ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SouL-BuRn คน-กิน-วิญญาณ

    ลำดับตอนที่ #1 : Moving of the wheel of fortune

    • อัปเดตล่าสุด 9 เม.ย. 66


                                                                Soul Burn

    คนกินวิญญาณ

    (all new rewriter)

                       คมเคียวเกี่ยวกระชากพรากวิญญาณ ทะยานล่องท่องรัตติกาลผลาญฆ่า ล่ากัดกิน

     

    เสียงระเบิดดังสนั่นนจุดระเบิดความโกลาหล  พร้อมเปลวเพลิงสีแดงซึ่งลุกไหม้ขึ้นที่ปีกเครื่องบินด้านขวา ทำให้หลายร้อยชีวิตในห้องเครื่องบินโดยสารลำหนึ่งต่างร้องด้วยความหวาดกลัว สภาวะของเครื่องบินที่ควรจะแล่นเลียบไปกลางอากาศกลับเริ่มเอียงเซมากขึ้นเรื่อยๆและดิ่งต่ำลง

     

    ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนแม้กระทั้งไม่มีประกาศสถานการณ์จากนักบิน เพราะว่าทั้งนักบินและผู้ช่วยนักบินกลายเป็นศพขาวซีดนอนฟุบคาห้องควบคุมไปแล้ว

     

    ผู้โดยสารหลายคนหวีดรองอย่างสิ้นหวังใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความหวาดกลัว วิ่งไปมาอย่างคลุ้มคลั่งพยายามเอาชีวิตรอด

     

    ฆฤณ(อ่านว่าคินแปลว่าแสงสว่าง) เขากุมเกาะเก้าอี้ที่นั่งเอาไว้แน่นรู้สึกปวดวูปวาบในท้องน้อย ขณะที่เครื่องบินดิ่งลงอย่างรวดเร็ว  โอกาสที่จะรอดชีวิตคล้ายแสงเทียนที่จะถูก

    ลมพัดให้มลายสูญ  ในที่สุดก็เกิดเสียงระเบิดลั่นสะท้าน พร้อมกับแรงปะทะมหาศาล

     

    เครื่องบินทั้งลำหักกลางออกเป็นสองส่วน โชคที่ยังมีอยู่เพียงน้อยนิดทำให้ที่นั่งของฆฤณอยู่ในบริเวณส่วนหัวของตัวเครื่อง  ที่อยู่ในลักษณะตั้งตรง เด็กหนุ่มต้องทนมองใบหน้าที่บิดเบี้ยวสิ้นหวังปะปนไปกับเสียงกรีดร้องลนลานเพราะต้องการเอาชีวิตรอด บางคนที่ร่างร่วงถลาผ่านฆฤณไปยังเป็นเด็กอายุไม่ถึงแปดขขวบเสียด้วยซ้ำ

     

    แต่แล้วจู่ๆฆฤณก็รู้สึกหนักวูปขึ้นที่ข้อมือขวา   สิ่งที่เป็นภาระะในจิตใจของฆฤณมากที่สุดคือเด็กสาวคนหนึ่ง ฆฤณคว้าจับร่างเธอเอาไว้ได้อย่างบังเอิญ ตอนที่มือขวาของเธอกำลังป่ายสะเปะสะปะไปมาระหว่างที่ร่างร่วงหล่นลงจากที่สูงขณะที่เครื่องบินกำลังหักเป็นสองท่อนกลางอากาศ 

     

     

    มือเด็กหนุ่มคว้ามือเธอไว้แน่น ในสภาพที่ห้อยโยงลงมาโดยมีฆฤณเป็นแหมือนสายเชือกยึดโยงชีวิตเอาไว้  เพราะสิ่งที่รอเธออยู่ด้านล่างของห้องโดยสารคือทะเลเพลิง   

     

    เปลวเพลิงลุกไหม้ท่วทะลักเข้ามาในห้องโดยสารกลืนกินเผาร่างของผู้โดยสารหลายคนเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังระงม

     

    เปรี๊ย ปึด!!

     

    ความเลวร้ายกล้ำกลายมาอย่างรู้เวลา สิ่งเดียวที่รั้งร่างของเด็กหนุ่มและเด็กสาวไว้คือสายรัด

    ที่นั่งประจำเบาะของเครื่องบิน เพราะว่าสายรัดได้รับความเสียหายและยังต้องรับน้ำหนักของทั้งสองคนที่มากเกินไปจึงขาดร่นขึ้นเรื่อยๆ ฆฤญมองไปยังเด็กสาว สายตาที่เว้าวอนขอชีวิตปรากฏชัดเจน  ขณะที่ดวงตาทั้งสองข้างมีระรื่นน้ำตาไหลซึม

     

    “ในโลกบี้มีมี อะไรที่ได้มาเปล่าๆหรอกนะ”

     

    จู่ๆคำๆนี้ก็ก้องขึ้นในสมองของเด็กหนุ่ม  ถ้าเขาพยายามปล่อยยมือน้ำหนักก็จะลดลง แถม

    ตัวเขาเองยังนั่งผูกอยู่กับเก้าอี้โดยสาร ถึงแม้เครื่องบินจะพุ่งลงโหม่งพื้นโลก เขาอาจะมีโอกาสรอดแม้เพียงน้อยนิดยิ่งกว่ามดแมลงที่กำลังจะจมน้ำ ในขณะที่ความคิดชั่วร้าย

    สับสนหลายสายตีกันมากมายในสมองของฆฤณ     

     

    ทันใดนั้นเองสัญชาติบางอย่างกลับสะกิดฆฤณจนเกิดความสงสัย  สายตาของเด็กหนุ่ม

    ถูกความรู้สึกซึ่งไม่รู้ที่มาดึงดูดให้เหลียวมองไปยังห้องโดยสารฝั่งขวา

     

    ร่างของผู้โดยสารหลายคนบิดเบี้ยวร้องด้วยความทรมาน ปลิวกระเนออกจากห้องโดยสารตามรอยแตกของเครื่องบินเป็นผลของสภาวะลมดูด   จนเหลือเพียงหญิงสาวคนหนึ่งเปลวเพลิงที่ลามทะลักเข้ามาอย่างรวดเร็วม้วนกลืนร่างของผู้หญิงคนนั้น   เมื่อเพลิงบางส่วน

    มอดลง  คงเหลือไว้เพียงซากร่างไหม้เกรียมที่ส่งควันคลุ้ง

     

    แต่ภาพร่างที่ทำให้นัยน์ตาของเด็กหนุ่มเบิกกว้างอย่างหวาดกลัวสุดชีวิต ก็คือร่างของผู้หญิงชุดขาวยาวขาดรุ่งริ่งอีกคนหนึ่งที่ใช้มือบีบเค้นที่ลำคอของร่างที่ไหม้เกรียมเอาไว้ ในสภาพที่กำลังยืนกลับหัวลงมาจากเพดานห้องโดยสารเครื่องบิน!!!!!

     

    โดยที่ร่างกายของหญิงสาวที่สวมเสื้อขาดรุ่งริ่งไม่เอียงเซ หรือขยับแม้แต่นิดเดียว ทั้งๆที่ห้องโดยสารของเครื่องบินกำลังพุ่งลงจากกลางอากาศก่อนจะโหม่งโลกในอีกไม่ถึง

    สามกิโลเมตร  และฉากสยองชวนอาเจียนก็เกิดตามมาอย่างที่ฆฤณไม่คาดคิดมาก่อน

    ในชีวิติต

     

    ร่างที่สวมเสื้อผ้าขาวขาดรุ่งริ่ง  บิดสะบัดหัวที่ไหม้เกรียมของหญิงสาวที่ตนเองบีบลำคอเอาไว้ออกมาทิ้งส่วนลำตัวปลิวลงไป เธอมองศีรษะที่ไร้ลำตัวแล้วราวกับของมีค่าที่สุดในโลก แสงอาทิตย์อัสดงที่ส่องลอดเข้ามาทางช่องแตกของห้องเครื่องบิน  ทำให้ฆฤญเห็น

    ทุกเหตุการณ์อย่างชัดเจน

     

    เลือดในร่างของเขาแทบผนึกแข็งค้าง  ตรงกันข้ามกับหัวใจที่เต้นสั่นระรัวฟาดกระแทกเข้าใส่ซี่โครงราวกับจะหลุดออกมาจากหน้าอก แล้วเหตุการณ์เลวร้ายขั้นต่อไปก็ประจักษ์กับสายตาฆฤญ

     

    เมื่อร่างที่สวมเสื้อขาวขาดรุ่งริ่งดอมดมศีรษะที่ขาดไหม้เกรียมราวกับเป็นอาหารอันโอชะ  เธอเริ่มเลียไล้ไปบนศีรษะก่อนจะฝังเขี้ยวกัดกระชากดึงเอาผิวหน้าไหม้เกรียมหลุดออกมาเป็นแผ่นๆจากศีรษะก่อนจะเคี้ยวกินอย่างมีความสุข

     

    เหตุการณ์วิปริตก็เกิดขึ้นไปเรื่อยๆ จนในที่สุดตอนนี้ศีรษะที่ไหม้เกรียมเหลือเพียงกล้ามเนื้อแดงสดใต้ผิวหนัง

     

    “หมดล่ะ”

     

    หญิงสาวในชุดขาวยาวขาดรุ่งริ่งเอ่ยเสียงเรียบๆ  ก่อนจะควักลูกนัยน์ตาข้างขวาของศีรษะไหม้เกรียมมาหยอดหย่อนเข้าปาและเคี้ยวๆอย่องเอร็ดอร่อย

     

    สภาวะการหายใจของฆฤญและเด็กสาวในตอนนี้อยู่ในขั้นหอบหายใจอย่างรุนแรง  แต่ทั้งคู่พยายายามสะกดกลั้นเอาไว้เพราะตลอดเวลาที่มันกำลังประกอบการกินวิตถาร ร่างในชุดสีขาวยาวขาดรุ่งริ่งไม่ได้สนใจพวกเขาเลย

     

    เพียงแค่ทั้งสองเด็กหนุ่มและเด็กสาวมองตากัน  โดยไม่ต้องเอ่ยปากพูดแต่ทั้งเขาและเธอยอมรับสภาพเป็นศพจากสาเหตุการตายจากเครื่องบินตก  ดีกว่าถูกกัดกินจนศพไม่สมประกอบกลายเป็นเพียงซากก้อนเนื้อสยอง

     

    ตอนนี้เหลือความสูงไม่ถึงสองกิโลเมตร ก่อนที่เครื่องบินจะกระแทกเข้าสู่พื้นโลก

     

    เมื่อทั้งคู่มีความคิดไปในทิศทางเดียวกัน มือที่กุมจับของทั้งสองยิ่งแนบแน่นเข้าหากันอีก 

    คำว่า “ตาย”ตอนนี้เป็นแค่เรื่องเล็กๆที่น่าขำ

     

    “กรี๊ดดดดดดดดดด”

     

    เสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นดึงความสนใจให้ฆฤณใหัไปมอง  ภาพที่เห็นทำเอาหัวใจของชายหนุ่มแทบหยุดเต้น เพราะร่างในชุดสีขาวขาดรุ่งริ่ง กำลังเกาะอยู่ที่ข้อเท้าข้างขวาของหญิงสาว พลางแสยะยิ้มสยองเมื่ออยู่ในระยะใกล้จึงทำให้ฆฤณเห็นว่าใบหน้าและผิวกายของมันซีดขาว 

     

    ตามร่างที่ผอมแห้งกรังชอนไชไปด้วยเส้นเลือดปูดโปนราวกับหนอนตัวยาวใหญ่

    ซึ่งกำลังชอนไชขยับเคลื่อนไหวไปมาใต้ผิวหนังของมัน

     

    “ออกไป บอกให้ออกไปไงเล่า!!!!”

     

    หญิง่สาวดิ้นรน ทั้งถีบกระแทกทั้งสะบัดขา ใบหน้าน่ารักบิดเบี้ยวไปด้วยความหวาดกลัว แต่เธอกลับไม่สมารถสมารถสัมผัสกับร่างของมันได้ ขาของเธอจะลอยวูปผ่านร่างของมันไป

     

     

    “นี่อยากรู้ไหมทำไมข้าถึงกินวิญญาณมนุษ์ที่ร่างไหม้เกรียมคนั้น  ความอร่อยไงล่ะ ความอร่อยจากความสิ้นหวัง

     

    เจ็บปวดทรมาน ทุรนทุรายพยายามเอาชีวิตรอด สิ่งเลวร้ายทุกอย่างที่ผนึกเข้าด้วยกันในแก่นของวิญญาณ มันก็เหมือน

    การบ่มเหล้าดีๆขวดหนึ่ง แต่ข้าก็ไม่เคยปฏิเสษวิญญาณสดใหม่แบบแกด้วยนะ”

     

    มันกรีดร้องด้วยเสียงแหบโหยบ้าคลั่ง  ก่อนจะฉีกปากกว้างจนยาวขาดไปถึงหู ถอดกลามออกคล้ายงูที่กำกังจะแขมือบ

    เหยื่อ

     

    “พล่ามอะไร ใครอยากรู้วะ”

     

    เสียงของฆฤณดังขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือเสียงปะทะดังสนั่น หัวของร่างในชุดขาวบิดเบี้ยวสะบัดหันกลับไปในลักษณะผิดสารรูป หัวของมันถูกเด็กหนุ่มแตะจนเบี้ยวสะบัดหันกลับไปทางด้านแผ่นหลัง

     

    เสียงร้องโหยหวนด้วยความแค้นของร่างในชุดขาวก้องสะท้อน มันบิดหัวที่ถูกแตะกลับมาอย่างช้าๆพร้อมด้วยเสียงกระดูกที่ลั่นกราว สายตาอาฆาตลุกวาวมองเขม็งไปยังฆฤณอย่างแค้นคลั่ง

     

    “ข้าจะกินแก แก่นวิญญาณของแกต้องดับสูญไปตลอดกาล” มันพ่นคำอาฆาตเข้าใส่เด็กหนุ่ม

    หญิงชุดขาวพูดพลางใช้สายตาแค้นคลุ้มคลั่งมองเขม็งไปที่ฆฤณ

     

    มันพุ่งตัวขึ้นไต่ผ่านร่างของเด็กสาวที่ตนเองกำลังจะกินเมื่อครู่ ปากของมันถูกฉีกกว้างออกในลักษณะสยดสยองด้วยเจตาต้องการฆ่ากินเด็กหนุ่ม

     

    “เอานี่ไปกินก่อนเหอะ”

     

    ฆฤณพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆแต่แฝงไปด้วยความเหี้ยม  เขายกเท้าขึ้นสูง  ก่อนจะตอกกระแทกส้นเท้าเข้าใส่กลางหัวของร่างในชุดขาวจนจมยวบลง ลักษะไม่ต่างอะไรกันกับท่อนไม้ที่กำลังถูกขวานผ่า 

     

    “โพล๊ะ!!!”

     

    เสียงกะโหลกของร่างในชุดขาวลั่นกราว กลางหัวของมันถูกส้นเท้าของฆฤณสับจนแยกออกเป็นสองส่วน  ทำให้เนื้อสมองแดงสดที่กลายเป็นเศษไหลทะลักออกมาจากกะโหลก  พร้อมกับหยาดเลือดแดงสดที่พุ่งกระฉูดสาดคละคลุ้งไปทั่ว

     

    ร่างของมันหยุดการคุกคามฆฤณ ร่วงในชุดขาวถลาลงสู่ห้องโดยสารส่วนล่างที่เต็มไปด้วยเพลิงลุกไหม้ แต่สิ่งที่สร้างความสงสัยให้กับเด็กหนุ่มก็คือ ร่างในชุดขาวกลับหัวเราะมนหัวเราะด้วยเสียงแหลมสูงเสียดประสาทคลุ้มคลั่ง

     

    ตอนนี้เหลือระยะทางจากน่านฟ้าอีกไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร ตัวเครื่องบินจะปะทะพื้นโลก!!

     

    รอยยิ้มคือสิ่งปรากฎบนใบหน้าของทั้งเด็กหนุ่มและเด็กสาว ความตายคือสิ่งทีทั้งคู่ไม่นำพาอีกต่อไป  แต่ทันใดนั้นคิ้วทั้งสองข้างของฆฤณพลันขมวดเกร็งเข้าด้วยความสงสัย

     

    “ให้มันเกี่ยวกระหวัดสิ ให้มันชำแรกแทรกผ่านดูดดื่มและกลืนกิน”

     

    ประโยคนั่นคือเสียงที่เขาได้ยินจนความสงสัยกระแทกใส่สมอง  แต่ในวินาทีที่ความตายใกล้มาเยือนฆฤณคิดว่าเขาคงหูฝาดไปเพราะความรู้สึกต่างๆนาๆที่ผสมปนเป กันจนทำให้เกิดประสาทหลอน   หรืออาจจะเกิดขึ้นเพราะแรงลมจากการที่ร่างกายดิ่งวูบจากความสูงอย่างรวดเร็ว

     

    แต่ความประหลาดก็คือเสียงนี้ดังซ้ำแล้วซ้ำเล่าเข้าสู่สมองโดยตรง ไม่ใช่ทางโสตประสาท

     

    “โอ๊ยยยย หยุด หยุดพูดเดี๋ยวนี้”.ฆฤณตะโกนลั่นขณะที่ใบหน้าเบี้ยวบิด อาการเจ็บแล่นแปลบปลาบไปมาในศีรษะ

     

    “จะเกี่ยวกระชาก จะแทงจะฆ่าใครก็ตามใจหยุดพูดเดี๋ยวนี้!!!!!” ฆฤณตะโกนออกไปโดยไม่คิดขอเพียงอย่างเดียวให้เสียงที่ก้องเสียดประสาทอยู่ในหัวหยุดลง 

     

     ทันใดนั้น แหวนเหล็กที่ลงลายอักขระแปลกประหลาดซึ่งเขาสวมไว้ที่นิ้วโป้งมือข้างซ้ายพลันสั่นสะท้าน เสียงซ้ำๆประโยคเดิมหยุดลง   กลายเป็นเสียงหัวเราะแหบห้าวทุ้มต่ำที่แทรกไปด้วยควสามพอใจ

     

    “เฮ้ย”                         

     

    ฆฤณอุทานลั่นนันย์ตาทั้งสองข้างแสดงอาการตระหนก  เมื่อพบว่ามีเศษชิ้นส่วนเครื่องบิน

    ที่ถูกระเบิดออกกำลังพุ่งตรงมาที่พวกเขาทั้งสองคน ความคิดจะหลบไม่มีในสมอง เพราะสภาพที่เป็นอยู่ก็เลวร้ายเกินพอ   เมื่อเศษเครื่องบินข้ามาใกล้จึงทำให้เห็นว่ามันคือเศษเครื่อง

    บินส่วนปีกที่มีขนาดกว้างพอสมควร

     

    ในที่สุดเศษเครื่องบินก็พุ่งเข้ามาถึงตัวเด็กหนุ่มและเด็กสาว  ทั้งสองมองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสายตาลนลาน  แต่ไม่ว่าจะเป็นไปด้วยความบังเอิญหรือปาฏิหารย์  เศษเครื่อง

    บินส่วนปีกที่ถูกแรงระเบิดฉีกจนขาดออกเป็นแฉกแหลมเกี่ยวกระหวัดเข้าที่ชายกระโปรงของเด็กสาว ทำเอานัยน์ตาของเธอเบิกกว้างด้วยความตกใจ

     

    แรงกระชากทำให้สายรัดเบาะโดยสารพื่อความปลอดภัยบนร่างฆฤณฉีกขาด  กระชากเอาร่างของทั้งสองคนที่กำลังจับมือกันแน่นร่วงหล่นลงมาบนปีกเครื่องบินที่กำลังพุ่งไปกลางอากาศอยู่ห่างจากพื้นโลกแค่ไม่ถึงยี่สิบเมตร

     

    เด็กหนุ่มสาวทั้งสองคนหมอบตัวลงจับยึดปีกเครื่องบินที่กำลังพุ่งไปข้างหน้าในลักษณะที่กำลังลดตัวลงต่ำสู่พื้นเอาไว้แน่น  จนในที่สุดปีกเครื่องบินก็ตกลงไถลไปกับพื้นดิน แรงกระแทกในระดับความสูงเกือบยี่สิบเมตร  แรงกระแทกทำให้ร่างทั้งคู่กลิ้งตลบแยกจากกันไปคนละทาง

     

    ร่างของฆฤณกลิ้งตลบหมุนคว้าง  ภาพที่ถ่ายทอดเข้ามาในสายตาที่เห็นไม่ต่างอะไรกับการโดนจับขาทั้งสองข้างแล้วจับร่างวาดเหวี่ยงเป็นวงกลม  ทั่วทั้งตัวของเขาเจ็บแปลบปลาบ

    ทั้งกระอักทั้งจุก

     

    ในที่สุดสภาวะกลิ้งตลบก็หยุดลง  ฆฤณนอนแผ่แน่นิ่งในสภาพนอนหงาย ขณะนี้รัตติกาลเข้ามาครอบครองท้องฟ้งแล้ว บนท้องฟ้ามืดเต็มไปด้วยดวงดาวพราวแสงที่ไร้จันทร์

    เด็กหนุ่มพยายามปรับสภาพที่กำลังหอบหายใจหนักให้สงบลง

     

    เขาสำรวจไปทั่วร่างกายที่อาบชุ่มไปด้วยเลือดและแผลถลอกของตนเอง เมื่อความหวาดกลัวหายไปสติจึงดึงความเจ็บที่ควรจะรับรู้เข้ามาแทนที่  ใบหน้าของเด็กหนุ่มกระตุกเพราะพยายามอดทนความเจ็บปวดทั่วร่าง 

     

    แต่จู่ๆพลันเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้น ดึงความสนใจให้ฆฤณหันไปมองตามทิศทางของเสียง เด็กหนุ่มพบว่าเครื่องบินที่ตกกระแทกพื้นแทบจะพร้อมๆกับเขาระเบิดซ้ำอีกครั้ง

    กลายเป็นดวงไฟลูกใหญ่ลุกโชน 

     

    เศษซากเครื่องบินปลิวกระเด็นไปทั่วทิศทางจนฆฤณต้องพลิกตัวหมอบลงกับพื้นถึงแม้เขาจะอยู่ห่างจากจุดระเบิดเกือบร้อยเมตร  แล้วความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในสมองของฆฤณ

     

    แล้วเด็กผู้หญิงที่ประสบชะตากรรมเดียวกับเขาล่ะ เธอจะบาดเจ็บมากแค่ไหน ปลิวกระเด็นไปไกลหรือเปล่า แต่ไม่ต้องเอ่ยปากจากความคิดพลันมีเสียงเรียกดังขึ้น

    “นี่คุณเสื้อดำ เป็นอะไรไหม นี่ฉันอยู่นี่” เธอตะโกนเรียกเพราะทั้งคู่ไม่มีเวลาแนะนำตัวกัน

    สิ่งเดียวที่เธอจำได้คือฆฤณสวมเสื้อสีดำ

     

    “นี่ผมอยู่นี่” ฆฤณเห็นเธอเดินมาในระยะไกลๆจึงตอบกลับพลางซวนตัวลุกขึ้นยืน แต่ทันทีที่ลงน้ำหนักตัวไปยังขาซ้ายความเจ็บปวดก็แล่นปลาบขึ้นมาตั้งแต่ข้อเท้าทำเอาฆฤณต้องกัดฟันข่มความเจ็บประคองตัวให้ยืนไหว เมื่อเด็กสาวเห็นสภาพสะบักสะบอมของอีกฝ่ายจึงรีบเดินเร็วๆเข้ามาเพราะเธอบาดเจ็บน้อยกว่ามาก

     

    “แน่ใจนะ รีบส่งสัญาณให้คนมาช่วยเถอะ” เธอพูดพลางประคองเด็กหนุ่ม เพราะสภาพที่เธอเห็นฆฤณเป็นอยู่แค่ประคองสติไว้ได้ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว

     

    “ช่วยด้วย ช่วยด้วย”

     

    ทั้งคู่พยายามร้องตะโกนลั่นแต่ไร้การตอบกลับ  เพราะบริเวณที่ทั้งคู่อยู่เป็นทุ่งหญ้าโล่งกว้าง

    จึงมีเพียงเสียงสะท้อนที่ตอบกลับมา

     

    “โอ๊ยยยย”

     

    ฆฤญร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดที่สุดจะกลั้นเอาไว้ได้  ทำเอาเด็กสาวที่กำลังพยุง

    ฆฤณเอาไว้ถูกกระชากล้มลงไปด้วย  เขายกมือกุมไปยังขาข้างซ้ายของตนเองกัดฟัน

    แน่นจนเส้นเลือดปูดโปนขึ้นบนขมับ  ยายายามสะกดความเจ็บเอาไว้เพราะกลัวอีกฝ่าย

    จะกังวล

     

    “ขา ขาคุณหักนี่”

     

     

    เด็กสาวพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก เธอลูบไปบนขาอย่างแผ่วเบาเพื่อหาจุดที่ได้รับบาดเจ็บ

    อย่างช้าๆ

     

    “คุณเป็นหมอ?

     

    เด็กสาวยิ้มน้อยๆก่อนจะตอบ

     

    “คุณพ่อของฉันเองค่ะที่เป็นหมอ พ่อจึงมักจะสอนนิ่มเสมอเรื่องการแพทย์ง่ายๆ”

     

    ฆฤณพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะเอ่ยต่อ

     

    “ชื่อนิ่มน่ารักดีนะครับ ผมฆฤณนะ”

     

    เด็กหนุ่มแนะนำตัวกลับพร้อมรอยยิ้มที่ฝืนความเจ็บปวดเอาไว้

     

    “ชื่อฆฤณก็เพราะดีนะคะ ไม่เคยได้ยินมาก่อนก่อนแปลว่าอะไรเหรอ”

     

    แต่จู่ๆเด็กสาวก็หยุดพูดพลางอุทานออกมาด้วยความตกใจ เพราะว่าขาข้างที่หักของเขาอาบชุ่มไปด้วยเลือดแดงสดที่ไหลออกมาจากปากแผลมากกว่าเดิม นิ่มรีบคว้าแขนมาเพื่อวัดการเต้นชีพจรของเขา  ชีพจรของเด็กหนุ่มเต้นแผ่วมากจนแทบจะสัมผัสไม่ได้ ใบหน้าและริมฝีปากกลายเป็นสีขาวซีด

     

    หากไม่หาวัสดุอะไรก็ได้ที่เหมาะสม  มาพันแผลหรือห้ามเลือดในที่สุดคงจะเสียเลือดจนตาย

    นิ่มผลุนผันหันหันหลังกลับวิ่งออกไปทันที

     

    “นิ่มจะไปไหน ผม ผมเจ็บมากนะช่วยด้วยสิ”

     

    “ก็กำลังจะช่วยอยู่นี่ไงเล่า  แถวนี้ไม่มีเศษไม้ที่ใช้ดามขาหรือผ้าที่จะห้ามเลือดได้เลยสักผืน ฉันต้องรีบไปหาบริเวณรอบๆ”

                                                                                                    

    “ระวังตัวด้วยนะเครื่องบินอาจจะยังไม่หยุดการระเบิด เขาตะโกนไล่แผ่นหลังของเด็กสาวที่กำลังวิ่งห่างออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะคิดคาดเดาว่าบริเวณที่เครื่องบินตกคงจะมีของที่เธอ

    ต้องการที่หลงเหลือจากสัมภาระของผู้โดยสารคนอื่นๆ ซึ่งตกเกลื่อนอยู่บริเวณโดยรอบจุดที่เครื่องบินตก

     

    ความเจ็บปวดที่แล่นจากจุดที่บาดเจ็บ  ทะลวงไปทั่วกระแสประสาทการรับรู้ของฆฤณ

    เด็กหนุ่มพยายามสะกดกลั้นความเจ็บเท่าที่จะฝืนไหว เขาฉีกขากางเกงข้างซ้ายออกเป็นแนวยาวก่อนที่จะใช้มันมัดเป็นปม  เหนือปากแผลฉีกขาดที่ใหญ่ที่สุดเพื่อห้ามเลือดที่กำลังไหลโชกชุ่มแดงฉานอาบไปทั่วขา

     

    แต่ทุกการกระทำเป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะมือทั้งสองข้างของฆฤณไม่มีแรงแทบจะยกด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มหอบหายใจหนักๆในลักษณะกระชั้นสั่นขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่สภาวะเสียเลือดทำให้ความหนาวแทรกเสียดไปทั่วร่าง

     

    ภายในสมองหมุนคว้างอย่างประหลาดภาพที่มองเห็นพร่ามัววูบไหวไปมา เด็กกหนุ่มไร้แรงอีกต่อไป  เขาทิ้งตัวลงบนผืนหญ้านอนหงายมองดวงดาวที่พร่างพราวเต็มท้องฟ้ายามรัติกาล

    ที่ไร้ดวงจันทร์

     

    แต่จู่ๆกลับมีความคิดหนึ่งในสมองของฆฤณที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เขา-ไม่-อยาก-ตาย อีกต่อไป ความตายที่เตรียมใจยอมรับเมื่อหลายนาทีก่อนกลายเป็นความต้องการเอาชีวิตรอดแทน

     

    อายุของเขายังน้อย มีหลายๆเรื่องที่อยากทำ เขาสอบติดคณะแพทย์ศาสตร์ในมหาวิทยาลัยที่ตนเองอยากเรียน เขายังอยากทำในอีกหลายๆเรื่อง ในใจของฆฤณตะโกนก้องว่าไม่อยากตาย ไม่อยากตาย ไม่อยากตายซ้ำแล้วซ้ำอีก

     

    เด็กหนุ่มหันศีรษะไปมาพยายามมองหาคนที่จะมาช่วยเขาได้ นิ่มอยู่ไหนเธอจะกลับมาทันไหมก่อนที่ความตายจะมาพรากชีวิตของเขาไป อาการร้อนใจทำให้เด็กหนุ่มซวนตัวลุกขึ้นนั่งในท่าทางเหยียดขาไปด้านหน้า เพราะจะทำให้ทัศนวิสัยของเขากว้างขึ้น สามารถมองเห็นได้ใกลขึ้น

     

    แต่ไม่ว่าจะกี่นาทีผ่านไปเขาก็ไม่เห็นวี่แววของความช่วยเหลือที่จะมาถึง ทั่วร่างมีเพียงความมืดล้อมรัด ขณะเดียวกันชีพจรของเด็กหนุ่มเต้นช้าลงเรื่อยๆ ความหนาวเย็นจากอาการ  บาดเจ็บเสียดแทรกเข้าไปถึงกระดูก

     

    แต่แล้วฆฤณก็สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกจนสะดุ้งไปทั้งร่าง  เขาแยกออกว่ามันไม่ใช่ความเย็นยะเยือกที่เกิดจากอาการบาดเจ็บซึ่งกำลังเป็นอยู่ ทันใดนั้นฆฤณพลันรู้สึกเย็นวาบ

    ที่แผ่นหลัง  ก่อนที่ความเย็นยะเยือกจะสลับที่จากด้านหลังมาประจันหน้ากับฆฤณอย่างรวดเร็วในระยะห่างแค่ฝ่ามือ

     

    “ไม่อยากตายแล้วเหรอ? การมีชีวิตอยู่ต่อไปมันคงหอมหวานมากกว่าสิใช่ไหม?”

     

    แล้วเจ้าของประโยคก็แผดเสียงแหลมสูงหัววเราะโหยหวนดังลั่น

     

    “แกไอ้ชั่ว เด็กหนุ่มตะโกนลั่นเพราะเจ้าของคำถามคือหญิงในชุดขาวที่อยู่ในสภาพสยองกว่าเดิม หัวของมันที่โดนฆฤณเตะผ่า  จนแยกเป็นสองซีกฉีกยาวจากกึ่งกลางหัวฉีกขาดเกือบถึงริมฝีปากบน ทำให้หัวของมันเปิดอ้าออกตลอดเวลา 

     

    เศษมันสมองของมันจึงย้อยหยด  ลงมาพร้อมหยาดเลือดแดงสดที่ไหลอาบใบหน้าของมันลงมาตลอดเวลา

     

    “ทำไมแกถึงแตะต้องฉันได้ ทำไมแกถึงทำร้ายฉันได้?”

     

    ถึงแม้ฆฤณจะบาดเจ็บสาหัสอยู่ในสภาพที่สติพร้อมจะหลุดตลอดเวลา แต่มุมปากของเด็กหนุ่มกกลับปรากฏรอยยิ้มหยามขึ้น

     

    “ก็แกมันหน้าแย่ไง เลยศัลยกรรมให้นิดหน่อย”

     

    เด็กหนุ่มพูดพลางเปล่งเสียงหัวเราะถึงแม้จะเป็นเสียงหัวเราะที่มาพร้อมกับความเจ็บปวดแต่ฆฤณกลับสาสมใจอย่างบอกไม่ถูก

     

    “โอ๊กกกกกก”

     

    ฆฤณร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เพราะร่างของเขาบริเวณช่องท้องกลางลำตัว

    ถูกหญิงชุดขาวใช้เศษซากของเครื่องบินที่เป็นแท่งเหล็กแหลมแทงเข้าที่หน้าท้อง

    ทะลุออกไปถึงแผ่นหลัง  แล้วมันก็กระชากร่างของเด็กหนุ่มที่ถูกเสียบคาอยู่กับ

    แท่งเหล็กชูขึ้นกลางอากาศ

     

    “ตอนนี้จิตใจของแกไม่เหมือนเดิมแล้ว เรื่องที่ถามไปน่ะช่างมันเถอะ เพราะยังไงตอนนี้แก่นวิญญาณของแกก็ต้องถูกดูดกลืนอยู่ดี”

     

    ฆฤณไอกระอักออกมาเป็นหยาดเลือดแดงสดสาดกระจาย  ทว่ารอยยิ้มยังประดับอยู่ที่

    มุมปากเพราะไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้คำพูดของร่างในชุดขาวทำให้เขา นึกอะไรบาง

    อย่างออก

    “ทำไมแกถึงแตะต้องฉันได้ ทำไมแกถึงทำร้ายฉันได้?”

     

    นั่นคือประโยคที่สร้างความสงสัยในใจฆฤณ ในเมื่อเขาสามารถแตะต้องทำร้ายมันได้

    ทำไมจะไม่ลองอีกครั้งล่ะ ความสิ้นหวังกลายเป็นความบ้าระห่ำ เขารู้ตัวดีว่าในสถานการณ์

    ที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้ความตายเป็นสิ่งที่ตนเองหลีกหนียังไงก็ไม่พ้น

     

    คำว่าสติยั้งคิดจึงถูกโยนทิ้งไปเพราะมันกลายเป็นสิ่งไร้ประโยชน์

     

    ฆฤณร้องคำรามลั่นราวกับสัตว์คลั่ง ความเจ็บปวดจากบาดแผลสาหัสบนร่างเหมือนมีอะไร

    บางอย่างระงับยับยั้งไว้ เพราะอยู่ในสภาพที่ถูกแท่งเหล็กเสียบร่างยกไว้กลางอากาศ 

    เด็กหนุ่มจึงใช้มือทั้งสองข้างจับไว้ที่แท่งเหล็กซึ่งกำลังแทงทะลุร่างตนเอง

     

    เขาใช้มือทั้งสองข้างออกแรงดึง พร้อมโถมน้ำหนักตัวทั้งหมดผลักแท่งเหล็กให้เสียบร่างของเขาลึกขึ้นจนร่างร่วงลื่นไถลลงมาตามแท่งเหล็กที่ร่างในชุดขาวถืออยู่  เลือดแดงสดซึ่งไหลอาบแท่งเหหล็กกลายเป็นสารหล่อลื่น ที่ทำให้ร่างของเด็กหนุ่มเข้าไถลใกล้ร่างในชุดขาวได้เร็วขึ้น

     

    ความเจ็บปวดที่หายไปชั่วคราวกลับมา เข้ากัดกินทุกอณูในร่างเด็กหนุ่ม  เขาร้องคลุ้มคลั่งความเจ็บปวดสาหัสที่ควรจะทำให้สติดับไปแล้วแต่มีความคลั่งค้ำเอาไว้ไม่ให้เด็กหนุ่มหมดสติหรืออาจจะตายไปแล้วด้วยซ้ำ ทุกการกระทำบ้าระห่ำของฆฤณยิ่งทำให้แหวนที่เขาสวมอยู่บนนิ้วโป้งข้างซ้ายสั่นเร็วรุนแรงเหมือนมันกำลังพอใจในอะไรบางอย่าง

     

    “จับได้แล้ว” ฆฤณเอ่ยพร้อมรอยยิ้มอำมหิตที่มุมปากขณะที่ใช้มือซ้ายบีบเค้นเข้าที่ลำคอของร่างในชุดขาว  

     

    หวาดกลัว คือความรู้สึกแรกที่ร่างในชุดขาวรับรู้ ขณะที่เผชิญหน้ากับฆฤณในระยะประชิด

    ขณะที่ฆฤณกระชากแท่งเหล็กที่แทงทะลวงร่างตนเองออก นัยน์ตาทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มสาดประกายมืดดำอำหมิต ราวกับว่าเขากำลังจะกัดกินเธอ

     

    ฆฤณที่อยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัสเจียนตาย ทั้งร่างอาบโชกไปด้วยเลือดแดงสดที่ไหลทะลักออกมาจากปากแผลกลางลำตัว ยืนโอนเอนไปมาราวกับไร้เรี่ยวแรง  สมองและความคิดต่างๆตีกันสลับสับสนวุ่นวาย  แต่มือข้างที่บีบจับลำคอของร่างในชุดขาวยังแน่นราวกับ

    คีมเหล็ก

     

    “เหี่วงวาดมันสิ ให้มันชำแรกผ่านให้มันได้ดูดดื่มกลืนกิน”

     

    เสียงที่ฆฤณได้ยินครั้งแรกขณะที่เครื่องบินตก ดังก้องขึ้นมาในสมองของเด็กหนุ่มอีกครั้ง

    แต่สภาวะการณ์ในตอนนี้ต่างกัน เด็กหนุ่มอยู่ในสภาพที่แทบจะไร้สติภาพที่มองเห็นก็พร่ามัววูบไหวไปมา สภาพของฆฤณตอนนี้เหมือนตกอยู่ในภวังค์ฝัน

     

    แหวนที่เด็กหนุ่มสวมอยู่บนนิ้วโป้งข้างซ้ายยิ่งสั่นแรง มือของฆฤณเขย่าไปทั้งมือ จนในที่สุดแหวนก็กร่อนสลายเป็นไอควันสีดำทึบ คลุ้งฟุ้งกระจายไปกลางอากาศ รายรัดรอบตัว

    ฆฤณ ไอควันสีดำผนึกควบรวมตัวเข้าด้วยกัน  กลายเป็นเคียวยาวเล่มหนึ่งที่ปรากฏขึ้นในมือซ้ายของเด็กหนุ่ม

     

    คมเคียวโค้งยาวราวกับจันทร์เสี้ยว สาดสะท้อนแสงดาวเปล่งประกายวาววับคมกริบ ด้ามเคียวยาวเป็นสีดำสนิทมีความยาวพอๆกับส่วนสูงของฆฤณ เด็กหนุ่มมองเคียวยาวในมือด้วย

    ความรู้สึกหลงใหลราวกับโดนมนตร์สะกด

     

    แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกถึงอาการคลั่งที่มากขึ้นเรื่อยๆ โกรธ เกลียด แค้น ริษยา อาฆาต

    เหมือนอารมณ์ในด้านลบทุกอย่างจะมาสุมรวมอยู่ในจิตใจของเขา เด็กหนุ่มสั่นสะท้านไปทั้งร่างกล้ามเนื้อทั่วร่างเกร็งกระตุกปูดโปน  เหมือนเด็กหนุ่มกำลังจะควบคุมร่างกายตนเองไม่ได้ ทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้นจากคำสั่งของสมอง แต่ขับเคลื่อนด้วยสัญชาติญาณ

     

    ร่างในชุดขาวมองไปยังฆฤณที่กำลังหอบหายใจถี่หนักส่งเสียงคำรามคล้ายสัตว์ป่าดุร้ายหมายฆ่าเหยื่อ

     

    “แกเป็นตัวอะ.....”

     

    ประโยคสุดท้ายยังไม่ทันได้หลุดพ้นริมฝีปากของร่างในชุดขาว ฆฤณกระชับเคียวยาวเป็นแนวขวางตวัดฟันเข้าที่ลำคอของมันอย่างรวดเร็ว  เด็กหนุ่มคว้าเอาหัวที่โดนผ่าออกเป็นสองซีกของมันมาถือไว้  ขณะที่ร่างของมันยังไม่ล้มลงด้วยซ้ำแสดงให้เห็นถึงความเร็วของเขา

    ในการตวัดฟัน

     

    ฆฤณกระชากหัวที่เกือบถูกผ่าออกเป็นสองส่วนทิ้งไปซีกหนึ่ง  ส่วนอีกหัวอีกซีกเขายกมันขึ้นกลางอากาศ   แหงนหน้าอ้าปากรับเอาหยดเลือดที่ไหลหยดลงมาจากหัวของมัน เลือดแต่ล่ะหยดที่ไหลผ่านปากเข้าสู่ร่างทำให้เด็กหนุ่มรับรู้ได้ถึงพลั0งานแปลกประหลาดที่ไหลเวียนไปทั่วร่าง

     

    เลือดแต่ล่ะหยดที่ดื่มกินเข้าไปเติมเต็มทั้งความหิวและทำให้เกิดความหฤหรร  แต่เหนือสิ่งอื่นใดเขารู้สึกว่าเลือดแต่ล่ะหยดนั้นอร่อย!!! อร่อยมากกว่าอาหารชนิดใดๆก็ตามที่เขาเคยกินมาในชีวิตนี้ เลือดบางส่วนที่ไม่ไหลหยดลงในปากแต่หยดลงบนใบหน้าแทน

     

    ฆฤณถึงขั้นเอามือป้ายหยดเลือดเหล่านั้นเข้ามาในปากจนตอนนี้ใบหน้าของเด็กหนุ่มอาบชุ่มแดงฉานไปด้วยเลือด แต่แล้วจู่ๆซากร่างของหญิงชุดขาวก็ค่อยๆกร่อนสลายเป็นไอควันสีดำ

    เวียนกระหวัดไปมาและในที่สุดก็ถูกดูดดึงเข้าสู่เคียวยาวที่ตนเองถือเอาไว้

     

    ฆฤณรู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาเองก็ได้เสพย์รับพลังงานแต่ไม่มากและไม่ดีเท่าสิ่งที่เขาทำโดยตรง  จู่ๆเคียวยาวในมือของฆฤณก็สั่นระริกขึ้นมา โดยไม่ต้องผ่านการคิดไตตร่ตรอง

    จากสมอง ฆฤณรู้ทันทีว่าว่าเคียวเล่มนี้ยังกินไม่พอ มันอยากกินอีกเสพย์รับอีก

     

    “พอก่อนได้ไหม อ๊ะ!?”

     

    ฆฤณพูดพลางอุทานออกมาด้วยความแปลกใจ เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นมาดู เด็กหนุ่มพบว่า

    เขากลับมามากเห็นได้ชัดเจน เมื่อมองไปบนท้องฟ้ายามรัตติกาลเขาก็เห็นดวงดาวพรางพราวพรมเต็มท้องฟ้า

     

    แต่เหนืออื่นใดเขากำลังยืน ยืนด้วยขาของตนเองที่แทบจะใช้การไม่ได้ด้วยซ้ำ เมื่อสำรวจตามร่างกายตนเองเด็กหนุ่มก็พบว่าแผลสาหัสหายไปหมดหรือไม่ก็ทุเลาลงมาก  ความสงสัยกระแทกเข้าใส่สมองเด็กหนุ่มทันที 

     

    แต่จู่ๆเคียวที่นิ่งสงบไปแล้วกลับสั่นสะท้านรุนแรงขึ้นมาอีกถึงจะไม่รุนแรงมากแต่มันก็สั่นขึ้นอย่างมีนัยยะ  ด้วยสัญชาติญาณที่เชื่อมต่อเขาและมันเอาไว้ทำให้ฆฤณรู้ว่ามันกำลังต้องการกินอีก

     

    “ฆฤณๆ!!” 

     

    เสียงเรียกชื่อซ้ำๆดังขึ้นเขาจำได้ทันทีว่าเป็นเสียงของนิ่ม เด็กหนุ่มจึงรีบตะโนตอบกลับ

    พลางยกมือขึ้นโบกไปมาเพื่อให้เป็นจุดสังเกตุ ยิ่งอีกฝ่ายเข้ามาใกล้มากเท่าไหร่ เคียวยิ่งสั่นแรง

     

    ความสงสัยทำให้ฆฤณเพ่งตามองผ่านความมืด เขาพบว่านิ่มไม่ได้มาคนเดียวแต่มีเจ้าหน้าที่

    กู้ชีพมาอีกสามคน  มีสองคนหามเตียงสนามมา ส่วนอีกคนน่าจะเป็นแพทย์สนาม

     

    ฆฤIคิดคร่าวๆเอาด้วยเวลาที่มีจำกัด แหวนที่สามารถกลายเป็นเคียววงนี้ต้องการเสพย์กินวิญญาณ!!!

     

     

     

    ยิ่งอีกฝ่ายเข้ามาใกล้เคียวยิ่งสั่นหนักจนฆฤณตต้องใช้มือทั้งสองข้าง พยายามควบคุมมัน

     

    “นั่นมนุษย์นะเขาไม่ได้ทำอะไรผิด เขามาช่วยอย่าทำอะไรพวกเขา”

     

    ฆฤณตะโกนลั่นแขนทั้งสองข้างที่จับรั้งเคียวเอาไว้เกร็งจนเส้นเลือดผุดปูดโปน  แต่เคียวก็ยังไม่หยุดสั่น  คมเคียวหันมุ่งไปยังทิศทางที่พวกนิ่มกำลังจะมาถึง

     

    สิ่งที่เสพย์รับมาก่อนหน้านี้อย่างกระทันหัน การฆ่าสิ่งประหลาดอย่างโหดเหี้ยม อาการไร้

    สติที่ร่างกายถูกเข้าครอบครองชั่วขณะ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นซึ่งประดังเข้ามาโดยไม่ได้เเตรียมใจ

    มาก่อนส่งผลให้แก่นวิญาณของฆฤณเดือดพล่านไปด้วยอารมณ์มืดสุดจะหยั่งราวกับเหวลึกที่ไร้ก้นบึ้ง และแล้วเส้นโซ่ที่ดึงรั้งอารมณ์มืดอันร้ายกาจของฆฤณเอาไว้ก็ขาดสะบั้น 

     

    ดวงตาทั้งสองข้างของฆฤณสาดประกายสีแดงเลือดสว่างวาบ ราวมีประกายไฟลุกโชนออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างใบหน้าบิดเบี้ยวน่าหวาดหวั่นเกรงขาม

     

    “บอกว่าอย่าแตะต้องพวกเขา!!!!!” 

     

    ฆฤณตะคอกลั่นด้วยน้ำเสียงแหบต่ำทรงอำนาจเข้าใส่เคียวในมือ  ภายในเวลาไม่ถึงสามวินาทีด้วยซ้ำไปเคียวคมยาวในมือพลันกลายเป็นไอควันสีดำฟุ้งกระจายก่อนจะกลายสภาพเป็นแหวนรัดอยู่บนนิ้วเด็กหนุ่มเหมือนเดิม

     

    ฆฤณหอบหายใจหนักๆเพราะยังปรับสภาพที่เพิ่งข่มอารมณ์มืดลงได้ไม่นาน 

     

    “ฆฤณ”   

    นิ่มเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง และรีบวิ่งตรงเข้าหาฆฤณ แต่เมื่อเด็กหนุ่มหันหน้ามา

    ทำเอาเด็กสาวชะงักฝีเท้า  เธอก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว เพราะในดวงตาทั้งสองข้างของ

    ฆฤณสาดแสงสีแดงรางๆวาววาบในความมืด

    “อย่าเข้าใกล้ผม”

    นั่นคือคำพูดสุดท้ายก่อนที่สติของเด็กหนุ่มจะดับสลาย จนล้มวูบลงทั้งยืน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×