คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Hum a song
‘ดั่งฤทัยถูกแสงไฟแผดเผา
ยามที่สองเราห่างหายกันไปแสนไกล
หากว่าความรักนั้นได้มาง่ายดาย
ผมคงไม่ยอม—โอ้ คงไม่ยอม
แลกเลือดและวิญญาณเพื่อเคียงคู่เธอ’
เสียงแซ็กโซโฟนดังขึ้นหลังจากเสียงนักร้องชายผิวสีเลือนหาย ดนตรีแจ๊สครอบคลุมหัวใจคนในพื้นที่ร้านเหล้าในค่ำคืนนี้ไปเกินครึ่งแล้ว ไคเลอร์ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มเป็นแก้วที่สอง เคาะนิ้วกับโต๊ะเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ
เช้าวันนี้มีจดหมายสอดเข้ามาใต้ประตู ไคเลอร์ทันได้เห็นแผ่นหลังแคบๆ ของเด็กชายไปรษณีย์กับหมวกเบเร่ต์สีแดงปั่นจักรยานออกไปเท่านั้น ที่อยู่ผู้ส่งมาจากร้านหนังสือในเมืองที่เขาแวะเวียนไปคราวก่อน ผีผ้าคลุมวิ่งเสียงตึงตังมาชนหลัง แต่กลับเป็นร่างผอมจ้อยนั่นเองที่โซเซล้มลง
“ให้ผมอ่านให้ฟังนะ” ทีโอดอร์เขย่าแขนชายหนุ่มรบเร้าทันทีที่ลุกขึ้นได้ ผีผ้าคลุมฝึกอ่านมาได้หลายวันแล้ว ดีเหลือเกินที่ทีโอดอร์เรียนรู้ได้ไวจากนิทานที่ไคเลอร์อ่านให้ฟังบนเตียง
และทุกๆ คืน เจ้าผีจะสัปหงกคล้ายเข้าใจก่อนฟุ่บหลับกับอกเขาไปทุกครั้ง
ชายหนุ่มผู้ปวดคอจากการนั่งหลับเอนศีรษะพิงหัวเตียงเพื่อเป็นหมอนให้ผีนอน ได้แต่พยายามเอามือนวดคอตัวเองแก้เมื่อย ก่อนจะยื่นจดหมายให้ผีตนนั้นอ่านโดยง่าย
“ถึงนายวู๊ด ไคเลอร์ ไคเลอร์ วู๊ด” ทีโอดอร์อ่านกลับไปกลับมา
“สวัสดีเพื่อนยาก เราเพิ่งเจอกันเมื่อสองสัปดาห์ก่อนที่ร้านหนังสือของกัน ทั้งแปลกใจทั้งยินดีที่เห็นแกหยิบจับหนังสือ ขอบใจที่ช่วยหาคนมาช่วยดูแลร้านให้ กันอาจจะมีเวลาน้อยแต่แกยังจำนัดของเราได้ใช่ไหม กันส่งจดหมายฉบับนี้มาเตือนเท่านั้น หวังว่าจะได้เจอ วิลลิซี่ เพื่อนรักของแก” ผีผ้าคลุมอ่านอย่างชัดถ้อยชัดคำ ไม่รู้ว่าผิดจริงหรือแกล้ง ไคเลอร์หยิบจดหมายมาดูชื่อผู้ส่งอีกครั้ง ก่อนจะอ่าน
“วิลลิส? คืนนี้หรือ”
“ใช่ ก็เขาเขียนวันที่วันนี้ ดูสิ”
“ฉันจำได้น่า”
วิลลิส เพื่อนเก่าเมื่อครั้งคราวเป็นทหาร เนื่องจากทั้งสองมีความชอบในด้านดนตรีเหมือนกัน ผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกันมานานหลายปีก่อนแยกย้ายกันเดินไปตามเส้นทางของใครของมันเมื่อหมดหน้าที่ ในขณะนี้เป็นเจ้าของร้านหนังสือเล็กๆ และทำธุรกิจเกี่ยวกับข่าวหนังสือพิมพ์ในเมือง เมื่อมองหาเวลาว่างของกันและกันได้จึงนัดเจอกันที่ร้านเหล้าเพื่อพูดคุยตามประสา
"ร้านเหล้าคืออะไรหรือครับ"
"มันคือที่ที่คนเข้าไปดื่มของมึนเมา พูดคุย เล่นพนัน ฟังบทเพลงดีๆ และมองหาหญิงสาวสักคนไว้ข้างกายสักคืนยังไงล่ะ" ไคเลอร์ลูบน้ำมันเข้ากับมือเพื่อจะใช้มันจัดทรงผมของตนให้เข้าที่เข้าทาง
“คุณพูดเหมือนผู้หญิงเป็นสิ่งของที่วางอยู่บนชั้นรอให้หยิบมาใช้เลย”
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะว่าอย่างงั้น แค่ใครๆ ก็พูดมา ฉันแค่อธิบาย”
“เหรอครับ” ทีโอดอร์กอดอก “ผมไม่ชอบเลย”
“งั้นฉันขอโทษนะ”
“คนที่คุณควรขอโทษไม่ใช่ผมเสียหน่อย”
ไคเลอร์ขมวดคิ้ว "และไม่ใช่ที่ที่เด็กอย่างเธอจะได้รับอนุญาตให้เข้าไป เขารับแต่ผู้ใหญ่เท่านั้น"
"ไม่ยุติธรรมเลยที่ผมจะฟังบทเพลงดีๆ ไม่ได้" ผีผ้าคลุมทำเสียงราวกับไม่พอใจ
"เราสามารถไปฟังเพลงกันที่โรงละครได้นะ ถ้าเธอทำตัวดีๆ "
"แล้วผมทำตัวไม่ดีตอนไหน"
"ไก่งวงในครัวหายไป ฉันต้องทำกับข้าวใหม่ให้ตัวเอง ก็คงต้องให้เธอพิจารณาเอาเองแล้วกัน"
“คุณจะไม่กลับมาหรือ”
ทีโอดอร์โกยผ้าที่คลอเคลียขาขึ้นมาระดับเข่า กันไม่ให้ผ้าผืนบางปัดไปโดนอุปกรณ์ทำงานของไคเลอร์เข้า เพียงเพราะไม่อยากถูกดุ คราวก่อนที่ชายหนุ่มเข้าเมือง เขาซื้อผ้าคลุมโต๊ะลายตารางสีแดงสลับเขียวกลับมาด้วย ตอนนี้มันอยู่บนตัวทีโอดอร์
เด็กคนนี้แทบจะกลายเป็นต้นคริสต์มาสแคระถ้าพระเจ้าโปรดจะมอบดวงดาวให้เขาสักดวง
ไคเลอร์จ้องผ่านรูโบ๋บนเนื้อผ้าเข้าไปสบตาผีด้วยความตระหนก
ผีผู้คลุกคลีกับความตายทักแบบนี้จะให้ยิ้มหน้าระรื่นหรือยังไง
“ทำไมถึงถามอย่างนั้น”
“ก็ดูอย่างเด็กชายผ้าคลุมแดงที่เข้าไปในบ้านพ่อมดสิ ไม่เห็นได้กลับบ้านดีๆ เลย” ทีโอดอร์หมายถึงนิทานกล่อมนอนของนักเขียนที่มีชื่อว่าวานิล ผู้มีชื่อประหลาดไร้ความหมาย เกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ทำสัญญากับพ่อมดเพื่อแลกกับบางสิ่ง จากโครงเรื่องก็รู้กันแล้วว่าเป็นสัญญาปีศาจชัดๆ
“เหอะ เธอมีแค่เล่มหนึ่งจะไปรู้อะไร” ไคเลอร์เอ็ด “ยายคนเขียนนั่นเขียนจบหรือยังก็ไม่รู้”
“มันเป็นเรื่องของอนาคตนะ”
“อนาคตที่ว่ามีอยู่จริงไหม”
“ฮึ” ทีโอดอร์ทำเสียงขึ้นจมูก แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดคำใดๆ ออกมา เขาเองก็ไม่มั่นใจในตัวนักเขียนคนนี้เหมือนกัน
“ยังไงซะ ฉันจะค้างนอกบ้านคืนนึง เธออยู่ไหวใช่ไหม”
ชายหนุ่มจ้องฟั่นเฟืองเล็กๆ ในมือขณะพยายามนำมันไปต่อกับชิ้นส่วนอื่นๆ โดยไม่ได้รับรู้ถึงอาการนิ่งเงียบผิดแปลกของผีที่ยืนอยู่ข้างกันเลย
“แน่อยู่แล้ว”
เสียงแผ่วเบาตอบกลับมาในที่สุด ก่อนที่ร่างของผีเด็กหนุ่มจะเดินออกประตูบ้านไปยังสวนดอกไม้ที่รกไปด้วยหญ้าคา ไร้การดูแลมาตั้งแต่ที่ไคเลอร์มาถึงบ้านหลังนี้ ใช้ผ้าคลุมที่นอนรองพื้นไม่ให้หญ้ามาระคายผิวก่อนจะนั่งครุ่นคิด ท่องบัญญัติผีห้าร้อยประการคล้ายจะร้องเพลง
เขาไม่ได้ดื่มมานาน ไคเลอร์ไม่ชอบร้านเหล้ากับเพลงแจ๊สหวานหยดอย่างนี้ ไม่ชอบเอาเสียเลย เขาเข้าใจภาษาอังกฤษดี แต่กลับไม่เข้าใจถึงความหมายของรักในบทเพลง
อย่างว่า ถ้ารักมันง่าย
ไคเลอร์ทำท่าราวกับกำลังจะสำรอกของเก่าที่เพิ่งกินไปเมื่อเย็นออกมา
“ทำอะไรอยู่ สหายเก่า” เสียงทักดังแหวกกับดนตรี ชายหนุ่มรีบเงยหน้ามอง สายตาเรียบนิ่งเย็นชาจับจ้องมองมาที่เขา ไร้ประกายราวกับท้องฟ้าไร้ดาว
“วิลลิส”
“เป็นไง”
วิลลิสใช้คำรวบรัดขณะหย่อนก้นลงนั่งข้างกัน สะบัดผมสีส้มไปด้านหลัง สหายของเขาเป็นคนร่างผอมสูง ท่าทีสำอางละม้ายคล้ายเจ้าชายผู้สูงศักดิ์จนไคเลอร์ต้องนึกทบทวนดูอีกครั้งว่าพวกเขาไปพบเจอกันได้ยังไง
“กันเพิ่งซื้อบ้านให้ตัวเองได้เมื่อไม่นานนี้เอง ของถูกขนย้ายจากบ้านเก่าใกล้จะหมดแล้ว”
“น่ายินดี” น้ำเสียงของวิลลิสไม่ยินดียินร้ายอย่างที่พูด “แต่แปลกใจที่เรามาเจอกันเร็วขนาดนี้”
“นี่ก็ผ่านมาเจ็ดปีแล้ว จะเร็วได้ยังไง” ไคเลอร์หัวเราะก่อนที่เสียงจะเบาลง “แกเถอะเป็นยังไงบ้าง”
“กิจการช่วงนี้กำลังไปได้สวย ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางหมดแล้ว แต่ดูท่าเศรษฐกิจปีหน้าคงไม่ค่อยจะดีนัก ไอสงครามปะทุอยู่ในอากาศจนทำให้ขนลุกซู่ไปหมด”
“อา งั้นหรือ” ไคเลอร์ที่ไม่ค่อยได้ติดต่อกับโลกภายนอกบ่อยนักได้เพียงเลิกคิ้วก่อนจะเลี่ยงด้วยการคุยเรื่องอื่น
"อีกสักสองสามอาทิตย์ไฟฟ้าคงจะได้ไปถึงบ้านกันบ้างแล้ว"
"นี่แกจุดเทียนใช้หรือยังไง? "
"อย่างที่พูดนั่นแหละ" ไคเลอร์ยกวิสกี้ขึ้นจรดริมฝีปากอีกครั้ง นึกถึงเรื่องที่อยากจะเล่าในวันนี้ก่อนจะเรียบเรียงมันไว้ในหัว กล่อมเกลี่ยด้วยคำถามอื่น "แต่งเมียบ้างหรือยัง”
วิลลิสนิ่งเงียบจนน่าใจหาย ชั่วอึดใจเขาคิดว่าสหายเก่าคงจะไม่พูด แต่สุดท้ายก็เอ่ยปาก “เมียกันเพิ่งจะหนีตามชายชู้ไปเมื่อสามอาทิตย์ก่อน”
ชายหนุ่มกำแก้วเหล้าเอาไว้ในมือ “กันกำลังตามหาตัวมันอยู่ ไอ้ชาติชั่วกับผู้หญิงเลว ระยำไม่แพ้กันนัก กันจะไม่ยอมไปผุดไปเกิดจนกว่าจะได้รู้ว่ามันเป็นใคร”
หยิบแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มแทนการต้องพูดต่อ เท่านั้นก็เหมือนว่าสหายเก่าของเขาจะเข้าใจได้อย่างดีและปล่อยให้ความเงียบเยียวยาความโกรธแค้นของวิลลิส
“หน้าตาแกก็ดี สาวสวยในเมืองมีเป็นร้อยพัน ไม่มีเลยสักคนหรือ” วิลลิสถามกลับบ้างหลังจัดการกับอารมณ์ตัวเองได้แล้ว
“มันช่วยไม่ได้นี่ กันอยากมีใครสักที่ไหน”
“ยังลืมคริสติน่าไม่ได้หรือ”
“เปล่า”
“สนุกกับชีวิตบ้างเถอะไอ้เสือ หญิงโต๊ะนั้นก็มองแกอยู่” วิลลิสสะบัดนิ้วผอมๆ ของตัวเองไปทางอีกฝั่งของร้าน ไคเลอร์หันไปมองตาม หญิงสาวแต่งเครื่องประเทิดโฉมอย่างหนักกำลังมองจ้องมาทางเขาจริงๆ พร้อมรอยยิ้มพราวเสน่ห์ ไคเลอร์สะบัดหน้าหนี
“ให้กันแต่งกับหญิงนางโลมหรือยังไงเพื่อนเอ๋ย”
“แกก็รู้กันหมายความว่ายังไง ไม่ใช่หรือ”
“ไว้ก่อนเถอะ” ชายหนุ่มปล่อยให้รสชาติน้ำเมาคลุ้งในปาก ผ้าม่านสีขาวสะบัดพลิ้วเมื่อลมพัดผ่าน คิ้วเข้มขมวดเป็นปมเมื่อมันทำให้นึกถึงใครบางคน ไคเลอร์ถอนหายใจยาว ก่อนจะหลุดปากพูดเรื่องในใจออกมา
“วิล แกเคยโดนผีตามรังควานไหม”
ไคเลอร์เดินเท้าเปลือยเปล่าทะลุผ่านเส้นทางเล็กๆ ในป่า มุ่งหน้ากลับบ้าน มีเสียงร้องโหยหวนของป่าเป็นเพื่อนร่วมทาง
ชายหนุ่มเมาหัวราน้ำ หลังจากถูกเพื่อนเก่าหัวเราะเยาะใส่ให้งามหน้าหลังพูดเรื่องผีซึ่งเข้ามาอาศัยในบ้านหลังเดียวกันกับเขา (ซึ่งในที่นี้หมายถึงทีโอดอร์ แน่ละว่าไม่มีผีตนอื่นอีก) ขึ้นมา
‘แกล้อกันเล่นแน่ๆ ไม่เคยคิดว่าจะได้ยินอะไรตลกเท่านี้มาก่อน’ แล้วก็หัวเราะ เสียงแห่งความหฤหรรษ์ถูกส่งต่อกันเป็นผลพวง เมื่อรู้สาเหตุต่างก็หันมาจ้องไคเลอร์เป็นตาเดียวและระเบิดเสียงหัวเราะดังสนั่น
‘ผีตามรังควานหรือกำลังเลี้ยงผีอยู่กันแน่’
นั่นแหละเสียงจากใครสักคนในร้าน
ไคเลอร์ละจากโต๊ะด้วยใบหน้าฉายความสับสนและบูดบึ้งไปพร้อมกัน ถอยห่างจากสถานที่แห่งนั้น ไปยังอีกร้าน ดื่มจนเมามาย นัวเนียกับผู้หญิงในตรอกอย่างไร้อารมณ์ก่อนจะเดินหนีออกมาเอง ปล่อยให้สาวเจ้าโวยวายตามหลังแต่ชายหนุ่มไม่ใส่ใจนัก เขาลากขากลับมาถึงบ้านได้สำเร็จ
ดวงจันทร์สีเงินส่องสว่างนำทางให้จนกระทั่งมองเห็นรั้วบ้านสีขาว ด้วยความเหน็ดเหนื่อย ไคเลอร์เดินไปนั่งใต้ต้นโอ๊คต้นใหญ่บริเวณรั้วบ้านในสภาพราวกับคลาน งีบหลับไปกลางเสียงกล่อมจากธรรมชาติ
กิ่งใบเสียดสีเป็นทำนองเมื่อลมพัดผ่าน สัมผัสนุ่มคลอเคลียอยู่ที่แขนทำเอาชายหนุ่มสะดุ้งจากนิทรา กระต่ายขนสีขาวนวลที่แอบเข้ามาสำรวจมนุษย์รูปงามกระโดดหนีออกมาในระยะปลอดภัย จมูกมันสั่นระริกจนน่าขัน ไคเลอร์สะบัดมือไล่มันไปทีนึง
ในตอนนั้นเองที่เขาได้ยินมัน
เสียงฮัมเพลงดั่งบทสวดภาวนาคลอกับเสียงเสียดสีของหญ้าคาต้องลม ไคเลอร์ขยี้ตา เขาไม่รู้ว่าอยู่ตรงนี้มานานแค่ไหน ทั้งลำตัวเย็นเฉียบเพราะลมต้นฤดูหนาว แต่เขาไม่ได้ใส่ใจ เขาสนเสียงฮัมเพลงใกล้กับลำธารนั่นต่างหาก
"Stella by starlight งั้นหรือ" ไคเลอร์พึมพำบทเพลงนั้นกับตัวเอง คลอไปกับเสียงนุ่มหวานในสายลม
เงาร่างหนึ่งอยู่กลางสายน้ำ ชายหนุ่มเริ่มขยับตัว คืบคลานเข้าไปใกล้มันอย่างช้าๆ หัวใจเต้นโครมคราม สิ่งที่เห็นเป็นเด็กชายคนหนึ่ง ร่างนั้นตวัดน้ำเย็นขึ้นลูบแขนอย่างใจเย็น ผิวสีน้ำนมสะท้อนกับแสงจันทร์สีเงิน หยดน้ำเกาะพราวบนเรือนร่างไม่ต่างจากภูติพราย เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนตัดสั้นสะบัดไปด้านหลัง
ร่างขาวทำท่าจะเดินขึ้นจากน้ำ ไคเลอร์กวาดสายตาไปโดยรอบ พลันหางตาก็ได้สะดุดกับชายผ้าขาวหลังต้นไม้ต้นหนึ่งตรงข้ามลำธารสายนี้ มันยืนนิ่ง ชายผ้ายังสะบัดเอื่อยๆ กับลม อย่างที่เรียกให้ติดปากว่าผีผ้าคลุม
เหมือนกับทีโอดอร์ แต่กลับไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างแน่นอน
เจ้าผีตนนี้ จากสายตาคิมไคเลอร์มันสูงกว่าผีน้อยของเขามากทีเดียว คล้ายกับผู้ใหญ่ตัวเต็มไว
ผีของเขางั้นหรือ ไคเลอร์พิจารณาความคิดนั้นก่อนที่จะสะบัดไล่มันไป
ไคเลอร์รู้สึกได้ถึงการคุกคามจากมัน ต่างจากผีผ้าคลุมอย่างทีโอดอร์โดยสิ้นเชิง ร่างเปลือยเดินไปหามันทั้งที่ยังล่อนจ้อนอยู่อย่างนั้น ทั้งสองยืนพูดกันอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเดินไปที่ตอไม้ หันหน้าเข้าหากันโดยมีตอไม้คั่นกลาง และด้วยแสงสว่างของดวงจันทร์ ทำให้ไคเลอร์เห็นบางสิ่ง
"แบะ.."
มันคือแพะ
สิ่งมีชีวิตที่ถูกผูกติดอยู่กับตอไม้นั้นเริ่มดิ้นขลุกขลัก เด็กชายลูบไล้มันอย่างเบามือ ในขณะที่ร่างที่ถูกคลุมทับด้วยผ้าขาวนั้นหยิบวัตถุแวววาวกระชับแน่นในมือ
ไคเลอร์ไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดคุยอะไรบ้าง เด็กชายกอดคอแพะดำราวกับจะปกป้อง ส่ายหน้าปฎิเสธ ร่างในผ้าคลุมหันปลายมีดไปที่ร่างเปลือยแทน เด็กชายนิ่งเงียบ ผีตนนั้นจึงได้จ่อมีดมาที่คอของตัวเอง ร่างขาวจึงได้ยอมปล่อยแพะให้เป็นอิสระจากอ้อมแขน
ผีผ้าคลุมตนนั้นไม่รีรออีกต่อไป
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังทะลุเข้ามาในโซนประสาท ขณะที่ร่างในผ้าคลุมฮัมเพลงคลอกิจเปื้อนเลือดราวกับกำลังทำอาหารไม่ใช่ฆ่า นัยน์ตาไคเลอร์เบิกกว้างกับภาพที่ได้เห็น
ผีผ้าคลุมเชือดคอแพะตัวนั้นอย่างเชื่องช้าแม้มันจะไม่ได้อยู่นิ่ง แต่แขนอันทรงพลังก็ไม่ยอมปล่อยมันไปง่ายๆ ความทรมานลุกลามไปทั่วร่างสี่ขาก่อนที่หลอดลมจะขาด
เด็กชายตัวสั่น ได้ยินเสียงสะอื้นไห้ดังลอยมาในอากาศ ผีผ้าคลุมชี้มีดไปที่ชามใบหนึ่งบนพื้นหญ้า เขาปาดน้ำตาก่อนจะหยิบชามกระเบื้องไปรองรับเลือดข้นๆ มันท่วมทะลักชามไปหมดตอนที่แพะสิ้นใจตายไปตรงนั้น
ร่างในผ้าคลุมกลับมานั่งจ้องอีกฝ่ายนิ่งๆ ผ้าเปื้อนสีแดงเป็นรอยด่าง เด็กชายสั่นสะท้าน ชั่วอึดใจนึง เขาก็ยกชามขึ้นจรดริมฝีปาก
ดื่มเลือดแพะตัวนั้นทั้งหมด
ไคเลอร์เหยเกมองภาพตรงหน้าด้วยความสยดสยอง ร่างเปลือยเปล่าอาบเลือดที่หกเลอะเทอะไปเสียหมด
ปลายคมมีดห่างจากลำคอเด็กชายเพียงแค่คืบ ผีตนนั้นขยับมันจากลำคอผ่านลูกกระเดือกมาถึงไหปลาร้า เด็กชายนั่งกำมือขณะที่มีดสัมผัสกับเนื้อหนังเป็นร่องรอยกากบาทกลางอกซ้าย
"ฮ..อึก!! "เด็กชายกลั้นเสียงร้องกระทั่งความทรมานจบลง
อย่างกับโดนผีหลอก
ไคเลอร์นิ่งอึ้งอยู่อย่างนั้น เฝ้ามองผีใต้ผ้าคลุมเดินจากไปพร้อมกับที่เด็กชายชำระกายที่ลำธารอีกครั้งด้วยความหม่นหมอง ลากตัวเองขึ้นฝั่ง ชายหนุ่มเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีผ้าลายตารางเขียวสลับแดงวางรออยู่ไม่ไกลนัก เด็กชายคนนั้นรอจนตัวแห้ง ควักน้ำขึ้นล้างปากอยู่หลายครั้ง ก่อนจะหยิบผ้าคลุมมาคลุมทั้งตัวและใบหน้า กลายเป็นผีตนเดิมเดินกลับไปในบ้านแสนรักของไคเลอร์
ท่าทางการเดินไม่ต่างจากทีโอดอร์เลยสักนิด
ชายหนุ่มนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้นก่อนจะกลับเข้าบ้านหลังจากเวลาผ่านยามที่สองด้วยสภาพอิดโรยและหนาวเหน็บ ขนลุกซู่ ทวีความสับสน ไม่เข้าใจกับสิ่งที่ได้เห็นมากเพิ่มขึ้นไปอีก เขาก้าวเท้าไวๆ เมื่อได้ยินเสียงกล่องดนตรีจากโซฟาในห้องนั่งเล่น
เขาไม่กล้าที่จะหันไปมอง และเมื่อถึงหน้าต่างห้องนอน เพดานสีขาวราวกับจะเป็นจอฉายภาพขาวดำที่เคยเห็นเมื่อชั่วโมงก่อนให้ฉายชัด
"เมาจนเลอะเลือนหรือยังไงกันนะเรา" ไคเลอร์หัวเราะให้ตัวเองทั้งที่ใจไม่ได้อภิรมย์ขณะทิ้งตัวลงนอน เหงื่อไหลท่วมกายก่อนจะผล็อยหลับไปอีกครั้ง
ฝันของเขาคืนนั้น มีภาพเด็กชายผมสีน้ำตาลอ่อน และผีผ้าคลุมกลุ่มใหญ่ที่รายล้อมตลอดทั้งคืน
ความคิดเห็น