ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    } The Ballad of Love {

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1 อารัมภบท {Prologue}

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 19
      0
      28 ก.พ. 48

        ‘จุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง ที่เมื่อแรกเริ่มเดิมทีก็เป็นเพียงจุดเล็กๆ ที่ดูเหมือนจะไม่มีความสำคัญอะไร



    เป็นเพียงชีวิตที่แสนจะธรรมดาและเงียบเหงาของหญิงสาวคนหนึ่ง วันแต่ละวันที่ผันผ่านไปอย่างเชื่องช้าและน่าเบื่อ



    กอปรกับโชคชะตาของชีวิตที่น่าขบขันและพลิกผันอยู่ทุกเมื่อ มีเพียงร่างกายเดียวและหัวใจดวงเดิมที่ยังคงยืนหยัดอยู่อย่างอดทน



    เพียงเพื่อรอคอยการปรากฏตัวของใครบางคน บุรุษเพียงหนึ่งเดียวที่จะก้าวเข้ามาเป็นผู้เยียวยารักษาหัวใจ



    ผู้เดียวที่แม้แต่สวรรค์ยังกำหนดดวงชะตา และแผ่นฟ้าก็ลิขิตว่าให้เขาเกิดมาเพื่อเธอ หากแต่บุญที่ไม่นำพา



    และโชควาสนาที่ไม่เสริมส่ง ทั้งสองคนจึงยังไม่สามารถเคียงคู่อยู่นิรันดร์ มีเพียงหัวใจที่ศรัทธาอย่างคงมั่น



    โดยเชื่อว่า... ต้องมีสักวันที่ใจสองดวงจะตามหากันจนเจอ และอยู่ด้วยกันตลอดไป...’







        ทันทีที่วาโยอ่านจบ เธอจัดแจงลอกข้อความนี้ลงในสมุดบันทึกที่เธอถือติดตัวอยู่ตลอดเวลา



    เป็นข้อความที่เธอได้อ่านแล้ว เธอรู้สึกว่า ผู้เขียนนั้นคงตั้งใจจะถ่ายทอดความรู้สึกบางอย่างออกมา



    อาจจะเศร้ากับความรัก ผิดหวังในชะตาของชีวิต การรอคอยใครบางคนอย่างอดทน หรือผู้เขียนคงหวังว่า



    สักวันตนจะมีความรักที่สมหวัง แต่ไม่ว่าผู้เขียนจะรู้สึกเช่นไร ตอนนี้เธอรู้สึกว่า ใบหน้าตัวเองนั้นร้อนผ่าว



    พร้อมกับที่มีหยดน้ำใสๆ ไหลลงมาจากสองตา เธอรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาแล้วซับลงที่ดวงตาทั้งสองข้าง



    จากนั้นก็อ่านทวนอีกครั้งหนึ่ง เมื่อคัดลอกข้อความเรียบร้อยแล้ว เธอก็รีบเดินออกไปจากห้องสมุดทันที



    แล้วจึงตรงไปที่ตึกเรียน ซึ่งขณะนี้ก็กำลังจะเริ่มต้นของวิชาเรียนในภาคบ่าย ระหว่างเดินขึ้นตึกก็เจอกับเพื่อนสี่ห้าคน



    ซึ่งกำลังคุยกันอย่างออกรสชาติถึงเรื่องของวันวาเลนไทน์ที่กำลังจะมาถึงในวันจันทร์หน้านี้







    “นี่ๆ วันจันทร์นี้ใครมีโปรแกรมจะไปไหนบ้างกันล่ะจ๊ะ” แจสเพื่อนร่วมห้องถามขึ้น







    “ชั้นว่านะ เลิกเรียนแล้วจะไปทานข้าวกันสักหน่อย... หาร้านหรูๆ บรรยากาศดีๆ



    ยิ่งถ้าได้กุหลาบจากนายไมค์สักช่อก็เริ่ดแล้ว” มิลค์บอกแบบนี้ ท่ามกลางสายตาอิจฉาเล็กๆ จากเพื่อนๆ







    “อืม... ของชั้นก็เห็นว่าตาโปเค้าจะชวนไปทานข้าวที่บ้านเค้าน่ะ” แจสบอกพร้อมกับส่งสายตาเป็นประกายให้กับเพื่อน



    “แต่บอกก่อนเลยนะจ๊ะว่า ไม่มีเรื่องอื่นเด็ดขาด เพราะเค้าบอกว่า คุณแม่น่ะท่านให้มาชวนไปทานข้าวด้วยกันที่บ้าน



    เลยว่าเลิกเรียนวันจันทร์นี้ ชั้นจะหาซื้อดอกกุหลาบสักช่อไปไหว้ท่านด้วย” แจสบอกแบบนี้พร้อมกับยิ้มแก้มปริ







    “แหม! น่าอิจฉากันจังเล้ย... พวกคนมีแฟนทั้งหลายเนี่ย” กิฟท์ เพื่อนอีกคนเอ่ยขึ้น







    “อ้าว... อย่าบอกนะว่าเธอไม่มีแฟน น้อยไปสิ แล้วหนุ่มวิศวะนั่นล่ะ ไหนจะมีพี่ปี 4 อีก แล้วเด็ก CU ที่เจอเมื่อคราวก่อน...



    พูดแล้วก็อิจฉา ใครกันแน่จ๊ะที่ยังไม่มีแฟนน่ะ” ปุ๊กเอ่ยแซวเพื่อน พร้อมกับชายตามองมาที่วาโย ซึ่งเธอกำลังเดินรั้งท้ายอยู่



    “ว่าไงจ๊ะโย วาเลนไทน์นี้มีโปรแกรมรึยังเอ่ย... อย่าบอกนะว่าจะรอไปทานข้าวกับพี่บีน่ะ” ปุ๊กพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน



    “จะว่าไปเธอคงยังไม่หายโกรธใช่ไหมที่วาเลนไทน์ปีที่แล้วพี่บีมาเที่ยวกับชั้นแล้วปล่อยให้เธอรอเก้อ หายโกรธได้แล้วนะจ้ะ



    เพราะยังไงชั้นก็ทิ้งพี่เค้าแล้ว ตอนนี้พี่เค้าคงว่างพอที่จะไปทางข้าวกับเธอแล้วล่ะ” เธอพูดพร้อมกับหัวเราะคิกคักอย่างสาใจ



    กิฟท์เองก็หัวเราะร่วมไปด้วย







    “ไม่ตลกเลยนะปุ๊ก...” แจสเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ ทั้งปุ๊กและกิฟท์จึงเงียบเสียงลง จากนั้นแจสก็หันมายิ้มให้กับวาโย



    “ได้ข่าวว่าโยส่งภาพถ่ายเข้าประกวดอีกแล้วใช่ไหม” เธอถามแบบนี้ พร้อมกับหยุดรอโยที่กำลังเดินตามมาข้างหลัง







    “งั้นพวกเราไปก่อนแล้วกันนะ ไม่รอล่ะ เจอกันที่ห้อง” ปุ๊กพูดกับแจสอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก



    แล้วจึงรีบกระชากมือกิฟท์ไปทันที ส่วนมิลค์เองก็หยุดอยู่สักพัก แล้วมองหน้าวาโย จากนั้นก็ยิ้มให้







    “มิลค์ไปก่อนนะ” เธอบอก “อ้อ... โยยังไงก็อย่าไปถือสายัยปุ๊กนักเลย แล้วก็ ขอให้ภาพถ่ายได้รางวัลด้วยแล้วกันนะจ๊ะ”



    เธอบอกพร้อมกับเดินจากไป ทิ้งให้แจสได้อยู่ลำพังกับวาโยเพียงสองคน







    “โยอย่าไปถือสาหาความกับยัยปุ๊กเลยนะ เค้าก็เป็นของเค้าแบบนี้มาตั้งแต่ 5 ปีที่แล้วแล้วนี่นา เนอะ” แจสพูดแบบนี้



    พร้อมกับโอบไหล่เพื่อน “จะว่าไปก็อิจฉาโยเหมือนกันนะ สุดท้ายก็ได้เป็นตากล้องสมใจแล้วสิ” เธอบอก



    พร้อมกับชี้มือมาที่กล้องที่วาโยสะพายอยู่







    “อืม... คนเราฝันต่างกัน ทางเดินก็เลยต่างกันด้วย แจสเองก็เถอะ... พยายามเข้านะ



    แล้วพอถึงวันนั้นโยคงได้เป็นตากล้องให้แจสแน่ๆ” วาโยบอกกับเพื่อนแบบนี้พร้อมกับยิ้มให้







    “จะว่าไป ตั้งแต่เกิดเรื่องคราวนั้นขึ้นแล้ว โยก็เงียบหายไป ไม่ค่อยได้เจอกันเลยนะ” แจสบอกพร้อมกับมองหน้าเพื่อนอย่างกังวล



    “จำไว้นะว่า ยังไงเราก็เพื่อนกันเสมอ มีอะไรอยากบ่น อยากระบายก็บอกนะ แจสยินดีรับฟังทุกเรื่องเลย” เธอบอก



    “ยังไงแจสก็ยังห่วงโยนะ รู้รึเปล่า”







    “อืม... เข้าใจ โยรู้หรอกน่า ก็จำไว้แล้วกันว่า แจสน่ะ ยังเป็นเพื่อนรักของโยเสมอ ไม่ว่าจะอยู่กลุ่มเดียวกันหรือไม่



    ถ้าสื่อความรู้สึกถึงกันและเข้าใจกันได้ แค่นั้นแหละพอแล้ว... ส่วนกับปุ๊กน่ะ ความรู้สึกของคำว่าเพื่อนมันไม่มีอีกแล้วล่ะ



    เพราะนิสัยเค้าเป็นแบบนี้มา 5 ปีไม่เปลี่ยนเลยน่ะสิ โยถึงต้องตัดใจ แจสคงเข้าใจนะว่า บางครั้งต่อให้จะเป็นเพื่อนรักกันมาขนาดไหน



    ถ้ามันร้าวไปแล้ว มันก็สมานใหม่ไม่ได้ ถึงจะได้ก็ไม่เหมือนเดิม โยรู้ว่าฝ่ายนั้นเองก็ไม่ได้ต้องการรักษามิตรภาพไว้



    โยเลยต้องปล่อยให้แตกหักกันไปเลยดีกว่า นี่อาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วมั้ง” วาโยบอกกับเพื่อนแบบนี้



    พร้อมกับส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “เอาเหอะ... อย่าคิดเลยกับเรื่องไม่เป็นเรื่องน่ะ แค่ทำวันนี้ และสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้ให้ดีที่สุดก็พอ”



    พูดจบแจสก็จับมือวาโยบีบเสียแน่น แต่ไม่พูดอะไร เพราะคิดว่า แค่ความรู้สึกที่มีให้ บางครั้งมันบ่งบอกได้มากกว่าคำพูดเสียอีก



    ซึ่งวาโยเองก็ดูเหมือนจะเข้าใจในจุดนี้ด้วย เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องเรียน ต่างคนก็ต่างแยกกันไปนั่งที่



    โดยวาโยก็ยังคงนั่งที่มุมห้องริมหน้าต่างเหมือนกับเมื่อครั้งที่เคยนั่งเรียนในสมัยม.ปลาย ซึ่งต่อให้ที่นี่



    จะเป็นห้องเรียนของมหาวิทยาลัยแล้วก็ตามที วาโยก็ยังเลือกที่จะนั่งที่ตรงนี้ ราวกับว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป



    นอกจากสถานที่และเพื่อนร่วมห้องเท่านั้น เพราะตัวเธอเองยังคงเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ คนเดิม



    ที่แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อ 5 ปีก่อนเลยแม้แต่นิดเดียว







        ระหว่างที่ยังคงนั่งเรียนอยู่ วาโยก็นึกย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีก่อน สมัยที่ยังเรียน ม. 4 ซึ่งในตอนนั้น



    ทั้งแจสและปุ๊กก็ยังคงนั่งเรียนอยู่ด้วย แจสเป็นคนที่เรียนเก่งที่สุดในห้อง เป็นที่รักของอาจารย์และเพื่อนๆ ทุกคน



    ดูเหมือนเธอจะมีแรงดึงดูดทุกคนเลยก็ว่าได้ ส่วนปุ๊กนั้น เอาแต่ใจตัวเองมาแต่ไหนแต่ไร ถึงแม้จะปากร้ายไปบ้าง



    แต่กระนั้นก็ยังคงจริงใจกับเพื่อนเสมอ เป็นคนพูดเก่งที่สุดในกลุ่มแล้ว ผิดกับวาโย ที่เป็นผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง



    เรื่องเรียนก็งั้นๆ หน้าตาเฉยๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่ค่อยแสดงออกว่าพอใจ ดีใจ หรือเสียใจเลย เป็นคนที่ใครๆ



    ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มีความคิด ความฝัน และพรสวรรค์ทางด้านการเขียนบรรยาย รวมไปถึงการถ่ายภาพ



    ทั้ง 3 คนเป็นเพื่อนรักร่วมกลุ่มเดียวกันมาตลอดระยะเวลา 3 ปี จนกระทั่งถึงวันที่จะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย



    ก็ยังลั่นวาจาไว้ว่าต่อให้จะเรียนคนละคณะกัน ก็จะต้องเข้าเรียนที่เดียวกันให้ได้ และสุดท้ายความฝันของทั้งสามคนก็เป็นจริง



    เมื่อทั้งหมด สอบติดในสถาบันเดียวกัน แม้จะคนละคณะอย่างที่ต่างตั้งใจไว้ แต่ยังดูเหมือนว่า ความเป็นเพื่อนนั้นกำลังไปได้สวยทีเดียว



    ก็พอดีกับที่มีคนคนหนึ่งก้าวเข้ามา ระหว่างมิตรภาพกับความรัก วาโยตัดสินใจเลือกรักษามิตรภาพระหว่างเพื่อน



    และเก็บความรักที่ตัวเองมีไว้ให้ลึกสุดใจ หากแต่อีกคน กลับเลือกที่จะทำลายมิตรภาพนั้นลง



    พร้อมกับขยี้หัวใจของเพื่อนทิ้งไปต่อหน้าต่อตา เรื่องนั้นเกิดขึ้นเมื่อก่อนวาเลนไทน์ปีที่แล้ว







        วาโยและเพื่อนเพิ่งจะเข้ามาเรียนปี 1 วาโยนั้นเรียนคณะสถาปัตย์ ส่วนแจสและปุ๊กเรียนคณะครุศาสตร์



    แต่ถึงกระนั้น หากมีเวลาว่างตรงกัน ทั้งสามก็นัดทานข้าวด้วยกันเสมอ หลังจากที่เปิดเรียนเทอมแรกของชีวิตนักศึกษา



    ในรั้วสถาบันแห่งนี้ วาโยเอ่ยปากชวนเพื่อนทั้งสองไปที่ชมรมถ่ายภาพ ซึ่งตัวเธอเป็นสมาชิกชมรมอยู่



    หลังจากนั้นทั้งสองก็จะไปเจอกับวาโยที่หน้าชมรมถ่ายภาพทุกวันเพื่อรอกลับบ้านพร้อมกัน เย็นวันหนึ่ง



    ขณะที่วาโยกำลังวุ่นกับการจัดภาพเก็บเข้าอัลบั้ม แจสกับปุ๊กที่รออยู่ด้านหน้าของห้องก็อาสาเข้ามาช่วยจัดด้วย



    เพื่อจะได้เสร็จเร็วๆ และมีเวลาไปเดินเที่ยวกันต่อ ขณะที่กำลังจัดการกับภาพที่วางเรียงรายอยู่ตรงหน้า







    “เอ่อ... น้องโย พี่ฝากจัดการอัลบั้มนี้ด้วยนะครับ” พี่บี หนุ่มคณะวิศวะปี 3 ซึ่งเป็นสมาชิกของชมรมเอ่ยขึ้น



    พร้อมกับเอาอัลบั้มรูปมาตั้งไว้ให้ “แล้วนี่ใครกันเนี่ย” เขาเอ่ยปากถาม เมื่อเห็นแจสและปุ๊ก ที่กำลังสาละวนกับการจัดรูป







    “อ๋อ เพื่อนโยเองค่ะ แจสกับปุ๊ก เด็กครุน่ะพี่” วาโยบอกขณะที่ตัวเองก็กำลังแกะรูปออกมา







    “อืม... พี่ชื่อบีนะครับ วิศวะปี 3 แต่ชอบถ่ายภาพมาก มันก็เหมือนกับการเขียนเพลง หรือแต่งกลอนน่ะครับ



    ถ้าสามารถถ่ายทอดอารมณ์ที่เรามีออกมาให้คนอื่นเข้าใจได้ ก็เยี่ยมแล้ว” พี่บีบอก







    “พี่พูดคล้ายๆ กับโยเลยนะคะ ตอนโยเรียนม.ปลาย โยก็เคยเทียบอะไรแบบนั้นให้ฟัง” แจสบอก







    “เหรอครับ... อืม... ยังงี้น้องแจสคงเป็นเพื่อนสมัยเรียนม.ปลายกับน้องโยด้วยสินะครับ” พี่บีถาม







    “ก็แหงล่ะค่ะ ปุ๊กก็เรียนด้วยกันมา พี่อาจจะพูดเหมือนกับโย หรือคล้ายๆ กัน แต่ที่แน่ๆ น่ะ



    โยเค้าเก่งทั้งถ่ายภาพแล้วก็แต่งกลอนด้วย พี่คงแต่งกลอนไม่เก่ง หรือไม่ก็ไม่เป็นเลยล่ะสิ” ปุ๊กพูดด้วยน้ำเสียงดูแคลนนิดๆ



    พร้อมกับมองหน้าพี่บีอย่างยียวน







    “ครับๆ พี่น่ะแต่งกลอนไม่เก่งหรอก เรื่องถ่ายภาพก็ไม่ได้เรื่องเท่าไรด้วย แพ้น้องโยตั้งแต่ต้นแล้ว



    น้องโยน่ะมีพรสวรรค์ ส่วนพี่น่ะถ่ายภาพเพราะใจรัก” พี่บีพูดเสียงอ่อยๆ แต่ก็มองดูโยด้วยสายตาชื่นชมอยู่เป็นนัย



    “ดูท่าว่า มีอีกหลายเรื่องเลยนะเนี่ยที่พี่ยังไม่รู้เลยเกี่ยวกับน้องโย เพราะน้องเค้าไม่ค่อยพูดอะไรที่เกี่ยวกับตัวเองเลย



    เอายังงี้ไหม ว่างเมื่อไรน้องแจสกับน้องปุ๊กช่วยขึ้นมาที่ชมรมนี้อีกนะครับ พี่จะได้คุยเรื่องเกี่ยวกับน้องโยด้วย” พี่บีบอกยิ้มๆ



    พร้อมกับลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ กับโย







    “แล้วถ้าพี่อยากรู้ทำไมไม่ถามกับโยเองล่ะคะ” แจสถาม “แจสบอกไว้เลยนะว่า แจสน่ะ ไม่มีทางเล่าอะไรเกี่ยวกับโยให้พี่ฟังหรอก



    นอกจากโยจะเล่าให้พี่ฟังเอง หรือไม่ถ้าโยไม่ว่าอะไรแจสถึงจะเล่าให้ฟัง ใช่ไหมจ๊ะโย” แจสหันมาถามเพื่อน



    ที่ยังคงนั่งจัดอัลบั้มรูปอย่างเงียบๆ







    “ใช่ๆ พวกเราไม่ใช่เพื่อนที่จะมาขายหรือเผาเพื่อนหรอกนะพี่ จำเอาไว้ด้วย” ปุ๊กพูดอย่างมีอารมณ์ จากนั้นก็คว้ากระเป๋าลุกออกไป



    “งั้นปุ๊กไปรอที่รถแล้วกันนะ”







    “อย่าไปใส่ใจเลยนะคะพี่บี ปุ๊กเค้าก็แปลกๆ แบบนี้ล่ะค่ะ ไม่พอใจก็ไม่พูดด้วย ก็เท่านั้น” แจสบอก เธอเองก็ดูจะ งง งง



    กับการแสดงออกของเพื่อนเหมือนกัน







    “อ๋อ... ครับๆ พี่คิดว่าพี่พอจะเข้าใจอยู่บ้าง” พี่บีบอกพลางเกาหัวแกรกๆ “แล้วพรุ่งนี้น้องแจสจะขึ้นมาที่นี่อีกหรือเปล่าครับ”



    พี่บีหันมาถามพลางหยิบรูปส่งให้วาโย







    “ไม่แน่น่ะค่ะ มีอะไรเหรอพี่” แจสถาม







    “ก็พรุ่งนี้มีประกวดภาพถ่ายน่ะครับ น้องโยเค้าก็ส่งรูปเข้าประกวดด้วยนะ แต่พี่ยังไม่เห็นเลยว่ารูปอะไร



    เพราะพี่ไม่ใช่คณะกรรมการน่ะ” พี่บีบอกพลางมองดูโยที่กำลังแปะรูปลงในอัลบั้ม



    “พี่เองก็ส่งรูปเข้าประกวดเหมือนกันครับ แต่ดูท่าคงสู้ฝีมือของน้องโยไม่ได้หรอก” พี่บีบอกยิ้มๆ







    “โยอยากให้แจสมาไหม” แจสหันไปถามเพื่อนรัก







    “อืม... ถ้าแจสว่างก็อยากให้มาด้วยล่ะนะ” โยบอกกับเพื่อนแล้วยิ้มให้ “เสร็จแล้วนะพี่ งั้นวันนี้ โยกลับก่อนแล้วกัน” โยบอก



    พร้อมกับเลื่อนกองอัลบั้มมาตรงหน้าพี่บี “แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะ” โยบอกอีกพร้อมกับลุกขึ้น “ไปล่ะพี่บี... หวัดดีค่ะ”







    “งั้นแจสก็ลาเลยแล้วกันนะคะ” แจสบอกพร้อมกับยกมือไหว้พี่บี



    “อ้อ... แล้วพรุ่งนี้ก็ขอให้ได้รางวัลด้วยนะคะพี่ ไปล่ะค่ะ” แจสบอกพร้อมกับวิ่งตามโยออกไป







    “อืม... โยเองก็ต้องได้รางวัลด้วยนะ แล้วกลับบ้านดีๆ ล่ะ ทั้งสามคนเลย” พี่บีตะโกนไล่หลังออกไปพร้อมกับยกตั้งอัลบั้มภาพเก็บขึ้นชั้น







        พอแจสและโยมาถึงรถที่จอดอยู่ ก็เห็นปุ๊กนั่งรอด้วยสีหน้าไม่พอใจเท่าไหร่นัก เธอมองมาทางโยด้วยสายตาเซ็งๆ



    พร้อมกับหยิบลิปสติกขึ้นมาทา







    “ไปเหอะ...” ปุ๊กบอกพร้อมกับลุกขึ้นจากม้านั่ง “น่าเบื่อออกพี่บีอะไรนั่นน่ะ ดูท่าเขาคงชื่นชมโยมากเลยสินะ”



    เธอถามอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก “เห็นอะไรๆ ก็เทียบโยไม่ได้เลยไม่ใช่เหรอ”







    “ปุ๊กนี่ล่ะก็ พี่บีเขาก็คุยดีนี่ ไม่เห็นน่าเบื่อตรงไหนเลย” แจสพูดพร้อมกับส่ายหัว



    “อืม... พรุ่งนี้พี่บีเขาชวนพวกเรามาที่ชมรมอีกน่ะ เห็นว่ามีประกวดถ่ายภาพอะไรทำนองเนี้ย ปุ๊กจะมาไหม” เธอถาม







    “หึ ปุ๊กขอบายดีกว่า ทำมาชวนไปงั้นแหละ พอเอาเข้าจริงก็คงจะถามเรื่องของโยอีกล่ะสิ น่าเบื่อออก



    ถ้าโยส่งรูปเข้าประกวดด้วยล่ะก็ ขอให้ได้รางวัลแล้วกันนะ” ปุ๊กบอกอย่างไม่ค่อยใส่ใจเท่าไรนัก



    ซึ่งวาโยเองก็เข้าใจนิสัยของเพื่อนคนนี้ดี จึงไม่ติดใจคิดอะไรมาก







    “ขอบใจนะปุ๊ก แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้มาน่ะ อย่างน้อยมาดูรูปที่โยส่งเข้าประกวดหน่อยก็ดี” โยบอกแบบนี้



    เพราะในใจเธอก็ต้องการแบบนี้จริงๆ







    “อืม... จะว่าไป โยส่งรูปอะไรเข้าประกวดเหรอ” แจสถามอย่างสนใจ







    “ไม่บอกหรอก... เพราะอย่างนี้ถึงอยากให้มาดูเอาเองไงล่ะน่านะ ทั้งแจสแล้วก็ปุ๊กนั่นแหละ มานะ” โยอ้อนเพื่อน



    พร้อมกับโอบไหล่คนทั้งสอง







    “เออ... ก็ได้ แต่ยังบอกไม่ได้นะว่าจะไปช่วงไหน” ปุ๊กบอกพร้อมกับยิ้มที่มุมปาก







    “นั่นแน่ แจสว่าแล้ว... ยังไงปุ๊กก็ต้องไปดูแน่ๆ เพื่อนรักส่งภาพเข้าประกวดทั้งที ไม่ไปเชียร์ไม่ได้แล้วล่ะเนอะ...” แจสบอก



    พร้อมกับหันมาหัวเราะกับวาโย “งั้นเราไปกินไอติมกัน ที่ปากซอยมีร้านมาเปิดใหม่อ่ะ ยังไม่เคยแวะไปลองเลย



    วันนี้แจสเลี้ยงเอง นะ นะ” แจสบอกพร้อมกับกระชากมือเพื่อนทั้งสองคนขึ้นรถ



    จากนั้นเธอก็ขับออกมาจอดที่หน้าร้านไอศกรีมที่ปากซอยสถาบัน







        หลังจากที่จัดการกับไอศกรีมที่วางอยู่ตรงหน้าแล้ว ทั้งสามก็ต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน



    โดยที่แจสเองก็แวะส่งเพื่อนทั้งสองซึ่งเป็นทางผ่านกลับบ้านของเธอพอดี ปุ๊กนั้นพักอยู่กับพี่สาวที่คอนโดที่พ่อของเธอซื้อไว้ให้



    ส่วนวาโยพักอยู่ที่หอซึ่งมีคุณน้าของแจสเป็นเจ้าของ และบ้านของแจสเองก็อยู่ถัดมาแค่ช่วงตึกเดียว จะเพราะว่าอยู่ใกล้ๆ กันก็ได้



    จึงไม่น่าแปลกที่แจสกับโยจึงค่อนข้างสนิทกันมากทีเดียว พอรุ่งเช้าแจสก็รับเพื่อนทั้งสองคนมาที่สถาบันพร้อมกัน



    ทั้งสามคนจึงไปและกลับพร้อมกันตลอด และอาจจะเป็นเช่นนี้เรื่อยไป ถ้าหากว่าไม่เกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน







        วันนี้ช่วงบ่าย หลังจากที่ทั้งแจสและปุ๊กไม่มีคาบเรียนแล้ว ทั้งสองก็ตัดสินใจไปหาวาโยที่ชมรมถ่ายภาพ



    เพราะอยากรู้ผลว่าภาพถ่ายของใครจะได้รางวัล และที่สำคัญก็คือ อยากเห็นกับตาของตัวเองว่า วาโยนั้นส่งภาพอะไรเข้าประกวด



    ทันทีที่เดินเข้าไปในห้องชมรมแล้ว ก็พบว่า มีเพื่อนนักศึกษา ทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องเป็นสิบๆ คน ทยอยกันแวะเวียนดูภาพนั้นภาพนี้



    ผลการตัดสินนั้นออกมาเรียบร้อยแล้ว โดยที่ภาพถ่ายที่ได้รับรางวัลนั้นก็จะแขวนแสดงไว้ตามลำดับ



    ขณะที่ทั้งสองคนสนใจที่จะตามหาวาโยมากกว่าที่จะสนใจมองดูภาพถ่ายที่แขวนไว้ตามฝาผนัง



    แจสก็ได้ยินเสียงหนึ่งเรียกชื่อเธอมาจากมุมห้อง







    “อยู่นี่นี่เอง พี่นึกว่าน้องแจสกับน้องปุ๊กจะไม่มาเสียแล้ว” พี่บีนั่นเองที่เป็นคนเรียกเธอ







    “อ๋อ หวัดดีค่ะพี่บี แล้วโยล่ะค่ะ อยู่ไหนเหรอ เป็นคนบอกให้พวกเรามาแท้ๆ แต่นี่ยังไม่เห็นเลยค่ะ” แจสบอก



    พร้อมกับชะเง้อคอมองหาเพื่อน







    “พี่ว่าทั้งสองคนน่ะ ไม่คิดจะไปดูภาพถ่ายที่ได้รางวัลชนะเลิศซะหน่อยเหรอ” พี่บีบอกยิ้มๆ



    “ภาพนั้นน่ะทางทีมงานเขาแขวนแสดงไว้อีกที่หนึ่ง เดี๋ยวพี่พาไปเอง ตามมาสิ” พี่บีบอกแบบนี้พร้อมกับเดินนำทั้งสองคนไป



    แจสเองก็คว้ามือปุ๊กแล้วรีบตามมา







    “พี่บอกแบบนี้... อย่าบอกนะคะว่าภาพของโยน่ะ...” แจสหยุดคำพูดไว้แค่นี้ เพราะหลังจากที่พี่บีกดเปิดสวิตส์ที่อยู่ตรงหน้า



    ทั้งแจสและปุ๊กจึงได้เห็นว่า ภาพที่ได้รับรางวัลชนะเลิศนั้น เป็นภาพของคนสามคนที่กำลังโบกมือให้และฉีกยิ้มอย่างมีความสุข



    โดยมีฉากหลังเป็นบ้านไม้หลังคาเขียวริมทะเล เธอจำได้ทันทีว่า ภาพนี้ถ่ายที่บ้านของวาโยที่ปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์



    เมื่อครั้งที่ทั้งสามคนไปเที่ยวด้วยกันหลังจากที่ประกาศผลสอบออกมาแล้วว่าทุกคนสอบเอนท์ติดที่เดียวกัน







    “นี่มัน... พวกเรานี่” ปุ๊กเอ่ยขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา







    “ถ้าพี่เป็นคณะกรรมการ พี่ก็คงยกนิ้วให้ภาพนี้ด้วยอีกคนนั่นแหละ” พี่บีบอกพร้อมกับโบกไม้โบกมือเหมือนกำลังเรียกใครอยู่



    “เอ้า... มาแล้ว เจ้าของภาพถ่าย... เจ้าของรางวัลชนะเลิศ” พี่บีบอก







    “เป็นไง” วาโยเอ่ยถามสั้นๆ แต่มีรอยยิ้มฉายอยู่บนใบหน้า







    “สุดยอดเลยโย แจสไม่นึกว่าจะเอาภาพนี้มาประกวดจริงๆ” แจสบอกพร้อมกับยิ้มออกมา







    “น่าอายออก” ปุ๊กบอก ทั้งที่จริงๆ แล้วเธอไม่ได้รู้สึกอย่างที่พูดออกมาเลย “อย่างงี้นี่เอง มิน่าล่ะ ปุ๊กถึงได้รู้สึกเหมือนมีคนมองมา



    เพราะเจ้ารูปนี้นี่เอง” เธอบอกอีกพร้อมกับส่งยิ้มให้เพื่อน







    “จะว่าไปแล้ว ภาพนี้น่ะ ถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้เยี่ยมจริงๆ นะ ขนาดน้องโยที่ว่าไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยแสดงออกอะไร



    ยังยิ้มออกมาแบบนี้ได้ แสดงว่า ตอนนั้นทั้งสามคนคงมีความสุขมากๆ เลยใช่ไหมล่ะ” พี่บีบอกแบบนี้



    พร้อมกับมองวาโยอย่างชื่นชมเข้าไปอีก “พี่ถึงได้บอกไงว่าน้องโยน่ะ มีพรสวรรค์ในด้านนี้อย่างแท้จริง” เขาบอกอีก







    “อืม... สักวันโยคงได้เป็นตากล้องสมใจอยากสินะ” แจสบอกยิ้มๆ “ยินดีด้วยที่ได้รางวัลนะจ๊ะ”







    “ก็งั้นๆ” ปุ๊กบอก น้ำเสียงเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ก็คนมันมีพรสวรรค์น่ะ ทำไงได้ล่ะ จับอะไร ทำอะไรก็ดูดีไปหมดนี่นา



    จริงไหมล่ะโย” เธอพูดแบบนี้พร้อมกับมองหน้าวาโยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์







    “ไหงปุ๊กว่างั้นล่ะ” แจสมองเพื่อนอย่างสงสัย “จะว่าไปแล้ว ก็อย่างที่โยเคยพูดอยู่เสมอนั่นแหละ ว่าต่างคนต่างความฝัน



    ก็มีทางที่เดินต่างกัน เพียงแต่โยน่ะ เจอทางที่ว่านั้นก่อนพวกเรายังไง สักวันปุ๊กก็ต้องเจอว่า ตัวเองอยากทำอะไร อยากเป็นอะไร



    แจสเองก็ด้วยล่ะ ที่ตอนนี้ก็กำลังคิดอยู่เหมือนกันว่าอยากทำอะไร” แจสบอกแบบนี้ พร้อมกับมองหน้าปุ๊กที แล้วมองหน้าโยที



    แต่เมื่อเห็นว่าบรรยากาศออกจะตึงเครียดไปนิดๆ เธอจึงหันไปถามกันพี่บี “แล้วพี่บีล่ะคะ เจอรึยัง ว่าตัวเองชอบ หรือว่าอยากทำอะไร



    หรือว่าพี่ตัดสินใจแล้วว่าจะเป็นตากล้องด้วยอีกคน” แจสถาม โดยที่ขณะนั้น เธอเห็นพี่บีมองวาโยด้วยสายตาแปลกๆ



    ‘รึว่าเราจะคิดมากไปเองนะเนี่ย’







    “พี่เหรอครับ ก็คิดไว้ว่าสักวัน พี่จะเป็นตากล้องน่ะ ถ้าเป็นไม่ได้ ก็หาแฟนที่เป็นตากล้องแล้วกัน” เขาบอกพร้อมกับหัวเราะเจื่อนๆ



    “พี่ล้อเล่นน่ะครับ พี่น่ะ ยังไงก็ต้องรับช่วงต่อจากคุณพ่อ ท่านทำธุรกิจด้านโทรคมนาคมน่ะครับ ส่วนเรื่องเป็นตากล้องน่ะ



    คงได้แค่ฝันเท่านั้น” เขาพูดเรียบๆ ดูท่าจริงจังกว่าทุกครั้งที่เคยพูดกัน







    “งั้นที่พี่บอกว่าพี่มาเข้าชมรมนี้เพราะมีใจรักน่ะ ก็โกหกสินะคะ เพราะถ้าลองมีใจรักแล้ว



    ไม่ว่ายังไงก็ต้องทำในสิ่งที่ตั้งใจให้ได้ งั้นก็เลิกไปดีกว่า เพราะยังไงพี่ก็ไม่ได้คิดจะเป็นตากล้องตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือไงกัน”



    ปุ๊กเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ราวกับเธอไม่พอใจรุ่นพี่คนนี้มาตั้งแต่แรกที่เจอหน้าแล้ว



    เพราะฟังจากคำพูดเธอที่พูดกับเขาทุกครั้ง ก็ดูเหมือนจะกระทบกระแทกไปเสียทุกที



    ทั้งแจสและวาโยได้แต่นั่งอึ้งกับคำพูดของเพื่อน ส่วนพี่บีนั้นก็ยังคงไม่มีท่าทีว่าไม่พอใจกับคำพูดปุ๊ก







    “เพราะในอนาคต พี่คงไม่มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่พี่รักน่ะสิ พี่ถึงต้องทุ่มเทให้กับมันในขณะที่ยังสามารถทำได้



    เพื่อวันนึง มันจะกลายเป็นความทรงจำที่ดีว่า อย่างน้อยพี่ก็เคยทำในสิ่งที่พี่รักมาแล้ว และพี่ก็เต็มที่กับมันด้วย” พี่บีบอกเสียงเรียบ



    “อีกอย่างหนึ่ง การที่พี่ได้มาเข้าชมรมนี้ มันทำให้พี่ได้พบกับใครบางคน ที่ทำให้พี่เข้าใจอะไรอีกหลายอย่าง ระหว่างคำสองคำ



    มีใจรักและพรสวรรค์นั้นต่างกันเพียงเส้นยาแดงผ่าแปดเท่านั้น” พี่บีบอกพร้อมกับมองวาโย โดยที่เธอเองได้แต่นั่งก้มหน้า







    “เพราะโยอีกล่ะสิ ใช่ไหมคะ แรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่...” ปุ๊กพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะข่มความรู้สึกบางอย่างเอาไว้



    พร้อมกับมองภาพของพวกเธอ “หึ! รอยยิ้มเหรอ...” เธอพึมพำเบาๆ แล้วก็เดินออกไปจากห้องชมรม







    “เดี๋ยวแจสออกไปตามเองนะ โยอยู่ที่นี่แหละ ส่วนพี่บีเองก็อย่าไปใส่ใจกับคำพูดของปุ๊กเลยนะคะ”



    แจสพูดพร้อมกับที่เธอเองก็พอจะรู้แล้วว่าที่ปุ๊กแสดงออกแบบนี้เพราะอะไร







    “พี่บีอย่าคิดอะไรมากเลยนะคะ ปุ๊กเค้าชอบแสดงออกแปลกๆ แบบนี้แหละ” โยบอกแบบนี้ทั้งที่ยังคงก้มหน้าอยู่



    “บางที...” ประโยคนี้โยพูดเหมือนกับกำลังรำพึงรำพันกับตัวเอง







    “บางที... ทำไมเหรอ” พี่บีถาม







    “ปล่าวค่ะ... ไม่มีอะไรหรอก ยังไงเดี๋ยวโยไปตามเพื่อนด้วยดีกว่านะคะ” เธอบอกพร้อมกับหมุนตัวออก



    ก็พอดีกับที่พี่บีคว้าแขนของเธอไว้







    “เดี๋ยวก่อนครับน้องโย” เขาบอกแบบนี้ “พี่ขอโทษนะ ไม่รู้ว่าพี่ทำอะไร หรือพูดอะไรไม่ถูกใจเพื่อนน้องโยหรือเปล่า



    ยังไงก็ฝากไปบอกขอโทษเพื่อนด้วยแล้วกันนะครับ” พี่บีบอกพร้อมกับมองหน้าวาโย



    ซึ่งเธอเองก็ดูเหมือนจะกำลังหลบสายตาของเขาอยู่ “แล้วก็ยินดีด้วยนะครับ ที่ภาพถ่ายได้รับรางวัล”



    เขาบอกพร้อมกับปล่อยมือ จากนั้นวาโยก็รีบวิ่งออกไปจากห้องเพื่อไปตามเพื่อน







        แต่หลังจากเรื่องวันนั้น ก็ดูเหมือนว่าวาโยจะพยายามหลบหน้าเพื่อนทั้งสองคน โดยเธอได้โทรศัพท์ไปบอกกับแจสว่า



    แม้ช่วงนี้จะเป็นช่วงปิดเทอมแล้วก็ตาม แต่โยก็จำเป็นที่ต้องไปทำกิจกรรมที่ชมรมบ่อยขึ้น หลังจากนั้น พอเปิดเทอมสอง



    โยก็แยกไปสถาบันเอง โดยขอให้แจสเข้าใจด้วย ซึ่งเธอเองก็ดูเหมือนว่าจะเข้าใจอะไรๆ บ้าง ว่าโยกำลังคิดอะไรอยู่



    ตอนนี้จึงเหลือเพียงแจสและปุ๊กเท่านั้นที่ยังคงไปกลับด้วยกัน วันหนึ่ง หลังจากเปิดเทอมสองได้ไม่นาน



    ขณะที่ปุ๊กต้องแวะไปคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษา และแจสกำลังนั่งรออยู่ที่ใต้ตึกเรียน ก็พอดีกับที่พี่บีเดินผ่านมา



    แจสจึงเรียกพี่บีพลางชวนให้นั่งลงเพื่อคุยกัน







    “พี่บีติดธุระที่ไหนหรือเปล่าคะ” แจสเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่พี่บีลงนั่งฝั่งตรงข้าม







    “อ๋อ... ไม่มีครับ พอดีพี่กำลังจะกลับน่ะ อืม... จะว่าไป พี่ก็ไม่ได้คุยกับน้องแจสมาเกือบสองเดือนแล้วสินะเนี่ย



    ตั้งแต่ที่เจอกันวันนั้น จนกระทั่งปิดเทอม พอเปิดเทอมพี่ก็เห็นอยู่ไกลๆ แต่ไม่กล้าเข้าไปทักหรอก



    เพราะเห็นว่าอยู่กับเพื่อนน่ะ... ชื่ออะไรนะ คนที่ทำท่าไม่ค่อยชอบหน้าพี่น่ะ” พี่บีถามพลางยิ้มแหยๆ







    “อ๋อ... ปุ๊กน่ะเหรอคะ” แจสเอ่ยขึ้น พี่บีเองก็พยักหน้า “พี่คิดอย่างนั้นเหรอ” แจสถามกลับ







    “ก็คิดแบบนี้น่ะสิ เห็นทุกครั้งที่พูดกับพี่ทีไร เหมือนไม่ค่อยอยากพูดด้วยเลย” พี่บีบอก



    “อืม... จะว่าไปแล้ว พี่ไม่เห็นเจอน้องโยเลยล่ะครับ ไม่ได้อยู่ด้วยกันเหรอ ปกติพี่เห็นติดกันเป็นตังเมเลย



    ก็แปลกเหมือนกันนะครับ เพราะพอน้องโยไม่ค่อยขึ้นชมรมด้วยล่ะมั้ง



    พี่เลยไม่เคยเห็นน้องแจสกับน้องปุ๊กแวะมาที่ชมรมเลย” เขาบอกเสียยาวเหยียด







    “หมายความว่าไงคะ” แจสถามอย่าง งง งง “ที่พี่บอกว่าโยไม่ได้ขึ้นไปที่ชมรมเหรอคะ”







    “ก็ประมาณนั้นน่ะครับ หรือว่าน้องโยอาจจะขึ้นมาแล้วพี่ไม่เจอเองก็ได้” พี่บีบอกพร้อมกับมองหน้าแจสอย่างสงสัย



    “พวกน้องมีอะไรกันหรือเปล่าครับ”







    “แจสว่าแจสคงคิดไปเองก็ได้มั้ง แต่แจสกับโยน่ะ ไม่ได้ไปกลับพร้อมกันมาตั้งแต่มีเรื่องคราวนั้นแล้วน่ะค่ะ



    มีบ้างที่โยโทรมาหา แต่ก็ยังไม่ได้เจอกันเลย ตั้งแต่ปิดเทอม ก็เกือบสองเดือนแล้วล่ะค่ะ” แจสบอก



    “จะว่าไป ดูเหมือนว่าโยเองกำลังหลบหน้าแจสกับปุ๊กด้วยล่ะมั้ง ก็โยโทรมาบอกว่าที่ชมรมมีกิจกรรม



    เลยต้องมาช่วยงาน ก็เลยไม่ได้มาด้วยกันน่ะค่ะ”







    “อย่างงั้นเหรอครับ” พี่บีพูดพลางใช้ความคิด “จะว่าไปน้องโยเองก็คงหลบหน้าพี่ด้วยล่ะมั้ง”







    “แต่พี่ไม่ต้องห่วงนะคะ ไว้โยโทรมาแจสจะลองถามดู” แจสบอกราวกับให้คำมั่น “อ้อ... แล้ว...”







    “ไปเถอะแจส คุยเรียบร้อยแล้วล่ะ” ปุ๊กเดินลงมาจากตึกพอดี พอเธอเห็นหน้าพี่บี เธอก็ชักสีหน้าไม่พอใจทันที



    “เป็นไงบ้างล่ะคะ” เธอถามอย่างไม่ใส่ใจเท่าไรนัก







    “ครับ พี่ก็ยังคงสบายดี แล้วน้องปุ๊กล่ะ เป็นไงบ้าง” พี่บีถาม แต่พอเห็นเธอมองด้วยสายตาไม่สบอารมณ์เท่าไร เขาจึงตัดบททันที



    “เอ้อ... น้องแจส พี่ต้องไปก่อนนะครับ พอดีมีงานที่ชมรมน่ะ”







    “ค่ะ... แล้วไว้คุยกันนะพี่” แจสบอกพร้อมกับลุกขึ้น “อ้อ... แล้วถ้าพี่บีเจอโยก็ฝากทักทายด้วยนะคะ” แจสบอกแบบนี้



    พร้อมกับลุกเดินออกไป โดยมีปุ๊กเดินนำหน้าไปก่อนแล้ว







        หลังจากที่นายบีเดินแยกออกมาแล้ว เขาก็รีบตรงมาที่ชมรม โดยเวลานี้ก็เกือบจะห้าโมงเย็นแล้ว



    แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาคิดว่าต้องขึ้นไปที่ห้องชมรมอีกครั้ง และขณะที่เดินขึ้นไปนั้นเอง ก็มีคนเดินสวนลงมา



    โดยที่ตอนแรกเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ แต่หลังจากที่รู้สึกตัว เขาก็เหลียวมองกลับหลัง



    จากนั้นเขาก็กระโจนลงบันไดไปดักตรงหน้า







    “น้องโย...” เขาเรียก “พี่มีอะไรจะคุยด้วยหน่อยน่ะครับ”







    “พี่มีอะไรเหรอคะ” วาโยถามพร้อมกับชักเท้าถอยไปก้าวนึง “แล้วโดดลงมาแบบนี้พลาดท่าขาหักไปจะว่าไงกัน”



    เธอบอกพร้อมกับชักเท้าหนีไปอีกก้าวหนึ่ง







    “น้องโยจะกลับบ้านแล้วเหรอครับ” พี่บีถามพร้อมกับเดินเข้าหาเธอ







    “อ๋อค่ะ... โยกำลังจะกลับบ้าน พอดีแวะมาเอารูปติดบอร์ด แล้วก็ว่าจะกลับเลย ถ้าพี่จะถามแค่นี้ โยก็ขอตัวเลยนะคะ”



    เธอบอกพร้อมกับเบี่ยงตัวหลบ แล้วเดินลงมา







    “คือ...” พี่บีเงียบไปพักหนึ่ง “น้องโย... ไปหาอะไรกินกันหน่อยมั้ย แบบว่า พี่มีอะไรจะคุยด้วยหน่อยน่ะครับ”



    เขาถามแบบนี้พร้อมกับมองหน้าวาโย ซึ่งเธอเองก็กำลังก้มหน้า “งั้นไปเลยแล้วกันนะ” เขาบอก



    พร้อมกับคว้ามือเธอแล้วเดินลงบันไดไปด้วยกัน







    “พี่... พี่... ปล่อยมือเหอะ... เดี๋ยวใครมาเห็นมันไม่ดี” วาโยบอกพร้อมกับแกะมือเขาออก







    “ถ้าปล่อยแล้วน้องโยจะไปกับพี่หรือเปล่า รึว่าจะหลบหน้าพี่อีก” เขาถามพร้อมกับมองหน้าเธอ







    “ไปพี่... พี่จะไปหาอะไรกิน หรือจะไปนั่งที่ไหนโยก็จะไปด้วย แต่ปล่อยมือโยก่อนดิ่” เธอบอก







    “อืม... ตกลง” เขาบอกพร้อมกับปล่อยมือเธอ “งั้นเราไปนั่งที่ร้านตรงหัวมุมนั่นแล้วกันน่ะ ดูไม่ค่อยวุ่นวายดี” เขาบอกอีก



    พร้อมกับเดินนำหน้าเธอเข้าไปในร้าน







    } โปรดติดตามตอนต่อไป {
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×