ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักเราในเงาจันทร์ moonlight

    ลำดับตอนที่ #1 : คืนแห่งคำสาป

    • อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 65



     

     

    PROLOGUE

     

    หากนักดาราศาสตร์ยังไม่อาจกำหนดขอบเขตของจักรวาลได้

    การที่จะมีโลกอีกใบเหมือนกับเราก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก

    มากไปยิ่งกว่า คือมิติโลกคู่ขนาน ที่อยู่ใกล้เราเกินกว่าจะคาดเดาได้เสียอีก

     

     

    ตอน : คืนแห่งคำสาป

    เวลาปัจจุบัน

    เซแกน(โลกคู่ขนาน)  ณ ป่าตะวันดับ ในค่ำคืนเดือนหงาย

     

    แม้แสงของจันทราจะสว่างเพียงใดก็ไม่อาจส่องกระทบลงไปยังพื้นดินเบื้องล่างได้ ด้วยเพราะต้นไม้ตระหง่านฟ้า พากันแผ่กิ่งก้านใบสีเขียวชอุ่ม เป็นพุ่มแน่นเบียดเสียด

    พื้นหญ้าเปียกชุ่มจากหยาดน้ำฟ้า ที่หล่นลงมาเมื่อช่วงบ่าย ใบหญ้าและกอเฟิร์นที่ดูสงบ กลับเริ่มกระดิกเพราะการเคลื่อนไหวของใครบางคน

    หญิงสาวเจ้าของเปียดำยาว สวมคลุมด้วยชุดกันลมสีครีมหม่น ทอด้วยผ้าหยาบเหนียว เธอนอนหมอบแนบพื้นหญ้าจากฤทธิ์ของหนามพืชบางตระกูล ยังผลให้เธอง่วงหลับอย่างมิได้บังเอิญรับความง่วงมึนนี้มา แต่เพราะมีใครบางคนจงใจทำมัน เพื่อพาเธอมาปล่อยทิ้งไว้ยังป่าต้องห้ามแห่งนี้

    มือเรียวเล็กเริ่มขยับนิ้วทีละนิ้วอย่างเริ่มรู้สึกตัว กระทั่งดวงตากลมโตเผยอหรี่เปิดออกช้าๆ และต้องพบกับสองชายฉกรรจ์ที่ลักพาตัวเธอมา ทว่าวิชาการต่อสู้ที่มี ก็ทำให้เธอรอดพ้นไปได้อย่างเฉียดฉิว

    สองขาก้าวยาวสลับวิ่งด้วยเท้าเปล่าท่ามกลางความขมุกขมัวในป่าที่ไม่คุ้น พลางแกะผ้าที่พันรัดรอบปากเอาไว้ แล้ววิ่งฝ่ากอหญ้าที่สูงเทียมเข่าชุ่มน้ำจนเปียกลื่น

    ร่างเล็กวิ่งไปพลางจับสร้อยที่ห้อยคอ พร้อมกลับเงยหน้ามองหาจันทร์บนท้องฟ้า ทว่าต้นไม้สูงใหญ่แผ่ก้านใบหนาทึบ ทำให้มีแสงสว่างเพียงวูบวาบตามช่องว่างเท่านั้น จึงไม่เพียงพอให้ ‘เจ้าจันทรา’ นั้นตื่นมาช่วยเธอได้

    ‘เจ้าจันทรา’ คือภูตจิ๋วที่สถิตอยู่ในอัญมณีผลึกหินใสคล้ายเพชรสีเหลืองอำพัน อันเป็นสมบัติตกทอดมาจากบรรพชน ที่จะถูกปลุกได้ด้วยแสงของจันทร์ อันเป็นความหวังเดียวของคนที่ไม่สามารถท่องมนตราเรียกเจ้าจันทราออกมาได้

    “ข้า ข้าต้องวิ่งออกจากป่าทึบนี้ให้ได้”

     

    ซ่าส์ .... ซ่าส์

     

    ทว่าเธอวิ่งพ้นกลุ่มต้นไม้ใหญ่ออกมาแล้ว แต่เมฆฝนกลับจับตัวเป็นกลุ่มก้อนหนาหนักจนควบแน่นกลั่นเป็นฝน หยดลงมากระทบแก้มนวลทีละเม็ด แสงจันทร์ที่เต็มดวงถูกบดบังเสียหมดสิ้น

    เรี่ยวแรงที่มีลดลง จากการวิ่งสุดกำลังบนหญ้าฉ่ำน้ำ เธอสิ้นหวังแล้วจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พลันได้ยินเสียงฝีเท้าที่มีมากกว่าสิบคู่วิ่งไล่หลังมา บังคับให้เธอต้องใช้แรงฮึดสุดท้ายวิ่งหนีตายใต้ฝอยละอองฝนอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง

    แต่แล้วฝีเท้าชะงักงัน เมื่อทางข้างหน้าคือผาสูงชัน ฝ่าเท้าเปลือยเปล่ายืนอย่างหมิ่นเหม่ ปัดเอาเศษก้อนหินเล็กๆ กลิ้งหล่นไปในความดำสนิทของหุบเหวนั้น ดวงตาเธอโตเท่าที่จะเบิกโตได้เมื่อรู้ว่าเกือบจะพลัดตกลงไปแล้ว

     

    “ทางตันงั้นหรือ?”

     

    ขาเล็กคู่นั้นสั่นด้วยความกลัว เจ้าของเท้าเรียวแข็งเกร็ง ทำใจให้สู้ต่อ ก่อนร่นถอยออกมาได้หนึ่งก้าวย่าง เพื่อประคองร่างที่ยังหายใจหอบถี่ให้ตั้งหลัก พร้อมประคองสติไม่ให้กระเจิง

    ในความเลวร้ายยังมีร้ายกว่า เมื่อ 'พระนางเลย่า' เดินยูรยาตรเข้ามาเคียงข้างร่างบางที่ยืนสั่นเทิ้ม รอยยิ้มชวนขนลุกไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกว่าจะมาญาติดีด้วย

    ไม่นานที่นางยื่นแขนซีดขาวโผล่พ้นออกมาจากชุดดำสนิท เผยเล็บยาวแหลมสีดำเยี่ยงถ่าน มาลูบไล้เรือนผมเปียเปียกน้ำของเธอช้าๆ ก่อนโน้มตัวมากระซิบที่ข้างหูเธอ

    “เจ้าโดนมนุษย์เหล่านั้นหักหลังเข้าซินะ”

     

    นางจับไหล่บางแล้วพยักพเยิดหน้าด้วยท่วงท่าเยือกเย็น ให้คนตัวสั่นเพ่งไปมองที่เบื้องหน้า และรู้สึกได้ถึงการถูกมนตร์สะกดให้ขยับตัวไม่ได้

    มีเพียงตาเธอเท่านั้นที่เป็นอิสระ ไม่นานเบื้องหลังฉากมัวสลัว ก็เผยให้เห็นคนโผล่พ้นเงามืดออกมากันทีละคนสองคน จนนับสิบรายได้

    พลันชายเหล่านั้นเมื่อพบเธอเข้า ต่างพากันเบรกฝีเท้าชะงักไม่กล้าเข้าใกล้ ดวงตามากคู่ต่างลุกโตด้วยความตระหนก เมื่อเห็นธิดาแห่งเผ่าจันทรายืนแข็งทื่อโดยมีเงาดำร่างสูงสง่าอยู่ด้านหลังเธอด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน และดวงตาที่แดงฉาน

    แม้จะมืดสลัวแต่เวทมนตร์ของพระนางเลย่าทำให้เธอเห็นรอยสักสัญลักษณ์นักรบเผ่าสุริยาสะท้อนเป็นแสงปรากฏอยู่ที่ไหล่ทุกราย แม้จะไกลกันราวร้อยเมตร

     

    “นี่มันเรื่องอะไรกัน นักรบจากเผ่านี้อีกแล้ว”

     

    ฟ้าร้องคำราม ผนวกกับแสงแลบสว่างผ่าความมืดออกมาอย่างบ้าคลั่ง เม็ดฝนทยอยหล่นจนหนาเม็ด แต่ก็ชัดพอให้มองเห็นหน้าคนมาทีหลัง ที่แหวกเหล่าพลทหารมายืนยังกองหน้า เพื่อสบตากับเธอ

    “เอวา นั่นเจ้า นั่นเจ้าจริงๆ เจ้ามาที่นี่เพื่อช่วยข้า หรือเจ้าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดกันแน่”

    มือดำลูบไล้ที่แก้มนวลอย่างเอ็นดู ทว่าไม่ใช่ เพราะทันทีที่นิ้วเรียวลากลงตรงกรอบแก้ม ได้ปรากฏแสงสีเขียวมรกตตามรอยลากยาว ตั้งแต่หน้าผากลงมายังคางมน จนปรากฏเป็นรอยไหม้ดำใหญ่บนใบหน้า ผู้ถูกสาปเนื้อตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว และเจ็บแสบดังไฟรน

    เธอขยับตัวไม่ได้  กรีดร้องก็ไม่ได้

    มันคือความทรมานที่ไร้เสียง มีเพียงพระนางที่หัวเราะร่า แล้วรำพันเป็นคำมนตร์ดำ

     

    “เจ้าทั้งสองจงเจ็บปวดกับรักครั้งนี้ที่จะไม่มีวันสมหวัง เจ้าจะอยู่ไกลกันคนละโลก ราตรีบนหน้าเจ้าจะไม่มีวันจางหาย จงอัปลักษณ์ไปตลอดกาล หึหึหึ”

     

    นางเป่าไฟสีเขียวที่อยู่บนฝ่ามือขึ้นสู่เบื้องบน แล้วฟุ้งกระจายเป็นวงกว้าง ก่อนร่วงลงมาดังหมอกควันเขียว ปกคลุมร่างกายเธอกับเอวา และนางก็จางหายไป ทำให้เธอหลุดออกมาจากบ่วงมนตร์ดำ แต่กลับอ่อนแรงจนเข่าทรุดฮวบ แทบยืนไม่ได้

    ฟ้าผ่าลงมาคล้ายตอบรับคำต้องสาปนี้ หัวใจที่ทำหน้าที่สูบฉีดเหมือนหยุดทำงานกะทันหัน ร่างจึงชาไปทั่ว เธอร่นขาถอยหลังอย่างลืมตัว ทว่าเพียงก้าวเดียวเท่านั้นที่เธอขยับออกมาจากปากเหว และนั่นกลับเป็นก้าวสุดท้ายของเธอ

     

    พรึ่บ!!!

     

    ร่างบางล่วงหงายดิ่งลงสู่อากาศที่ว่างเปล่า สีดำสนิทกลบดวงตาให้มืดบอด ทำให้มองไม่เห็นอะไรแม้แต่ชายคนรัก เอวาผลักทุกคนที่เกะกะออก หวังจะทันฉุดรั้งเธอ จนตนเองเกือบจะหล่นไปพร้อมกัน

     

    “ไอร่า!!”

    เอวาร้องตะโกนสุดเสียงจนคอโก่งงอ เขาคงจะหล่นตามเธอไปแล้วหากไม่มีมือหลายคู่ยึดรั้งไว้

    ธิดาผู้ต้องสาปตกสู่ห้วงอากาศมืดมิดสุดคาดคะเน ความดันของอากาศที่มากกว่าปกติ ทำให้เจ้าของร่างค้างช็อก เพราะเริ่มรู้สึกถึงแรงบีบอัดขึ้นมา

     

    ‘เอริณ’ ตอนนี้เจ้าอยู่ที่ใดกัน ข้าอาจหายไปตลอดกาลแล้วนะ เจ้าคงจะหาข้าไม่พบแล้ว เอิกอั่ก เอือกกก เอวา หากท่านมีเจตนาทำร้ายข้า เกิดใหม่ฉันใดเราก็อย่าได้พบกันอีกเลย”

     

    ก่อนดวงตาจะปิดลง ร่างบางกระตุกเกร็งจากการขาดอากาศ ฉับพลันธาตุอำพันส่องแสงวูบวาบ และเปล่งแสงออกมาเป็นสสารสีเหลืองเข้าคืบคลานแผ่ปรกคลุมร่างของเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า ทำให้คนขาดอากาศกระตุกเฮือกใหญ่อีกครั้ง จากการได้รับออกซิเจน

    บรรยากาศสีดำสนิท ถูกประดับด้วยหญิงสาวดุจหนอนน้อยในดักแด้สีทอง ล่องและลอยอย่างเวิ้งว้าง ในชั้นบรรยากาศทางข้ามผ่านมิติของโลกคู่ขนาน

    เธอลอยไปเรื่อยๆ ตามแรงดึงดูดของบางสิ่ง กระทั่งมีรูหนอนลึกกลวงรอการมาของผู้หลงทาง ทันใดก็ดึงดูดเอาเธอเข้าสู่รัศมีเกลียวคลื่น ที่เป็นหลุมรูยาวลึกเกินคาดคะเน

    นี่คือหลุมอากาศแห่งมิติโลกคู่ขนานทางธรรมชาติ ที่จะมีเพียง 0.00000001 เปอร์เซ็นต์ของโอกาสที่จะมีใครบังเอิญตกลงไปยังช่องนี้ได้ อาจเพราะคำสาปเริ่มสำแดงฤทธิ์หรือเพราะพรหมลิขิตที่ต้องพบเจอ

     

    พรึ่บ!!...............

     

    ฉับพลันร่างเล็กนั้น หลุดทะลุออกจากฟากฟ้าสีครามค่อนไปทางดำลงสู่กลางมหาสมุทรสีครามเข้ม ท้องฟ้าโปร่งระยิบระยับ ประกายแสงจากดวงจันทร์เต็มดวงในคืนวันที่ใกล้โลกที่สุดในรอบปี

    ความสูงราวตึกห้าสิบชั้นที่เธอร่วงหล่นลงมา ร่างนั้นจึงจมดิ่งลงสู่ผืนทะเล ลึกลงไป และเหมือนเทพจันทราจะรับรู้ได้ถึงความตายที่ยังไม่ถึงเวลานี้ี้ จึงปลุกเจ้าจันทราตัวจิ๋วให้ออกมาช่วยเธอได้ทัน ตั้งแต่ช่วงตกจากหน้าผานั้น

    ภูตจิ๋วพวยพุ่งออกมาจากธาตุอำพันที่เธอสวม เกิดเป็นแสงสีทองประกายเพชรอยู่ใต้น้ำ ปีกเล็กบางดั่งแมลงปอกระพือสุดแรง เพื่อดึงเอาร่างของไอร่าขึ้นสู่น่านน้ำบนโลกที่เธอไม่คุ้นเคย

     

    ในที่สุดก็สำเร็จ

    ตัวจิ๋วพุ่งสู่เหนือน้ำด้วยแรงทั้งหมดที่มี พร้อมกับร่างหมดสติของไอร่า และการสลายไปของสสารสีทอง ที่ห่อหุ้มตัวเอาไว้

    เจ้าจันทรารู้ดีว่าพลังจำกัดบนโลกนี้ของตัวเองกำลังจะหมดแล้ว จึงเร่งการดึงลากร่างเจ้านายที่ใหญ่กว่าเธอหลายสิบเท่า ให้เข้าขึ้นฝั่งก่อนที่เธอจะทำมันไม่ได้อีกต่อไป

    แม้เจ้าจันทราจะเป็นไอเทมศักดิ์สิทธิ์เดียวของไอร่า แต่งานนี้ก็เกินกำลังไปมาก เพราะที่แห่งนี้คือ ‘โลก’ ไม่ใช่ ‘เซแกน’ เจ้าจิ๋วที่ลากร่างหมดสติมาจนถึงหาดทรายขาวบนเกาะร้างอย่างเหน็ดเหนื่อย ก็ทำท่ายกมือปาดเหงื่อที่ไม่มีเลยบนหน้าผาก แล้วขยับปีกน้อยที่บอบบางและฉีกขาดมาลูบคลำอย่างสลดใจ ก่อนจะร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด

    สร้อยคอที่ขาดสะบั้นหลุดออกจากคอไอร่า เจ้าจันทราเก็บลากเอามาไว้แนบหน้าคนหลับใหล ก่อนที่เธอจะล้มตัวลงบนแก้มนวลของเจ้านายตัวเอง พลางลูบมือเล็กกระจิดริดไปมาบนใบหน้าที่มีรอยดำอย่างเห็นใจ

    เจ้าจิ๋วยันตัวขึ้นนั่งคุกเข่าบนไหล่เปียก สองมือสบประสานแล้วหลับตาอธิษฐานจิต ไม่นานแสงอำพันก็ประกายออกมา เกิดเป็นเม็ดแสงคล้ายหิ่งห้อย ลอยล้อมรอบตัวไอร่า

     

    “แด่เทพีแห่งจันทราบนดาราจักร บัดนี้ลูกหลานท่านได้ต้องคำสาปจากพระนางเลย่าอย่างไร้เหตุผล โปรดช่วยนาง อย่างน้อยแม้จะได้เพียงชั่วคราวที่จะทำให้รอยดำบนใบหน้านี้หายไปในทุกคืนที่จันทร์เต็มดวง ก็ทรงเมตตาด้วยเถิด ข้าที่ไม่อาจทำหน้าที่ได้ในโลกใบนี้ วิงวอนให้นายข้ารู้ภาษาของคนทางนี้เพื่อความอยู่รอด สุดท้ายแล้วแต่พวกท่านจะเมตตา”

     

    เจ้าจันทรากำลังจะตาย ที่ใช้พลังเกินตัวในตอนผ่านช่องมิติออกมา อีกทั้งที่นี่ไม่ใช่ที่ของเธอ ทางเดียวที่จะรอดได้ คือต้องกลับเข้าไปจำศิลอยู่ในอัญมนีธาตุ และไม่อาจรู้วันตื่นได้เลย ร่างจิ๋วประกายเป็นแสงทองระยิบระยับ นางร้องกระซิกอย่างเด็กเจ็บตัว ก่อนจะกลายเป็นลำแสงแสงสีทองวิ่งลงสู่ธาตุเพชรสีอำพันในที่สุด

     

    คืนนี้ที่พระจันทร์โคจรใกล้โลกมากสุดในรอบปี

    ชายหนุ่มร่างโปร่งสวมกางเกงเลสีกรมเก่า กับเสื้อยืดบางขาว นั่งอยู่ข้างเต็นท์นอนสีเขียวเข้ม เพื่อเหม่อมองดูจันทร์ที่ตนคลั่งไคล้นักหนา ทว่าภายใต้จันทร์ดวงนั้น มีบางสิ่งประกายวิบวับที่ชายหาดอยู่ลิบๆ จนต้องเอะใจ

    แม้แสงคล้ายกลุ่มหิ่งห้อยนั้นจะปรากฏให้เห็นเพียงชั่วครู่ แต่มากพอให้เขาสงสัยว่ามันคืออะไรกันแน่

    ชายผู้นั้นจึงอดที่จะเดินไปดูเสียไม่ได้ เมื่อเขาไม่กลัวว่านั่นเป็นอะไรที่อาจไม่ใช่มนุษย์ การที่จะก้าวขาเข้าไปหาจึงเป็นเรื่องไม่ยากเย็น แต่กลับต้องตกใจมากกว่า เมื่อภาพที่เห็นเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน อีกทั้ง

     

    “ผ ผ ผู้หญิงนี่!!!”

     

     

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×