ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    KNOCK KNOCK! เป็นผีห้ามเคาะประตู

    ลำดับตอนที่ #20 : 19 : Halloween

    • อัปเดตล่าสุด 10 ก.พ. 64



     

     

    ปีค.ศ. 2012

    ชีวิตบนเส้นทางนักเขียนของไคเลอร์หรือชื่อในนามปากกาของเขา ไค ไม่ใช่เรื่องง่าย เขามั่นใจในประโยคนี้มาก หลังจากตีพิมพ์หนังสือเรื่องแรกเกี่ยวกับชายที่ถูกผีก่อกวนจนต้องยอมไปนรกเพื่อรักษาผีตนนั้นด้วยดอกกุหลาบเพียงสามดอก ไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะโด่งดังเป็นพลุแตก

    บรรณาธิการส่วนตัว (ชายอ้วนพลุ้ยผู้ตัดสินมูลค่าหนังสือจากยอดขาย) กดดันให้เขาเริ่มเขียนเล่มต่อไป ไคเคยสันนิฐานถึงความเป็นไปได้ถึงเรื่องที่อีกฝ่ายจะพูดผ่านการอ่านสายตา

    ‘เป็นภาคต่อของเรื่องนี้ก็ได้ เขียนเสียสิ ทุกอย่างที่ฉันจะได้เงินจากหนังสือของนายมากขึ้น’

    และไม่อยากเชื่อเลยว่าบก.จะบอกกับเขาอย่างนั้นจริงๆ แต่ดูท่าจะเป็นเรื่องยาก เขาไม่อยากจะขายหนังสือดังเปรี้ยงปร้างแค่เล่มเดียว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่มีไอเดียใหม่ๆ เพื่อจะสร้างมันออกมาอีกครั้งได้ในเมื่อเรื่องราวมันมีตอนจบของมันแบบนั้น

    ชายหนุ่มเดินกลับบ้าน สีหน้าคร่ำเครียด เด็กๆ ในชุดพนักงานบริษัทกำจัดผีวิ่งชนเขาก่อนจะล้มลงทั้งคู่ เพื่อนของเด็กน้อยมาช่วยประคองและวิ่งกันต่อไม่หันมาขอโทษเลยสักคำ ไคสะบัดหน้า แว่นสายตาทรงกลมหลุดลงไปบนพื้นถนนพร้อมกับกระเป๋าเป้ มันหักเป็นสองท่อน เขานำมันมาวางไว้บนดั้งและใช้นิ้วจับมันเชื่อมไว้ด้วยกันเพื่อจะกวาดตาดูทรัพย์สินที่เหลือ

    กระเป๋าตังค์ของเขาหายไปแล้ว พร้อมกับเด็กหัวขโมยที่หายไปตามซอกหลืบของแฟลตไม่ไกลกันนัก

    “บ้าชิบ” ไคสบถ นอกจากเหรียญไม่กี่เซนต์ ก็มีกุญแจบ้านที่รวมอยู่ในกระเป๋าใบนั้น ทีนี้ล่ะยุ่งยากไปกันใหญ่

    อาการปวดหัวจากความเครียดสะสมทำให้ไคเลิกใส่ใจมันและรีบมุ่งหน้ากลับบ้าน ตัดสินใจจะเข้าประตูหลังแทน

    บ้านของชายหนุ่มเป็นหลังเดียวในละแวกนี้ที่ไม่ได้ตกแต่งด้วยฟักทองเรืองแสงหรือคิดจะวางถาดขนมไว้หน้าประตู ถึงแม้จะเป็นวันฮาโลวีน เขาก็ยังต้องทำงาน บ้านทั้งหลังจึงมืดและเงียบสนิท ดูคล้ายกับบ้านผีสิง

    เขาอยู่ที่นี่มาได้ไม่นานนักแต่ก็คุ้นชินกับทางเดินได้ง่ายๆ แผนผังไม่ซับซ้อนเหมาะกับนิสัยส่วนตัวของเขา ต้องขอบคุณสถาปนิก มันเหมาะที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่หากวันหนึ่งเขาแก่ตัวลง

    อาการปวดหัวยังจู่โจมเขาอยู่เนื่องๆ ไคเดินโซเซไปยังห้องครัว ประตูตู้เย็นเปิดค้างเอาไว้เห็นเพียงแสงสีส้ม นักเขียนหนุ่มเพ่งสายตามองสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวหยุกหยิกอยู่ตรงหน้าตู้เย็น ก่อนจะกดสวิตช์ใกล้ตัว

    ไฟสว่าง เผยให้เห็นร่างที่ถูกคลุมด้วยผ้าสีขาว ทับด้วยหมวกและแว่นกันแดดทรงกลมซึ่งเป็นของเขา ร่างนั้นสะดุ้งตัวโยน

    “เธอเป็นใครน่ะ”

    เขาเอ่ยถามอย่างงุนงง เด็กหนุ่มผู้กำลังเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบโดนัทช็อกโกแลตชะงักค้าง ค่อยๆ หันไปเผชิญหน้ากับเจ้าของบ้านที่กลับมาเร็วกว่ากำหนด เหงื่อเขาแตกพลั่ก

    “ผะ..ผมเป็นผี”

    เขาปด

    วันฮาโลวีน ใครๆ ก็แต่งชุดผี รวมถึงโจรที่ต้องการจะยกเค้าหรือแม้แต่มองหาของกินจากบ้านคนรวยด้วยเหมือนกัน แวบนึงชายหนุ่มเกือบจะหลุดหัวเราะให้เรื่องตลกร้ายที่ได้เจอ เขาวางแว่นตาหักๆ ลงและทิ้งเป้ลงกับพื้น

    “หยุดอยู่ตรงนั้นนะ ไม่งั้นฉันแจ้งตำรวจจริงๆ ด้วยไอ้เด็กหัวขโมย”

    ห้องครัวไม่ได้ใหญ่มากนักแต่มีโต๊ะตัวหนึ่งมากั้นกลางระหว่างพวกเขาทั้งสอง แต่ที่น่าทึ่งกว่าก็คือ โจรนี่ก็ยังไม่ยอมเสียโดนัทชิ้นนั้นไป ศอกของเขาชนกับกระปุกน้ำตาลหล่นลงบนพื้นดังเพล้ง!

    เป็นสัญญาณของเกมแมวไล่หนู

    ทั้งคู่ยึดโต๊ะเอาไว้คนละฝั่งเพื่อจะไล่จับและหลบหนีอีกฝ่ายโดยไม่ล้มลงไปเสียก่อน

    “ยังไงคุณก็จับผมอยู่ดีไม่ใช่หรือ!” เด็กหนุ่มร้อง ก่อนจะผลักโต๊ะตัวนั้นไปหาไค เจ้าของบ้านเซล้มลงขณะที่หัวขโมยในชุดผ้าคลุมปีนขึ้นโต๊ะ โดดลงบนเคาท์เตอร์อย่างชำนาญในการกะเกณฑ์พื้นที่ เพื่อที่จะไปให้ถึงหน้าต่าง แต่แล้วชายหนุ่มก็พรวดพราดไปคว้าเอาข้อเท้าเขาไว้ขณะกระโดดออกจากตัวบ้าน แม้จะเป็นชั้นหนึ่งแต่การที่จมูกขโมยตัวเล็กชนกับผนังด้านนอกไม่ใช่สัญญาณที่ดีสำหรับงานนี้นัก

    มันก็ไม่ดีตั้งแต่เจ้าของบ้านเข้ามาโดยที่คนเฝ้าต้นทางไม่ส่งสัญญาณอะไรเลยนั่นแหละ!

    ทีโอ มองค้อนไปยังเบนจี้ เพื่อนร่วมงานในชุดแวมไพร์ที่หัวเราะคิกคักราวกับเป็นเรื่องตลก ผ้าคลุมขาวหลุดลงไปกองกับพื้น เด็กหนุ่มยกสองมือขึ้นบังหน้าเอาไว้เมื่อไม่มีทางหนีไปจากตรงนี้ได้ ขณะที่ตัวเขาถูกดึงขึ้นไปยืนบนพื้นสำเร็จ

    “ผมขอโทษ นี่เป็นครั้งแรกของผม ผมมันคิดสั้นจริงๆ ที่หิวแล้วบุกเข้ามา คุณเห็นใจผมเถอะนะครับ” เขารีบพูดเร็วจนแทบจะฟังเสียงตัวเองไม่ทัน

    แต่ทุกอย่างสงบนิ่ง นี่ก็ตีหนึ่งกว่าแล้ว มีเพียงกลุ่มวัยรุ่นไม่กี่คนที่ยังนั่งดื่มเบียร์ส่งเสียงหัวเราะกันอยู่ไม่ไกลเท่านั้น ทีโอรู้สึกงุนงง จึงได้แง้มมือออกเล็กน้อยเพื่อที่จะได้เห็นว่าตรงหน้าเขาเกิดอะไรขึ้น

    เจ้าของบ้านยืนนิ่ง อันที่จริงออกจะโงนเงนอยู่เยอะทีเดียว ไม่ได้กลิ่นแอลกอฮอล์แสดงว่าเขาไม่ได้ดื่มมาก่อนหน้า แต่ท่าทางของเขาดูไม่ดีเอามากทีเดียวขณะที่ชายหนุ่มจะโน้มใบหน้ามาหา

     

    เบนจี้เฝ้าสังเกตการณ์ด้านนอก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชายคนนั้นโผล่มาจากไหน แค่แอบไปขอขนมจากบ้านหลังถัดไปแค่ครู่เดียวเพราะพวกเขายังเปิดไฟสว่างอยู่เท่านั้น กลับมาอีกทีก็พบเพื่อนของเขาพยายามจะหนีชายผิวแทน ผมสีอ่อนที่ถูกกัดสีแต่ก็ยังดูดีบนใบหน้าหล่อเหลานั่นเท่านั้น คงจะเป็นเจ้าของบ้าน เพื่อนของเขามองค้อนให้ทีนึง เบนจี้หัวเราะ ไม่ได้เข้าไปช่วยเพราะนั่นเท่ากับพาตัวเองไปซวยด้วยเปล่าๆ อย่างไรซะเขาก็เชื่อว่าทีโอมีหนทางที่จะหนีออกมาเองได้อยู่แล้ว

    ร่างเล็กถูกลากขึ้นไปยืนประจันหน้ากัน ทั้งคู่นิ่งกันไปพักหนึ่ง ตอนที่ทีโอเอามือออกจากใบหน้านั้นเอง เจ้าของบ้านก็ก้มไปหาเขาโดยทันที

    “อะไรน่ะ!!” เขาอ้าปากค้าง เขี้ยวแหลมปลอมในปากตกลงกับพื้น ถังฟักทองที่เต็มไปด้วยลูกอม (และนาฬิกาเรือนทอง) หล่นกระจาย เจ้าหมอนั้นจูบทีโออย่างงั้นเหรอ!?

    ทั้งคู่นิ่งไปจนน่าขนลุกขนพอง เจ้านั่นไม่คิดที่จะปฏิเสธบ้างเลยหรืออย่างไรกัน

    หรือว่าทีโอจะช็อกจนทำตัวไม่ถูก

    ในระหว่างที่กำลังว้าวุ่นใจอยู่นั้น สองขาก็ก้าวเข้าไปหาเพื่อนอย่างรวดเร็ว ชุดแวมไพร์ของเขามีเพียงผ้าคลุมบ้าบอที่เป็นอุปสรรค เพราะมันชอบเกี่ยวเข้ากับนู่นนี่เยอะแยะไปหมด

    “เบน!” ทีโอร้อง ตอนนี้เจ้าของบ้านวางหัวไว้กับบ่าของเขา เด็กหนุ่มกอดเอาไว้อย่างทะนุถนอมแม้จะทำอะไรไม่ถูก “โทรเรียกโรงพยาบาล เร็วเข้า”

    “เมื่อกี้เขาจูบนายหรือ!” เบนจี้ตะโกนกลับ กลุ่มวัยรุ่นบางคนหันมามองพวกเขา ทีโอน้าแดงต้องพยายามทำให้เขาเงียบ

    “ไม่ใช่ เขาหมดสติกลางอากาศ” เด็กหนุ่มเสยผมสีดำสนิทขึ้นเพื่อให้เพื่อนได้เห็นรอยแดงบนหน้าผาก “ถ้าจะจูบด้วยหน้าผากละก็ใช่ เขาเอาหัวมาโขกฉัน บ้าจริง”

    “ถ้าอย่างนั้นหนีกันเถอะ”

    “จะบ้าหรือไง โทร-เรียก-รถ-พยาบาล! เราจะปล่อยเขาตายไม่ได้ อย่ามัวยืนเฉย เร็วสิ”

     

    ไคถูกแสงสว่างจ้าปลุกให้ตื่น เขายกมือขึ้นบัง อีกเงาหนึ่งบดบังมันให้ เมื่อลืมตาให้เห็นชัดๆ จึงเห็นว่าเป็นเด็กหัวขโมยที่เห็นก่อนหมดสติ ดวงตากลมโตมองอย่างสงสัยใคร่รู้ ริมฝีปากเม้มติดกันแน่น เขารู้สึกโล่งใจที่ไคตื่นขึ้นมา

    “ขอบคุณซาตาน เขาตื่นแล้ว”

    “เธอเป็นใคร” ชายหนุ่มมองไปรอบๆ เขาอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ในห้องมีพวกเขาอยู่เพียงลำพัง

    “ผมพาคุณมาโรงบาลเพราะคุณหมดสติไป คุณติดหนี้ผมนะ” เด็กหนุ่มพูดออกมาหน้าตาเฉย ก่อนจะล้วงกางเกงยีนส์ ยื่นลูกกวาดให้เขา ไคหรี่ตา พิจารณาใบหน้าอีกคนใกล้ๆ แต่ก็เห็นเลือนลางแค่เพียงดวงตากลมโตสีดำสนิทกับริมฝีปากรูปหัวใจแต่เพียงเท่านั้น เขาโบกมือปัด เด็กหนุ่มจึงได้แกะมันกินเอง

    “เธอ ที่เข้ามาขโมยของบ้านฉัน”

    “อันที่จริงก็แค่โดนัทชิ้นเดียว” เพิ่งจะได้แค่โดนัทชิ้นเดียว เขาต่อเองในใจ เสียงของทีโอออกจะงึมงำเพราะวางคางไว้บนเตียง ไล่ต้อนลูกกวาดส่งความหวานไปทั่วปาก ก่อนจะทำตาใสใส่ไคอีกทีนึง “ผมสาบานว่าไม่ได้ขโมยอย่างอื่น ผมพูดจริงนะ”

    “ทำไมเธอไม่หนีไป”

    ทีโอยักไหล่ “มนุษย์ก็ทำอะไรที่ไร้เหตุผลด้วยกันทั้งนั้นไม่ใช่หรือ”

    ไคเลิกคิ้ว ไม่พูดอะไรแต่ก็รู้ได้ว่าต้องการคำตอบมากกว่านั้น

    “ผมคิดว่าผมเคยติดค้างคุณบางอย่าง แค่อยากสะสางไม่ให้มันกวนใจ” เด็กหนุ่มยิงฟัน เรียกรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาครู่นึง

    “ฉันไม่แจ้งความเรื่องเธอไม่ได้” ไคกล่าว ลูกกวาดที่ถูกฟันเคี้ยวดังจนไม่ได้ยิน

    “อะไรนะครับ”

    “ฉันจะแจ้งความจับเธอ”

    “คุณบอกผมทำไม”

    “เธอจะได้มีเวลาหนีไปล่ะมั้ง”

    ทีโอหัวเราะร่า “ผมชอบคุณแฮะ อุตส่าห์จะอยู่เป็นเพื่อน งั้นผมไปดีกว่า”

    ไคยื่นมือออกมาข้างหน้า รอการตอบรับขณะขานนามของตนออกมา

    “ไคเลอร์”

    ทีโอดอร์มีสีหน้ามึนงง

    “มนุษย์ก็ทำอะไรที่ไร้เหตุผลกันทั้งนั้น” ไคโต้กลับด้วยคำพูดประโยคเดียวกัน เด็กหนุ่มผมดำขลับยกยิ้มมุมปาก

    “ทีโอดอร์”

    ทีโอแตะมือหยาบไวๆ ก่อนจะลุกพรวด สร้อยคอสีเงินรูปไม้กางเขนคว่ำเป็นประกายล้อแสงไฟ ขณะวิ่งออกประตูไป พยายามซ่อนบางอย่างไว้ด้านหลัง

    “ลาก่อน ไค ผมหมายถึง--แล้วพบกันใหม่”

    ไคขมวดคิ้วกับพฤติกรรมแปลกๆ นั้น รู้สึกคันบริเวณข้อมือ ก่อนจะพบว่าถูกแปะสำลีขาวบนผิวอย่างลวกๆ

     

    ทีโอเดินฝ่าคืนอากาศหนาวไปตามถนนอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเลี้ยวไปยังพื้นที่สุสานบนภูเขา ย่างผ่านความเงียบยามค่ำคืน ทิ้งแสงไฟไว้ด้านหลัง ในมือมีไฟฉายสาดส่องแสงไปทั่วบริเวณ ในที่สุดก็ไปถึงที่หมาย โบสถ์ร้างบนภูเขานั่นเอง

    เขาผลักประตูอันหนักอึ้งเข้าไป มีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นขณะผู้คนที่รออยู่ด้านในหันมามองเขาเป็นตาเดียว โบสถ์ร้างแห่งนี้ถูกตกแต่งด้วยพื้นพรมสีแดงตลอดทางยาว กระจกโมเสคปรากฎรูปงดงามของพระแม่มารีบนหน้าต่างทุกบาน เด็กหนุ่มเลิกคิ้วสูง ทุกคนในห้องกลั้นหายใจเมื่อเขาโผล่หน้าเข้ามา

    “ผมพลาดอะไรไปเหรอ?”

    “ไม่เลย” เบนจี้โผล่มายืนข้างเขา “ได้มันมาไหม”

    ทีโอมีสีหน้าเคร่งขรึม ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเพื่อหยิบเอาขวดเล็กๆ บรรจุของเหลวสีแดงข้นเอาไว้ข้างในชูขึ้นให้คนทั้งโบสถ์ได้เห็น ผู้คนที่เขารวบรวมกันมาที่นี่โดยไม่ต้องใช้แม้แต่ความพยายาม

    “เลือดของคนที่88ของคืนนี้ อยู่นี่แล้ว”

    มีเสียงกู่ร้องของคนทั่วทั้งโบสถ์ มาพร้อมกับคำสรรเสริญ ทีโอยิ้มมุมปาก

    ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนเต็มใจที่จะร่วมเป็นสักขีพยานในการปลุกปีศาจครั้งสำคัญอย่างเต็มใจ แม้ในคืนนี้จะเป็นเพียงก้าวแรกก็ตาม

    “พี่น้องของผม” เด็กหนุ่มเดินไปตามทางเดินปูด้วยพรมแดงสกปรก ความรู้สึกปั่นป่วนในท้องจากความตื่นเต้นกับเรื่องทั้งหมดถาโถม “แม้ปีศาจจะต้องเคยยอมรับแด่ความปราชัยไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่เมื่อเรายังไม่ล่มสลาย วันของเราก็จะมาถึงดั่งเช่นวันนี้

    “กรีดเลือดของพวกท่าน สังเวยแก่การมาของท่านผู้ยิ่งใหญ่ ขอบคุณในความร่ำรวย อาหารอันอุดมสมบูรณ์ และร่างกายอันแข็งแกร่ง ความสามารถที่ท่านได้มอบให้แก่เรา โปรดรับเรื่องบรรณาการทั้งหมดนี้ เพื่อนำพาให้ท่านมาจุติบนโลกอีกครั้งหนึ่ง!”

    เสียงคนทั้งโบสถ์กู่ร้องด้วยความปิติดังกึกก้องอีกครั้ง ขณะที่ทีโอเปิดขวดเล็กๆ ในมือเพื่อกรอกเลือดเข้าปาก มันไหลย้อยลงมาตามคาง เด็กหนุ่มกลั้วมันไปทั่ว รสชาติเค็มปะแล่มเคลือบเคล้ากับความหวานของลูกกวาดไม่เว้นแม้แต่ในซอกฟัน

    ทีโอเลียริมฝีปาก นึกย้อนไปถึงชายผู้เป็นเจ้าของเลือดขวดนี้ซึ่งยังคงนอนติดเตียงที่โรงพยาบาล

    เขาชื่ออะไรนะ ไคเซอร์?
     

    มีลางสังหรณ์ว่าพวกเขาต้องได้เจอกันอีกแน่นอน

     

     

    'กฎของผีข้อที่88 ห้ามเหล่าผีดื่มเลือดคนโดยเด็ดขาด'

     

     

     

     

    The End

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×