ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1 เหตุเกิดที่ลาน Ice Skate
    วันนี้เป็นวันอังคาร โรงเรียนมัธยมของเธอจะมีเรียนจนถึงตอนบ่าย 2 จากนั้นนักเรียนทุกคนก็จะออกจากโรงเรียน
เพื่อไปตามทางของตน บางคนไปดูหนัง บางคนไปเที่ยวสังสรรค์กันตามประสาเพื่อนฝูง โดยตามห้างสรรพสินค้า
ย่านถนนรามคำแหงในช่วงนี้ จะคลาคล่ำไปด้วยเด็กวัยรุ่นในชุดนักเรียนของแต่ละโรงเรียน กระนั้นก็ยังมีนักเรียนอีกกลุ่มหนึ่ง
ที่ตัดสินใจไปย่างเหยียบนอกถิ่นของตน ไม่ว่าจะเลยไปย่านบางกะปิ ย่านกม.8 หรือแม้กระทั่งย่านประตูน้ำเรื่อยไป
จนถึงบริเวณ Siam Square และมาบุญครอง ยกเว้นกลุ่มของเธอ ที่เลือกจะไปเล่น Ice Skate ที่ศูนย์การค้า World Trade Center
ซึ่งปัจจุบันก็คือ Central World Plaza นั่นเอง จำได้ว่า จะเจอกลุ่มของเธอทุกวันอังคารที่ 2 และ 4 ของทุกเดือนเลยก็ว่าได้
ซึ่งมารู้ทีหลังว่า ที่หน้ารามนั้น เมื่อก่อนก็มีลาน Ice Skate ด้วยเหมือนกัน แต่ปัจจุบันไม่มีแล้ว และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด
ระหว่างหนุ่มช่างกลกับสาวมัธยมต้นแสนเปรี้ยวคนนี้...
                  (คำว่าเปรี้ยวในที่นี้หมายถึง... อาการเปรี้ยว...เฟี้ยว...กวน Teen นั่นสำหรับผู้ชาย แต่สำหรับผู้หญิงแล้ว
คำนี้หมายถึงอาการแก่นแก้วเหมือนม้าดีดกะโหลก มีนิสัยยียวนกวนประสาท ที่ดูแล้วก็น่ารักไปอีกแบบ ไม่ใช่เปรี้ยวเข็ดฟัน
ไม่ใช่แต่งตัวเปรี้ยว... มันคนละความหมายกัน อีกอย่างคำนี้โดยแท้แล้ว จะไม่มีร.เรือควบกล้ำ แต่ในที่นี้จำเป็นต้องใช้
เพราะไม่งั้นคำนี้จะถูก Sensor อาจจะเป็นเหตุให้เสียอรรถรสในการอ่านได้ จึงต้องชี้แจง และขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย)
            กลุ่มของเขาประกอบด้วย นายเป้ (ปากดี) พี่ธีร์และพี่เอ๋ (คู่ Duo สุดหล่อ) และพี่หญิง (แฟนพี่เอ๋) นั่นเอง
บางครั้งก็จะมีสมาชิกคนอื่นๆ แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนกลุ่มนี้อยู่ประจำ แต่ตัวประกอบหลักๆ ก็คือ 4 คนนี้ นายเป้และพี่เอ๋เป็นเด็กช่างกล
ส่วนอีกสองคนที่เหลือเป็นเด็กมัธยมปลายปีสุดท้ายแล้ว
              กลุ่มของเธอเป็นเด็กมัธยมต้นทั้งหมด และปีสุดท้ายเช่นเดียวกัน ประกอบด้วย จิ๊งค์ (สาวสวยประจำกลุ่ม)
ผึ้งใหญ่ (จอมสับสนในชีวิต) มะเดี่ยว (นิ่งทุกสถานการณ์) เต่า (ไม่ช้าเหมือนชื่อ) ผึ้งเล็ก (ทุกนาทีมีแต่ความหวาน)
และคนสุดท้ายคือโย เธอคนนี้มีคติประจำใจว่า ‘ถึงไม่สวยไม่เป็นไร ยังไงก็เท่ห์ไว้ก่อน’ และเธอนี่แหละ
ที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของคนรอบข้าง ด้วยความที่เป็นคนมีหลักการ และมีเหตุมีผลต่อการใช้ชีวิตมากที่สุดในกลุ่ม
ทำให้เพื่อนๆ ต่างยกให้เป็นกุนซือ ทั้งของกลุ่มและของห้อง ทั้งที่เธอจะบอกเสมอว่า ‘ตัวโยเองก็แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนึง
คงจะทำอะไรไม่ได้มากมายนักหรอก’ แต่เชื่อเถอะว่า ทุกครั้งที่เธอพูดแบบนี้ เพื่อนๆ ทุกคนจะทุ่มเทแรงกายแรงใจ
ช่วยเหลือให้งานเหล่านั้นลุล่วงไปด้วยดีเสมอ จะว่าไปแล้ว เธอก็ไม่ใช่คนปากดีเช่นเดียวกับนายเป้ของเราหรอก
หากแต่ผู้เขียนกลับคิดว่า เธอนั้นมีดีที่ปากมากกว่า
                เอาล่ะ คุณผู้อ่านก็คงจะพอรู้เรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ของพวกเขาแล้ว ทีนี้ก็มาถึงจุดเกิดเหตุเลยแล้วกัน
ก็อย่างที่บอกว่า วันนี้เป็นวันอังคาร โรงเรียนของเธอก็เลิกเร็วเหมือนดั่งเคย โยจึงนั่งรอกลุ่มของตัวเองอยู่ที่ม้าหินอ่อนหน้าห้องสมุด
ซึ่งเป็นที่ประจำของกลุ่มมาตั้งแต่ ม. 1 แล้ว วันนี้ก็เช่นเคย หลังจากที่เพื่อนนักเรียนหญิงทั้งสามคนจัดแจงแต่งสวยออกมา
จากห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็รอเพียงอีกสองหนุ่มเท่านั้น ซึ่งกำลังเตะบอลกันอยู่ที่สนามโรงเรียนอย่างเมามันส์
โดยสองคนนั่นคงลืมไปแล้วมั้งว่า มีเพื่อนรอจะไปเล่น Ice Skate อยู่ ซึ่งวันนี้ก็เป็นอังคารที่ 4 ของเดือนพฤศจิกายน
เดือนพฤศจิกาสุดท้ายของชีวิตนักเรียนมัธยมต้นแล้ว ขณะที่ทั้ง 4 สาวยังคงทอดสายตามองออกไปยังสนามบอลของโรงเรียนนั้น
ผึ้งใหญ่ (สาวสับสนที่อารมณ์แปรปรวนง่ายที่สุด) ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ พร้อมกับยกข้อมือขึ้นดูเวลา
“อะไรวะ... นี่มันบ่ายสองจะครึ่งแล้ว สองตัวนั่นมันยังเตะบอลไม่เสร็จอีกรึไงกัน” เธอบอกอย่างฉุนเฉียว
“แม่...งเอ๊ย... งี้กว่าจะไปถึงเวิล์ดเทรดไม่ปาเข้าไป 5 โมงเลยรึไงกัน”
“เอาน่า... ผึ้งก็... บ่นไปได้ ถ้ารถมันติดก็ลงเรือไปดิ่ ขึ้นประตูน้ำแล้วเดินอีกหน่อย แป๊บเดียวเอง
ปล่อยพวกนั้นเล่นบอลไปก่อนก็ได้ รออีกเดี๋ยวจะเป็นไรไป” ขณะที่จิ๊งค์บอกกับเพื่อนแบบนี้
เธอก็เห็นผึ้งใหญ่เดินฉับๆ ไปที่สนามบอลพร้อมกับตะโกนเรียกมะเดี่ยวกับเต่าออกมา จากนั้นสามคนที่นั่งรออยู่ที่ม้านั่งก็เห็นว่า
ผึ้งกำลังซัดฝ่ามือลงไปที่กลางหลังสองคนนั้น เสียงดังแอ้ก...ก... ขณะที่สองคนนั้นโบกไม้โบกมือขอโทษเป็นการใหญ่
พร้อมกับวิ่งตรงมาที่ม้าหิน
“โทษทีๆ ติดลมไปหน่อย” เต่าบอกพร้อมกับลูบหลังตัวเอง
“ไปกันเหอะ” มะเดี่ยวบอกด้วยสีหน้าเรียบเฉย พร้อมกับเหลือบมองมาทางจิ๊งค์ ที่กำลังมองเขาด้วยความเป็นห่วง
“ขอโทษด้วยแล้วกันนะ” แม้จะพูดแบบนี้ แต่สายตาของเขานั้นจับจ้องอยู่ที่จิ๊งค์มากกว่า เลยเหมือนกับว่า
เขาเองก็ขอโทษจิ๊งค์พิเศษกว่าคนอื่นนิดๆ
“จะไปทั้งยังงี้น่ะเหรอ เหม็นกลิ่นเหงื่อตายเลย” ผึ้งเล็กบอก “ไปล้างหน้าล้างตาก่อนเหอะ สองคนนายน่ะ” เธอบอกแบบนี้
ทั้งนายมะเดี่ยวและนายเต่าจึงรีบวิ่งไปที่ห้องน้ำทันที ไม่นานสองหนุ่มนั้นก็ออกมาพร้อมด้วยสภาพใหม่เอี่ยมอ่อง
จากนั้นทุกคนก็ตรงไปยังท่าเรือเพื่อจะเดินทางไปยังเวิล์ดเทรดเซ็นเตอร์นั่นเอง โดยที่ระหว่างกำลังโดยสารเรือกันอยู่นั้น
ผึ่งใหญ่เอาแต่เงียบตลอดทาง ส่วนผึ้งเล็กและจิ๊งค์ก็กำลังคุยกับสองหนุ่มอย่างออกรสชาติ อ้อ! แล้วถ้าคุณจะถามถึงโยน่ะเหรอ
ว่าทำไมช่วงนี้ไม่มีบทของเธอเลยใช่ไหม เอาเป็นว่า โดยปกติแล้วเธอจะเป็นคนพูดน้อยถึงน้อยที่สุด สีหน้าเธอจะวางเฉยตลอดเวลา
แล้วเธอเองก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยคิดอะไรมาก กับเรื่องที่เพิ่งเกิดและกำลังเป็นอยู่ขณะนี้ เพราะมันเป็นเรื่องปกติ
ที่จะเกิดทุกครั้งที่ไปลานไอซ์สเกตซ์นั่นเอง เธอจึงสามารถนิ่งเฉยได้ โดยทำเหมือนกับว่า ให้ผู้อ่านนั้นเข้าใจไปเอง
ว่าเธอหายหน้าไปจากเนื้อหาของเรื่องในตอนนี้ ทั้งที่ตลอดเวลาเธอก็อยู่ตรงนี้ไม่ได้ไปไหนเลยต่างหาก
    เอาล่ะ พอมาถึงประตูน้ำเรียบร้อยแล้ว เดินต่ออีกหน่อยก็ถึงเวิล์ดเทรด ทั้งหมดก็ตรงไปยังลานไอซ์สเกตซ์ทันที
เมื่อต่างเปลี่ยนรองเท้ากันเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาลงสนาม ครั้งนี้คนก็เยอะเหมือนทุกๆ ครั้งที่ผันผ่าน หากแต่ว่า
ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าแล้ว ที่โชคชะตาจะเข้ามาเล่นตลกกับชีวิตคน โดยขณะที่ทุกคนในสนามต่างก็เล่นกันไปตามวิถีทางของตนนั้น
ก็เกิดอุบัติเหตุเล็กๆ ขึ้น
    ขณะที่เพื่อนๆ กำลังสนุกอยู่ในลานน้ำแข็ง โดยปล่อยให้โยเดินเตาะแตะออกมาจากประตูทางเข้าลาน
(ต้องบอกก่อนเลยว่า โยคนนี้ เธอเล่นไอซ์ไม่เก่งเท่าไหร่นัก ทั้งที่เพื่อนๆ นั้นวิ่งผ่านเธอไปฉิวๆ เธอมาเล่นกี่ครั้งๆ
ก็ได้แต่เกาะรั้วไปเรื่อยๆ มีบ้างที่เพื่อนมาดึงไป แต่สุดท้ายเธอก็ล้ม กระนั้นเธอก็ยังไม่ย่อท้อ โดยบอกกับทุกคนว่า
เธอจะหัดจนกว่าจะเป็น ห้ามใครเข้ามาช่วยทั้งนั้น) และดูเหมือนว่า ปณิธานของเธอจะแรงกล้าจนทุกคนในที่นั้นสัมผัสได้
เพราะทุกครั้งที่เธอล้ม เธอก็จะลุกขึ้นยืนอย่างสง่าแล้วเริ่มหัดเดินบนน้ำแข็งใหม่ และเธอก็ทุ่มเททุกครั้งที่ลงสู่สนาม
(เพราะเมื่อก่อนเธอเริ่มจากมานั่งดูเพื่อนๆ เล่นกันเสมอ โดยมาทุกครั้งก็นั่งดูทุกครั้ง จนวันหนึ่งเธอเริ่มเบื่อที่ตัวเองต้องมานั่งรอ
จึงตัดสินใจลองเล่นดูด้วย โดยเธอเริ่มเล่นมาเป็นครั้งที่ 7 แล้ว แต่ก็ยังไปไม่ถึงไหนเสียที) และคราวนี้ก็อีก
ที่เธอยังคงทุ่มเทให้กับการหัดเดินบนน้ำแข็ง และทันทีที่ลงสู่สนามได้ไม่ถึง 5 นาที เธอก็ลงไปกองอยู่กับพื้นน้ำแข็งเหมือนเคยอีกครั้ง
หากแต่ครั้งนี้ เธอถูกทำให้ล้มมากกว่าจะล้มด้วยตัวเอง
“ขอโทษทีครับน้อง เป็นไรมากไหม” หนุ่มหล่อในชุดเสื้อเชิ้ต กางเกงขายาว ที่ดูคล้ายกับเป็นเด็กช่างกลคนหนึ่งเอ่ยถามกับโย
พร้อมกับยื่นมือมาหมายจะดึงลุกขึ้น ในขณะที่เพื่อนๆ ของโยกำลังวิ่งมายังที่เกิดเหตุ
“โห! เจ็บเด่ะพี่ ถามได้ กระแทกกับน้ำแข็งน่ะ ลองซักทีไหมล่ะ” โยสวนกลับในทันที ขณะที่มีสาวม.ปลายอีกคน
ตรงเข้ามาพร้อมกับยื่นมือมาช่วยดึงเธอขึ้น
“พี่ต้องขอโทษแทนเจ้าเอ๋ด้วยแล้วกันนะ” สาวม.ปลายคนนั้นบอก พร้อมกับยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เธอสูงเพรียว หน้าตาสะสวย
“เจ้าตัวคงถือว่าเล่นเก่งน่ะ เลยซ่าส์ไปนิด อย่าไปถือสาพี่ชายเขาเลยนะ แล้วน้องเจ็บตรงไหนไหม” ขณะที่พูดแบบนี้
เธอก็จูงมือโยเพื่อจะเดินไปที่ประตู โดยระหว่างนั้นก็มีเด็กหนุ่มอีกสองคนวิ่งตรงเข้ามา คนหนึ่งสวมเครื่องแบบนักเรียนม.ปลาย
กับอีกคนที่หน้าตากวนประสาทหน่อย สวมเครื่องแบบเหมือนกับพี่ที่วิ่งมาชนเธอล้ม เพราะคนนี้ก็ใส่กางเกงขายาว
“เป็นไรล่ะหญิง เจ้าเอ๋ทำเรื่องอีกสิเนี่ย” หนุ่มม.ปลายถามขึ้นพร้อมกับมองหน้าโย
“ขอโทษแทนเพื่อนพี่ด้วยแล้วกันนะ มันก็แค่ซ่าส์เกินไปเท่านั้นเอง ไม่เป็นอันตรายหรอก” เขาบอกยิ้มๆ พร้อมกับช่วยพยุงเธออีกข้าง
“คงยังเล่นไม่เก่งสิ ใช่ไหม เพราะเห็นทีไรก็ดูเก้ๆ กังๆ ทุกทีที่ลงสนามเลย” เขาบอกอีกครั้งทำเอาโยเองรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา
“เดี๋ยวพี่จะสอนให้เอาไหมล่ะ เป็นการไถ่โทษแทนเพื่อนมันน่ะ” เขาบอกอีกพร้อมกับมองไปทางเพื่อนอีกคนซึ่งก็คือพี่เอ๋
ที่กำลังวิ่งมาทางนี้
“เล่นไม่เป็นแล้วยังจะมาเกะกะคนอื่นอีก” อีกคนหนึ่งพูดขึ้น คนที่แต่งชุดนักเรียนขายาวนั่นเอง
เขาบอกพร้อมกับมองหน้าโยอย่างไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก
“ไปว่าน้องเค้ายังงั้นได้ไงกัน” นักเรียนสาวม.ปลายพูดขึ้นพร้อมกับตบไหล่หนุ่มขายาวคนนั้นดังพลั่ก
“นี่นายเป้... นายเป็นน้องของเจ้าเอ๋รึเปล่า” เธอถามพร้อมกับที่หนุ่มขายาวคนนั้นพยักหน้า
“แล้วเป็นน้องพี่ไหม” เธอถามอีก เจ้าหนุ่มขายาวคนนั้นก็พยักหน้า “ถ้างั้นก็ต้องร่วมกันรับผิดชอบ
ในเมื่อเจ้าธีร์เอ่ยปากจะสอนน้องเค้าเป็นการไถ่โทษแทนเจ้าเอ๋ พี่เองในฐานะที่เป็นแฟนเจ้านั่นก็จะช่วยสอนด้วย
แล้วนาย... ในฐานะที่เป็นน้องชายของพวกเราก็ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ร่วมกัน เข้าใจไหม” เธอบอกเด็ดขาดพร้อมกับหันมามองหน้าโย
“ตกลงตามนี้นะ ไว้พวกพี่จะสอนเล่นเอง จะได้เก่งๆ แล้วไปเอาคืนคนที่ชนน้องล้ม... ดีไหม” เธอถามพร้อมกับยิ้มอย่างสบายอารมณ์
และหันไปพยักหน้ากับพี่ธีร์ “แล้วก็ ห้ามบอกเจ้าเอ๋ด้วยล่ะ... งานนี้มันส์แน่” เธอบอกพร้อมกับหัวเราะคิกคัก
พี่ธีร์เองก็ดูท่าจะสนุกกับงานนี้ ส่วนเจ้าหนุ่มขายาวน่ะเหรอ ไม่ต้องพูดเลย นายนั่นน่ะ จ๋อยแด่วไปตั้งแต่ตอนที่ถูกสาวสวยคนนั้นตวาดแล้ว
“พี่ชื่อหญิงนะ ส่วนนายที่ชนน้องน่ะ ชื่อเอ๋ เราสองคนเรียนที่เดียวกัน แต่พี่เรียนม.ปลาย ส่วนนายนั่นเรียนสายช่าง” เธอบอก
พร้อมกับชี้มือไปที่พี่เอ๋ที่กำลังคุยกับเพื่อนกลุ่มอื่น
“พี่ชื่อธีร์นะอยู่ม. 6 รุ่นเดียวกับพี่หญิงกับเจ้าเอ๋นั่นแหละ ส่วนเจ้าบ้านั่นชื่อเป้ อยู่ช่างกลปี 1 เลือดร้อนไปบ้างก็อย่าไปถือสามันเลย”
เขาบอกพร้อมกับตบไหล่นายเป้
“หนูชื่อโย กำลังจะจบม. 3 แล้ว มากับเพื่อนๆ ที่เล่นอยู่ตรงโน้นน่ะ” โยบอกพร้อมกับชี้มือไปที่เพื่อนที่กำลังโบกมือให้
“เออ พอดีพี่กำลังจะนั่งพักเลย น้องโยนั่งคุยกับพี่ก่อนไหม ยังไงก็ยังเจ็บขาอยู่ไม่ใช่เหรอ” พี่หญิงถามแบบนี้
พร้อมกับจูงมือเธอมาที่โต๊ะ โดยสองหนุ่มที่เหลือก็กลับไปยังลานน้ำแข็งแล้ว
“พี่มาเล่นที่นี่บ่อยไหม” โยถามแบบนี้ ขณะที่เธอเองก็กำลังพินิจพิจารณาใบหน้าของคู่สนทนา
โครงหน้าเรียวได้รูป จมูกโด่งตั้งเป็นสัน ตาคมโตและเรือนผมสีดำขลับ แถมมีลักยิ้มอีกต่างหาก ซึ่งจะว่าไปแล้ว
คนอื่นๆ ที่เธอได้คุยด้วยเมื่อกี้ ก็หน้าตาดีกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนที่ชนเธอล้ม หรือก็คือพี่เอ๋ ที่มีเขี้ยวเสน่ห์ด้วย
แถมยังสูงพอกับเพื่อนอีกคน ซึ่งก็คือพี่ธีร์นั่นเอง ต่างกันตรงที่พี่ธีร์ดูจะเป็นคนติดตลกมากกว่า เพราะเท่าที่โยมองตอนนี้แล้ว
ทั้งพี่ธีร์และพี่เอ๋ต่างก็ดูโดดเด่นพอๆ กันยามที่โลดแล่นอยู่ในลานน้ำแข็ง แล้วเธอก็สังเกตเห็นว่าสายตาของสาวๆ หลายคู่นั้น
จับจ้องอยู่ที่คนสองคนนี้จริงๆ ส่วนเจ้าหนุ่มช่างกลที่ชื่อว่าเป้นั้น แม้จะดูดีในสายตาของใคร แต่สำหรับเธอแล้ว
เธออคติตั้งแต่แรกที่นายนั่นพูดออกมา เพราะทำให้เธอตัดสินได้ว่า นายนี่มีนิสัยที่หยาบคายและแย่ที่สุด ออกจะเถื่อนๆ ด้วยซ้ำไป
ขณะที่โยกำลังคิดแบบนี้อยู่ พี่หญิงก็ถามขึ้น
“น้องโยล่ะ” เธอถามพร้อมกับมองหน้าโย
“คะ อะไรนะพี่... โทษที หนูคิดอะไรไปเพลินน่ะ” โยบอกอย่างอายๆ
“พี่ถามว่ามาเล่นที่นี่บ่อยไหม เพราะดูจากชื่อย่อโรงเรียนแล้ว ไม่น่าจะอยู่แถวนี้เลยนี่นา” เธอบอกพร้อมกับชี้มาที่อักษรย่อที่ปักอยู่บนอกเสื้อ
“ก็นานๆ มาครั้งน่ะค่ะ อย่างที่พี่ว่านั่นแหละ โรงเรียนหนูไม่ได้อยู่แถวนี้ พวกเราเลยมาที่นี่เดือนละสองครั้ง เพราะมันไกล
แล้วเราเองก็เลิกช้าด้วย ถ้ามานี่ทุกวัน มีหวัง...” โยหยุดไว้แค่นี้ “คือจริงๆ แถวโรงเรียนเราก็มีลานไอซ์เหมือนกันแหละ
แต่ที่นี่คนเยอะกว่า กว้างกว่าด้วย ที่สำคัญ ถ้าเป็นที่นั่นน่ะ พวกเราแวะเกือบทุกวันเลยล่ะค่ะ ส่วนที่นี่เราจะมาทุกวันอังคารที่ 2 กับ 4
เพราะวันอังคารเราเลิกเรียนกันเร็วน่ะค่ะ แล้วก็อย่างที่ว่า ที่นี่มันไกลไป” โยร่ายเสียยืดยาว
“งั้นพรุ่งนี้ก็ไม่ได้เจอกันน่ะสิ ว้า... แย่จังเลย ยังงี้ก็ไม่ได้สอน แล้วเมื่อไรจะเก่งล่ะ” พี่หญิงถามอย่างเสียดาย จากนั้นเธอก็ยิ้มออกมา
“งั้นเอาเป็นว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้พวกพี่ไปเล่นแถวโรงเรียนน้องโยดีกว่า เพราะพรุ่งนี้น้องโยกับเพื่อนก็คงต้องเล่นแถวโรงเรียนใช่ไหมล่ะ
เอาไว้เจอกันที่ลานไอซ์เลยดีไหม” พี่หญิงถามแบบนี้ด้วยดวงตาเป็นประกาย
“พี่จะไปแถวโรงเรียนหนูเหรอ... มันไกลนะ” โยบอก
“ไม่เป็นไรหรอก ยังไงเจ้าเอ๋ก็เอารถไปอยู่ดีนั่นแหละ ขนาดที่นี่ไกลจากโรงเรียน พวกพี่ยังมากันเลย
ไปแถวโรงเรียนน้องก็เหมือนกับระยะทางจากโรงเรียนพี่มาที่นี่นั่นแหละน่า ไม่ต้องคิดอะไร ยังไงไว้เจอกันที่นั่นดีป่ะ”
เธอบอกอีกครั้งพร้อมกับส่งยิ้มให้
“ถ้าพี่สะดวกก็ได้ค่ะ” โยตอบตกลงพร้อมกับยิ้มกว้าง จากนั้นทั้งคู่ก็ทอดสายตามองออกไปยังลานน้ำแข็ง
ซึ่งบัดนี้ก็มีคนเวียนเข้าเวียนออกกันเยอะแยะมากมายทีเดียว และไม่นานหลังจากนั้น บรรดาเพื่อนๆ ของโย
ก็ทยอยเดินออกจากลานน้ำแข็ง เพราะดูแล้วว่า น่าจะสมควรแก่เวลาที่ต่างต้องแยกย้ายกันกลับบ้าน
ทั้งจิ๊งค์ ผึ้งเล็ก ผึ้งใหญ่ นายเต่าและนายมะเดี่ยวก็ต่างกำลังเปลี่ยนรองเท้ากัน จากนั้นทั้งหมดก็สะพายกระเป๋า
แล้วตรงมาหาโยที่กำลังนั่งคุยกับพี่หญิง นักเรียนม.ปลายที่เพิ่งรู้จักกัน กลุ่มพี่เอ๋ก็เช่นกัน ที่กำลังทยอยออกมา
และกำลังตรงมาหาสองสาวที่กำลังนั่งคุยกันอยู่
“อ้าว... นี่น้องๆ จะกลับกันแล้วเหรอครับ” พี่เอ๋ถามขึ้นขณะที่จิ๊งค์ส่งกระเป๋านักเรียนให้กับโยซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการเปลี่ยนรองเท้า
“อ๋อ... ค่ะ ถ้าออกจากที่นี่ช้า พวกเราก็จะพลอยถึงบ้านช้ากันไปด้วย” จิ๊งค์บอกแบบนี้
“ขอบคุณพี่มากนะคะที่ช่วยนั่งคุยเป็นเพื่อนให้กับโย” เธอหันไปบอกกับพี่หญิง
“หึ... ไม่หรอก พวกพี่สิต้องขอโทษ เพราะงั้นน้องโยเลยไม่ได้ลงเล่นไอซ์เลย” พี่หญิงบอกพร้อมกับหันมายิ้มให้โย
“แล้วนี่น้องๆ บ้านอยู่แถวไหนกันล่ะจ๊ะ”
“พวกเราอยู่แถวหน้ารามน่ะค่ะ ยกเว้นโยที่บ้านอยู่พัฒนาการ แล้วถ้ากลับเรือก็คงถึงบ้านเร็วกว่านั่งรถกลับบ้าน
เพราะตอนนี้รถคงติดตายชักเลย” ผึ้งใหญ่บอกแบบนี้ ขณะที่สายตาของเธอนั้น จับจ้องอยู่ที่นักเรียนขายาว ซึ่งก็คือนายเป้นั่นเอง
“พัฒนาการเหรอ... ตรงไหนล่ะ เผื่อจะไปทางเดียวกันได้ เพราะพี่เองก็อยู่แถวพัฒนาการเหมือนกัน
ถ้าเป็นทางผ่านก็จะได้แวะไปส่งให้” พี่เอ๋บอกพร้อมกับมองหน้าโย
“ใช่ๆ พวกพี่ก็ต้องไปแถวพัฒนาการกันอยู่แล้ว ไปด้วยกันเลยไหมล่ะน้องโย...” พี่หญิงเองก็ถามแบบนี้ด้วย
“ยังไงซะ ตอนนี้ก็ยังคงเดินไม่สะดวกเท่าไหร่หรอก... ใช่ไหมล่ะ ก็ไปด้วยกันเลยนะ เดี๋ยวให้เจ้าเอ๋แวะส่งบ้านให้ก่อนไง”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่ๆ อย่าลำบากเลย อีกอย่างโยว่าจะไปซื้อของที่หน้ารามด้วย เอาไว้เจอกันพรุ่งนี้ดีกว่านะคะพี่หญิง
โยจะตั้งหน้าตั้งตารอเลยล่ะค่ะ” โยบอกแบบนี้พร้อมกับพยักหน้ากับพี่หญิง หมายความถึงว่า เป็นอันรู้กันแค่สองคน
“ก็โอเค ถ้าน้องโยว่าแบบนี้...ก็คงต้องตามนั้น แต่กลับเองได้แน่นะ” พี่หญิงถามอย่างเป็นห่วง
“แน่นอนอยู่แล้วล่ะค่ะพี่ โยไม่เป็นไรหรอก สบายมาก” โยบอกพร้อมกับชูนิ้วโป้ง
“งั้นเอาไว้เจอกันพรุ่งนี้นะจ๊ะ แล้วเดี๋ยวจะได้ทำตามสัญญาไง” พี่หญิงบอกพร้อมกับพยักพเยิดไปทางพี่เอ๋ แล้วก็เลิกคิ้วให้
“งั้นพวกเราไปก่อนนะคะพี่ๆ ทุกคน” ผึ้งเล็กบอกแบบนี้ ทั้งที่ตัวเองก็ยังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่เมื่อเห็นโยยิ้มออกมาแบบนั้น
ก็เลยไม่สงสัยถามอะไรมากมายดีกว่า เพราะเชื่อวาเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น ต้องเป็นเรื่องดีอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นคนเงียบๆ เฉยๆ
แบบนั้นคงไม่มีทางยิ้มแบบนี้ให้เห็นเป็นแน่
“ลาล่ะค่ะ... ไว้เจอกันนะพี่” โยบอกแบบนี้พร้อมกับที่เพื่อนๆ ทุกคนต่างยกมือไหว้ให้กับพวกพี่ๆ กลุ่มนั้น
จากนั้นคนสองกลุ่มก็แยกกันไป
“จะว่าไป น้องๆ พวกนั้นก็นิสัยดีกันทั้งนั้นนะ โดยเฉพาะน้องโยน่ะ คุยสนุกดีออก” พี่หญิงบอกแบบนี้
ขณะที่ทั้งกลุ่มกำลังเดินออกมายังลานจอดรถ
“อยากมีน้องสาวเหรอ... หญิง” พี่เอ๋ถามพร้อมกับมองหน้าแฟนสาวของตัวเอง
“ก็แหงล่ะ พวกเราต่างก็ไม่มีพี่น้องกันไม่ใช่เหรอ จะว่าไปก็มีแต่เจ้าเป้นั่นแหละ ที่โชคดี มีทั้งพี่สาวน้องสาวเลย” พี่ธีร์บอกแบบนี้
พร้อมกับตบไหล่นายเป้
“อ้อ... พรุ่งนี้ลองไปเล่นกันที่ไอซ์หน้ารามมั้ย” พี่หญิงถามขึ้นมาดื้อๆ แบบนี้ ทุกคนจึงมองหน้าเธออย่าง งง งง
“ไม่ต้องมองด้วยสายตาแบบนี้เลยน่า... ก็ตอนที่พวกนายออกไปเล่นกัน หญิงคุยกับน้องโยเค้า น้องเค้าว่า
ที่นี่มันไกลจากโรงเรียนเลยนานๆ มาครั้ง เพราะปกติเค้าจะเล่นที่หน้ารามนั่น มันก็เหมือนกับพวกเราเมื่อก่อนไม่ใช่เหรอ
ที่ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่อยากไปจากถิ่นของตัวเองน่ะ” หญิงบอกแบบนี้พร้อมกับมองหน้าคนอื่นๆ ที่เหลือ
“จะเอาไงกัน... ตอบด่วนเลย”
“เอ๋... นายว่าไงล่ะ จริงๆ พวกเราก็น่าจะลองเปลี่ยนบรรยากาศดูบ้างจะเป็นไรไป” พี่ธีร์บอกแบบนี้พร้อมกับมองหน้าพี่เอ๋
“ทำไมจะต้องยกโขยงกันไปหน้ารามด้วยนะ” นายเป้ถามขึ้นอย่างมีอารมณ์
“ที่นั่นมันใกล้กับโรงเรียนผม อีกอย่างเด็กช่างที่อื่นเพียบเลย ไม่อยากไปเจอ teen
แทนที่จะได้เล่นไอซ์หรอกนะครับ พี่ๆ ทั้งหลาย” เขาบอกแบบนี้
“ส่วนรายนั้นก็ปล่อยไปสิ จะเล่นที่ไหนก็ ใครจะสนกันล่ะ”
“ไม่อยากเจอ teen เด็กช่างคนอื่นเหรอ... อืม... แล้วอยากลองเจอ teen เด็กช่างคนนี้บ้างไหมล่ะ” พี่เอ๋ถามพร้อมกับมองหน้านายเป้
“มันจะไปเกี่ยวอะไรกัน เล่นไอซ์นะเว้ย ไม่ใช่ไปออกรบที่ไหน ถ้าพวกไหนกล้ามีเรื่องกันที่ลาน Ice ล่ะก็ คอยดู...
มันจะเดี้ยงก่อนที่จะทันได้โอดครวญ” เขาบอกด้วยสีหน้าขึงขัง ซึ่งน้ำเสียงแบบนี้ ทุกคนต่างก็รู้ว่าพี่เอ๋เอาจริงอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
“เอาเถอะน่า... พรุ่งนี้ก็ลองไปที่นั่นกัน ดูซิว่าใครมันจะกล้ามาตีกันต่อหน้านายเอ๋ของเรา
จะว่าไปก็ไม่ได้เห็นนายบู๊มาตั้งนานแล้วนะ ถอดเขี้ยวเล็บหมดแล้วเหรอ” พี่ธีร์แซว
“เปล่า... ไม่ได้ถอดหรอก... แค่ฝากหญิงเอาไว้เฉยๆ แล้ววันนึงจะเอาออกมาใช้ให้ได้เห็นเป็นบุญตาแน่ๆ
แล้วนายก็จะได้เห็นถึงความแตกต่างของเด็กช่างที่มีบารมีและใช้มันสมอง กับเด็กช่างที่มีแต่ใช้กำลังน่ะ ต่างกันขนาดไหน”
พี่เอ๋บอกด้วยท่าทีจริงจัง
“แล้วตกลงจะไปกันใช่ไหม” พี่หญิงถามขึ้นพร้อมกับมองหน้าทุกคน แล้วมาหยุดจ้องหน้านายเป้
“ว่าไง” ประโยคนี้เหมือนกับว่า เธอต้องการจะถามคนที่อยู่ตรงหน้ามากกว่า
“ถ้าพวกพี่จะไปกันก็ไปเหอะ ส่วนผมคงต้องดูอีกทีว่าพรุ่งนี้จะติดงานอะไรหรือเปล่า” นายเป้บอกแบบนี้
พร้อมกับหยิบหมวกกันน๊อคขึ้นมาสวมหัว จากนั้นก็ขึ้นขี่มอเตอร์ไซค์ “เอาไว้ผมจะโทรมาบอกอีกทีแล้วกันนะพี่”
เขาบอกแบบนี้พร้อมกับติดเครื่องและบิดมอเตอร์ไซค์ออกไปจากลานจอดรถอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่พี่หญิงเองก็ตะโกนไล่หลังว่าเอาไว้เจอกัน ซึ่งเธอเชื่อว่านายเป้ต้องได้ยินประโยคนี้แน่นอน
หลังจากที่นายเป้ไปแล้ว ทั้งสามคนก็ขึ้นรถกระบะโหลดเตี้ย สีเหลืองสะดุดตา มีผ้าใบสีดำคลุมกระบะท้ายไว้
พร้อมกับติดสติ๊กเกอร์ที่กระจกหน้าว่า Rally Art แล้วนายเอ๋ก็ขับกระบะคู่ใจคันนั้น ทะยานออกสู่ท้องถนน
ที่แม้ตอนนี้การจราจรจะเริ่มติดขัดบ้างก็ตามที แต่ดูเหมือนว่าทุกคนในรถคันนั้น จะไม่ค่อยใส่ใจกับสภาพการจราจรเท่าไหร่นัก
เพราะต่างก็กำลังสนุกอยู่กับเสียงเพลงที่ดังกระหึ่มก้องด้วยท่วงทำนองเร้าใจตามสไตล์เพลง Rock นั่นเอง
}โปรดติดตามตอนต่อไป{
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น