คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : 07 : The Man Who Saw a Ghost
ทีโอดอร์เดินเข้ามาในบ้าน เมื่อเห็นว่าไคเลอร์กำลังยืนตกตะลึงอยู่หน้าประตูห้องใต้ดิน จ้องมองไปยังร่างตนที่โดนฝูงหนูกัดแทะ จึงเดินเข้าไปจูงมือเขาไปยังห้องทำงาน ชายหนุ่มผู้กลายเป็นวิญญาณโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเดินราวกับกำลังลอย ผีผ้าคลุมพาเขานั่งบนโซฟาแสนสบาย ตั้งใจว่าจะไปจุดไฟหน้าเตาผิงแต่มือใหญ่คว้าข้อมือเขาเอาไว้ก่อน
“ตั้งแต่เมื่อไหร่” ไคเลอร์พูดเสียงอ่อนแรง ความเหนื่อยล้าทำให้เขาดูแก่กว่าวัย
“ฉัน..ตายตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ตั้งแต่วันแรกที่เราพบกัน” น้ำตาหยดหนึ่งหล่นจากเบ้า ทีโอดอร์คุกเข่าลงตรงหน้า กุมมือชายหนุ่มเอาไว้ ออกแรงบีบเบาๆ “ผมกลับมาอีกครั้ง คุณก็นอนหมดลมหายใจบนพื้น หัวคุณกระแทกกับตู้บนหัวนอน เลือดไหลนองไปทั่วบริเวณ”
ในคืนเดือนดับคราวนั้น ทีโอดอร์ลากขาไคเลอร์จากห้องนอนไปยังห้องใต้ดินโดยไร้ไฟส่อง แว่วเสียงหมาป่ากู่ร้องมาจากในป่าทึบ เปรียบเหมือนบทเพลงขับกล่อมคนตายให้หลับสบาย
ไคเลอร์ไม่ใช่ผู้ชายตัวโตเต็มไปด้วยมัดกล้าม แต่ก็ใช่ว่าจะให้ความร่วมมือในการถูกลากจูงไปได้ง่ายๆ ใช้เวลาราวสองชั่วโมงในการลากเขาไปยังห้องใต้ดินและทำความสะอาดคราบเลือดที่เปรอะอยู่บนพื้น เขาเฝ้ารอการกลับมาของวิญญาณอย่างใจจดใจจ่อ
ไคเลอร์จะตื่นขึ้นมา และลืมทุกอย่างไปเหมือนเขาไหมนะ
ลืมทางกลับบ้าน ใบหน้าของพ่อแม่ ความทรงจำที่เคยมี
เขา..จะตื่นขึ้นมาพร้อมความว่างเปล่าเหมือนกันไหม
หนึ่งวัน
สองวัน
สี่วัน
เจ็ดวัน
และแล้วชายหนุ่มก็กลับมาพร้อมกับเค้ก สิงอยู่ในห้องทำงานกับกล่องดนตรีที่ส่งเสียงไพเราะไปทั่วบริเวณ
จิตวิญญาณของไคเลอร์ยังคงมีความเป็นมนุษย์มากกว่าผี นั่นอาจเป็นเหตุผลนึงที่ชายหนุ่มไขว่คว้าตัวเขาไม่ได้ในทีแรกราวกับอยู่กันคนละโลก
“โดยปกติแล้วคนไม่สามารถเห็นผีได้ง่ายดายนัก ยกเว้นว่าพวกเขากำลังจะตาย ไม่แปลกเลยที่คุณจะเห็นผม”
“กฎของผีข้อที่เก้าสิบ ผีไม่สามารถขุดหลุมฝังศพได้ด้วยตัวเองไม่ว่าในกรณีใด ผมจึงเก็บร่างคุณไว้ในห้องใต้ดิน ส่วนที่ใกล้ผืนดินมากที่สุด คนที่คุณได้พบหลังจากวันนั้น ทุกคนได้ตายลงแล้ว”
“ทำไมเธอถึงไม่บอกฉันในทันที หลังจากที่ฉันตาย”
“มันเป็นกฎอีกเหมือนกันที่คุณต้องรู้ด้วยตัวเองในเรื่องนี้ และมันไม่ใช่หน้าที่ที่ผมจะต้องบอก”
“ออกไป”
“ไคเลอร์”
“ได้โปรด ไปให้พ้น”
ผีผ้าคลุมสงสารไคเลอร์จับใจ ชายหนุ่มไม่ตะคอกเขาแต่ก็มีแวบนึงที่หัวใจรู้สึกเจ็บปวด ไคเลอร์ผลักไสเขาออกห่าง
แม้เคยเห็นเจ้าของบ้านโมโหมาหลายรอบ แต่ไม่เคยเห็นเขาเสียใจมาก่อน นั่นทำให้ผีรู้สึกแย่กับกฎห้าร้อยประการของผีเป็นครั้งแรก
ทีโอดอร์เช็ดน้ำตาที่ไหลอย่างลวกๆ จุดไฟในเตาผิงให้ความอบอุ่นแก่หัวใจที่กำลังหนาวเหน็บ พร้อมกับไขลานกล่องดนตรีให้ไคเลอร์ก่อนจะเดินออกไปให้พ้นสายตา
ประตูถูกปิดลงตามหลัง ทีโอดอร์ยังยืนอยู่หน้าประตูไม่ไปไหน ซึมซับเสียงสะอื้นสั้นๆ อย่างเศร้าโศก ขณะนี้ความมืดได้กลืนกินบ้านทั้งหลัง เป็นครั้งแรกตั้งแต่ตายที่เขารู้สึกว่าอากาศรอบตัวนั้นเย็นลง
เสียงนาฬิกาดังก้องอยู่ในหูหลังจากเสียงดนตรีหยุด
ไม่นานนัก ประตูบานเดิมก็เปิดอีกครั้ง ผีผ้าคลุมเซถลาโดยไม่ทันตั้งตัว โชคยังดีที่ไคเลอร์คว้าตัวเขาเอาไว้ก่อน กลับกลายเป็นว่าต้องไปปะทะกับอกเปลือยเสียเอง
“เธอบอกว่าคนใกล้ตายจะมองเห็นวิญญาณใช่ไหม”
“ค..ครับ”
“แล้วเบนจามินยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า”
ไม่แปลกนักที่ไคเลอร์จะแยกไม่ออกระหว่างคนเป็นกับคนตาย ทีโอดอร์ผู้มองเห็นตั้งแต่เบนจามินก้าวขาเข้ามาในบริเวณบ้าน ก็รู้ได้ทันที จากลมหายใจอุ่นๆ และดวงตาฉายแววแห่งชีวิตราวกับดวงตะวัน ผีผ้าคลุมพยักหน้าเร็วๆ ไคเลอร์ผละจากเขาก่อนจะวิ่งไปคว้าแจ๊คเก็ตมาสวมให้ตัวเอง ตรงดิ่งไปยังประตู
“คุณจะไปไหน” ทีโอดอร์ร้องถาม แต่ชายหนุ่มไม่ตอบ ประตูถูกปิดใส่หน้าผีผ้าคลุมดังปัง!
เบนจามินกำลังตกอยู่ในอันตราย เรื่องนั้นไคเลอร์มั่นใจ เด็กคนนั้นยังมีอนาคตที่ดีกว่ามาตายในเร็ววันนี้
ผีผ้าคลุมวิ่งตามเขาออกมาจากตัวบ้าน ตัวติดกันจนแทบจะสิงอยู่รวมร่อ ริมฝีปากก็พร่ำบ่นมาตลอดทาง
“ให้ผมไปด้วย”
“อยู่ให้ห่างจากฉัน”
“ผมจะไปกับคุณ”
บางครั้งผีตนนี้ก็น่ารำคาญ
“ขึ้นมา แล้วอย่าสร้างปัญหา”
ไคเลอร์ลากจักรยานของเบนจามินมาใช้ และปล่อยให้ผีน้อยยืนเกาะบ่าเขาไว้ขณะออกตัว ชายหนุ่มยังไม่แน่ใจนักว่าตัวเองต้องทำอย่างไรกับสภาพของตัวเองที่เป็นอยู่ บางทีการมีอยู่ของทีโอดอร์อาจจะช่วยเขาได้
ก็เรียกคืนชีวิตกลับมาไม่ได้อยู่แล้ว
“อย่าคิดว่าฉันให้อภัยกับเรื่องที่เธอทำแล้วล่ะ” ไคเลอร์เตือน ผีผ้าคลุมพยักหน้าแม้เขาจะมองไม่เห็น
“เจ้าคนผอมกะหร่องแบบนั้น ไปได้ไม่ไกลนักหรอก”
“คุณอย่าประมาทหัวขโมยนักเลย” ทีโอดอร์โต้ “เจ้าคนนั้นเอานาฬิกาทองคำของคุณติดมือไปด้วยเชียวนะ ผมเห็นในมือเขาตอนที่เขาเปิดประตูห้องใต้ดิน รู้อย่างนี้ยังอยากช่วยอยู่ไหม”
“ชีวิตคนมีค่ามากกว่านาฬิกาหนึ่งเรือนนะทีโอดอร์” ไคเลอร์ดุ ถีบจักรยานทะยานไปข้างหน้าให้เร็วขึ้น “แต่ถ้าเจอตัวเมื่อไหร่ ขอหลอกให้ขนหัวร่วงก่อนเป็นอันดับแรกแล้วกัน”
ป่ากำลังโหยหวน สองวิญญาณมุ่งหน้าเข้าสู่ความมืด เมฆบดบังดวงจันทร์เสียหมด ไคเลอร์ไม่กลัวป่า ครั้งยังเป็นเด็กเขาเคยอาศัยอยู่ในกระท่อมกลางป่ากับคุณย่าเกือบครึ่งค่อนชีวิต ที่ที่เขาได้เรียนรู้ทุกอย่าง ป่าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา
“ฉันต้องท่องกฎบ้าๆ บอๆ เหมือนเธอไหม” ไคเลอร์ถามผีผ้าคลุม แม้จะรู้ว่าการพูดแบบนั้นมันหยาบคายกับเขาก็ตาม ทีโอดอร์เงียบไปจนเขาคิดว่าคงไม่ตอบกลับ แต่ประโยคถัดมาทำเอาไคเลอร์ไม่อยากจะเอ่ยอะไรอีกเลย
“ถ้าไม่ศรัทธาก็ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก”
“ระวัง” ผีผ้าคลุมบีบไหล่คนตัวสูง สองหูได้ยินเสียงดังมาจากด้านหน้า
“เหตุทะเลาะวิวาทหรือ” ไคเลอร์ขมวดคิ้ว พาจักรยานไปจอดไว้ข้างทาง “ไม่รู้ว่าข้างหน้าเป็นคนหรือผี แต่ระวังเอาไว้ก็ดี”
“อืม”
พวกเขาทั้งสองได้ยินเสียงร่ำไห้มาแต่ไกลปะปนไปกับเสียงหัวเราะน่าเกลียด วิญญาณทั้งสองไม่ได้หลบซ่อนตัวเพราะรู้ว่าคงไม่ได้มีใครสังเกต
เป็นเบนจามินไม่ผิดจริงๆ กำลังกุมมือทั้งสองข้างของตนประสานกัน อ้อนวอนขอให้ชายฉกรรจ์สามคนที่รุมล้อมเขาไว้ชีวิต
คนหนึ่งเป็นชายมีเคราแดง ไร้เส้นผม ทำให้ทีโอดอร์นึกถึงโจรสลัดในหนังสือนิทาน อีกคนเป็นชายกล้ามโต หน้าตาดุดัน และคนสุดท้าย ใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตร ผมสีบลอนด์
“อย่าพาตัวผมไป อึก..ผมไม่อยากถูกขาย ได้โปรดเถอะพี่ชายของผม” เบนจามินเสียขวัญ หันหน้าไปคุยกับพี่ชาย “ให้..ให้ผมกลับไปรับใช้พี่เถอะ อย่ายกผมให้คนอื่นเลย ผมยังมีประโยชน์นะ น..นี่ นาฬิกาที่ผมขโมยมาได้”
เด็กหนุ่มค้นตัวเองและยื่นนาฬิกาเรือนทองไปให้ คอนเนอร์พยักหน้าให้ชายผู้มีเคราสีแดงรับมันไว้ เบนจามินมองชายหนุ่มอย่างมีความหวัง
“น้องรักของฉัน” คอนเนอร์แตะมือกับแก้มบอบช้ำของเด็กหนุ่มอีกครั้งหนึ่ง “ฉันเสียใจกับเรื่องที่จะบอก แต่ฉันรับเงินมาแล้วนั่นแปลว่าไม่ว่าอย่างไร แกก็จะต้องถึงมือพ่อค้าไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ลุกขึ้นเสียเถอะ”
เบนจามินไม่พูดอะไร เพราะรู้ดีว่าไม่อาจสู้กำลังชายทั้งสามได้อยู่แล้ว
คอนเนอร์เป็นนักธุรกิจ และเบนจามินนั้นเกลียดธุรกิจที่พี่ชายเขาทำเป็นที่สุด เด็กหนุ่มและเด็กสาวมากหน้าหลายตาที่ขึ้นรถเครื่องหายลับไปในยามวิกาลพร้อมกับที่คอนเนอร์เป็นผู้ดูแล นั่นคือภาพที่เบนจามินเห็นจนชินตา สภาพหมดไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ดวงตาล่องลอย
เบนจามินที่ยังเด็กเกินกว่าจะรับมือไหว ก่อนที่เขาจะบรรลุนิติภาวะพอจะไปช่วยงายพี่ชาย เขาประกาศก้อง ขอหาเงินโดยสุจริต คอนเนอร์ไม่ขัดเจตนารมณ์อันดีงามนั้น เพียงแค่ยืนข้อเสนอเดียว
หากเขาหาเงินมาไม่ได้ในแต่ละวัน และถ้าวันใดวันหนึ่งพี่ชายตัดสินแล้วว่าเบนจามินนั้นไร้ประโยชน์ที่จะลงมือทำอะไรตามใจ เมื่อนั้นจุดจบก็ไม่ต่างจากหนุ่มสาวที่ขึ้นรถสีดำสนิท
เพื่อตีตั๋วไปยังดินแดนนรก
หลังจากที่ไคเลอร์ยื่นมือเข้ามาชี้แนะนำทางให้เขาไปหาเจ้าของร้านหนังสือที่ชื่อวิลลิสแล้ว ถึงป่านนี้ก็ยังไม่เคยได้พบตัวจริง มีเพียงคำสั่งของเขาที่บอกผ่านทางโทรศัพท์และชายวัยกลางคนที่มีรอยยิ้มอบอุ่นนามว่ามิสเตอร์เบนนี่เท่านั้น
ในความเป็นจริง เขาไม่มีทางหนีไปจากผู้ชายร้ายกาจอย่างคอนเนอร์ได้อยู่แล้ว
จู่ๆ เบนจามินก็ขนลุกวาบอย่างไม่ทราบสาเหตุ บรรยากาศรอบตัวเย็นจนเริ่มจะหนาวกะทันหัน เด็กหนุ่มมองไปรอบๆ ความรู้สึกบอกเขาเอาไว้ว่ามีบางอย่างไม่ปกติ
ร่างในผ้าคลุมสีขาวสะอาดคือสิ่งที่เบนจามินเห็นกลางถนน เขาตอบสนองต่อร่างนั้นจนคอนเนอร์อดที่จะสงสัยไม่ได้ เมื่อมองกลับไปก็พบสิ่งเดียวกับน้องชาย ร่างนั้นยืนนิ่ง ไม่ไหวติง
คอนเนอร์ลุกขึ้นช้าๆ ยกมือปรามสหายชายทั้งสองที่อยู่ด้วยกันไม่ให้ทำตัวผิดสังเกตุ จากการประเมินด้วยสายตาแล้ว ก็ไม่ต่างจากเด็กวัยรุ่นสักคนหนึ่ง ดูไม่ออกแน่ชัดว่าเป็นชายหรือหญิง เพราะส่วนที่เห็นโผล่พ้นผ้าคลุมมาก็มีเพียงเรียวขาขาวดุจน้ำนมกับเท้าเปลือยเปล่าเปรอะคราบดินก็เท่านั้น
คอนเนอร์เดินเข้าไปใกล้ร่างนั้น พร้อมกับส่งยิ้มทักทาย อย่างที่เขารู้ดีว่ามันคือรอยยิ้มจอมปลอมที่ได้ผลดีที่สุด ในการหลอกล่อเด็กไร้เดียงสา
“สวัสดีเด็กน้อย มาทำอะไรอยู่ตรงนี้คนเดียวค่ำๆ”
“...”
“เธอชื่ออะไร หืม”
ร่างใต้ผ้าคลุมส่งเสียงแปลกๆ ใช้เวลาสักพักจึงรู้ว่ามันคือเสียงหัวเราะ
“นายกำลังคุยกับใครน่ะ” และแล้วชายเคราแดงก็พูดขึ้นมา เขามองเห็นเพียงแค่พื้นที่ว่างเปล่า พร้อมกับหันไปสบตากับเพื่อนอีกคน ขอความเห็น “นายเห็นอะไรไหม”
“ก็มีเด็กคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น นายไม่เห็นหรือ”
“ไหนล่ะ”
เบนจามินเขยิบถอยห่างความไม่ชอบมาพากลนั้น แต่ก็หนีไม่พ้นการจับกุมตัวจากเพื่อนพี่ชายที่ไม่เห็นสิ่งที่เขากำลังเห็น เด็กหนุ่มพบดวงตาอีกคู่จับจ้องอยู่เบื้องหลังต้นไม้ใหญ่ไม่ไกล ร่างนั้นส่งยิ้มจางๆ ให้เขา
คุณไคเลอร์!
“ร..เราไปจากที่นี่กันเถอะ” เบนจามินหันไปกระซิบกระซาบกับชายเคราแดงอย่างร้อนรน ความหวาดกลัวในดวงตาของเด็กหนุ่มทำเอาคนฟังรู้สึกขนหัวลุกไปด้วยอีกคน
“เราจะไม่ไปไหนทั้งนั้น” คอนเนอร์ประกาศก้อง หันไปสบตากับร่างกลางถนน “เขาก็แค่เด็กคนหนึ่ง”
“แต่คอนเนอร์...”
“เขาโชคดีนะ” ทีโอดอร์ขัดจังหวะ พยักเพยิดไปทางชายเคราแดง “ดูท่าว่าจะยังมีชีวิตอยู่ได้ยาวกว่าพวกคุณ”
“เธอหมายความว่าอย่างไร” คอนเนอร์ถาม ใบหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดๆ นอกจากความเป็นมิตรที่ปั้นแต่งเอาไว้
“ก็พวกคุณน่ะ”
“ถึงคราวตายกันหมดเลยนี่นา”
ทีโอดอร์หัวเราะ ไคเลอร์ที่มองอยู่ถึงกับขนลุกไปกับประโยคจากน้ำเสียงสดใสของผีผ้าคลุม
“ใครส่งเธอมา” คอนเนอร์เดินเข้าไปใกล้กว่าเก่า พร้อมกับเอื้อมมือไปข้างหลังเพื่อหยิบมีดพกประจำตัวขึ้นมา หากเด็กคนนี้เล่นตุกติก เขาคงไม่ปรานี “ต้องการอะไร”
“ผมต้องการเขา” ผีน้อยหันไปมองเบนจามินที่กำลังหลับตาปี๋ ไม่รับรู้สิ่งใด “คุณต้องให้เขากับผม”
ชายหนุ่มหัวเราะ ขณะที่ทีโอดอร์หันไปมองทางไคเลอร์ ชายหนุ่มกระสับกระส่าย เขาเพียงปรายตามองให้รู้ว่าเขารับมือไหว
“ได้สิ” คอนเนอร์รับปาก “แต่เธอต้องมากับฉันนะ”
แขนกำยำยื่นไปคว้าตัวเด็กหนุ่ม แต่กลับสัมผัสได้เพียงความว่างเปล่า
ท่ามกลางสายตาตกตะลึง ทีโอดอร์ไม่รอช้าที่จะใช้โอกาสนี้กระซิบบางอย่างเบาๆ กับชายหนุ่มให้พอได้ยินกันแค่สองคน
ไคเลอร์หลบซ่อนอยู่หลังต้นไม้ เฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างฉงน หลังจากวางแผนการช่วยเหลือเบนจามินอย่างปัจจุบันทันด่วนแล้ว กลับกลายเป็นเขาที่ต้องแอบอยู่ตรงนี้ และมีหน้าที่ออกมาช่วย หากทีโอดอร์เจรจาล้มเหลว
แต่ว่าก็ว่าเถอะ เจรจาอะไรกัน
ไคเลอร์เชื่อใจผีของเขาและรอคอย ถึงคราวที่ชายรูปหล่อซ่อนมีดเอาไว้ข้างหลังเขาถึงได้เริ่มกระสับกระส่าย แต่ทีโอดอร์หันมาสบตาเขาครั้งนึง เหมือนจะบอกว่าไม่เป็นไร
ฝ่ามือใหญ่ทะลุผ่านร่างกายของผีผ้าคลุมไป ตอนนั้นเองที่การเจรจาเกิดขึ้น ใช้เวลาเพียงไม่นาน ชายตัวใหญ่ก็สั่งการให้เพื่อนของเขาปล่อยตัวเบนจามินเสียเฉยๆ เด็กหนุ่มมึนงงเล็กน้อย แต่อาศัยจังหวะนี้วิ่งหนีเข้าไปในป่าโดยไม่เหลียวหลัง ไม่มีใครไล่ตามเขา แม้ชายเคราแดงจะมึนงงกับพฤติกรรมแปลกกๆ ของเพื่อนผู้เป็นนายก็ตาม
ไคเลอร์ตั้งท่าจะวิ่งตามเบนจามินเข้าไปในป่าแต่ก็หยุดชะงัก เพราะผีตัวดียังยืนอยู่ตรงหน้าชายผมบลอนด์ไม่ห่าง
อดห่วงทีโอดอร์ไม่ได้
ชายหนุ่มลังเล มองผีน้อยสลับกับเบนจามินที่เริ่มจะวิ่งหายลับตาเข้าป่า คราวที่หันกลับมาจึงได้พบกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
คอนเนอร์ก้มหัวลงต่อหน้าทีโอดอร์ ไม่ต่างจากทาสรับใช้ผู้ภักดี
ความคิดเห็น