ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    KNOCK KNOCK! เป็นผีห้ามเคาะประตู

    ลำดับตอนที่ #9 : 09 : Post-Mortem

    • อัปเดตล่าสุด 10 ก.พ. 64


     

     

     

    คฤหาสน์ของวิลลิสอยู่กลางแมกไม้ล้อมไว้ด้วยกำแพงหิน มีพ่อบ้านและข้ารับใช้อยู่เพียงสองคนเท่านั้น พวกเขาเปิดประตูต้อนรับรถของวิลลิสเข้าไปพลางส่งยิ้มใจดีมาให้ ใบหน้าทั้งคู่ซีดเซียวไร้ชีวิตไม่ต่างกัน

    เบนจามินถูกพาตัวไปยังห้องนอนสำหรับแขก มีฝุ่นอยู่บ้างตามทางเดินแต่เตียงนอนกลับไม่เป็นเช่นนั้น วิลลิสสั่งให้แม่บ้านซักผ้าปูที่นอนทุกชิ้นอยู่เสมอเพื่อเตรียมพร้อมรับแขก แต่เพราะความชราภาพของแม่บ้านเอง จึงมีเรี่ยวแรงไม่มากอย่างที่ควร

    แม้แต่การเป็นผีก็ยังมีข้อจำกัดเหมือนตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่มีผิด

    วิลลิสค่อยๆ วางร่างหมดสติของมนุษย์เพียงคนเดียวในสถานที่แห่งนี้ลงกับเตียงสี่เสา เหงื่อกาฬผุดขึ้นบนใบหน้าขาว หัวคิ้วขมวดชนกันราวกับกำลังเผชิญหน้ากับฝันร้ายไม่รู้จบ ร่างโปร่งจึงได้เป่าขมับเบาๆ พร้อมกับลูบหัวปลอบประโลมจนอาการนั้นหายไป เด็กหนุ่มหลับใหลอย่างสงบ เจ้าของคฤหาสน์จึงได้ไหว้วานให้แม่บ้านช่วยดูแลต่อ

     

    ไคเลอร์ยืนพิงประตู เหม่อมองไปนอกหน้าต่าง เนื่องจากคฤหาสน์ตั้งอยู่บนเขาจากทิศและความสูงของที่แห่งนี้ ทำให้มองเห็นป่าได้ชัดเจน และในตอนเช้าอาจจะมองเห็นบ้านของไคเลอร์เสียด้วยซ้ำหากเพ่งมองให้ดี เป็นครั้งแรกที่ได้มาเยี่ยมสหาย ชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งแทบจะทำตัวไม่ถูก แต่มันไม่ใช่เรื่องที่รกอยู่ในหัวเขาตอนนี้ ทุกความคิดถึงมันตกไปอยู่กับเด็กหนุ่มที่เขาทอดทิ้งอยู่ในป่าเพียงลำพัง

    ผีผ้าคลุมจะเป็นอย่างไรบ้าง นั่นต่างหากล่ะ

    ทีโอดอร์คุ้นเคยกับป่า บางครั้งเขาก็จะแค่หายไปเฉยๆ แล้วกลับบ้านด้วยเนื้อตัวมอมแมม หรือผ้าคลุมขาดหวิ่น เต็มไปด้วยหญ้าเจ้าชู้เกาะชายผ้าตามประสาเด็กซุกซน

    ในส่วนลึกไคเลอร์คิดว่าสิ่งนี้ไม่ถูกต้องเลย การที่ปล่อยทีโอดอร์ไว้กับโชคชะตา แต่กระนั้น การกระทำหลายๆ อย่าง ที่ไม่น่าไว้วางใจยังคงสนับสนุนความคิดที่ควรปล่อยให้ผีตนนั้นเร่ร่อนในป่าลำพัง

    เพราะความกลัวทำให้เขาลงมือทำสิ่งที่น่าอับอายเช่นนี้ ช่างเป็นคนที่ขี้ขลาดเหลือเกิน

    'โง่เขลาและตาขาวเสียจริงเจ้าเด็กพวกนี้'ย่าบอกกับเขาในวันหนึ่งยามที่ยังเป็นเด็ก ไคเลอร์เคยเป็นเด็กตัวผอมที่สุดในกลุ่มเด็กวัยเดียวกัน นั่นเลยทำให้เขาดูอ่อนแอและถูกรังแกอยู่บ่อยครั้ง

    'วันนึงถ้าเอ็งอยากจะปกป้องใครสักคน ก็มีความกล้าให้มากกว่านี้เพื่อเขาด้วยล่ะ'

    'แต่ผมจะปกป้องใครได้ล่ะครับ ถ้าผมยังเป็นเด็กขี้ขลาดอยู่อย่างนี้' ดวงตาของไคเลอร์เศร้าสร้อย หญิงชราวางมือของเธอกับบ่าหลานชายและเรียกชื่อเพื่อให้เขาได้สบตากับเธอตรงๆ คำพูดของเธอไม่ได้ทำให้ไคเลอร์เป็นเด็กที่กล้าจะสู้เด็กใจร้ายพวกนั้นกลับ แต่มันถูกบันทึกลงในใจของเขามาเปป็นเวลานานหลายปี

    'คนที่กล้าหาญไม่ใช่คนไร้ความกลัวนะ ไคเลอร์'

    'พวกเขากลัว แต่ยังลุกขึ้นสู้ นั่นแหละความกล้าหาญ'

     

    “คิดอะไรอยู่” วิลลิสวางมือกับบ่าเรียกไคเลอร์ออกจากภวังค์ ชายหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธ “แกดูเครียด มากกว่าครั้งที่เราเจอกันก่อนนี้เสียอีก”

    “แกตายเมื่อไหร่” ไคเลอร์จู่โจมคำถามเพื่อเบี่ยงประเด็นการพูดคุย เขาโกหกไม่เก่ง แต่วิลลิสที่เห็นดังนั้นก็ทำเพียงแค่ปล่อยให้สหายจัดการความรู้สึกของตนตามที่ต้องการ

    “สามเดือนที่ผ่านมา”

    “ก่อนที่เราจะเจอกันน่ะสิ”

    “ใช่ ไม่เคยรู้เลยกระทั่งเจอหลุมศพตัวเองในสุสานหลังเจรจาเรื่องธุรกิจเมื่อไม่นานมานี้ ใครบางคนบอกกับกันว่ากันถูกวางยา” สายตาที่มองกลับมานั้นเรียบนิ่ง เฉยชา “กันเลยได้ชักไซ้ไล่เลียงต่อ ถึงรู้ว่าผู้คนส่วนใหญ่ในเมืองนี้หมดลมหายใจไปแล้วทั้งนั้น ทั้งแก และกัน พวกเราถูกดึงดูดเข้ามาที่นี่ เพื่อเป็นสถานที่สำหรับวิญญาณที่ยังมีห่วง หรือไม่รู้ตัวว่าอายุขัยของตนนั้นหมดสิ้นไปแล้ว ไม่ต่างจากสถานที่กักกัน”

     

    “เราเรียกที่นี่ว่าสุสาน เพื่อนเอ๋ย คนที่จะออกไปได้มีเพียงคนที่ได้รับโอกาสให้มีชีวิตทั้งนั้น หนทางเดียวที่จะหลุดพ้น ก็เพียงแค่สะสางเรื่องที่ค้างคาใจออกให้สิ้น แต่ก็ยังทำได้ยากอยู่ดี”

    วิลลิสเดินนำในฐานะเจ้าของบ้าน ที่แห่งนี้ไม่ได้ใหญ่นัก มีฝุ่นอยู่ทุกหนทุกแห่ง บนผนังเป็นรูปวาดของบรรพบุรุษ เรียงรายสลับกับอาวุธจำพวกขวานและดาบของอัศวินในยุคเก่า

    “นายแปลกที่ไม่มีใครบอกความจริงที่เราตายแต่แรก” ไคเลอร์ตั้งข้อสงสัย วิลลิสเพียงหัวเราะร่าให้กับประโยคนั้น

    “พวกผีเรียกกันว่ามารยาทที่จะไม่เอ่ยทักคนที่ตายไปแล้วอย่างไรล่ะ ถ้าเป็นอย่างนั้นคงรู้สึกไม่ดีและเชื่อผู้ที่พูดยากไปกันใหญ่ บางทีอาจจะเสียสูญจนกลายเป็นผีวิกลจริตไปเลยก็ได้”

    “แล้วพวกเราต้องเป็นแบบนี้ไปจนกว่าจะรู้ตัวน่ะหรือ”

    “เป็นอย่างนั้นแลเพื่อนเอ๋ย จนกว่าใครสักคนจะลุกขึ้นมาเปลี่ยน แต่มันก็เป็นอย่างนี้มาตลอดอยู่แล้วมิใช่หรือ” วิลลิสหยุดฝีเท้า หันไปมองไคเลอร์แวบนึง “แกต้องได้มาเห็นนี่เสียก่อน”

    เขาผลักประตูเข้าไปยังห้องๆ นึง มีชั้นวางหนังสือสูงไปถึงเพดาน อีกด้านเป็นโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยเอกสาร มีจดหมายสองสามฉบับ หนึ่งในนั้นเป็นจดหมายของไคเลอร์ รูปวาดเหมือนจริงของทีโอดอร์กางอยู่บนกระดาน ถูกปักไว้ด้วยหมุด

    “กันว่ากันคุ้นหน้าค่าตาเด็กคนนี้มาก” วิลลิสกล่าว “แต่ก็นึกไม่ออกว่าพบเจอที่ไหน จึงได้ให้เบนนี่ที่ร้านหนังสือช่วย และนี่คือสิ่งที่เขาพบในหนังสือพิมพ์ของกันเมื่อหลายเดือนก่อน”

    เขาค้นลิ้นชักเพื่อหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งขึ้นมาพร้อมกับซิก้าร์ หมุนควงไฟแช็กที่หยิบมาจากกระเป๋าขึ้นจุดอย่างวางมาด

    หน้าหนังสือพิมพ์มีภาพถ่ายขาวดำประกอบตรงกลาง มีคนสองคนอยู่ในภาพ ภาพของเด็กชายวัยสิบกว่าถ่ายคู่กับผู้เป็นมารดาในสวน ทั้งคู่นั่งอยู่บนสนามหญ้า ดวงตาของเด็กชายเหม่อลอยออกไปยังแม่น้ำ ในขณะที่ผู้เป็นมารดานั้นมอบสายตารักใคร่ให้กับเขา มันแฝงไปด้วยความโศกเศร้าจนไคเลอร์ไม่กล้าที่จะมองภาพนี้นานๆ ตัวอักษรเล็กๆ กำกับเอาไว้ใต้ภาพว่าเป็นภาพถ่ายของคนตาย มุมซ้ายปรากฏชื่อของคนสองคน

    เคานท์เตสดอริส กับ ท่านชายทีโอดอร์ ดอริส

    ไคเลอร์ใช้ปลายนิ้วสัมผัสชื่อนั้นบนผิวกระดาษ ชื่อที่แท้จริงของโดทีโอดอร์ช่างฟังดูเหินห่างกับเขามากเหลือเกิน

    ชายหนุ่มดึงสติให้กลับมาโฟกัสกับข่าวอีกครั้ง เขาเคยเห็นภาพแนวนี้มาบ้าง ช่างภาพจะจัดท่าทางของคนตายให้ดูเหมือนกับนอนหลับหรือยังมีชีวิตอยู่ ชายหนุ่มนึกย้อนกลับไปถึงสภาพศพของตัวเอง

     

     

     

    ป่านนี้คงจะแข็งทื่อ เละเทะเกินกว่าจะจัดท่าถ่ายรูปอย่างนี้ได้แล้ว

    ไคเลอร์ไม่ยอมละสายตาห่างไปจากหนังสือพิมพ์หน้านั้นและอ่านรายละเอียดของข่าวโดยทันที

    “เคาท์เตสดอริสนำร่างของท่านชายทีโอดอร์ ดอริสซึ่งสีชีวิตจากหัวใจล้มเหลวโดยฉับพลันขึ้นจากหลุมในสุสานอาภรณ์ไร้ชีวิต โดยเชื่อว่าบุตรชายยังมีลมหายใจ จากคำพูดของแม่บ้านคนสนิทได้ให้ข้อมูลเพื่อคลายสงสัยว่าเคานท์เตสฝันเห็นท่านชายทีโอดอร์กรีดร้องอย่างทุกข์ทรมานในหลุมฝังศพ อ้อนวอนขอให้ได้มีชีวิตอยู่ต่อ ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องตาย

    เคานท์เตสดอริสตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะฝันเป็นลาง และได้สั่งการให้ทาสรับใช้พาเขาขึ้นมาและเลือกที่จะวางเขาไว้ในห้องนอน ผ่านไปหลายเดือนราวกับเป็นปาฏิหาริย์ ร่างของท่านชายทีโอดอร์ไม่แข็งทื่ออย่างที่ศพควรจะเป็น ลักษณะไม่ต่างจากเด็กชายผู้หลับใหล และดูราวกับตัวเขาอายุมากขึ้นตามเวลาที่หมุนเวียนผ่านไปเสียด้วย

    บาทหลวงโจนส์จากโบสถ์เซนต์นิโคลัสออกความเห็นไม่ดีนักเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ...” ไคเลอร์ชะงัก มีร่องรอยเหมือนกับรอยหมึกเปื้อนใหญ่อยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ เขาจึงได้อ่านต่อในส่วนที่อ่านได้

    “แม้จะถูกมองในแง่ร้ายเพียงใด เคานท์เตสดอริสยังคงเชื่อมั่น เฝ้ารอให้บุตรชายกลับมาอย่างมีหวัง..”

    “คนร่ำรวยนี่ช่างเอาแต่ใจ” วิลลิสออกความเห็น แบ่งม้วนซิก้าร์ให้สหายอัดนิโคตินเข้าร่าง ควันสีเทาลอยหมุนเป็นหมอกอยู่ในห้อง “เด็กคนนี้ คือผีที่รังควานแกในบ้านที่เคยเล่าให้กันฟังที่ร้านเหล้าน่ะหรือ”

    ไคเลอร์ทำหน้าเคร่งเครียดก่อนจะพยักหน้า แม้เขาจะเมา แต่ความงดงามเสมือนตุ๊กตาปั้นที่เป็นเอกลักษณ์นี้ใช่ว่าจะได้เห็นที่ไหนบ่อย “ไม่ผิดแน่ คนนี้แหละ”

    “แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหนซะล่ะ ยังอยู่ที่บ้านไหม”

    ไคเลอร์ไม่ตอบอะไร

    “เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่บ่อย แต่เกิดขึ้นได้” วิลลิสพูดอีกครั้ง เขาหมายถึงการที่ใครสักคนอยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นและความตาย “เราแค่ต้องมองสัญญาณก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป”

    “นายหมายความว่าอย่างไร”

    “หากว่ายังรอช้ากว่านี้ อีกไม่นานหากวิญญาณยังเข้าร่างไม่ได้ เขาก็จะตายจริงๆ ร่างนั้นจะเป็นเพียงแค่ศพเมื่อถึงคราวหมดอายุขัย และวิญญาณอาจวิกลจริต เป็นผีเฮี้ยนเลยก็ได้”

    หัวใจของไคเลอร์กระตุกวูบ เต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ

    ภาพของทีโอดอร์ฉายซ้ำอยู่ในหัว ตอนนี้ ในตอนที่เขารู้อะไรมากขึ้น เขากลับรู้สึกว่าตัวเองโง่เหลือเกิน

    “แล้วเราทำอะไรได้บ้าง”

    “ตอนนี้ยังไม่มีใครพบวิญญาณของเขา หากว่าเขาเข้าร่างเมื่อไหร่ ก็จะสามารถมีชีวิตต่อได้ไม่ต่างจากคนปกติ”

    ไคเลอร์มีสีหน้าเศร้าสร้อย พลันนึกถึงสิ่งที่ทีโอดอร์ปรารถนา

    เด็กหนุ่มเพียงแค่อยากจะเห็นรอยยิ้มของผู้เป็นมารดา

    แม้แต่ในภาพถ่ายขาวดำ ใบหน้าของเคานท์เตสดอริสก็ยังคงโศกเศร้า

    หากโชคชะตากำหนดให้ทีโอดอร์รอด เขาจะไม่เป็นคนปล่อยให้เด็กคนนั้นตายด้วยน้ำมือเขาอย่างแน่นอน

    “แล้วเป็นมาอย่างไร เด็กร้านกันถึงได้หวาดกลัวขนาดนั้น แกไป--เฮ้ย แกจะไปไหน” วิลลิสร้อง ตอนที่ไคเลอร์วิ่งออกประตูพร้อมกับตะเบ็งเสียงไล่หลัง

    “แล้วฉันจะกลับมา!”

    เขาต้องกลับไป ต้องรีบกลับไป

    ไคเลอร์ปล่อยให้แสงจันทร์และดวงดาวนำทาง สองขาวิ่งสวนทางกับลมหนาว กู่ร้องหาทีโอดอร์ดังกังวานไปทั่วป่า

    ป่านนี้จะอยู่อย่างไร จะกลับบ้านถูกหรือเปล่าก็ยังไม่รู้

    ขอเถอะ อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปเลย

     

    ทีโอดอร์หย่อนขาลงจากหลังรถที่แอบปีนขึ้นไป มันพาตัวเขามาไกลกว่าที่คิด เมื่อมองไปโดยรอบกลับพบพุ่มไม้เขียนที่ส่องสว่างด้วยคบเพลิง อีกด้านเป็นคฤหาสน์ใหญ่โต ความซ่อมซ่อของมันให้ความรู้สึกแสนเย็นชากลับมา ผีผ้าคลุมพลันหวนนึกไปถึงบ้านหลังเล็กอันอบอุ่นของไคเลอร์

    ป่านนี้คนๆ นั้นคงถึงบ้านแล้วนั่งหน้าเตาผิง ฟังเสียงกล่องดนตรีกล่อมตัวเองหลับไปแล้วแน่ ยิ่งคิด ทีโอดอร์ยิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเจ้าของบ้านขึ้นมาทุกขณะ

    ตัวเขาหลังจากที่โดนไคเลอร์ทอดทิ้งไว้กลางป่าออกเดินอย่างไร้จุดหมาย ไม่มีเหตุผลที่จะต้องรอ ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง ทีโอดอร์พบถนนในที่สุด แต่กระนั้นก็ไม่มีความหมายใดๆ เพราะตัวเขาไม่มีบ้านให้กลับ ดังนั้น เขาเพียงแต่เดินทอดน่องไปเรื่อยๆ

    มีรถคันหนึ่งจอดอยู่กลางถนน สีดำสนิทกลมกลืนไปกับความมืด ทีโอดอร์ก้าวเข้าไปใกล้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เด็กหนุ่มเดินวนรอบรถสองรอบด้วยกัน แต่ประตูทุกบานกลับปิดล็อค เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่แล้วก็เหลือไปเห็นพื้นที่สำหรับวางสัมภาระ เขากระชากผ้าคลุมทั้งผืนขึ้น มีหนังสืออยู่หลายเล่มกองเป็นตั้งอยู่ในนั้น ผีผ้าคลุมหันซ้ายมองขวาไม่เห็นใคร จึงได้ยกเอากองสัมภาระและหนังสือบางส่วนไปซ่อนในพุ่มไม้ให้พอมีพื้นที่สำหรับตัวเขา

    ทีโอดอร์ผู้อ่อนแรงปีนขึ้นไปบนรถ ก่อนจะดึงเอาผ้าคลุมตัวเองอีกขั้นกันลมหนาว ถึงแม้จะเป็นเพียงผืนผ้าบางๆ ก็ตาม เสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ตัวรถ เสียงเปิดปิดประตูและการขยับโยกตามน้ำหนักของผู้นั่งทำให้รถทั้งคันสั่นสะเทือน แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้สนใจ ห้วงนิทราเรียกหาเขาแล้ว

    และแม้จะนอนหลับไปในเวลาเพียงสั้นๆ ทีโอดอร์ก็ตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลอีกหน รู้ตัวอีกทีก็อยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้เสียแล้ว

    เขาตื่น เพราะมีใครบางคนเรียกหา

    “ทีโอดอร์!!”

    ร่างน้อยหันขวับและทันเห็นเงาตะคุ่มของชายคนหนึ่งวิ่งออกไปจากกำแพงหิน มุ่งหน้าเลี้ยวจากถนนไปสู่ป่า

    ทีโอดอร์หาววอดและรู้ได้ว่ามีใครคนหนึ่งกำลังจับตามอง ผีผ้าคลุมสบตากับพ่อบ้านคนหนึ่งที่มารับสัมภาระท้ายรถ ชายแก่เองก้ตกใจไม่แพ้กัน ไม่รู้ว่าทำไมมีผีเด็กมานอนตรงนี้

    ผีผ้าคลุมก้าวขาลงจากรถอย่างระมัดระวัง ก่อนจะกล่าวทักทายตามมารยาทที่ผู้นำผีเป็นผู้สอน

    “สวัสดีครับ”

    “โอ้สวัสดี! เธอเป็นใครกันนี่” พ่อบ้านของวิลลิสส่งยิ้มให้อย่างนึกเอ็นดู “ข้างนอกนี้อากาศหนาวนะ มาสิ เข้ามาพักกับเราก่อนเถอะ ให้ฉันได้ทำความรู้จักเธอ”

    ทีโอดอร์มีท่าทีลังเล อสูรกายในท้องของเขากำลังคำรามร้องหาอาหาร เด็กหนุ่มกอดท้องตัวเองอย่างอายๆ เขาลืมไปว่าไคเลอร์กับเขายังไม่ได้ทานอาหารเย็นกันเลย ขณะที่ชายแก่หัวเราะร่า

    “เมียฉันทำเค้กเก็บไว้ในครัว ฉันไม่ชอบของหวาน เธอจะกินมันก็ได้นะ มาสิ”

    “ได้หรือครับ” ดวงตาของทีโอดอร์เป็นประกาย

    ได้เค้กสักชิ้นในวันธรรมดาที่ไม่ใช่วันเกิด พิเศษไม่น้อย

    “คุณใจดีจัง” ทีโอดอร์พยักหน้า คว้ามือออกไปจับมือที่เหี่ยวย่นด้วยความชราภาพก่อนจะออกเดินเคียงคู่ชายแก่ต้อยๆ ทิ้งความสงสัยว่าใครคือผู้ปลุกเขาจากความหลับใหลเอาไว้ข้างหลัง

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×