คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : คืนแห่งคำสาป
PROLOGUE
หากนักดาราศาสตร์ยังไม่อาจกำหนดขอบเขตของจักรวาลได้
การที่จะมีโลกอีกใบเหมือนกับเราก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก
มากไปยิ่งกว่า คือมิติโลกคู่ขนาน ที่อยู่ใกล้เราเกินกว่าจะคาดเดาได้เสียอีก
ตอน : คืนแห่งคำสาป
เวลาปัจจุบัน
เซแกน(โลกคู่ขนาน) ณ ป่าตะวันดับ ในค่ำคืนเดือนหงาย
แม้แสงของจันทราจะสว่างเพียงใดก็ไม่อาจส่องกระทบลงไปยังพื้นดินเบื้องล่างได้ ด้วยเพราะต้นไม้ตระหง่านฟ้า พากันแผ่กิ่งก้านใบสีเขียวชอุ่ม เป็นพุ่มแน่นเบียดเสียด
พื้นหญ้าเปียกชุ่มจากหยาดน้ำฟ้า ที่หล่นลงมาเมื่อช่วงบ่าย ใบหญ้าและกอเฟิร์นที่ดูสงบ กลับเริ่มกระดิกเพราะการเคลื่อนไหวของใครบางคน
หญิงสาวเจ้าของเปียดำยาว สวมคลุมด้วยชุดกันลมสีครีมหม่น ทอด้วยผ้าหยาบเหนียว เธอนอนหมอบแนบพื้นหญ้าจากฤทธิ์ของหนามพืชบางตระกูล ยังผลให้เธอง่วงหลับอย่างมิได้บังเอิญรับความง่วงมึนนี้มา แต่เพราะมีใครบางคนจงใจทำมัน เพื่อพาเธอมาปล่อยทิ้งไว้ยังป่าต้องห้ามแห่งนี้
มือเรียวเล็กเริ่มขยับนิ้วทีละนิ้วอย่างเริ่มรู้สึกตัว กระทั่งดวงตากลมโตเผยอหรี่เปิดออกช้าๆ และต้องพบกับสองชายฉกรรจ์ที่ลักพาตัวเธอมา ทว่าวิชาการต่อสู้ที่มี ก็ทำให้เธอรอดพ้นไปได้อย่างเฉียดฉิว
สองขาก้าวยาวสลับวิ่งด้วยเท้าเปล่าท่ามกลางความขมุกขมัวในป่าที่ไม่คุ้น พลางแกะผ้าที่พันรัดรอบปากเอาไว้ แล้ววิ่งฝ่ากอหญ้าที่สูงเทียมเข่าชุ่มน้ำจนเปียกลื่น
ร่างเล็กวิ่งไปพลางจับสร้อยที่ห้อยคอ พร้อมกลับเงยหน้ามองหาจันทร์บนท้องฟ้า ทว่าต้นไม้สูงใหญ่แผ่ก้านใบหนาทึบ ทำให้มีแสงสว่างเพียงวูบวาบตามช่องว่างเท่านั้น จึงไม่เพียงพอให้ ‘เจ้าจันทรา’ นั้นตื่นมาช่วยเธอได้
‘เจ้าจันทรา’ คือภูตจิ๋วที่สถิตอยู่ในอัญมณีผลึกหินใสคล้ายเพชรสีเหลืองอำพัน อันเป็นสมบัติตกทอดมาจากบรรพชน ที่จะถูกปลุกได้ด้วยแสงของจันทร์ อันเป็นความหวังเดียวของคนที่ไม่สามารถท่องมนตราเรียกเจ้าจันทราออกมาได้
“ข้า ข้าต้องวิ่งออกจากป่าทึบนี้ให้ได้”
ซ่าส์ .... ซ่าส์
ทว่าเธอวิ่งพ้นกลุ่มต้นไม้ใหญ่ออกมาแล้ว แต่เมฆฝนกลับจับตัวเป็นกลุ่มก้อนหนาหนักจนควบแน่นกลั่นเป็นฝน หยดลงมากระทบแก้มนวลทีละเม็ด แสงจันทร์ที่เต็มดวงถูกบดบังเสียหมดสิ้น
เรี่ยวแรงที่มีลดลง จากการวิ่งสุดกำลังบนหญ้าฉ่ำน้ำ เธอสิ้นหวังแล้วจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พลันได้ยินเสียงฝีเท้าที่มีมากกว่าสิบคู่วิ่งไล่หลังมา บังคับให้เธอต้องใช้แรงฮึดสุดท้ายวิ่งหนีตายใต้ฝอยละอองฝนอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง
แต่แล้วฝีเท้าชะงักงัน เมื่อทางข้างหน้าคือผาสูงชัน ฝ่าเท้าเปลือยเปล่ายืนอย่างหมิ่นเหม่ ปัดเอาเศษก้อนหินเล็กๆ กลิ้งหล่นไปในความดำสนิทของหุบเหวนั้น ดวงตาเธอโตเท่าที่จะเบิกโตได้เมื่อรู้ว่าเกือบจะพลัดตกลงไปแล้ว
“ทางตันงั้นหรือ?”
ขาเล็กคู่นั้นสั่นด้วยความกลัว เจ้าของเท้าเรียวแข็งเกร็ง ทำใจให้สู้ต่อ ก่อนร่นถอยออกมาได้หนึ่งก้าวย่าง เพื่อประคองร่างที่ยังหายใจหอบถี่ให้ตั้งหลัก พร้อมประคองสติไม่ให้กระเจิง
ในความเลวร้ายยังมีร้ายกว่า เมื่อ 'พระนางเลย่า' เดินยูรยาตรเข้ามาเคียงข้างร่างบางที่ยืนสั่นเทิ้ม รอยยิ้มชวนขนลุกไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกว่าจะมาญาติดีด้วย
ไม่นานที่นางยื่นแขนซีดขาวโผล่พ้นออกมาจากชุดดำสนิท เผยเล็บยาวแหลมสีดำเยี่ยงถ่าน มาลูบไล้เรือนผมเปียเปียกน้ำของเธอช้าๆ ก่อนโน้มตัวมากระซิบที่ข้างหูเธอ
“เจ้าโดนมนุษย์เหล่านั้นหักหลังเข้าซินะ”
นางจับไหล่บางแล้วพยักพเยิดหน้าด้วยท่วงท่าเยือกเย็น ให้คนตัวสั่นเพ่งไปมองที่เบื้องหน้า และรู้สึกได้ถึงการถูกมนตร์สะกดให้ขยับตัวไม่ได้
มีเพียงตาเธอเท่านั้นที่เป็นอิสระ ไม่นานเบื้องหลังฉากมัวสลัว ก็เผยให้เห็นคนโผล่พ้นเงามืดออกมากันทีละคนสองคน จนนับสิบรายได้
พลันชายเหล่านั้นเมื่อพบเธอเข้า ต่างพากันเบรกฝีเท้าชะงักไม่กล้าเข้าใกล้ ดวงตามากคู่ต่างลุกโตด้วยความตระหนก เมื่อเห็นธิดาแห่งเผ่าจันทรายืนแข็งทื่อโดยมีเงาดำร่างสูงสง่าอยู่ด้านหลังเธอด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน และดวงตาที่แดงฉาน
แม้จะมืดสลัวแต่เวทมนตร์ของพระนางเลย่าทำให้เธอเห็นรอยสักสัญลักษณ์นักรบเผ่าสุริยาสะท้อนเป็นแสงปรากฏอยู่ที่ไหล่ทุกราย แม้จะไกลกันราวร้อยเมตร
“นี่มันเรื่องอะไรกัน นักรบจากเผ่านี้อีกแล้ว”
ฟ้าร้องคำราม ผนวกกับแสงแลบสว่างผ่าความมืดออกมาอย่างบ้าคลั่ง เม็ดฝนทยอยหล่นจนหนาเม็ด แต่ก็ชัดพอให้มองเห็นหน้าคนมาทีหลัง ที่แหวกเหล่าพลทหารมายืนยังกองหน้า เพื่อสบตากับเธอ
“เอวา นั่นเจ้า นั่นเจ้าจริงๆ เจ้ามาที่นี่เพื่อช่วยข้า หรือเจ้าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดกันแน่”
มือดำลูบไล้ที่แก้มนวลอย่างเอ็นดู ทว่าไม่ใช่ เพราะทันทีที่นิ้วเรียวลากลงตรงกรอบแก้ม ได้ปรากฏแสงสีเขียวมรกตตามรอยลากยาว ตั้งแต่หน้าผากลงมายังคางมน จนปรากฏเป็นรอยไหม้ดำใหญ่บนใบหน้า ผู้ถูกสาปเนื้อตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว และเจ็บแสบดังไฟรน
เธอขยับตัวไม่ได้ กรีดร้องก็ไม่ได้
มันคือความทรมานที่ไร้เสียง มีเพียงพระนางที่หัวเราะร่า แล้วรำพันเป็นคำมนตร์ดำ
“เจ้าทั้งสองจงเจ็บปวดกับรักครั้งนี้ที่จะไม่มีวันสมหวัง เจ้าจะอยู่ไกลกันคนละโลก ราตรีบนหน้าเจ้าจะไม่มีวันจางหาย จงอัปลักษณ์ไปตลอดกาล หึหึหึ”
นางเป่าไฟสีเขียวที่อยู่บนฝ่ามือขึ้นสู่เบื้องบน แล้วฟุ้งกระจายเป็นวงกว้าง ก่อนร่วงลงมาดังหมอกควันเขียว ปกคลุมร่างกายเธอกับเอวา และนางก็จางหายไป ทำให้เธอหลุดออกมาจากบ่วงมนตร์ดำ แต่กลับอ่อนแรงจนเข่าทรุดฮวบ แทบยืนไม่ได้
ฟ้าผ่าลงมาคล้ายตอบรับคำต้องสาปนี้ หัวใจที่ทำหน้าที่สูบฉีดเหมือนหยุดทำงานกะทันหัน ร่างจึงชาไปทั่ว เธอร่นขาถอยหลังอย่างลืมตัว ทว่าเพียงก้าวเดียวเท่านั้นที่เธอขยับออกมาจากปากเหว และนั่นกลับเป็นก้าวสุดท้ายของเธอ
พรึ่บ!!!
ร่างบางล่วงหงายดิ่งลงสู่อากาศที่ว่างเปล่า สีดำสนิทกลบดวงตาให้มืดบอด ทำให้มองไม่เห็นอะไรแม้แต่ชายคนรัก เอวาผลักทุกคนที่เกะกะออก หวังจะทันฉุดรั้งเธอ จนตนเองเกือบจะหล่นไปพร้อมกัน
“ไอร่า!!”
เอวาร้องตะโกนสุดเสียงจนคอโก่งงอ เขาคงจะหล่นตามเธอไปแล้วหากไม่มีมือหลายคู่ยึดรั้งไว้
ธิดาผู้ต้องสาปตกสู่ห้วงอากาศมืดมิดสุดคาดคะเน ความดันของอากาศที่มากกว่าปกติ ทำให้เจ้าของร่างค้างช็อก เพราะเริ่มรู้สึกถึงแรงบีบอัดขึ้นมา
“ ‘เอริณ’ ตอนนี้เจ้าอยู่ที่ใดกัน ข้าอาจหายไปตลอดกาลแล้วนะ เจ้าคงจะหาข้าไม่พบแล้ว เอิกอั่ก เอือกกก เอวา หากท่านมีเจตนาทำร้ายข้า เกิดใหม่ฉันใดเราก็อย่าได้พบกันอีกเลย”
ก่อนดวงตาจะปิดลง ร่างบางกระตุกเกร็งจากการขาดอากาศ ฉับพลันธาตุอำพันส่องแสงวูบวาบ และเปล่งแสงออกมาเป็นสสารสีเหลืองเข้าคืบคลานแผ่ปรกคลุมร่างของเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า ทำให้คนขาดอากาศกระตุกเฮือกใหญ่อีกครั้ง จากการได้รับออกซิเจน
บรรยากาศสีดำสนิท ถูกประดับด้วยหญิงสาวดุจหนอนน้อยในดักแด้สีทอง ล่องและลอยอย่างเวิ้งว้าง ในชั้นบรรยากาศทางข้ามผ่านมิติของโลกคู่ขนาน
เธอลอยไปเรื่อยๆ ตามแรงดึงดูดของบางสิ่ง กระทั่งมีรูหนอนลึกกลวงรอการมาของผู้หลงทาง ทันใดก็ดึงดูดเอาเธอเข้าสู่รัศมีเกลียวคลื่น ที่เป็นหลุมรูยาวลึกเกินคาดคะเน
นี่คือหลุมอากาศแห่งมิติโลกคู่ขนานทางธรรมชาติ ที่จะมีเพียง 0.00000001 เปอร์เซ็นต์ของโอกาสที่จะมีใครบังเอิญตกลงไปยังช่องนี้ได้ อาจเพราะคำสาปเริ่มสำแดงฤทธิ์หรือเพราะพรหมลิขิตที่ต้องพบเจอ
พรึ่บ!!...............
ฉับพลันร่างเล็กนั้น หลุดทะลุออกจากฟากฟ้าสีครามค่อนไปทางดำลงสู่กลางมหาสมุทรสีครามเข้ม ท้องฟ้าโปร่งระยิบระยับ ประกายแสงจากดวงจันทร์เต็มดวงในคืนวันที่ใกล้โลกที่สุดในรอบปี
ความสูงราวตึกห้าสิบชั้นที่เธอร่วงหล่นลงมา ร่างนั้นจึงจมดิ่งลงสู่ผืนทะเล ลึกลงไป และเหมือนเทพจันทราจะรับรู้ได้ถึงความตายที่ยังไม่ถึงเวลานี้ี้ จึงปลุกเจ้าจันทราตัวจิ๋วให้ออกมาช่วยเธอได้ทัน ตั้งแต่ช่วงตกจากหน้าผานั้น
ภูตจิ๋วพวยพุ่งออกมาจากธาตุอำพันที่เธอสวม เกิดเป็นแสงสีทองประกายเพชรอยู่ใต้น้ำ ปีกเล็กบางดั่งแมลงปอกระพือสุดแรง เพื่อดึงเอาร่างของไอร่าขึ้นสู่น่านน้ำบนโลกที่เธอไม่คุ้นเคย
ในที่สุดก็สำเร็จ
ตัวจิ๋วพุ่งสู่เหนือน้ำด้วยแรงทั้งหมดที่มี พร้อมกับร่างหมดสติของไอร่า และการสลายไปของสสารสีทอง ที่ห่อหุ้มตัวเอาไว้
เจ้าจันทรารู้ดีว่าพลังจำกัดบนโลกนี้ของตัวเองกำลังจะหมดแล้ว จึงเร่งการดึงลากร่างเจ้านายที่ใหญ่กว่าเธอหลายสิบเท่า ให้เข้าขึ้นฝั่งก่อนที่เธอจะทำมันไม่ได้อีกต่อไป
แม้เจ้าจันทราจะเป็นไอเทมศักดิ์สิทธิ์เดียวของไอร่า แต่งานนี้ก็เกินกำลังไปมาก เพราะที่แห่งนี้คือ ‘โลก’ ไม่ใช่ ‘เซแกน’ เจ้าจิ๋วที่ลากร่างหมดสติมาจนถึงหาดทรายขาวบนเกาะร้างอย่างเหน็ดเหนื่อย ก็ทำท่ายกมือปาดเหงื่อที่ไม่มีเลยบนหน้าผาก แล้วขยับปีกน้อยที่บอบบางและฉีกขาดมาลูบคลำอย่างสลดใจ ก่อนจะร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด
สร้อยคอที่ขาดสะบั้นหลุดออกจากคอไอร่า เจ้าจันทราเก็บลากเอามาไว้แนบหน้าคนหลับใหล ก่อนที่เธอจะล้มตัวลงบนแก้มนวลของเจ้านายตัวเอง พลางลูบมือเล็กกระจิดริดไปมาบนใบหน้าที่มีรอยดำอย่างเห็นใจ
เจ้าจิ๋วยันตัวขึ้นนั่งคุกเข่าบนไหล่เปียก สองมือสบประสานแล้วหลับตาอธิษฐานจิต ไม่นานแสงอำพันก็ประกายออกมา เกิดเป็นเม็ดแสงคล้ายหิ่งห้อย ลอยล้อมรอบตัวไอร่า
“แด่เทพีแห่งจันทราบนดาราจักร บัดนี้ลูกหลานท่านได้ต้องคำสาปจากพระนางเลย่าอย่างไร้เหตุผล โปรดช่วยนาง อย่างน้อยแม้จะได้เพียงชั่วคราวที่จะทำให้รอยดำบนใบหน้านี้หายไปในทุกคืนที่จันทร์เต็มดวง ก็ทรงเมตตาด้วยเถิด ข้าที่ไม่อาจทำหน้าที่ได้ในโลกใบนี้ วิงวอนให้นายข้ารู้ภาษาของคนทางนี้เพื่อความอยู่รอด สุดท้ายแล้วแต่พวกท่านจะเมตตา”
เจ้าจันทรากำลังจะตาย ที่ใช้พลังเกินตัวในตอนผ่านช่องมิติออกมา อีกทั้งที่นี่ไม่ใช่ที่ของเธอ ทางเดียวที่จะรอดได้ คือต้องกลับเข้าไปจำศิลอยู่ในอัญมนีธาตุ และไม่อาจรู้วันตื่นได้เลย ร่างจิ๋วประกายเป็นแสงทองระยิบระยับ นางร้องกระซิกอย่างเด็กเจ็บตัว ก่อนจะกลายเป็นลำแสงแสงสีทองวิ่งลงสู่ธาตุเพชรสีอำพันในที่สุด
คืนนี้ที่พระจันทร์โคจรใกล้โลกมากสุดในรอบปี
ชายหนุ่มร่างโปร่งสวมกางเกงเลสีกรมเก่า กับเสื้อยืดบางขาว นั่งอยู่ข้างเต็นท์นอนสีเขียวเข้ม เพื่อเหม่อมองดูจันทร์ที่ตนคลั่งไคล้นักหนา ทว่าภายใต้จันทร์ดวงนั้น มีบางสิ่งประกายวิบวับที่ชายหาดอยู่ลิบๆ จนต้องเอะใจ
แม้แสงคล้ายกลุ่มหิ่งห้อยนั้นจะปรากฏให้เห็นเพียงชั่วครู่ แต่มากพอให้เขาสงสัยว่ามันคืออะไรกันแน่
ชายผู้นั้นจึงอดที่จะเดินไปดูเสียไม่ได้ เมื่อเขาไม่กลัวว่านั่นเป็นอะไรที่อาจไม่ใช่มนุษย์ การที่จะก้าวขาเข้าไปหาจึงเป็นเรื่องไม่ยากเย็น แต่กลับต้องตกใจมากกว่า เมื่อภาพที่เห็นเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน อีกทั้ง
“ผ ผ ผู้หญิงนี่!!!”
ความคิดเห็น