คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Moving of the wheel of fortune
Soul Burn
คนกินวิญญาณ
(all new rewriter)
คมเคียวเกี่ยวกระชากพรากวิญญาณ ทะยานล่องท่องรัตติกาลผลาญฆ่า ล่ากัดกิน
เสียงระเบิดดังสนั่นนจุดระเบิดความโกลาหล พร้อมเปลวเพลิงสีแดงซึ่งลุกไหม้ขึ้นที่ปีกเครื่องบินด้านขวา ทำให้หลายร้อยชีวิตในห้องเครื่องบินโดยสารลำหนึ่งต่างร้องด้วยความหวาดกลัว สภาวะของเครื่องบินที่ควรจะแล่นเลียบไปกลางอากาศกลับเริ่มเอียงเซมากขึ้นเรื่อยๆและดิ่งต่ำลง
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนแม้กระทั้งไม่มีประกาศสถานการณ์จากนักบิน เพราะว่าทั้งนักบินและผู้ช่วยนักบินกลายเป็นศพขาวซีดนอนฟุบคาห้องควบคุมไปแล้ว
ผู้โดยสารหลายคนหวีดรองอย่างสิ้นหวังใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความหวาดกลัว วิ่งไปมาอย่างคลุ้มคลั่งพยายามเอาชีวิตรอด
ฆฤณ(อ่านว่าคินแปลว่าแสงสว่าง) เขากุมเกาะเก้าอี้ที่นั่งเอาไว้แน่นรู้สึกปวดวูปวาบในท้องน้อย ขณะที่เครื่องบินดิ่งลงอย่างรวดเร็ว โอกาสที่จะรอดชีวิตคล้ายแสงเทียนที่จะถูก
ลมพัดให้มลายสูญ ในที่สุดก็เกิดเสียงระเบิดลั่นสะท้าน พร้อมกับแรงปะทะมหาศาล
เครื่องบินทั้งลำหักกลางออกเป็นสองส่วน โชคที่ยังมีอยู่เพียงน้อยนิดทำให้ที่นั่งของฆฤณอยู่ในบริเวณส่วนหัวของตัวเครื่อง ที่อยู่ในลักษณะตั้งตรง เด็กหนุ่มต้องทนมองใบหน้าที่บิดเบี้ยวสิ้นหวังปะปนไปกับเสียงกรีดร้องลนลานเพราะต้องการเอาชีวิตรอด บางคนที่ร่างร่วงถลาผ่านฆฤณไปยังเป็นเด็กอายุไม่ถึงแปดขขวบเสียด้วยซ้ำ
แต่แล้วจู่ๆฆฤณก็รู้สึกหนักวูปขึ้นที่ข้อมือขวา สิ่งที่เป็นภาระะในจิตใจของฆฤณมากที่สุดคือเด็กสาวคนหนึ่ง ฆฤณคว้าจับร่างเธอเอาไว้ได้อย่างบังเอิญ ตอนที่มือขวาของเธอกำลังป่ายสะเปะสะปะไปมาระหว่างที่ร่างร่วงหล่นลงจากที่สูงขณะที่เครื่องบินกำลังหักเป็นสองท่อนกลางอากาศ
มือเด็กหนุ่มคว้ามือเธอไว้แน่น ในสภาพที่ห้อยโยงลงมาโดยมีฆฤณเป็นแหมือนสายเชือกยึดโยงชีวิตเอาไว้ เพราะสิ่งที่รอเธออยู่ด้านล่างของห้องโดยสารคือทะเลเพลิง
เปลวเพลิงลุกไหม้ท่วทะลักเข้ามาในห้องโดยสารกลืนกินเผาร่างของผู้โดยสารหลายคนเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังระงม
เปรี๊ย ปึด!!
ความเลวร้ายกล้ำกลายมาอย่างรู้เวลา สิ่งเดียวที่รั้งร่างของเด็กหนุ่มและเด็กสาวไว้คือสายรัด
ที่นั่งประจำเบาะของเครื่องบิน เพราะว่าสายรัดได้รับความเสียหายและยังต้องรับน้ำหนักของทั้งสองคนที่มากเกินไปจึงขาดร่นขึ้นเรื่อยๆ ฆฤญมองไปยังเด็กสาว สายตาที่เว้าวอนขอชีวิตปรากฏชัดเจน ขณะที่ดวงตาทั้งสองข้างมีระรื่นน้ำตาไหลซึม
“ในโลกบี้มีมี อะไรที่ได้มาเปล่าๆหรอกนะ”
จู่ๆคำๆนี้ก็ก้องขึ้นในสมองของเด็กหนุ่ม ถ้าเขาพยายามปล่อยยมือน้ำหนักก็จะลดลง แถม
ตัวเขาเองยังนั่งผูกอยู่กับเก้าอี้โดยสาร ถึงแม้เครื่องบินจะพุ่งลงโหม่งพื้นโลก เขาอาจะมีโอกาสรอดแม้เพียงน้อยนิดยิ่งกว่ามดแมลงที่กำลังจะจมน้ำ ในขณะที่ความคิดชั่วร้าย
สับสนหลายสายตีกันมากมายในสมองของฆฤณ
ทันใดนั้นเองสัญชาติบางอย่างกลับสะกิดฆฤณจนเกิดความสงสัย สายตาของเด็กหนุ่ม
ถูกความรู้สึกซึ่งไม่รู้ที่มาดึงดูดให้เหลียวมองไปยังห้องโดยสารฝั่งขวา
ร่างของผู้โดยสารหลายคนบิดเบี้ยวร้องด้วยความทรมาน ปลิวกระเนออกจากห้องโดยสารตามรอยแตกของเครื่องบินเป็นผลของสภาวะลมดูด จนเหลือเพียงหญิงสาวคนหนึ่งเปลวเพลิงที่ลามทะลักเข้ามาอย่างรวดเร็วม้วนกลืนร่างของผู้หญิงคนนั้น เมื่อเพลิงบางส่วน
มอดลง คงเหลือไว้เพียงซากร่างไหม้เกรียมที่ส่งควันคลุ้ง
แต่ภาพร่างที่ทำให้นัยน์ตาของเด็กหนุ่มเบิกกว้างอย่างหวาดกลัวสุดชีวิต ก็คือร่างของผู้หญิงชุดขาวยาวขาดรุ่งริ่งอีกคนหนึ่งที่ใช้มือบีบเค้นที่ลำคอของร่างที่ไหม้เกรียมเอาไว้ ในสภาพที่กำลังยืนกลับหัวลงมาจากเพดานห้องโดยสารเครื่องบิน!!!!!
โดยที่ร่างกายของหญิงสาวที่สวมเสื้อขาดรุ่งริ่งไม่เอียงเซ หรือขยับแม้แต่นิดเดียว ทั้งๆที่ห้องโดยสารของเครื่องบินกำลังพุ่งลงจากกลางอากาศก่อนจะโหม่งโลกในอีกไม่ถึง
สามกิโลเมตร และฉากสยองชวนอาเจียนก็เกิดตามมาอย่างที่ฆฤณไม่คาดคิดมาก่อน
ในชีวิติต
ร่างที่สวมเสื้อผ้าขาวขาดรุ่งริ่ง บิดสะบัดหัวที่ไหม้เกรียมของหญิงสาวที่ตนเองบีบลำคอเอาไว้ออกมาทิ้งส่วนลำตัวปลิวลงไป เธอมองศีรษะที่ไร้ลำตัวแล้วราวกับของมีค่าที่สุดในโลก แสงอาทิตย์อัสดงที่ส่องลอดเข้ามาทางช่องแตกของห้องเครื่องบิน ทำให้ฆฤญเห็น
ทุกเหตุการณ์อย่างชัดเจน
เลือดในร่างของเขาแทบผนึกแข็งค้าง ตรงกันข้ามกับหัวใจที่เต้นสั่นระรัวฟาดกระแทกเข้าใส่ซี่โครงราวกับจะหลุดออกมาจากหน้าอก แล้วเหตุการณ์เลวร้ายขั้นต่อไปก็ประจักษ์กับสายตาฆฤญ
เมื่อร่างที่สวมเสื้อขาวขาดรุ่งริ่งดอมดมศีรษะที่ขาดไหม้เกรียมราวกับเป็นอาหารอันโอชะ เธอเริ่มเลียไล้ไปบนศีรษะก่อนจะฝังเขี้ยวกัดกระชากดึงเอาผิวหน้าไหม้เกรียมหลุดออกมาเป็นแผ่นๆจากศีรษะก่อนจะเคี้ยวกินอย่างมีความสุข
เหตุการณ์วิปริตก็เกิดขึ้นไปเรื่อยๆ จนในที่สุดตอนนี้ศีรษะที่ไหม้เกรียมเหลือเพียงกล้ามเนื้อแดงสดใต้ผิวหนัง
“หมดล่ะ”
หญิงสาวในชุดขาวยาวขาดรุ่งริ่งเอ่ยเสียงเรียบๆ ก่อนจะควักลูกนัยน์ตาข้างขวาของศีรษะไหม้เกรียมมาหยอดหย่อนเข้าปาและเคี้ยวๆอย่องเอร็ดอร่อย
สภาวะการหายใจของฆฤญและเด็กสาวในตอนนี้อยู่ในขั้นหอบหายใจอย่างรุนแรง แต่ทั้งคู่พยายายามสะกดกลั้นเอาไว้เพราะตลอดเวลาที่มันกำลังประกอบการกินวิตถาร ร่างในชุดสีขาวยาวขาดรุ่งริ่งไม่ได้สนใจพวกเขาเลย
เพียงแค่ทั้งสองเด็กหนุ่มและเด็กสาวมองตากัน โดยไม่ต้องเอ่ยปากพูดแต่ทั้งเขาและเธอยอมรับสภาพเป็นศพจากสาเหตุการตายจากเครื่องบินตก ดีกว่าถูกกัดกินจนศพไม่สมประกอบกลายเป็นเพียงซากก้อนเนื้อสยอง
ตอนนี้เหลือความสูงไม่ถึงสองกิโลเมตร ก่อนที่เครื่องบินจะกระแทกเข้าสู่พื้นโลก
เมื่อทั้งคู่มีความคิดไปในทิศทางเดียวกัน มือที่กุมจับของทั้งสองยิ่งแนบแน่นเข้าหากันอีก
คำว่า “ตาย”ตอนนี้เป็นแค่เรื่องเล็กๆที่น่าขำ
“กรี๊ดดดดดดดดดด”
เสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นดึงความสนใจให้ฆฤณใหัไปมอง ภาพที่เห็นทำเอาหัวใจของชายหนุ่มแทบหยุดเต้น เพราะร่างในชุดสีขาวขาดรุ่งริ่ง กำลังเกาะอยู่ที่ข้อเท้าข้างขวาของหญิงสาว พลางแสยะยิ้มสยองเมื่ออยู่ในระยะใกล้จึงทำให้ฆฤณเห็นว่าใบหน้าและผิวกายของมันซีดขาว
ตามร่างที่ผอมแห้งกรังชอนไชไปด้วยเส้นเลือดปูดโปนราวกับหนอนตัวยาวใหญ่
ซึ่งกำลังชอนไชขยับเคลื่อนไหวไปมาใต้ผิวหนังของมัน
“ออกไป บอกให้ออกไปไงเล่า!!!!”
หญิง่สาวดิ้นรน ทั้งถีบกระแทกทั้งสะบัดขา ใบหน้าน่ารักบิดเบี้ยวไปด้วยความหวาดกลัว แต่เธอกลับไม่สมารถสมารถสัมผัสกับร่างของมันได้ ขาของเธอจะลอยวูปผ่านร่างของมันไป
“นี่อยากรู้ไหมทำไมข้าถึงกินวิญญาณมนุษ์ที่ร่างไหม้เกรียมคนั้น ความอร่อยไงล่ะ ความอร่อยจากความสิ้นหวัง
เจ็บปวดทรมาน ทุรนทุรายพยายามเอาชีวิตรอด สิ่งเลวร้ายทุกอย่างที่ผนึกเข้าด้วยกันในแก่นของวิญญาณ มันก็เหมือน
การบ่มเหล้าดีๆขวดหนึ่ง แต่ข้าก็ไม่เคยปฏิเสษวิญญาณสดใหม่แบบแกด้วยนะ”
มันกรีดร้องด้วยเสียงแหบโหยบ้าคลั่ง ก่อนจะฉีกปากกว้างจนยาวขาดไปถึงหู ถอดกลามออกคล้ายงูที่กำกังจะแขมือบ
เหยื่อ
“พล่ามอะไร ใครอยากรู้วะ”
เสียงของฆฤณดังขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือเสียงปะทะดังสนั่น หัวของร่างในชุดขาวบิดเบี้ยวสะบัดหันกลับไปในลักษณะผิดสารรูป หัวของมันถูกเด็กหนุ่มแตะจนเบี้ยวสะบัดหันกลับไปทางด้านแผ่นหลัง
เสียงร้องโหยหวนด้วยความแค้นของร่างในชุดขาวก้องสะท้อน มันบิดหัวที่ถูกแตะกลับมาอย่างช้าๆพร้อมด้วยเสียงกระดูกที่ลั่นกราว สายตาอาฆาตลุกวาวมองเขม็งไปยังฆฤณอย่างแค้นคลั่ง
“ข้าจะกินแก แก่นวิญญาณของแกต้องดับสูญไปตลอดกาล” มันพ่นคำอาฆาตเข้าใส่เด็กหนุ่ม
หญิงชุดขาวพูดพลางใช้สายตาแค้นคลุ้มคลั่งมองเขม็งไปที่ฆฤณ
มันพุ่งตัวขึ้นไต่ผ่านร่างของเด็กสาวที่ตนเองกำลังจะกินเมื่อครู่ ปากของมันถูกฉีกกว้างออกในลักษณะสยดสยองด้วยเจตาต้องการฆ่ากินเด็กหนุ่ม
“เอานี่ไปกินก่อนเหอะ”
ฆฤณพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆแต่แฝงไปด้วยความเหี้ยม เขายกเท้าขึ้นสูง ก่อนจะตอกกระแทกส้นเท้าเข้าใส่กลางหัวของร่างในชุดขาวจนจมยวบลง ลักษะไม่ต่างอะไรกันกับท่อนไม้ที่กำลังถูกขวานผ่า
“โพล๊ะ!!!”
เสียงกะโหลกของร่างในชุดขาวลั่นกราว กลางหัวของมันถูกส้นเท้าของฆฤณสับจนแยกออกเป็นสองส่วน ทำให้เนื้อสมองแดงสดที่กลายเป็นเศษไหลทะลักออกมาจากกะโหลก พร้อมกับหยาดเลือดแดงสดที่พุ่งกระฉูดสาดคละคลุ้งไปทั่ว
ร่างของมันหยุดการคุกคามฆฤณ ร่วงในชุดขาวถลาลงสู่ห้องโดยสารส่วนล่างที่เต็มไปด้วยเพลิงลุกไหม้ แต่สิ่งที่สร้างความสงสัยให้กับเด็กหนุ่มก็คือ ร่างในชุดขาวกลับหัวเราะมนหัวเราะด้วยเสียงแหลมสูงเสียดประสาทคลุ้มคลั่ง
ตอนนี้เหลือระยะทางจากน่านฟ้าอีกไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร ตัวเครื่องบินจะปะทะพื้นโลก!!
รอยยิ้มคือสิ่งปรากฎบนใบหน้าของทั้งเด็กหนุ่มและเด็กสาว ความตายคือสิ่งทีทั้งคู่ไม่นำพาอีกต่อไป แต่ทันใดนั้นคิ้วทั้งสองข้างของฆฤณพลันขมวดเกร็งเข้าด้วยความสงสัย
“ให้มันเกี่ยวกระหวัดสิ ให้มันชำแรกแทรกผ่านดูดดื่มและกลืนกิน”
ประโยคนั่นคือเสียงที่เขาได้ยินจนความสงสัยกระแทกใส่สมอง แต่ในวินาทีที่ความตายใกล้มาเยือนฆฤณคิดว่าเขาคงหูฝาดไปเพราะความรู้สึกต่างๆนาๆที่ผสมปนเป กันจนทำให้เกิดประสาทหลอน หรืออาจจะเกิดขึ้นเพราะแรงลมจากการที่ร่างกายดิ่งวูบจากความสูงอย่างรวดเร็ว
แต่ความประหลาดก็คือเสียงนี้ดังซ้ำแล้วซ้ำเล่าเข้าสู่สมองโดยตรง ไม่ใช่ทางโสตประสาท
“โอ๊ยยยย หยุด หยุดพูดเดี๋ยวนี้”.ฆฤณตะโกนลั่นขณะที่ใบหน้าเบี้ยวบิด อาการเจ็บแล่นแปลบปลาบไปมาในศีรษะ
“จะเกี่ยวกระชาก จะแทงจะฆ่าใครก็ตามใจหยุดพูดเดี๋ยวนี้!!!!!” ฆฤณตะโกนออกไปโดยไม่คิดขอเพียงอย่างเดียวให้เสียงที่ก้องเสียดประสาทอยู่ในหัวหยุดลง
ทันใดนั้น แหวนเหล็กที่ลงลายอักขระแปลกประหลาดซึ่งเขาสวมไว้ที่นิ้วโป้งมือข้างซ้ายพลันสั่นสะท้าน เสียงซ้ำๆประโยคเดิมหยุดลง กลายเป็นเสียงหัวเราะแหบห้าวทุ้มต่ำที่แทรกไปด้วยควสามพอใจ
“เฮ้ย”
ฆฤณอุทานลั่นนันย์ตาทั้งสองข้างแสดงอาการตระหนก เมื่อพบว่ามีเศษชิ้นส่วนเครื่องบิน
ที่ถูกระเบิดออกกำลังพุ่งตรงมาที่พวกเขาทั้งสองคน ความคิดจะหลบไม่มีในสมอง เพราะสภาพที่เป็นอยู่ก็เลวร้ายเกินพอ เมื่อเศษเครื่องบินข้ามาใกล้จึงทำให้เห็นว่ามันคือเศษเครื่อง
บินส่วนปีกที่มีขนาดกว้างพอสมควร
ในที่สุดเศษเครื่องบินก็พุ่งเข้ามาถึงตัวเด็กหนุ่มและเด็กสาว ทั้งสองมองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสายตาลนลาน แต่ไม่ว่าจะเป็นไปด้วยความบังเอิญหรือปาฏิหารย์ เศษเครื่อง
บินส่วนปีกที่ถูกแรงระเบิดฉีกจนขาดออกเป็นแฉกแหลมเกี่ยวกระหวัดเข้าที่ชายกระโปรงของเด็กสาว ทำเอานัยน์ตาของเธอเบิกกว้างด้วยความตกใจ
แรงกระชากทำให้สายรัดเบาะโดยสารพื่อความปลอดภัยบนร่างฆฤณฉีกขาด กระชากเอาร่างของทั้งสองคนที่กำลังจับมือกันแน่นร่วงหล่นลงมาบนปีกเครื่องบินที่กำลังพุ่งไปกลางอากาศอยู่ห่างจากพื้นโลกแค่ไม่ถึงยี่สิบเมตร
เด็กหนุ่มสาวทั้งสองคนหมอบตัวลงจับยึดปีกเครื่องบินที่กำลังพุ่งไปข้างหน้าในลักษณะที่กำลังลดตัวลงต่ำสู่พื้นเอาไว้แน่น จนในที่สุดปีกเครื่องบินก็ตกลงไถลไปกับพื้นดิน แรงกระแทกในระดับความสูงเกือบยี่สิบเมตร แรงกระแทกทำให้ร่างทั้งคู่กลิ้งตลบแยกจากกันไปคนละทาง
ร่างของฆฤณกลิ้งตลบหมุนคว้าง ภาพที่ถ่ายทอดเข้ามาในสายตาที่เห็นไม่ต่างอะไรกับการโดนจับขาทั้งสองข้างแล้วจับร่างวาดเหวี่ยงเป็นวงกลม ทั่วทั้งตัวของเขาเจ็บแปลบปลาบ
ทั้งกระอักทั้งจุก
ในที่สุดสภาวะกลิ้งตลบก็หยุดลง ฆฤณนอนแผ่แน่นิ่งในสภาพนอนหงาย ขณะนี้รัตติกาลเข้ามาครอบครองท้องฟ้งแล้ว บนท้องฟ้ามืดเต็มไปด้วยดวงดาวพราวแสงที่ไร้จันทร์
เด็กหนุ่มพยายามปรับสภาพที่กำลังหอบหายใจหนักให้สงบลง
เขาสำรวจไปทั่วร่างกายที่อาบชุ่มไปด้วยเลือดและแผลถลอกของตนเอง เมื่อความหวาดกลัวหายไปสติจึงดึงความเจ็บที่ควรจะรับรู้เข้ามาแทนที่ ใบหน้าของเด็กหนุ่มกระตุกเพราะพยายามอดทนความเจ็บปวดทั่วร่าง
แต่จู่ๆพลันเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้น ดึงความสนใจให้ฆฤณหันไปมองตามทิศทางของเสียง เด็กหนุ่มพบว่าเครื่องบินที่ตกกระแทกพื้นแทบจะพร้อมๆกับเขาระเบิดซ้ำอีกครั้ง
กลายเป็นดวงไฟลูกใหญ่ลุกโชน
เศษซากเครื่องบินปลิวกระเด็นไปทั่วทิศทางจนฆฤณต้องพลิกตัวหมอบลงกับพื้นถึงแม้เขาจะอยู่ห่างจากจุดระเบิดเกือบร้อยเมตร แล้วความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในสมองของฆฤณ
แล้วเด็กผู้หญิงที่ประสบชะตากรรมเดียวกับเขาล่ะ เธอจะบาดเจ็บมากแค่ไหน ปลิวกระเด็นไปไกลหรือเปล่า แต่ไม่ต้องเอ่ยปากจากความคิดพลันมีเสียงเรียกดังขึ้น
“นี่คุณเสื้อดำ เป็นอะไรไหม นี่ฉันอยู่นี่” เธอตะโกนเรียกเพราะทั้งคู่ไม่มีเวลาแนะนำตัวกัน
สิ่งเดียวที่เธอจำได้คือฆฤณสวมเสื้อสีดำ
“นี่ผมอยู่นี่” ฆฤณเห็นเธอเดินมาในระยะไกลๆจึงตอบกลับพลางซวนตัวลุกขึ้นยืน แต่ทันทีที่ลงน้ำหนักตัวไปยังขาซ้ายความเจ็บปวดก็แล่นปลาบขึ้นมาตั้งแต่ข้อเท้าทำเอาฆฤณต้องกัดฟันข่มความเจ็บประคองตัวให้ยืนไหว เมื่อเด็กสาวเห็นสภาพสะบักสะบอมของอีกฝ่ายจึงรีบเดินเร็วๆเข้ามาเพราะเธอบาดเจ็บน้อยกว่ามาก
“แน่ใจนะ รีบส่งสัญาณให้คนมาช่วยเถอะ” เธอพูดพลางประคองเด็กหนุ่ม เพราะสภาพที่เธอเห็นฆฤณเป็นอยู่แค่ประคองสติไว้ได้ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
ทั้งคู่พยายามร้องตะโกนลั่นแต่ไร้การตอบกลับ เพราะบริเวณที่ทั้งคู่อยู่เป็นทุ่งหญ้าโล่งกว้าง
จึงมีเพียงเสียงสะท้อนที่ตอบกลับมา
“โอ๊ยยยย”
ฆฤญร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดที่สุดจะกลั้นเอาไว้ได้ ทำเอาเด็กสาวที่กำลังพยุง
ฆฤณเอาไว้ถูกกระชากล้มลงไปด้วย เขายกมือกุมไปยังขาข้างซ้ายของตนเองกัดฟัน
แน่นจนเส้นเลือดปูดโปนขึ้นบนขมับ ยายายามสะกดความเจ็บเอาไว้เพราะกลัวอีกฝ่าย
จะกังวล
“ขา ขาคุณหักนี่”
เด็กสาวพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก เธอลูบไปบนขาอย่างแผ่วเบาเพื่อหาจุดที่ได้รับบาดเจ็บ
อย่างช้าๆ
“คุณเป็นหมอ?
เด็กสาวยิ้มน้อยๆก่อนจะตอบ
“คุณพ่อของฉันเองค่ะที่เป็นหมอ พ่อจึงมักจะสอนนิ่มเสมอเรื่องการแพทย์ง่ายๆ”
ฆฤณพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะเอ่ยต่อ
“ชื่อนิ่มน่ารักดีนะครับ ผมฆฤณนะ”
เด็กหนุ่มแนะนำตัวกลับพร้อมรอยยิ้มที่ฝืนความเจ็บปวดเอาไว้
“ชื่อฆฤณก็เพราะดีนะคะ ไม่เคยได้ยินมาก่อนก่อนแปลว่าอะไรเหรอ”
แต่จู่ๆเด็กสาวก็หยุดพูดพลางอุทานออกมาด้วยความตกใจ เพราะว่าขาข้างที่หักของเขาอาบชุ่มไปด้วยเลือดแดงสดที่ไหลออกมาจากปากแผลมากกว่าเดิม นิ่มรีบคว้าแขนมาเพื่อวัดการเต้นชีพจรของเขา ชีพจรของเด็กหนุ่มเต้นแผ่วมากจนแทบจะสัมผัสไม่ได้ ใบหน้าและริมฝีปากกลายเป็นสีขาวซีด
หากไม่หาวัสดุอะไรก็ได้ที่เหมาะสม มาพันแผลหรือห้ามเลือดในที่สุดคงจะเสียเลือดจนตาย
นิ่มผลุนผันหันหันหลังกลับวิ่งออกไปทันที
“นิ่มจะไปไหน ผม ผมเจ็บมากนะช่วยด้วยสิ”
“ก็กำลังจะช่วยอยู่นี่ไงเล่า แถวนี้ไม่มีเศษไม้ที่ใช้ดามขาหรือผ้าที่จะห้ามเลือดได้เลยสักผืน ฉันต้องรีบไปหาบริเวณรอบๆ”
“ระวังตัวด้วยนะเครื่องบินอาจจะยังไม่หยุดการระเบิด เขาตะโกนไล่แผ่นหลังของเด็กสาวที่กำลังวิ่งห่างออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะคิดคาดเดาว่าบริเวณที่เครื่องบินตกคงจะมีของที่เธอ
ต้องการที่หลงเหลือจากสัมภาระของผู้โดยสารคนอื่นๆ ซึ่งตกเกลื่อนอยู่บริเวณโดยรอบจุดที่เครื่องบินตก
ความเจ็บปวดที่แล่นจากจุดที่บาดเจ็บ ทะลวงไปทั่วกระแสประสาทการรับรู้ของฆฤณ
เด็กหนุ่มพยายามสะกดกลั้นความเจ็บเท่าที่จะฝืนไหว เขาฉีกขากางเกงข้างซ้ายออกเป็นแนวยาวก่อนที่จะใช้มันมัดเป็นปม เหนือปากแผลฉีกขาดที่ใหญ่ที่สุดเพื่อห้ามเลือดที่กำลังไหลโชกชุ่มแดงฉานอาบไปทั่วขา
แต่ทุกการกระทำเป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะมือทั้งสองข้างของฆฤณไม่มีแรงแทบจะยกด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มหอบหายใจหนักๆในลักษณะกระชั้นสั่นขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่สภาวะเสียเลือดทำให้ความหนาวแทรกเสียดไปทั่วร่าง
ภายในสมองหมุนคว้างอย่างประหลาดภาพที่มองเห็นพร่ามัววูบไหวไปมา เด็กกหนุ่มไร้แรงอีกต่อไป เขาทิ้งตัวลงบนผืนหญ้านอนหงายมองดวงดาวที่พร่างพราวเต็มท้องฟ้ายามรัติกาล
ที่ไร้ดวงจันทร์
แต่จู่ๆกลับมีความคิดหนึ่งในสมองของฆฤณที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เขา-ไม่-อยาก-ตาย อีกต่อไป ความตายที่เตรียมใจยอมรับเมื่อหลายนาทีก่อนกลายเป็นความต้องการเอาชีวิตรอดแทน
อายุของเขายังน้อย มีหลายๆเรื่องที่อยากทำ เขาสอบติดคณะแพทย์ศาสตร์ในมหาวิทยาลัยที่ตนเองอยากเรียน เขายังอยากทำในอีกหลายๆเรื่อง ในใจของฆฤณตะโกนก้องว่าไม่อยากตาย ไม่อยากตาย ไม่อยากตายซ้ำแล้วซ้ำอีก
เด็กหนุ่มหันศีรษะไปมาพยายามมองหาคนที่จะมาช่วยเขาได้ นิ่มอยู่ไหนเธอจะกลับมาทันไหมก่อนที่ความตายจะมาพรากชีวิตของเขาไป อาการร้อนใจทำให้เด็กหนุ่มซวนตัวลุกขึ้นนั่งในท่าทางเหยียดขาไปด้านหน้า เพราะจะทำให้ทัศนวิสัยของเขากว้างขึ้น สามารถมองเห็นได้ใกลขึ้น
แต่ไม่ว่าจะกี่นาทีผ่านไปเขาก็ไม่เห็นวี่แววของความช่วยเหลือที่จะมาถึง ทั่วร่างมีเพียงความมืดล้อมรัด ขณะเดียวกันชีพจรของเด็กหนุ่มเต้นช้าลงเรื่อยๆ ความหนาวเย็นจากอาการ บาดเจ็บเสียดแทรกเข้าไปถึงกระดูก
แต่แล้วฆฤณก็สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกจนสะดุ้งไปทั้งร่าง เขาแยกออกว่ามันไม่ใช่ความเย็นยะเยือกที่เกิดจากอาการบาดเจ็บซึ่งกำลังเป็นอยู่ ทันใดนั้นฆฤณพลันรู้สึกเย็นวาบ
ที่แผ่นหลัง ก่อนที่ความเย็นยะเยือกจะสลับที่จากด้านหลังมาประจันหน้ากับฆฤณอย่างรวดเร็วในระยะห่างแค่ฝ่ามือ
“ไม่อยากตายแล้วเหรอ? การมีชีวิตอยู่ต่อไปมันคงหอมหวานมากกว่าสิใช่ไหม?”
แล้วเจ้าของประโยคก็แผดเสียงแหลมสูงหัววเราะโหยหวนดังลั่น
“แกไอ้ชั่ว เด็กหนุ่มตะโกนลั่นเพราะเจ้าของคำถามคือหญิงในชุดขาวที่อยู่ในสภาพสยองกว่าเดิม หัวของมันที่โดนฆฤณเตะผ่า จนแยกเป็นสองซีกฉีกยาวจากกึ่งกลางหัวฉีกขาดเกือบถึงริมฝีปากบน ทำให้หัวของมันเปิดอ้าออกตลอดเวลา
เศษมันสมองของมันจึงย้อยหยด ลงมาพร้อมหยาดเลือดแดงสดที่ไหลอาบใบหน้าของมันลงมาตลอดเวลา
“ทำไมแกถึงแตะต้องฉันได้ ทำไมแกถึงทำร้ายฉันได้?”
ถึงแม้ฆฤณจะบาดเจ็บสาหัสอยู่ในสภาพที่สติพร้อมจะหลุดตลอดเวลา แต่มุมปากของเด็กหนุ่มกกลับปรากฏรอยยิ้มหยามขึ้น
“ก็แกมันหน้าแย่ไง เลยศัลยกรรมให้นิดหน่อย”
เด็กหนุ่มพูดพลางเปล่งเสียงหัวเราะถึงแม้จะเป็นเสียงหัวเราะที่มาพร้อมกับความเจ็บปวดแต่ฆฤณกลับสาสมใจอย่างบอกไม่ถูก
“โอ๊กกกกกก”
ฆฤณร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เพราะร่างของเขาบริเวณช่องท้องกลางลำตัว
ถูกหญิงชุดขาวใช้เศษซากของเครื่องบินที่เป็นแท่งเหล็กแหลมแทงเข้าที่หน้าท้อง
ทะลุออกไปถึงแผ่นหลัง แล้วมันก็กระชากร่างของเด็กหนุ่มที่ถูกเสียบคาอยู่กับ
แท่งเหล็กชูขึ้นกลางอากาศ
“ตอนนี้จิตใจของแกไม่เหมือนเดิมแล้ว เรื่องที่ถามไปน่ะช่างมันเถอะ เพราะยังไงตอนนี้แก่นวิญญาณของแกก็ต้องถูกดูดกลืนอยู่ดี”
ฆฤณไอกระอักออกมาเป็นหยาดเลือดแดงสดสาดกระจาย ทว่ารอยยิ้มยังประดับอยู่ที่
มุมปากเพราะไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้คำพูดของร่างในชุดขาวทำให้เขา นึกอะไรบาง
อย่างออก
“ทำไมแกถึงแตะต้องฉันได้ ทำไมแกถึงทำร้ายฉันได้?”
นั่นคือประโยคที่สร้างความสงสัยในใจฆฤณ ในเมื่อเขาสามารถแตะต้องทำร้ายมันได้
ทำไมจะไม่ลองอีกครั้งล่ะ ความสิ้นหวังกลายเป็นความบ้าระห่ำ เขารู้ตัวดีว่าในสถานการณ์
ที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้ความตายเป็นสิ่งที่ตนเองหลีกหนียังไงก็ไม่พ้น
คำว่าสติยั้งคิดจึงถูกโยนทิ้งไปเพราะมันกลายเป็นสิ่งไร้ประโยชน์
ฆฤณร้องคำรามลั่นราวกับสัตว์คลั่ง ความเจ็บปวดจากบาดแผลสาหัสบนร่างเหมือนมีอะไร
บางอย่างระงับยับยั้งไว้ เพราะอยู่ในสภาพที่ถูกแท่งเหล็กเสียบร่างยกไว้กลางอากาศ
เด็กหนุ่มจึงใช้มือทั้งสองข้างจับไว้ที่แท่งเหล็กซึ่งกำลังแทงทะลุร่างตนเอง
เขาใช้มือทั้งสองข้างออกแรงดึง พร้อมโถมน้ำหนักตัวทั้งหมดผลักแท่งเหล็กให้เสียบร่างของเขาลึกขึ้นจนร่างร่วงลื่นไถลลงมาตามแท่งเหล็กที่ร่างในชุดขาวถืออยู่ เลือดแดงสดซึ่งไหลอาบแท่งเหหล็กกลายเป็นสารหล่อลื่น ที่ทำให้ร่างของเด็กหนุ่มเข้าไถลใกล้ร่างในชุดขาวได้เร็วขึ้น
ความเจ็บปวดที่หายไปชั่วคราวกลับมา เข้ากัดกินทุกอณูในร่างเด็กหนุ่ม เขาร้องคลุ้มคลั่งความเจ็บปวดสาหัสที่ควรจะทำให้สติดับไปแล้วแต่มีความคลั่งค้ำเอาไว้ไม่ให้เด็กหนุ่มหมดสติหรืออาจจะตายไปแล้วด้วยซ้ำ ทุกการกระทำบ้าระห่ำของฆฤณยิ่งทำให้แหวนที่เขาสวมอยู่บนนิ้วโป้งข้างซ้ายสั่นเร็วรุนแรงเหมือนมันกำลังพอใจในอะไรบางอย่าง
“จับได้แล้ว” ฆฤณเอ่ยพร้อมรอยยิ้มอำมหิตที่มุมปากขณะที่ใช้มือซ้ายบีบเค้นเข้าที่ลำคอของร่างในชุดขาว
หวาดกลัว คือความรู้สึกแรกที่ร่างในชุดขาวรับรู้ ขณะที่เผชิญหน้ากับฆฤณในระยะประชิด
ขณะที่ฆฤณกระชากแท่งเหล็กที่แทงทะลวงร่างตนเองออก นัยน์ตาทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มสาดประกายมืดดำอำหมิต ราวกับว่าเขากำลังจะกัดกินเธอ
ฆฤณที่อยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัสเจียนตาย ทั้งร่างอาบโชกไปด้วยเลือดแดงสดที่ไหลทะลักออกมาจากปากแผลกลางลำตัว ยืนโอนเอนไปมาราวกับไร้เรี่ยวแรง สมองและความคิดต่างๆตีกันสลับสับสนวุ่นวาย แต่มือข้างที่บีบจับลำคอของร่างในชุดขาวยังแน่นราวกับ
คีมเหล็ก
“เหี่วงวาดมันสิ ให้มันชำแรกผ่านให้มันได้ดูดดื่มกลืนกิน”
เสียงที่ฆฤณได้ยินครั้งแรกขณะที่เครื่องบินตก ดังก้องขึ้นมาในสมองของเด็กหนุ่มอีกครั้ง
แต่สภาวะการณ์ในตอนนี้ต่างกัน เด็กหนุ่มอยู่ในสภาพที่แทบจะไร้สติภาพที่มองเห็นก็พร่ามัววูบไหวไปมา สภาพของฆฤณตอนนี้เหมือนตกอยู่ในภวังค์ฝัน
แหวนที่เด็กหนุ่มสวมอยู่บนนิ้วโป้งข้างซ้ายยิ่งสั่นแรง มือของฆฤณเขย่าไปทั้งมือ จนในที่สุดแหวนก็กร่อนสลายเป็นไอควันสีดำทึบ คลุ้งฟุ้งกระจายไปกลางอากาศ รายรัดรอบตัว
ฆฤณ ไอควันสีดำผนึกควบรวมตัวเข้าด้วยกัน กลายเป็นเคียวยาวเล่มหนึ่งที่ปรากฏขึ้นในมือซ้ายของเด็กหนุ่ม
คมเคียวโค้งยาวราวกับจันทร์เสี้ยว สาดสะท้อนแสงดาวเปล่งประกายวาววับคมกริบ ด้ามเคียวยาวเป็นสีดำสนิทมีความยาวพอๆกับส่วนสูงของฆฤณ เด็กหนุ่มมองเคียวยาวในมือด้วย
ความรู้สึกหลงใหลราวกับโดนมนตร์สะกด
แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกถึงอาการคลั่งที่มากขึ้นเรื่อยๆ โกรธ เกลียด แค้น ริษยา อาฆาต
เหมือนอารมณ์ในด้านลบทุกอย่างจะมาสุมรวมอยู่ในจิตใจของเขา เด็กหนุ่มสั่นสะท้านไปทั้งร่างกล้ามเนื้อทั่วร่างเกร็งกระตุกปูดโปน เหมือนเด็กหนุ่มกำลังจะควบคุมร่างกายตนเองไม่ได้ ทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้นจากคำสั่งของสมอง แต่ขับเคลื่อนด้วยสัญชาติญาณ
ร่างในชุดขาวมองไปยังฆฤณที่กำลังหอบหายใจถี่หนักส่งเสียงคำรามคล้ายสัตว์ป่าดุร้ายหมายฆ่าเหยื่อ
“แกเป็นตัวอะ.....”
ประโยคสุดท้ายยังไม่ทันได้หลุดพ้นริมฝีปากของร่างในชุดขาว ฆฤณกระชับเคียวยาวเป็นแนวขวางตวัดฟันเข้าที่ลำคอของมันอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มคว้าเอาหัวที่โดนผ่าออกเป็นสองซีกของมันมาถือไว้ ขณะที่ร่างของมันยังไม่ล้มลงด้วยซ้ำแสดงให้เห็นถึงความเร็วของเขา
ในการตวัดฟัน
ฆฤณกระชากหัวที่เกือบถูกผ่าออกเป็นสองส่วนทิ้งไปซีกหนึ่ง ส่วนอีกหัวอีกซีกเขายกมันขึ้นกลางอากาศ แหงนหน้าอ้าปากรับเอาหยดเลือดที่ไหลหยดลงมาจากหัวของมัน เลือดแต่ล่ะหยดที่ไหลผ่านปากเข้าสู่ร่างทำให้เด็กหนุ่มรับรู้ได้ถึงพลั0งานแปลกประหลาดที่ไหลเวียนไปทั่วร่าง
เลือดแต่ล่ะหยดที่ดื่มกินเข้าไปเติมเต็มทั้งความหิวและทำให้เกิดความหฤหรร แต่เหนือสิ่งอื่นใดเขารู้สึกว่าเลือดแต่ล่ะหยดนั้นอร่อย!!! อร่อยมากกว่าอาหารชนิดใดๆก็ตามที่เขาเคยกินมาในชีวิตนี้ เลือดบางส่วนที่ไม่ไหลหยดลงในปากแต่หยดลงบนใบหน้าแทน
ฆฤณถึงขั้นเอามือป้ายหยดเลือดเหล่านั้นเข้ามาในปากจนตอนนี้ใบหน้าของเด็กหนุ่มอาบชุ่มแดงฉานไปด้วยเลือด แต่แล้วจู่ๆซากร่างของหญิงชุดขาวก็ค่อยๆกร่อนสลายเป็นไอควันสีดำ
เวียนกระหวัดไปมาและในที่สุดก็ถูกดูดดึงเข้าสู่เคียวยาวที่ตนเองถือเอาไว้
ฆฤณรู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาเองก็ได้เสพย์รับพลังงานแต่ไม่มากและไม่ดีเท่าสิ่งที่เขาทำโดยตรง จู่ๆเคียวยาวในมือของฆฤณก็สั่นระริกขึ้นมา โดยไม่ต้องผ่านการคิดไตตร่ตรอง
จากสมอง ฆฤณรู้ทันทีว่าว่าเคียวเล่มนี้ยังกินไม่พอ มันอยากกินอีกเสพย์รับอีก
“พอก่อนได้ไหม อ๊ะ!?”
ฆฤณพูดพลางอุทานออกมาด้วยความแปลกใจ เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นมาดู เด็กหนุ่มพบว่า
เขากลับมามากเห็นได้ชัดเจน เมื่อมองไปบนท้องฟ้ายามรัตติกาลเขาก็เห็นดวงดาวพรางพราวพรมเต็มท้องฟ้า
แต่เหนืออื่นใดเขากำลังยืน ยืนด้วยขาของตนเองที่แทบจะใช้การไม่ได้ด้วยซ้ำ เมื่อสำรวจตามร่างกายตนเองเด็กหนุ่มก็พบว่าแผลสาหัสหายไปหมดหรือไม่ก็ทุเลาลงมาก ความสงสัยกระแทกเข้าใส่สมองเด็กหนุ่มทันที
แต่จู่ๆเคียวที่นิ่งสงบไปแล้วกลับสั่นสะท้านรุนแรงขึ้นมาอีกถึงจะไม่รุนแรงมากแต่มันก็สั่นขึ้นอย่างมีนัยยะ ด้วยสัญชาติญาณที่เชื่อมต่อเขาและมันเอาไว้ทำให้ฆฤณรู้ว่ามันกำลังต้องการกินอีก
“ฆฤณๆ!!”
เสียงเรียกชื่อซ้ำๆดังขึ้นเขาจำได้ทันทีว่าเป็นเสียงของนิ่ม เด็กหนุ่มจึงรีบตะโนตอบกลับ
พลางยกมือขึ้นโบกไปมาเพื่อให้เป็นจุดสังเกตุ ยิ่งอีกฝ่ายเข้ามาใกล้มากเท่าไหร่ เคียวยิ่งสั่นแรง
ความสงสัยทำให้ฆฤณเพ่งตามองผ่านความมืด เขาพบว่านิ่มไม่ได้มาคนเดียวแต่มีเจ้าหน้าที่
กู้ชีพมาอีกสามคน มีสองคนหามเตียงสนามมา ส่วนอีกคนน่าจะเป็นแพทย์สนาม
ฆฤIคิดคร่าวๆเอาด้วยเวลาที่มีจำกัด แหวนที่สามารถกลายเป็นเคียววงนี้ต้องการเสพย์กินวิญญาณ!!!
ยิ่งอีกฝ่ายเข้ามาใกล้เคียวยิ่งสั่นหนักจนฆฤณตต้องใช้มือทั้งสองข้าง พยายามควบคุมมัน
“นั่นมนุษย์นะเขาไม่ได้ทำอะไรผิด เขามาช่วยอย่าทำอะไรพวกเขา”
ฆฤณตะโกนลั่นแขนทั้งสองข้างที่จับรั้งเคียวเอาไว้เกร็งจนเส้นเลือดผุดปูดโปน แต่เคียวก็ยังไม่หยุดสั่น คมเคียวหันมุ่งไปยังทิศทางที่พวกนิ่มกำลังจะมาถึง
สิ่งที่เสพย์รับมาก่อนหน้านี้อย่างกระทันหัน การฆ่าสิ่งประหลาดอย่างโหดเหี้ยม อาการไร้
สติที่ร่างกายถูกเข้าครอบครองชั่วขณะ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นซึ่งประดังเข้ามาโดยไม่ได้เเตรียมใจ
มาก่อนส่งผลให้แก่นวิญาณของฆฤณเดือดพล่านไปด้วยอารมณ์มืดสุดจะหยั่งราวกับเหวลึกที่ไร้ก้นบึ้ง และแล้วเส้นโซ่ที่ดึงรั้งอารมณ์มืดอันร้ายกาจของฆฤณเอาไว้ก็ขาดสะบั้น
ดวงตาทั้งสองข้างของฆฤณสาดประกายสีแดงเลือดสว่างวาบ ราวมีประกายไฟลุกโชนออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างใบหน้าบิดเบี้ยวน่าหวาดหวั่นเกรงขาม
“บอกว่าอย่าแตะต้องพวกเขา!!!!!”
ฆฤณตะคอกลั่นด้วยน้ำเสียงแหบต่ำทรงอำนาจเข้าใส่เคียวในมือ ภายในเวลาไม่ถึงสามวินาทีด้วยซ้ำไปเคียวคมยาวในมือพลันกลายเป็นไอควันสีดำฟุ้งกระจายก่อนจะกลายสภาพเป็นแหวนรัดอยู่บนนิ้วเด็กหนุ่มเหมือนเดิม
ฆฤณหอบหายใจหนักๆเพราะยังปรับสภาพที่เพิ่งข่มอารมณ์มืดลงได้ไม่นาน
“ฆฤณ”
นิ่มเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง และรีบวิ่งตรงเข้าหาฆฤณ แต่เมื่อเด็กหนุ่มหันหน้ามา
ทำเอาเด็กสาวชะงักฝีเท้า เธอก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว เพราะในดวงตาทั้งสองข้างของ
ฆฤณสาดแสงสีแดงรางๆวาววาบในความมืด
“อย่าเข้าใกล้ผม”
นั่นคือคำพูดสุดท้ายก่อนที่สติของเด็กหนุ่มจะดับสลาย จนล้มวูบลงทั้งยืน
ความคิดเห็น