาอย่างดูแคลน



    “อยากเล่นก็ไปเล่นคนเดียวเหอะ ถ้าอยากหาสาวไปวิ่งคู่ด้วยก็ลงไปหาเอาที่สนามนั่น ไม่ต้องมาทำเป็นจะสอนเล่นหรอกน่า



    ให้คนอย่างนายสอนให้ สู้ชั้นหัดเองดีกว่า” เธอบอกแบบนี้พร้อมกับหยิบเอาซาวด์อเบาท์ออกมานั่งฟังโดยไม่ใส่ใจเขาอีกเลย



    เมื่อนายเป้เห็นเป็นแบบนี้ เขาก็ลงสนามไปเล่นเองคนเดียว โดยตามไปสมทบกับพี่ธีร์ที่ตอนนี้ก็ถูกปล่อยให้เล่นคนเดียว



    เพราะพี่หญิงกับพี่เอ๋กำลังเล่นไอซ์เข้าคู่กันอยู่







    ขณะที่นั่งฟังเพลงไป สายตาก็มองไปยังลานน้ำแข็งนั่น เธอเห็นผึ้งใหญ่กำลังคุยอยู่กับนายเป้



    แว่บนึงที่เขามองมาทางที่โยนั่งอยู่ หากแต่โยกลับให้ความสนใจกับเพลงที่ตัวเองฟังมากกว่าที่จะมองมาทางเขา



    เขาจึงตัดสินใจก็เล่นไอซ์กับผึ้งใหญ่ โดยที่พอโยหันมามองที่สนามอีกครั้ง เธอก็เห็นคู่ของพี่หญิงพี่เอ๋



    เห็นจิ๊งค์กับมะเดี่ยว เห็นผึ้งเล็กกับนายเต่า ลึกๆ แล้วเธอเองก็น้อยใจตัวเองนิดๆ ตรงที่ตัวเองเล่นไม่เป็น



    แค่เดินก็ยังล้มได้ แล้วนับประสาอะไรกับจะเล่นไอซ์กับเพื่อนๆ เลยได้แต่เพียงนั่งดูคนอื่นเขาเล่นกันไป



    พอยิ่งนานอากาศก็ยิ่งเย็นขึ้น ระหว่างที่กำลังนึกโทษตัวเองที่เล่นไม่เป็นอยู่นั้น ก็มีคนเอาเสื้อมาวางไว้บนโต๊ะที่โยนั่งอยู่



    เธอหันไปหาพร้อมกับถอดหูฟังออก







    “อ้าว...พี่ธีร์เองเหรอ” เธอบอกพร้อมกับเลื่อนเก้าอี้หลบให้







    “ทำไมไม่ลงไปเล่นกับเพื่อนๆล่ะ” พี่ธีร์ถามขณะที่ลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ



    “เออ ลืมไปว่าน้องโยยังเล่นไม่คล่องเลย... เอางี้ไหม พี่จะสอนให้ก่อน ระหว่างที่เจ้าหญิงกำลังเล่นอยู่กับนายเอ๋น่ะ ดีไหม



    เพราะพี่เองเล่นคนเดียวก็เซ็งๆ เหมือนกันล่ะ” เขาบอกพร้อมกับยื่นเสื้อเชิ้ตมาให้โย



    “ใส่ไว้สิ นั่งหนาวอยู่ได้... แล้วเสื้อพี่ก็ไม่เหม็นหรอก ไม่ต้องห่วง” พี่ธีร์บอกพร้อมกับยิ้มให้ ในขณะที่โยก็รับเอาเสื้อตัวนั้นมาใส่







    “ไม่เกรงใจนะพี่” เธอบอกพร้อมกับยิ้มให้ ขณะที่เสื้อที่เธอใส่นั้น ตัวหลวมโพรกเลยทีเดียว



    “แล้วก็รบกวนพี่ด้วยแล้วกันนะ เพราะโยยังเล่นไม่เก่งเลยอ่ะ แค่เดินก็จะแย่แล้ว อย่าเพิ่งเบื่อก่อนล่ะพี่” เธอบอกแบบนี้พร้อมกับลุกขึ้นยืน



    ในขณะที่พี่ธีร์นั้นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอพร้อมกับเอื้อมมือมา “พี่... ทำไรอ่ะ” เธอถามเสียงดุๆ







    “อ๋อ... ก็เสื้อตัวมันใหญ่กว่าน้องโยใช่ไหมล่ะ พี่ว่าจะพับแขนเสื้อให้น่ะ จะได้ไม่เกะกะเวลาเล่นไอซ์ไง” พี่ธีร์บอกแบบนี้



    โยจึงยื่นแขนให้เขาพับแขนเสื้อให้ ช่วงเวลานั้น เธอรู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก เช่นเดียวกับนายธีร์เอง



    ที่ตอนนี้ในหัวมันก็รู้สึกหมุนติ้วๆ และเริ่มหายใจติดขัด ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่นายเป้กำลังมองมาทางสาวโย



    แล้วก็เห็นภาพที่ปรากฏตรงหน้า คือสาวโยกำลังหัวเราะอย่างร่าเริง ส่วนพี่ธีร์เองก็ดูจะอ่อนโยนในแบบที่เขาเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน







    ‘ภาพของสองคนนั่นดูเป็นธรรมชาติจริงๆ’ ทันทีที่นายเป้คิดได้แบบนี้ เขาก็สะบัดหัวให้ความคิดเหล่านี้หลุดออกไปจากสมอง



    ‘ทีกับเราล่ะก็ ยัยนั่นปั้นหน้ายักษ์ทุกทีเลย พี่ธีร์เองก็อีกคน อย่าบอกนะว่าชอบยัยนั่นเข้าให้แล้วน่ะ’



    เพราะความที่ในหัวคิดแต่เรื่องของสาวโยและพี่ธีร์ ทำให้สมองสั่งการสับสน สองขาทำงานไม่ประสานกัน จึงส่งผลให้







    “พลั่ก!” นายเป้ชนเข้าอย่างจังกับเด็กช่างคนหนึ่ง ที่กำลังเดินตามนักเรียนหญิงอีกกลุ่ม



    (พูดง่ายๆ ก็คือ เด็กช่างคนที่นายเป้ของเรากระแทกนั้น กำลังตามจีบหนึ่งในเด็กนักเรียนหญิงกลุ่มนั้นอยู่)







    “โทษที... โทษที” นายเป้หันไปโบกไม้โบกมือขอโทษเด็กช่างคนนั้น ขณะที่มีเด็กช่างคนอื่นๆ อีกหลายคน



    เดินตรงเข้ามา ณ จุดเกิดเหตุ







    “มึ งเล่นประสาห่... อะไรวะ ไม่มีตารึไง ถึงได้มาชน Ku แบบนี้” เด็กช่างคนนั้นหันกลับมาสวนอย่างมีน้ำโห



    ซึ่งดูท่าทางแล้ว คงจะเกิดเรื่องขึ้นในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้อย่างแน่นอน







    “ก็ Ku บอกว่าขอโทษแล้วไง มึ งฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่องเหรอ” นายเป้เราตอบกลับไปอย่างมีอารมณ์เช่นกัน



    ซึ่งเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมคราวนี้ตัวเองถึงได้โมโหพุ่งปี๊ดซะได้ ทั้งที่เขาเอง



    ก็พยายามที่จะเลี่ยงไม่ให้มีเรื่องมาตั้งแต่ครั้งที่แล้ว ที่เป็นผลให้พี่เอ๋ต้องยื่นมือเข้ามาช่วย







    “ใจเย็นๆ สิพี่ ก็คนเขาขอโทษแล้วไง” ผึ้งใหญ่พูดขึ้นบ้าง เพราะเธอเองก็อยู่ตรงนั้นด้วยเหมือนกัน



    “แค่ชนกันแค่เนี้ย ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้” เธอบอกกับเด็กช่างคนนั้น







    “อ้ายสาดเอ๊ย...”เด็กช่างคนนั้นตะโกนลั่นพร้อมกับผลักผึ้งใหญ่ออกไป จากนั้นเขาก็ง้างหมัดซัดเปรี้ยงเข้าเต็มหน้านายเป้



    ซึ่งนายเป้เองก็ไม่รอช้า เขาสวนกลับไปในทันทีเช่นกัน และความที่นายเป้ของเรานั้นสูงกว่า เลยได้เปรียบเรื่องช่วงชก



    แต่กระนั้นก็ยังเสียท่าเพราะถูกห มาหมู่







        ทันทีที่เกิดการตะลุมบอนกัน ทุกคนในลานไอซ์นั้นเหมือนกับต้องมนต์สะกด เพราะต่างหยุดชะงักกันหมด



    แล้วรีบวิ่งไปมุงดู และดูเหมือนว่าตรงกลางวงล้อมนั้นเอง ที่มีเด็กช่างสองสามคนลงไปนอนกอง ส่วนคนที่สูงกว่าเพื่อนนั้น



    ยังคงรัวหมัดใส่คู่กรณีอยู่ ในขณะเดียวกันตัวเองก็ถูกเด็กช่างคนอื่นๆ ซัดเอาใส่เอา วินาทีนั้นเองที่พี่เอ๋วิ่งเข้าไปยังวงล้อมนั่น



    พร้อมกับสไลด์เอาละอองน้ำแข็งสาดเข้าไปชุดนึง







    “พอได้แล้ว...” พี่เอ๋ตะโกนดังลั่นขณะที่มือหนึ่งของเขาล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง



    “Ku บอกให้พอไง” เขาบอกแบบนี้พร้อมกับใช้มือข้างที่ว่าง ตบกบาลเด็กช่างคนหนึ่งที่กำลังเงื้อหมัดเตรียมเหวี่ยงใส่นายเป้ของเรา



    “ถ้าขืนใครขยับแค่ก้าวเดียว Ku ยิงทิ้งแน่” เขาบอกอีกครั้งอย่างเด็ดขาด พร้อมกับเดินเข้าไปดึงมือนายเป้ของเราออกมา



    ขณะเดียวกับที่สารวัตรนักเรียนและตำรวจนอกเครื่องแบบก็ตรงเข้ามาที่จุดเกิดเหตุ







    “อ้ายสาด... มึ งนึกว่ามึ งเป็นใครมาเสือ กเรื่องของพวก Ku เนี่ย ใหญ่มาจากไหนวะ” เด็กช่างคนที่ถูกตบกบาล



    ถามขึ้นมาอย่างฉุนเฉียวพร้อมกับเดินรี่เข้ามาหาพี่เอ๋







    “ทุกคนโปรดอยู่ในความสงบด้วย” เสียงหนึ่งดังขึ้น สารวัตรนักเรียนนั่นเอง



    “ใครที่มีเรื่องเมื่อกี้ขอให้เดินออกมาทางนี้ด้วย” ทันทีที่พูดจบเขาก็ชี้มือมาที่เด็กช่างคนที่ถูกพี่เอ๋ตักเตือน



    พร้อมกับเด็กช่างคนอื่นๆ อีกสองสามคนที่นอนหมอบอยู่ “ตามมาทางนี้เลย” สารวัตรนักเรียนบอกแบบนี้



    พร้อมกับเดินนำไปที่มุมหนึ่งของลานไอซ์นั่น







    “อ้ายนั่นด้วย ที่ใส่ชุดนอกนั่นน่ะ มันตบหัวผม” เด็กช่างคนนั้นบอกกับสารวัตรนักเรียน



    และทันทีที่สารวัตรนักเรียนคนนั้นมองมาที่พี่เอ๋ ซึ่งกำลังยืนอยู่กับนายเป้นั้น สารวัตรก็โบกมือทักทาย







    “ว่าไงเอ๋... เป็นไงบ้าง วันนี้มาเล่นที่นี่เหรอ” ท่านสารวัตรทักทายด้วยท่าทีสนิทสนม







    “ครับคุณอา พอดีผมพาน้องๆ มาที่นี่ แล้วก็เกิดมีเรื่องกันน่ะครับ” พี่เอ๋บอกพร้อมกับเดินมาทางสารวัตร



    “ยังไงผมกับน้องคนนี้ก็จะให้ปากคำด้วย น้องเขาโดนรุม แล้วผมมาช่วยเขาไว้ อีกฝ่ายก็มีพวกเยอะกว่า



    ถ้าขืนยังปล่อยให้ตีกันต่อไปคงมีคนเจ็บตัวมากกว่านี้แน่ๆ เลยนะครับ” พี่เอ๋บอกด้วยท่าทีสุขุม



    ซึ่งนายเป้เองก็เดินตามมาอย่างสงบเสงี่ยม







    “มันพกปืนด้วยครับ คุณสารวัตร” เด็กช่างคนนั้นยังคงพูดเรื่อยเปื่อยพร้อมกับชี้มาที่พี่เอ๋ที่ตอนนี้ลงนั่งอยู่ข้างๆ สารวัตรนักเรียนแล้ว



    “มันเอาใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงน่ะครับ”







    “ถ้างั้นก็ค้นตัวตามสบายเลยนะครับ” พี่เอ๋บอกเสียงเรียบๆ พร้อมกับลุกขึ้นยืน แล้วดึงกระเป๋ากางเกงออกมาทั้งสองข้าง







    “ไม่เห็นมีเลยนี่เจ้าหนู” ท่านสารวัตรบอกพร้อมกับมองหน้าเด็กช่างคนนั้น จากนั้นก็กวักมือเรียกให้ตำรวจนอกเครื่องแบบคนหนึ่ง



    พาตัวเด็กช่างคนนี้ไปสอบสวนรวมกับเด็กช่างคนอื่นๆ ที่เหลือ แล้วสารวัตรก็หันมามองหน้าพี่เอ๋และถามขึ้นว่า



    “มุขเดิมเลยล่ะสินะ” ซึ่งพี่เอ๋ก็ยิ้มพร้อมกับพยักหน้า







    “ครับ... ถ้าไม่ทำยังงี้ ก็คงหยุดไม่อยู่หรอก” เขาบอกพร้อมกับหันไปมองเด็กช่างคนนั้น



    “ผมน่ะ ไม่อยากยื่นมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องพวกนี้เท่าไหร่หรอกครับ เสียเวลาเปล่า



    อีกอย่างผมเองก็หลุดพ้นออกมาจากวงโคจรอุบาทว์พวกนั้นแล้วด้วย ไม่อยากหวนกลับไปอีกรอบนึงน่ะ



    ไม่อยากทำให้ใครต้องผิดหวังอีกครั้ง” เขาบอกพร้อมกับมองไปทางพี่หญิงที่ยืนดูอยู่ห่างๆ



    “ก็เพราะมีคนที่คอยห่วงผมอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ เลยไม่อยากให้เธอต้องมาเห็นผมมามีเรื่องชกต่อยอีก



    กลัวเธอจะเสียใจน่ะครับ อีกอย่างผมเองก็ไม่อยากให้เจ้าน้องชายผมคนนี้ต้องเสียประวัติ



    เพราะเข้าไปพัวพันกับเรื่องพวกนั้นด้วยน่ะครับ” เขาบอกแบบนี้พร้อมกับตบไหล่นายเป้







    “อาเข้าใจล่ะ... โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่แล้วสิ” สารวัตรบอกแบบนี้พร้อมกับตบไหล่พี่เอ๋ จากนั้นก็เรียกตำรวจมาคนนึง



    เพื่อบันทึกปากคำของพี่เอ๋และนายเป้ ส่วนตัวสารวัตรเองนั้นก็ทำการอบรมเจ้าพวกเด็กช่างกลคนอื่นๆ ที่เหลือ



    จากนั้นก็ปล่อยให้แยกย้ายกันกลับไป และท่านสารวัตรกับตำรวจคนอื่นๆ ก็ไปนั่งดูอยู่ที่ชั้นลอยเหมือนเดิม







        ส่วนพี่เอ๋กับนายเป้ก็ทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นแหละ ทั้งสองเดินตรงมาทางที่โต๊ะที่วางของไว้



    โดยที่พี่หญิงเดินออกไปหาพี่เอ๋ที่ลานน้ำแข็ง และจะด้วยความตกใจหรืออย่างไรไม่มีใครรู้



    โยก็ลุกขึ้นวิ่งออกไปยังลานน้ำแข็งด้วย โดยที่เจ้าตัวเองก็คงจะลืมไปว่า เพียงแค่เดินนั้น ตัวเองยังทำไม่ได้เลย







    “เป็นไรมากไหม” พี่หญิงถามอย่างห่วงใย ขณะที่เดินเข้าไปหาพี่เอ๋







    “ก็โอเค... ไม่มีอะไรหรอก บันทึกปากคำเท่านั้น” พี่เอ๋บอกพร้อมกับเดินเข้ามา ซึ่งสวนกับโยที่กำลังเดินออกไป



    “ไม่เป็นไรหรอกน้องโย ไม่มีอะไรแล้ว” เขาบอกแบบนี้ แต่ดูเหมือนโยจะไม่ได้ยินอะไรหรือสนใจ



    เพราะเธอกำลังเดินไปหานายเป้ของเราอยู่นั่นเอง







    “เป็นไรมากป่ะ นายน่ะ” โยถามขณะที่นายเป้ก็หยุดยืนอยู่ตรงหน้าด้วยอาการอึ้งนิดๆ



    “โดนอัดซะ... ขนาดนั้น เจ็บไหมล่ะ” เธอถามอีกพร้อมกับมองหน้าเขา







    “ไม่เป็นไร... ขอบใจ” นายเป้บอกกลับไปอย่าง งง งง พร้อมกับจ้องหน้าเธอตอบ







    “นี่นายคงไปปากเสียใส่เขาล่ะสิ ถึงได้โดนพวกรุมเอาน่ะ” โยถามกลับไปแบบนี้



    พร้อมกับมองไปทางกลุ่มเด็กช่างที่กำลังเดินออกไปจากลานไอซ์







    “เออ... คนมันปากดีก็งี้แหละ โดนซะมั่งจะเป็นไรไปเล่า” เขาบอกกระชากเสียงพร้อมกับเดินตรงเข้ามาที่โต๊ะ



    โดยทำเป็นไม่สนใจโยที่ยังยืนอยู่บนพื้นน้ำแข็ง บริเวณที่เรียกว่าเกือบจะอยู่กลางลานเลยก็ว่าได้



    “พี่เอ๋... ขอโทษทีนะ เป็นเรื่องอีกแล้ว” เขาบอกอีกครั้งพร้อมกับค้อมศีรษะให้ ขณะที่ผึ้งใหญ่



    ซึ่งเข้ามารออยู่ก่อนแล้วก็เดินเข้ามาหาเขา







    “เฮ้ย... อะไรกัน เรื่องแค่นี้เอง ไม่หนักหนาหรอกน่า อย่าคิดมากเด่ะ” พี่เอ๋บอกกับนายเป้แบบนี้พร้อมกับตบไหล่



    “แล้วรายนั้นจะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานไหมเนี่ย” พี่เอ๋ถาม







    “นี่นายเป้ นายสอนน้องเค้าเดินได้แล้วเหรอ” พี่หญิงบอกพร้อมกับชี้มือไปที่โยซึ่งกำลังยืนอยู่ตรงกลางลานน้ำแข็ง





    “ดูท่าจะคล่องแล้วสินะ เล่นวิ่งออกไปหานายได้แล้วนี่นา... ดูท่าจะเรียนรู้เร็วแฮะ รึไม่นายเป้คงจะสอนมาดี” พี่หญิงบอกอีกครั้ง



    พร้อมกับตะโกนเรียกโย “เข้ามาได้แล้วน้องโย... ใจคอจะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานไหมเนี่ย” พี่หญิงถามออกไปแบบนี้



    ขณะที่พี่ธีร์รีบวิ่งออกไปทันทีเพราะเขารู้ว่าโยยังเดินไม่คล่องเลย ขืนปล่อยไว้แบบนั้นมีหวังต้องล้มอีกแน่







    “โยเข้าไปไม่ได้อ่ะพี่หญิง” โยตะโกนกลับมาเสียงสั่นเหมือนกับจะร้องไห้



    “คนเยอะเกินไป โยกลัวจนก้าวขาไม่ออกแล้ว ต้องล้มแน่ๆ เลย” เธอบอกแบบนี้



    ซึ่งเป็นขณะเดียวกันกับที่พี่ธีร์วิ่งตรงเข้าไปแล้วจับมือเธอไว้แน่น







    “ไม่ต้องห่วง พี่อยู่ตรงนี้ ลองมาหัดเดินกันไหม พี่จะคอยระวังไม่ให้ล้มเอง” พี่ธีร์บอกแบบนี้พร้อมกับที่โยบีบมือเขาแน่นขึ้นไปอีก



    “ไม่ต้องห่วงนะ พี่ไม่ปล่อยให้โยล้มหรอก รับรองได้... พี่สัญญา” เขาบอกแบบนี้ และสำหรับโยแล้ว มันเหมือนเป็นคำสัญญาที่มีค่ายิ่ง



    เพราะทำให้เธอสามารถก้าวขาออกมาได้ โดยที่ไม่ฝืนตัวเอง แล้วเดินไปตามปกติและเชื่อมั่นว่า เธอจะไม่มีทางล้มเด็ดขาด



    ตราบใดที่ยังมีมือของคนคนนี้คอยจับไว้







        หลังจากที่พี่ธีร์พาโยกลับเข้ามานั่งที่โต๊ะแล้ว เธอก็ยังคงจับมือเขาแน่นอยู่อย่างนั้นจนพี่หญิงและพี่เอ๋



    ต่างก็มองหน้าเพื่อนอย่างสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้นระหว่างที่อยู่ในลานน้ำแข็ง ส่วนนายเป้ของเราน่ะ เอาแต่มองหน้าโย



    ราวกับคับข้องใจบางอย่าง โดยที่ปากก็ขยับเหมือนกำลังพูดอะไรอยู่ แต่แล้วเขาก็ลดสายตาลงมองที่มือข้างนั้น



    ข้างที่ยังคงบีบมือของพี่ธีร์อย่างแน่นหนา จนเขาเองก็อดคิดไม่ได้ว่า ทั้งสองคนจะปล่อยมือออกจากกันหรือเปล่า







    “พี่ก็นึกว่าน้องโยเดินได้คล่องแล้วซะอีก เห็นเดินออกไปซะกลางลานเชียว” พี่หญิงเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบที่ชวนอึดอัดนี้



    “แต่พอเห็นน้องโยตะโกนกลับมาเท่านั้นแหละ พี่คิดอะไรไม่ถูกเลย ดีนะที่เจ้าธีร์ออกไปรับกลับมา



    ไม่งั้นคงปล่อยให้ยืนอยู่อย่างนั้นแน่ๆ” พี่หญิงบอกพร้อมกับยิ้มให้โย ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนจะหายกลัวแล้ว



    แต่มือข้างที่พี่ธีร์จับอยู่นั้นยังคงสั่นจนเขาเองก็รู้สึกได้







    “น่าจะปล่อยให้เดินเข้ามาเอง จะได้เดินเป็นซะที” นายเป้พูดขึ้นแบบนี้ขณะที่ตัวเองก้มลงเปลี่ยนรองเท้า



    “พี่ธีร์ไม่น่าจะออกไปรับเลย เธอจะได้หัดเดินเองซะบ้าง มัวแต่กลัวอยู่ได้แล้วยังงี้ เมื่อไหร่จะเป็นกัน” เขาบอกอย่างเสียอารมณ์







    “ชั้นไม่ได้ขอร้องให้นายมาสอนให้ซะหน่อย ทำเป็นเดือดเป็นร้อนไปได้ พี่ธีร์ยังไม่เห็นว่าอะไรเลย



    ส่วนพี่หญิงเองก็เต็มใจจะสอนชั้นด้วย ไม่มีนาย ชั้นคงเล่นได้สบายใจกว่า” โยสวนกลับไปบ้าง



    ขณะที่นายเป้เองก็มองหน้าเธออย่างยียวนกวนประสาท







    “แล้วเมื่อกี้เพราะใครล่ะ เธอถึงได้วิ่งออกไปถึงตรงกลางนั้นได้... ไม่ขอบใจกันแล้วยังมาพูดจาแด กดันกันอยู่อีก



    น่าเบื่อจริงๆ พวกผู้หญิงเนี่ย” นายเป้บอกพร้อมกับส่ายหัว







    “นายว่าไงนะ” พี่หญิงแหวขึ้นพร้อมกับมองหน้านายเป้อย่างไม่พอใจ







    “ปล่าว... ผมไม่ได้หมายถึงพี่ซะหน่อย ผมหมายถึงใครบางคนแถวนี้ต่างหากล่ะ” เขาพูด



    พร้อมกับเหล่มองมาทางโยที่ยังคงยืนนิ่งทำเป็นไม่ใส่ใจ “จะขอบคุณสักคำ...ไม่มีเลย”







    “สงสัยเพราะตกใจมั้ง เลยเดินออกไปโดยไม่รู้ตัวน่ะ” พี่ธีร์เอ่ยขึ้นบ้าง



    หลังจากที่นิ่งดูการปะทะคารมกันระหว่างสองนายเป้และสาวโย “ใช่ไหมล่ะน้องโย” พี่ธีร์หันมาถาม







    “อืม... คงงั้นมั้งคะ เพราะหนูไม่เคยเห็นเวลาเด็กช่างมีเรื่องกัน ก็เลยตกใจนิดหน่อยน่ะ



    ใครเขาจะไปชาชินกับเรื่องตีต่อยกันแบบนี้ล่ะคะ พอดีว่าวันๆ พวกหนูก็มีแต่ความสงบเสงี่ยมเจียมตัว



    ไม่ใช่พวกอวดดีที่เที่ยวไปมีเรื่องชกต่อยกับคนอื่นเค้า” โยตอบพร้อมกับหันไปมองหน้านายเป้ของเราอย่างสะใจ



    ที่ในที่สุดเธอก็ได้ว่ากลับไปแรงๆ บ้างแล้ว







    “ไปแล้วนะครับพี่หญิงพี่เอ๋ แล้วก็พี่ธีร์ด้วย” นายเป้บอกแบบนี้พร้อมกับยกมือไหว้พี่ๆ ทั้งสาม



    จากนั้นก็คว้าหมวกกันน้อคขึ้นมา แล้วเดินไปกระซิบข้างๆ พี่ธีร์ แต่ดูเหมือนจะจงใจให้โยได้ยินด้วย



    “แล้วระวังยัยจิ๋วนั้นไว้ให้ดีนะพี่ ผมอาจจะเป็นแค่คนที่อวดดี แต่ใครบางคนในที่นี่เป็นนักฉวยโอกาส” เขาบอกแบบนี้



    พร้อมกับมองมาที่มือของโย ที่ยังคงจับมือพี่ธีร์ไว่แน่น พอพี่ธีร์รู้สึกตัวพี่ธีร์จึงคลายมือของตัวเองลง แต่ก็ยังคงจับมือโยไว้



    เช่นเดียวกับโย ที่พอรู้สึกตัว เธอก็ปล่อยมือออก แต่พี่ธีร์ยังคงจับมือเธอเอาไว้







    “พี่ตกลงแล้วว่าจะสอนน้องโยให้เล่นไอซ์จนเป็น และให้เก่งด้วย พอหลังจากนั้นก็คงต้องแล้วแต่เจ้าหญิงล่ะนะ”



    พี่ธีร์บอกกับนายเป้ไปแบบนี้ พร้อมกับหันมามองหน้าโยแล้วเลิกคิ้วให้







    “ผมเตือนพี่แล้วนะ ถ้าพี่ว่าแบบนี้ก็ตามใจ” นายเป้บอกแบบนี้พร้อมกับเดินออกไป





    }โปรดติดตามตอนต่อไป{
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×