คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : 06 : Reborn
หม้อสตูเดือดเป็นฟองฟอดขณะที่ไคเลอร์กำลังคนเนื้อที่กำลังเปื่อยอย่างเหม่อลอย หลังหายจากอาการมึนเมาและปวดหัวเป็นอย่างมาก ทีโอดอร์เข้ามาปลุกเขา ปีนขึ้นเตียงมานั่งทับบนอก งอแงจะทานมื้อเช้าเพราะไคเลอร์ตื่นสายเลยไม่ได้ทำอาหารไว้ให้ผีมาปล้น เขาแทบจะกระอักจากการรับน้ำหนักตัวของผี
มีบางอย่างผิดแปลกไปแน่นอน ไคเลอร์เชื่อเช่นนั้น อาจจะเป็นน้ำเสียง หรือส่วนสูงของผีผ้าคลุมที่เปลี่ยนไป จากที่สูงระดับเอวกลับกลายเป็นว่าตอนนี้สูงระดับอกเขาแล้ว
ผ้าลายตารางเลยเข่าทีโอดอร์มาเยอะเกิดไป ไคเลอร์ละมือจากจวักเพื่อถอดเสื้อเชิ้ตของตนคลุมตัวให้
เด็กชายได้เติบโตเป็นหนุ่มในชั่วข้ามคืน แต่ก็วิ่งเต้นไปดึงผ้าคลุมเตียงสีขาวของไคเลอร์มาคลุมตัวไม่ต่างจากเด็กชายในวันก่อน
ชายหนุ่มรู้สึกอ่อนแรงกว่าทุกวัน หลังจากทานอาหารเสร็จจึงได้กลับไปนอนอีกรอบ ไม่คิดว่าเหล้าจะแรงมากจนทำเขาป่วย แต่ก็เป็นไปแล้ว หลังผีน้อยก้าวขาออกจากประตูไป เขาใช้เวลาในการลุกขึ้นนั่งนานกว่าทุกวัน ราวกับต้องใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดเพื่อที่จะยืน
แต่เมื่อดวงอาทิตย์ส่องตรงเหนือหัว พลังของเขาก็กลับมาเสียดื้อๆ เขาดึงลิ้นชักหัวเตียงและหยิบกระดาษแผ่นนึงขึ้นมากางออก เมื่อแนบหูกับประตูแล้วไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากด้านนอก
ใบหน้างดงามที่เขาได้บันทึกมันไว้ด้วยดินสอฉายอยู่บนกระดาษเปล่า ดวงตากลมโตจ้องมองเขากลับ ริมฝีปากรูปหัวใจอวบอิ่มไม่มีรอยยิ้มยังเป็นแบบเดียวกับที่ได้เห็นเมื่อคืน
ไคเลอร์จำรายละเอียดทั้งหมดอีกครั้งก่อนจะพับกระดาษใส่ในซองจดหมาย พร้อมกับข้อความบางอย่าง นำส่งไปรษณีย์ด้วยตัวเองในวันนั้น เพียงเพราะบทสนทนาที่ได้คุยกันกับผีผ้าคลุมเมื่อไม่กี่วันก่อนแท้ๆ
ทีโอดอร์ในตอนที่ยังเป็นเด็กชาย หายตัวไปในเช้ามืดวันหนึ่งอย่างไร้ร่องรอย ไม่ได้หลบอยู่ใต้ต้นโอ๊ค หรือแม้แต่ในห้องทำงานของไคเลอร์ที่ผีผ้าคลุมมักจะเข้าไปวุ่นวายกับกล่องดนตรีของเขาเสมอ ก่อนที่เขาจะคิดว่าบางทีผีผ้าคลุมอาจจะไปผุดไปเกิดใหม่ ทีโอดอร์ก็กลับมาพร้อมกลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์
เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน แต่แข้งขาเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนจากการไปมุดป่าฝ่าดงและดูราวกับว่าไปขโมยผ้าปูเตียงมาจากโรงซักผ้ามาใหม่อย่างไรอย่างนั้น ผีเด็กใช้เถาองุ่นมัดดอกไม้เป็นช่อลากเอาพวกมันไถมากับพื้น ดอกไม้สะบักสะบอม ดอกช้ำ ก้านหักทั้งช่อ พร้อมกับบอกเขาว่ามันเป็นของขวัญ
“วันรวมญาติผี” ทีโอดอร์บอก อุ้มเอาดอกไม้ที่ลากมากับพื้นวางใส่อ้อมแขนไคเลอร์ “มีเทศกาลของกินสุดหรู กับพี่น้องผีที่ต้องไปเจอ อย่าโกรธผมที่ไม่ได้ชวนนะ แต่อย่าห่วง มีคนเอาดอกไม้มาวางไว้ให้ที่หลุมศพ ผมเลยเอามาฝากคุณ”
“ขอบใจ” ชายหนุ่มกระอั่กกระอ่วนเมื่อคิดว่ายังมีผีประหลาดแบบทีโอดอร์อีกเยอะแยะมากมายในความคิด แต่ก็รับไว้ในอ้อมแขน “ฉันจะเอาไปปักแจกัน”
ผีผ้าคลุมจีบมือทั้งสองของตัวเองที่กลางปาก ลากโค้งไปถึงหูราวกับจะบอกว่ากำลังยิ้ม ขณะที่ไคเลอร์ดึงตัวเขาเข้ามากอด แอบสูดดมกลิ่นหอมจากผ้าคลุมขาวสะอาดที่ฟุ้งไปด้วยกลิ่นดอกไม้ เขายอมรับว่าตัวเองติดกลิ่นของผีตนนี้ ผีน้อยเอียงคอหลบ
“หยุดนะ”
“ไม่บอกกล่าวฉันสักคำว่าหายไปไหน ฉันนึกว่าเธอไปเกิดใหม่เสียแล้ว”
มีเสียงหัวเราะคิกคักดังมาจากผีผ้าคลุมก่อนจะดันอกชายหนุ่มตัวสูงออกห่าง “ผีที่ยังมีห่วงหรือแม้แต่ผีที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองตายไม่มีทางได้ไปเกิดใหม่หรอก”
“งั้นห่วงของเธอคืออะไรล่ะ ผีน้อย” ไคเลอร์จ้องเข้าไปในดวงตาสีดำสนิทของผีผ้าคลุม ค้นหาความลับภายในนั้น
“ผมแค่อยากให้คุณแม่มีรอยยิ้มก่อนเธอจะตาย” ทีโอดอร์ไหล่ตก แม้จะไม่เห็นได้ชัดเจน แต่สำหรับคนที่กำลังเฝ้ามองอย่างไคเลอร์ก็จะเห็นมันได้ง่ายๆ “ถึงแม้จะจำหน้าเธอไม่ได้ก็ตาม”
"บู!"
ไคเลอร์สะดุ้งโหยง น้ำร้อนกระเด็นใส่มือ เขาไม่เคยชินกับการปรากฏตัวของผีตนนี้เสียที นานวันเข้า หากว่าเขาแก่ตัวลง อาจจะหัวใจวายตายเพราะผีหลอกก็เป็นได้
“เมื่อเช้าคุณไปไหน”
“ธุระของฉัน” ไคเลอร์พูดเสียงเรียบ ผีน้อย (ซึ่งตัวไม่น้อยแล้ว) ไม่ได้ติดใจเอาความ
"สตู" ทีโอดอร์พูดเสียงแหบ พร้อมกับสะกดเป็นตัวอักษรทีละตัว จากนั้นก็เริ่มชี้ไม้ชี้มือไปยังข้าวของอื่นๆ ระดับการสะกดคำดีขึ้นมากทีเดียว ชายหนุ่มเจ้าของบ้านจ้องผีผ้าคลุมไม่วางตาก่อนจะผละจากหม้อเพื่อมาจับแขนเขาทั้งสองข้าง ใช้สายตาสำรวจตัวผีคร่าวๆ เพื่อความแน่ใจอีกครั้งว่าไม่ได้คิดไปเองเรื่องการเจริญเติบโตผิดปกตินั้น
ทีโอดอร์ตาเบิกกว้าง พยายามดิ้นให้หลุดจากการจับกุม
"ปล่อย คุณทำผมเจ็บ"
"เจ็บเพราะเธอดิ้นน่ะสิ" ไคเลอร์บอก พร้อมทั้งจับเขาหมุนตัวรอบนึง ท่าทางราวกับจับผีผ้าคลุมเต้นระบำ "เธอแตกเนื้อหนุ่มหรือ"
ทีโอดอร์หลบตา เสมองไปทางผนังอิฐแดงของบ้านเสมือนว่ามันน่าค้นหา แต่กลับสารภาพออกมาง่ายๆ
"คงใช่"
"มันเกิดขึ้นได้ยังไง ก็เธอตายไปแล้วไม่ใช่หรือ"
ผีผ้าคลุมได้แต่บิดตัวไปมาไม่อยู่นิ่งด้วยความประหม่า จากที่ตัวสูงเท่าเอว บัดนี้กลับสูงระดับคางเจ้าของบ้านเสียแล้ว
ไคเลอร์คุกเข่า วางศีรษะตัวเองกับหน้าท้องของผีเป็นที่พักพิง รู้สึกกังวลใจอย่างไรก็บอกไม่ถูก
“ไคเลอร์”ทีโอดอร์เรียก น้ำเสียงแปลกหู แต่ก็เป็นโทนที่เขายังสบายใจที่จะฟัง ความเศร้าหมองเกาะกินจิตใจ
“ฉันเห็นทุกอย่าง เมื่อคืนนี้”
ทีโอดอร์เงียบกริบ
“ทั้งการดื่มเลือด แล้วก็ผีตนนั้น”มือหยาบกำชายผ้าเอาไว้แน่น ควบคุมอารมณ์ให้สงบ “เธอเป็นใครกันแน่”
“เรื่องนั้นผมไม่รู้” ดวงตากลมโตฉายแววเศร้า ไร้แววเปล่งประกาย “ผมไม่รู้เลย”
ผีผ้าคลุมสะอึกสะอื้น ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเป็นหลักให้ทีโอดอร์กอด ไคเลอร์ลูบหัวเขาเบาๆ
“เหมือนเธอรีบโตขึ้นเพื่อจะจากไปไหนสักแห่ง”
ถึงตอนนั้น บ้านหลังนี้คงเงียบเหงาเกินกว่าที่ไคเลอร์จะคุ้นชินกับมัน
“บ้านหลังนี้เป็นของผม จะให้ผมทิ้งไปไหนล่ะ” เด็กหนุ่มกอดศีรษะคนอายุมากกว่า ได้กลิ่นหอมของดอกไม้โชยแตะจมูกจากเส้นผมดำขลับ
ชายหนุ่มหลับตา ดื่มด่ำกับช่วงเวลาที่เหลือ
วันอาทิตย์เป็นวันทำสวน ไคเลอร์กล่าวกับผีในบ้านหลังจากมองไปนอกหน้าต่างแล้วพบกับหญ้าคาที่ขึ้นสูงและมีปริมาณมากกว่าตอนแรกที่ย้ายเข้ามาอยู่ บริเวณบ้านแทบทั้งหลังกำลังจะถูกยึดครองโดยวัชพืช รวมถึงเถาไอวี่ที่กำลังปกคลุมหลังคาด้วย
ไคเลอร์ดึงดอกหญ้าต้นหนึ่งมาคาบ ทำใจไม่คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน หวังให้การใช้แรงงานทำให้ตัวเองลืมเรื่องบ้าบอเมื่อคืนนั้นทั้งหมด
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะสะบัดภาพความทรงจำออกไปจากหัว ก่อนจะหันไปคุยกับผีที่ทำหน้าบึ้งอยู่ด้านหลัง
“ฉันจะไม่ปล่อยให้สนามหน้าบ้านรกไปด้วยหญ้าคาแบบนี้ ดูอย่างกับบ้านผีสิง”
วันนี้อากาศเย็น แต่เขาก็เลือกจะใส่แค่เอี๊ยมพร้อมกับมัดผมไปไว้ด้านหลังลวกๆ ทีโอดอร์เอ่ยปากบอกว่าวันนี้เขาดูร้ายกาจ พร้อมกับยืนห่างจากเขาไปเป็นวาตลอดวัน และมีคำพูดติดทำนองว่า “ไม่ชอบใจสุดๆ ” ด้วย
"แล้วคุณจะทำยังไง" ทีโอดอร์หันไปถามไคเลอร์ที่กำลังมองบ้านทั้งหลังของตัวเองอยู่ เขาเห็นด้วยที่ไคเลอร์บอกว่าบ้านนี้ผีสิง มันเหมือนกับไคเลอร์ยอมรับว่ามีเขาเป็นเจ้าของอยู่ด้วยส่วนหนึ่ง ออกจะพอใจเสียด้วย แต่ถ้าวัชพืชพวกนี้หายไปหมด บ้านหลังนี้จะเป็นของไคเลอร์โดยชอบธรรมแต่เพียงผู้เดียวงั้นหรือ
ผีผ้าคลุมขมวดคิ้วแม้มนุษย์เพียงคนเดียวจะมองไม่เห็นใต้ผ้าคลุมนั้น
"เผามันให้หมดเลยไหม"
"แล้วฉันจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ" ชายหนุ่มนวดขมับ ไม่แน่ใจนักว่าผีตนนี้กำลังกวนเขาหรืออย่างไร "ฉันคงทำคนเดียวไม่ไหว คุณเกรกอมอรี่สั่งทำกล่องดนตรีชุดพิเศษสำหรับคริสต์มาส ถ้าจะทำก็คงต้องเริ่มเลย"
"แล้วคิดว่าผมจะช่วยงั้นหรือ"
"ฉันเลยจ้างเบนจามินมาช่วย" หลังจากที่ไฟฟ้ามาถึงบ้าน ไคเลอร์ก็พอได้ใช้โทรศัพท์ติดต่อคนอื่นเขาได้บ้าง ด้วยเหตุนี้จึงไม่รอช้าที่จะโทรหาวิลลิสและยืมตัวเด็กหนุ่มนามเบนจามินผู้ที่เขาได้ฝากฝังให้ดูแลร้านหนังสือของเพื่อนมาช่วยงาน ไคเลอร์มองผีผ้าคลุมพลางยิ้มเยาะ
"ใครน่ะ"
"เด็กประจำร้านขายหนังสือในเมือง ฉันจ้างเขาเพราะวันนี้เป็นวันหยุดร้าน เขาอยากมีรายได้เสริมและเธอจะปฎิเสธเรื่องนี้ไม่ได้ ฉันไม่ได้ขอความคิดเห็นเธอ แค่บอกเผื่อว่าเธออยากไปเล่นในป่าก่อนเขาจะมา หรือ.."
"ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้น"ทีโอดอร์ยืนกราน
"ก็ดี แต่ขอเตือนว่าอย่ายุ่งกับแขกของฉันอย่างเด็ดขาด ไม่งั้นเธอจะไม่ได้กินลาซานญ่าเป็นมื้อเช้าอีก"
“คุณจะทำอย่างนั้นไม่ได้นะ!” ทีโอดอร์ก้าวขามายืนเทียบกับชายหนุ่ม พยายามยืดตัวให้ตัวเองดูสูงกว่าปกติ ไคเลอร์คิดว่าผีผ้าคลุมกำลังขู่ขวัญเขาอยู่
ตัวก็สูงแค่อก ใครจะไปกลัว
“ใครๆ เขาก็กินขนมปังกับไข่ดาวเป็นอาหารเช้ากันทั้งนั้นแหละ มีแต่เธอที่ดื้อรั้น”
“ผมไม่ได้ดื้อรั้น”
“ไข่ดาวเป็นมื้อเช้า กลับเข้าบ้านไปเลย”
ทีโอดอร์อารมณ์บูดอย่างเห็นได้ชัด ผีน้อยกระทืบเท้ากับหญ้าเขียวขณะเดินมุ่งหน้ากลับเข้าบ้าน จังหวะเดียวกันกับที่มีใครบางคนเรียกไคเลอร์ดังมาจากถนน
"คุณไคเลอร์!" เบนจามินยิ้มระรื่น สภาพดูดีกว่าครั้งแรกที่ได้เจอกัน ดูไม่เหมือนโอลิเวอร์ ทวิตส์ผู้ต่ำต้อยอย่างที่เขาเป็นเมื่อก่อน ผมถูกหวีพร้อมกับทาน้ำมันให้แนบติดหนังศีรษะ เสื้อผ้าซักสะอาด ดูไม่เหมาะกับการใช้แรงงานในวันนี้เลยสักนิด เขามาพร้อมกับจักรยานคันใหม่เอี่ยม แม้จะทุลักทุเลเล็กน้อยในการพามันขี่ไปตามถนนคลุกฝุ่น แต่ก็จอดลงที่หน้าบ้านอย่างปลอดภัย
"มาเร็วเสียด้วย สบายดีไหม"
"สบายดีมากครับ คุณดูนี่เสียก่อน"เด็กหนุ่มยืดอกพร้อมกับอวดจักรยานของตน "คุณวิลลิสซื้อให้ผมนอกเหนือไปจากเงินเดือนที่ให้ มันวิเศษมากเลย.."
เสียงเด็กหนุ่มเบาลงและขาดหายไปพร้อมกับจ้องมองเข้าไปในบานหน้าต่าง มองเห็นเงาผ้าคลุมสีขาวจ้องมองเขาก่อนจะถอยหลังหายลับไปจากสายตา
“อะไรหรือ”
“ม..ไม่มีอะไรครับ” เบนจามินยิ้มอายๆ ข่มความกลัวไว้ในใจ นึกเอาเองว่าคงตาฝาด ไคเลอร์เห็นท่าทีแบบนั้นก็พอเดาสาเหตุได้ไม่ยากจากแววตา “ผมขอเอาจักรยานไปเก็บก่อนนะ”
เด็กหนุ่มจูงจักรยานคันเก่งไปพิงกับต้นโอ๊ค ขณะที่ชายหนุ่มเอี้ยวตัวไปขมวดคิ้วใส่หน้าต่างบานนั้น เบนจามินปัดมือเล็กน้อยก่อนจะสวมหมวกฟางที่พกมาด้วย
เท่านี้ก็พร้อมทำงาน
พระอาทิตย์ขึ้นเหนือศีรษะก่อนจะร่วงลงดินอย่างรวดเร็ว ในที่สุดหญ้าคาทั้งหมดก็ถูกเกี่ยวไปกองรวมกันบนพื้นใกล้ธารน้ำ ไคเลอร์ทำบันไดเล็กๆ เตรียมไว้ให้เบนจามินปีนขึ้นไปดึงต้นไอวี่ลงจากหลังคา ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น เด็กหนุ่มพูดทุกเรื่องของเขาให้ฟังขณะทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ทั้งเรื่องราวเกี่ยวกับสถานรับเลี้ยงเด็กที่เคยอยู่ก่อนจะหนีออกมาพร้อมพี่ชายเกเร หรือแม้แต่พี่ชายเขาเอาเปรียบเขาอย่างไร โตขึ้นอยากจะเป็นอะไร เมื่อตกค่ำและหญ้าทั้งหมดถูกถอนจนหมดเกลี้ยง บ้านหลังน้อยของไคเลอร์จึงดูเหมือนบ้านคนปกติขึ้นมาหน่อย
“เก่งมากไอ้หนุ่ม” ไคเลอร์ชนหมัดกับเบนจามินที่ตัวหอบแฮ่กจากความเหนื่อยล้า หยิบไฟขึ้นมาจุดบุหรี่ราคาถูกพร้อมกับพ่นควันให้ลอยหายไปในอากาศ เขาไม่ใช่คนติดบุหรี่ เพียงแค่อยากฉลองที่ลงแรงกับงานออกมาได้ดีด้วยนิโคติน
“ออกมาอย่างนี้พี่ชายนายไม่ตีเอาหรอกหรือ” ไคเลอร์ชวนคุยเรื่อยเปื่อย
“ไม่ครับ ผมย้ายออกมาแล้ว คุณวิลลิสช่วยผมไว้อีกนั่นแหละ พี่ชายของผมเลยไม่กล้าทำอะไร” เบนจามินยิ้มแฉ่ง เขาดูมีความสุขไม่น้อย และไม่ลืมที่จะหันมาพูดเอาอกเอาใจชายหนุ่ม “แต่หากไม่มีคุณผมก็ไม่มีทั้งหมดนี่หรอกครับ”
ไคเลอร์หัวเราะในลำคอ ยกมือขึ้นยีผมเด็กหนุ่มอย่างนึกเอ็นดูก่อนจะหันไปหาตัวบ้านสักพัก
“เท่านี้ก็เหลือแค่ลงดอกไม้เพิ่ม”
“คุณไม่มีภรรยานี่ครับ ทำไมถึงปลูกดอกไม้”
ไคเลอร์เงียบไปพักหนึ่งอย่างใช้ความคิด อ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้คำพูดเหล่านั้นไหลลงท้องไปตามเดิมเมื่อเขาก็ไม่แน่ใจในคำตอบ
จะบอกว่าเขารักดอกไม้และรักการได้เฝ้ามองมันเติบโตงั้นหรือ ก็ไม่
แต่ถ้าบอกว่าติดกลิ่นดอกไม้ที่ติดมากับชายผ้าของผีผ้าคลุม ก็อาจใช่
ไคเลอร์สูดจมูก ควันส่วนหนึ่งย้อนกลับมาหาเขา ชายหนุ่มปล่อยให้คำถามนั้นเลือนหายไปไม่ต่างจากควัน ก่อนจะชี้นิ้วเข้าไปในบ้าน “นายเข้าไปนั่งพักข้างในก่อนเถอะ ดื่มน้ำเย็นๆ ให้ชื่นใจ ฉันขอสูบบุหรี่ตรงนี้สักเดี๋ยว”
“ครับ” เบนจามินรับคำอย่างง่ายดาย แม้สองขาจะไม่อยากเข้าใกล้ตัวบ้านเลยก็ตาม
ผีผ้าคลุมไม่โผล่หัวหรือแม้แต่ปลายเล็บให้ได้เห็นเลยตลอดวัน ชายหนุ่มสอดส่องมองหาเขาผ่านทางหน้าต่างหวังจะได้เจอ แสงอาทิตย์คล้อยต่ำ แต่ยังพอมองเห็นพุ่มไอวี่ที่ยังติดอยู่บนหลังคาส่วนที่เป็นปล่องไฟ เบนจามินอาจจะพลาดในมุมนี้ไป ไคเลอร์ดับบุหรี่ด้วยการโยนมันลงพื้น ใช้ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าบดขยี้ไฟจนมอด แบกเอาบันไดไปพาดไว้ยังปล่องไฟก่อนจะเริ่มปีนขึ้นไป เขาไม่อยากให้มีอะไรค้างคาอีก
“มีข้อความฝากถึงคุณด้วยครับ!” เสียงเบนจามินดังมาจากในบ้าน ไคเลอร์พยักหน้าแม้จะรู้ว่าเด็กหนุ่มไม่เห็น
“ว่าอย่างไรบ้างล่ะ”
“คุณวิลลิสบอกว่าจะเข้าพบคุณพร้อมกับข้อมูลที่ได้โดยเร็วที่สุดครับ”
“ขอบใจไอ้หนู”
มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าชายหนุ่มขณะดึงเอาเถาไอวี่ออกจากอิฐแดง ทันใดนั้นเองที่เสียงกรีดร้องดังขึ้น ไคเลอร์สะดุ้ง หงายหลังตกจากหลังคา ท้องน้อยเสียววูบ ในวินาทีนึง เขาคิดว่าตนต้องตายแล้วแน่แท้
แต่โชคยังดีที่มีหญ้าคากองนึงรองรับเขาเอาไว้พอดี
เบนจามินวิ่งเตลิดออกมาจากในบ้าน ลุกลี้ลุกลน หวาดกลัว และตระหนกสุดขีด ไคเลอร์โงหัวขึ้นอย่างทรมาน
“เกิดอะไรขึ้นไอ้หนู!”
“อ๊ากกก!!”
เด็กหนุ่มหันขวับ ทันทีที่เห็นเขา ใบหน้าถอดสีนั่นก็แทบจะไม่มีสีสันหลงเหลืออยู่ เขาล้มลงกับพื้น แต่ก็ยันคลานถอยออกห่าง
“ผ..ผี ห..ห้องใต้ดิน...ศพ” เบนจามินพูดไม่เป็นประโยค ในที่สุดเขาก็รวบรวมสติที่เหลืออยู่วิ่งหนีออกจากบ้านของไคเลอร์ มุ่งหน้าเข้าไปยังถนนภายในป่าโดยไม่เหลียวหลังกลับมาอีก
ชายหนุ่มมองอย่างมึนงงกับพฤติกรรมแปลกประหลาดนั้น มีเสียงเปิดประตูหน้าอีกรอบนึง คราวนี้เป็นทีโอดอร์ที่ยืนอยู่ เหม่อมองออกไปยังถนน เส้นเลือดที่ขมับชายหนุ่มตึงเครียด
เขารู้ว่าทีโอดอร์ดื้อรั้น แต่การที่ทำให้เพื่อนตัวน้อยของเขาหนีเตลิดไปอย่างเสียขวัญอย่างนั้นมันจะไม่เกินไปหน่อยหรือ
ไคเลอร์ลุกพรวด ฝีเท้าหนักๆ ทำเอาผีผ้าคลุมตัวสั่นเมื่อชายหนุ่มเดินเข้าไปถึงตัว แม้จะยังเจ็บอยู่บ้าง แต่ด้วยโทสะที่มี เขากระชากแขนผีน้อยมาปะทะกับอกดังตุ้บอย่างไม่ปราณี
ซวยแล้ว
“เธอทำอะไรเขาทีโอดอร์ ฉันบอกเธอไว้ว่าอย่างไร!”
“ผมเปล่า” ทีโอดอร์พยายามควบคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่น
“ถ้าอย่างนั้นเขากลัวอะไร ศพงั้นหรือ ฉันเบื่อหน่ายกับเรื่องขบขันประสาผีของเธอเต็มทีแล้วนะ” ไคเลอร์ตะคอก “ตอบสิ เงียบทำไมล่ะ”
“คุณช่วยฟังผมหน่อยได้ไหม!” ผีผ้าคลุมสะอื้น หวาดกลัวคนตรงหน้ายิ่งกว่าอะไร “เขาเข้ามาตอนที่ผม...ฮึก อยู่ในห้องใต้ดิน”
“ฉันล็อคประตูเอาไว้ไม่ใช่หรือ เขาเข้าไปได้อย่างไร”
ผีน้อยส่ายศีรษะอย่างน่าสงสาร น้ำตาเปื้อนกับผ้าขาวเป็นรอยด่าง เมื่อเห็นว่าคุยกันในตอนนี้มันไม่ได้ออะไร ไคเลอร์จึงปล่อยมือจากตัวเขา ร่างของผีผ้าคลุมยืนนิ่งก่อนจะร่วงลงไปกับพื้น ชายหนุ่มหายใจแรง พยายามควบคุมอารมณ์โกรธ ก่อนจะหมุนตัวเข้าไปในบ้านไปยังห้องใต้ดิน
ห้องใต้ดินของบ้านไคเลอร์ไม่ต่างไปจากห้องที่เอาไว้เก็บของและไวน์ไม่ต่างจากบ้านหลังอื่น เดินลงบันไดไปสามสี่ขั้นก็จะมีประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา หากแต่ว่าเขาไม่ได้เข้าไปเลยตั้งแต่ขนของมาอยู่ในบ้านหลังนี้เสร็จ แม้จะเดินผ่านก็ไม่ได้ใส่ใจเข้าไปตรวจตราความเรียบร้อยเลยสักที
ณ บัดนี้ประตูไม้เปิดแง้มรอต้อนรับเขาอยู่ก่อนแล้ว
แวบหนึ่งไคเลอร์ลังเลที่จะก้าวเท้าไปหามัน กลิ่นอายความไม่ชอบมาพากลลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ สัญชาตญาณกรีดร้องให้เขาหันหลังกลับอย่างไร้เหตุผล แต่ขาทั้งสองข้างกำลังก้าวลงบันไดอย่างเชื่องช้า บันไดไม้ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเบาๆ ตามน้ำหนักของชายหนุ่ม และก่อนที่เขาจะทันได้หันหลังกลับ ประตูก็เปิดกว้างไปจนสุด
ทั้งที่ไม่มีลมพัด
ที่นั่นเองทำให้ไคเลอร์ได้พบบางอย่างซึ่งทำให้เขาอยู่ในอาการช็อกสุดขีด
เบนจามินเดินสำรวจภายในบ้าน หลังจากตะโกนบอกข้อความให้แต่คุณไคเลอร์เรียบร้อย ทั้งที่มีโซฟาและเตาผิงอยู่แท้ๆ แต่บรรยากาศกลับเย็นยะเยือก ไม่มีห้องใดที่ล็อคประตู เบนจามินทึกทักเอาว่าไคเลอร์นั้นเชื่อคนง่าย หรือห้องเหล่านั้นอาจจะไม่มีของมีค่าอยู่เลย
ใช่แล้ว เขากำลังมองหาของมีค่า
การขโมยไม่ต่างจากโรคประจำตัวสำหรับเขาที่แก้ไม่หาย เด็กหนุ่มไล่สายตาไปทุกที่ แสงยามเย็นยังคงส่องทางให้เขา เด็กหนุ่มคว้าเอานาฬิกาห้อยเรือนทองที่หลบอยู่บนชั้นหนังสือมาหนึ่งชิ้นเป็นของที่ระลึก ลังเลอยู่ชั่วครู่ว่าเขาควรทำสิ่งที่กำลังทำอยู่หรือไม่ขณะพาสองขาเดินหน้าไปเรื่อยๆ กระทั่งเขาหยุดอยู่ที่ห้องหนึ่งซึ่งใส่กุญแจแน่นหนา และเป็นห้องเดียวที่ใส่กุญแจ เบนจามินหรี่ตา ไม่รอช้าที่จะสะเดาะกลอนด้วยลวดที่มักจะพบเอาไว้เป็นประจำ
ก็เขาน่ะ เป็นมืออาชีพแล้วนี่นา!
กลิ่นประหลาดคือสิ่งที่เบนจามินสัมผัสได้ขณะผลักประตูเข้าไปด้านใน หนูตัวใหญ่วิ่งสวนเขาออกมาแต่ก็ยังมีอีกสองสามตัวยังอยู่ภายในนั้น พวกมันกำลังกัดแทะ ฉีกดึงเนื้อด้วยความกระหาย
ไคเลอร์คือเนื้อที่หนูพวกนั้นกำลังกัดแทะอยู่ มีบาดแผลที่ศีรษะ หัวของเขาหนุนบนตักร่างในผ้าคลุม ที่จ้องมองเขาไม่ต่างจากเห็นผี
“ฉันฝันอยู่หรือ” เบนจามินพึมพำ ร่างในผ้าคลุมขาวสะอาดส่ายหัว ก่อนที่เด็กหนุ่มจะกรีดร้องวิ่งหนีออกไปจากห้องนั้นโดยไม่เหลียวหลัง
มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณไคเลอร์ถึงได้นอนอยู่ในนั้น ทั้งที่เขาเพิ่งสนทนากับเจ้าของบ้านจากด้านนอกแท้ๆ ไคเลอร์ตายไปแล้วอย่างนั้นหรือ
แล้วถ้าศพของเขาอยู่ในบ้าน คนข้างนอกนั่นเป็นใครกันล่ะ
“เกิดอะไรขึ้นไอ้หนู!”
“อ๊ากกกก!”
เบนจามินล้มลงเพราะสะดุดขาตัวเอง แต่กระนั้นก็ยังคลานถอยหลัง ไคเลอร์ที่ไม่ต่างไปจากคนปกตินอนอยู่บนกองหญ้าคา สบตากับเขาอย่างมึนงง ไม่ต่างไปจากคนปกติ เบนจามินหอบ สับสนกับสิ่งที่ได้รับรู้
“ผ..ผี ห..ห้องใต้ดิน...ศพ” เขาแทบจะปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดเป็นคำพูดไม่ได้ สัญชาตญาณเดียวบกให้เขาวิ่งหนีไม่ต่างจากสุนัขขี้ขลาด วิ่งเข้าไปในป่าโดยไม่ย้อนมองหลัง
ป่าในยามค่ำส่งเสียงโหยหวนชวนขนลุก แต่เบนจามินก็ไม่หยุดแม้แต่วินาทีเดียว แม้ขาจะเริ่มวิ่งไม่ได้ เขาก็เดิน แม้จะเดินไม่ได้ เขาก็จะคลาน ความมืดกลืนกินเขา ในที่สุดเขาก็ล้มลงอีกครั้ง ด้วยแรงกระแทกจากเบื้องหน้า
เด็กหนุ่มมึนงงไปพักหนึ่ง ก่อนที่ตัวจะชาวาบเพราะเสียงหัวเราะน่าเกลียดที่ดังเข้ามาในโสตประสาท
“แกคิดว่าจะหนีฉันพ้นงั้นหรือเบนจามิน”
“ค..คอนเนอร์”
พี่ชายของเขายืนอยู่ตรงหน้า เบนจามินคลานเข้าไปจะกอดขาชายหนุ่ม แต่มือใหญ่ตรงเข้ามาค้ำศีรษะเขาให้หยุดนิ่ง มีชายฉกรรจ์อีกสองคนยืนล้อมอยู่ด้านหลัง น้ำตาเบนจามินไหลโดยไม่รู้ตัว
“แกกล้ามากนะที่หนีไป”
“พี่..ผมขอโทษ”
“ฉันเองก็คิดเอาไว้อยู่แล้ว ว่าแกมันเลี้ยงไม่เชื่อง รั้นเกินกว่าที่ควรจะมีชีวิตอยู่ให้คาใจ” คอนเนอร์จิกผมเบนจามินให้ยืนขึ้นด้วยแขนข้างเดียว เด็กหนุ่มร่างผอมกระดูกน้อยอย่างเขาไม่อาจจะสู้แรงได้แน่นอน
” ตัวเล็กใช้ได้เลยนะ” เสียงคนหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลังเรียกรอยยิ้มคอนเนอร์ขยับยกขึ้นมากกว่าเก่า
“คงต้องหาตาเฒ่าสักคนที่อยากจะได้เด็กล้างปล่องไฟบ้างแล้วกระมัง”
ความคิดเห็น