ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    KNOCK KNOCK! เป็นผีห้ามเคาะประตู

    ลำดับตอนที่ #19 : 18 : Sacrifice

    • อัปเดตล่าสุด 10 ก.พ. 64


    กลางลมฤดูหนาว สองแม่ลูกแค่เพียงกายหันหน้าเข้าหากัน จ้องตาอีกฝ่ายอย่างไม่มีใครยอมใคร เสียงกรีดร้องเงียบไปแล้ว แต่เบนจามินรู้ว่าคืนนี้ยังไม่สิ้นสุดลงง่ายๆ

    เคาท์เตสดอริสสวดมนต์เบาๆ อีกครั้ง เด็กหนุ่มจ้องมองเธออย่างงุนงง แต่เมื่อเธอเริ่มจะวาดมือไปมาบนอากาศด้วยท่วงท่าประหลาดราวกับเริงระบำถึงได้เข้าใจ มนต์ดำพ่นออกมาจากริมฝีปากอิ่ม คำพวกนั้นเสียดแทงเข้าไปในหู เบนจามินผลักเธอล้มลงกับพื้น ขัดขวางการก่อพิธีก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างปิดปากหญิงสาว 

    แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้นในเมื่อร่างทีโอดอร์ก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มผ่ายผอม ไร้กล้ามเนื้อสมวัย ไม่ต่างจากร่างเก่าของเบนจามินเลยสักนิด ทั้งคู่ปลุกปล้ำกันอยู่พักนึง ใช้เสียงคำรามข่มขู่กันไปมา

    เด็กหนุ่มโดนเหวี่ยงลงกับพื้น มือเรียวกำรอบลำคอคนอายุน้อยกว่า ดวงตาของเคาท์เตสดอริสขึงขัง และเต็มไปด้วยแววของชัยชนะ ไม่รอช้าที่จะฆ่าเบนจามินในร่างลูกชายให้ตายคามือ

    สติของเด็กหนุ่มเริ่มเลือนลาง เขาแทบจะหมดลมหายใจอยู่รอมร่อ ดวงตาพร่ามัวควบคู่กับในหัวที่กำลังขาวโพลน การเข้าใกล้ความตายทำให้เขาเห็นในสิ่งที่มีเพียงคนใกล้ตายเท่านั้นจะได้เห็น

    กลุ่มคนภายใต้ผ้าคลุมสีขาวเดินมุ่งหน้ามาหาพวกเขา ใบมีดสั้นของเคาท์เตสดอริสถูกหยิบขึ้นมาจากพื้นอย่างใจเย็น และมันถูกกรีดลงบนผิวบริเวณรอบคอเธอ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำไป

    ไม่มีเสียงร้องเลยสักแอะ

     

     

    แม้จะถูกผลักกระเด็นจนรู้สึกราวกับแขนได้หักเป็นสองท่อน แต่ไคเลอร์ก็ยังยันตัวลุกขึ้นด้วยแขนข้างที่ยังดีอยู่ หมัดทั้งสองกำแน่น ยิ่งได้เห็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตเด็กคนนึงต้องวุ่นวายมาเป็นเวลานานต่อหน้าก็ยิ่งรู้สึกโกรธเคือง และเกิดแรงฮึกมหาศาล ร่างโปร่งกระโจนเข้าไปจับเชือก และดึงรั้งปีศาจตนนั้นให้เข้ามาหาตัวเอง

    คงเพราะยังควบคุมร่างได้ไม่เต็มที่ ปีศาจจึงถูกลากไปหาชายหนุ่มแทนที่จะได้ดิ้นรนตามเสียงเรียกขานตนด้านนอก หนทางเดียวที่จะผ่านไปได้ หนีไม่พ้นการขจัดก้างขวางคอทิ้งให้สิ้นเรื่อง แต่ถึงอย่างนั้น มันกลับทำได้เพียงหลบเลี่ยง เหวี่ยงตัวเองไปทางซ้ายที ขวาทีด้วยความสับสน 

    ราวกับว่าไม่อยากจะทำร้ายไคเลอร์เลยสักนิด 

    “ทีโอดอร์!!” ไคเลอร์ตะโกน เรียกความสนใจผู้คนทั้งห้อง พร้อมกับกล่าวบางสิ่งที่ไม่ใช่ภาษามนุษย์ มือกำกุหลาบทั้งสามและรูดรั้งเอาหนามออกจากก้านภายในปราดเดียว หนามของพวกมันทิ่มเข้าผิวเนื้อ ช่างซ่อมกล่องดนตรีเพียงแค่ยืนเฉย เฝ้ารอปาฎิาริย์อย่างใจเย็น 

    เสียงคล้ายกระดูกกำลังหักดังมาจากตัวเด็กหนุ่ม ทีโอดอร์ก้าวเข้าไปข้างหน้าคล้ายถูกมนต์สะกด สูดจมูกเข้าไปเต็มปอดในทุกย่าง 

    กลิ่นเลือดหอมหวาน กลิ่นเลือดสดใหม่ 

    ในที่สุดเลือดสีแดงก็หยดลงบนผ้าคลุมเปื้อนฝุ่น ไคเลอร์ประทับมือข้างที่เต็มไปด้วยหนามและเลือดกับศีรษะของทีโอดอร์ ลูบมันผ่านดวงตา จมูก ปากตามลำดับ

    ข้อมือของไคเลอร์บิดเบี้ยวผิดรูปทรง ชายหนุ่มร้องลั่นเมื่อถูกต่อต้าน แต่เขายังแข็งใจประคองมือข้างนั้นของตัวเองและกดแรงส่งผ่านไปให้ได้มากที่สุด ความหวังเดียวที่พวกเขาจะรอดหลงเหลือเพียงเท่านี้ ไม่มีเวลาจะมาคิดด้วยซ้ำว่าถ้าหากต้องตายไปอีกครั้ง วิญญาณจะแตกสลายไปเลยหรือไม่

    ผีผ้าคลุมคำรามด้วยแรงเฮือกสุดท้าย ร่างของเด็กหนุ่มกระตุกสั่น ทุกสรรพเสียงนั้นหายไปในอากาศพร้อมกับความบ้าคลั่ง ไคเลอร์หลับตา ได้ยินเพียงเสียงหอบหายใจของทีโอดอร์ กลุ่มควันสีดำหลุดลอยออกจากริมฝีปากผีผ้าคลุม เขายืนโงนเงนก่อนหมดสติล้มลงไปกับพื้น สิ้นฤทธิ์ไปแต่โดยดี 

    หัวหน้าแม่บ้านกับบาทหลวงมองช่างซ่อมกล่องดนตรีอย่างตกตะลึง

    “เธอทำได้ยังไง” บาทหลวงนิโคลัสกล่าว อีกใจหนึ่งก็ไม่ไว้วางใจนักว่านั่นเป็นพรของพระเจ้าหรือเป็นอำนาจที่อยู่ตรงข้ามกัน แต่ไคเลอร์ไม่สนใจเขา รีบพุ่งไปประคองทีโอดอร์ด้วยความเป็นห่วง เนื้อตัวส่วนที่ถูกมัดแดงช้ำจนน่ากลัว บางส่วนถลอกปอกเปิก

    ควันดำลอยจับตัวเป็นกลุ่มก้อนเหนือหัวไม่ไกลกันนัก ปรากฏใบหน้าของผู้คนอยู่ในนั้น บาเรคคุกเข่าลงต่อหน้าปีศาจ ไม่กล้าแม้แต่จะจ้องมอง ไคเลอร์ขยับพาทีโอดอร์ถอยห่างกลุ่มก้อนพลังงาน มันหยุดนิ่งราวกับเฝ้ารออะไรบางอย่าง ก่อนจะพาตัวเองลอยออกนอกบานหน้าต่างที่แตกไป

    “มันจะไปไหน” ไคเลอร์ตัวสั่น เขาไม่ได้นึกว่าหากมีดอกกุหลาบของพญามารและขับไล่ปีศาจตนนั้นออกไปได้แล้ว หลังจากนั้นเขาจะจัดการกับมันยังไง ยิ่งรู้สึกงุนงงไปใหญ่ที่มันแค่หนีหายไปเฉยๆ

    “ทุกครั้งที่มีการเรียกปีศาจ จะต้องมีสิ่งเครื่องบรรณาการให้เขาก่อนกลับไป” บาทหลวงนิโคลัสประคองตัวเองลุกขึ้นยืนหลังการตื่นตระหนกจนขาสั่นระริก “ไม่สัตว์ ก็เป็นมนุษย์ ไม่อย่างนั้นเขาจะฆ่าทุกคนจนกว่าจะพอใจ”

    ผ่านไปเพียงครู่เดียว กลับมีเสียงปรบมือเป็นจังหวะด้านนอก พร้อมเสียงกู่ร้องเป็นบทเพลงโหยหวน ขู่ขวัญผู้คนที่อยู่ในห้องใต้ดินจนตัวสั่น

    ดวงตาของไคเลอร์แบกรับเอามวลน้ำมหาศาลไม่ให้มันร่วงหล่น เขาถือวิสาสะดึงผ้าคลุมคนในอ้อมแขนออก ใบหน้านวลผ่องของทีโอดอร์เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดสกปรกบริเวณหางตา ศีรษะโอนอ่อนไปตามแรง ชายหนุ่มเลื่อนสายตามองรอยกากบาทที่หัวไหล่ของเขา ในตอนนี้ไคเลอร์ทนมองผีตัวเล็กเจ็บปวดไม่ไหวแล้วด้วยซ้ำ

    ด้านนอกคฤหาสน์หิมะยังคงโปรยปราย เหล่าผีผ้าคลุมกระจายตัวกันเป็นวงกลมล้อมรอบตัวของเคาท์เตสดอริสผู้เลอโฉม แต่บัดนี้มีดวงตาเบิกถลนออกมานอกเบ้าคล้ายคนวิกลจริต

    “เขามาแล้ว” ผีไร้นามพูดขึ้น ผีทุกตัวเดินวนเป็นวงกลมหลังสิ้นสุดเสียงนั้น เงาดำลอยออกจากคฤหาสน์มุ่งหน้ามายังต้นวิลโลว์ ผีไร้นามยืนอยู่ข้างศพของเคาท์เตสดอริส วิญญาณของเธอผุดลุกขึ้น มีท่าทีมึนงง รอบกายที่มืดอยู่แล้วยิ่งมืดเข้าไปใหญ่ เหล่าผีชูแขนปรบมือและเริ่มเต้นรำขณะที่เดินวนเป็นวงกลม

    “ดยุคผู้คุมแดนเหนือ ดันทาเลียน” ผีไร้นามเอื้อนเอ่ย แทบจะควบคุมการสั่นไหวจากความเกรงกลัวเอาไว้ในน้ำเสียงไม่อยู่ “ขอท่านจงรับเครื่องบรรณาการ วิญญาณเคาท์เตสสาวผู้นี้กลับไปพร้อมกับท่าน แล้วข้าจักไม่ขอสิ่งใดจากท่าน ท่านผู้ยิ่งใหญ่”

    “อะไรนะ” อาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงยังคงโจมตีเคาท์เตสดอริสไม่หยุดหย่อน เมื่อเงยหน้าอีกครั้ง เธอได้พบเห็นใบหน้างดงามโผล่มาจากกลุ่มควันดำ ก่อนที่มันจะบิดเบี้ยว เป็นใบหน้าชายชรา และเป็นใบหน้าของทารก “สิ่งนี้คืออะไร”

    “หนึ่งเดียวกับคุณอย่างไรเล่า” ผีไร้นามเฉลย 

    เสียงปรบมือดังเป็นจังหวะเร่งเร้ากว่าเก่า เริ่มจากเบาและเริ่มดังขึ้น ถี่รัวมากขึ้นให้ทุกสิ่งดำเนินไปโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะความเจ็บปวด ความปรานีสุดท้ายที่เหล่าผีสามารถให้ได้

    เคาท์เตสดอริสรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว แต่เรี่ยวแรงของหญิงสาวหดหาย ไม่มีทางที่จะเอาชนะปีศาจได้โดยลำพังแน่นอน ดวงตากลมโตมองไปยังกลุ่มก้อนพลังงานนั้นด้วยความเลื่อมใส

    “ฉันจะเป็นส่วนหนึ่งของท่านหรือคะ”

    ปีศาจไม่ตอบ ใบหน้าซึ่งโผล่พ้นจากควันอ้าปากกว้างกว่าที่มนุษย์จะทำได้ มันแยกเขี้ยว กลืนศีรษะของเธอลงคอ

    เคาท์เตสดอริสเหลือเพียงนามและร่างกายที่ภายหลังกลายเป็นอาหารของหนอน

    มีเสียงเคาะประตูห้องใต้ดิน บาทหลวงเป็นผู้เปิดมัน กลุ่มผีผ้าคลุมซึ่งนำโดยเบนจามินในร่างทีโอดอร์เดินเข้ามาภายในห้องแคบ บาทหลวงชราตระหนกตกใจ

    ลัทธิผีอย่างนั้นหรือ?

    บาทหลวงนิโคลัสถอยห่างจากสิ่งที่เห็นจนเป็นลมล้มพับไปกับพื้นอีกครั้ง คราวนี้เขาหมดสติ

    เบนจามินมองเห็นเพียงบาทหลวงและบาเรคเท่านั้น เขาไม่รู้ว่ากลุ่มคนที่เห็นในช่วงเข้าใกล้ความตายหายไปไหน แม้จะอยู่ใกล้จนแทบจะตัวติดกันก็ตาม เด็กหนุ่มยังไม่ถึงฆาต ดวงตาของเขาเห็นเพียงมนุษย์เท่านั้น 

    ใบหน้าของเบนจามินอาบเลือด หวาดกลัวจนพูดอะไรไม่ออก บาเรคเดินโซเซไปหาเขาและกอดร่างเด็กหนุ่มไว้แนบอก ไคเลอร์มองทีโอดอร์ที่มาใหม่กับวิญญาณที่นอนหนุนตักเขาอย่างงุนงง

    ทำไมถึงมีทีโอดอร์ถึงสองคน?

    “เธอตายแล้ว..คุณแม่ของผม” ทีโอดอร์ที่มาใหม่กระซิบ บาเรคลูบหัวอย่างปลอบประโลม “ผมไม่รู้จะทำยังไง ผมเลยตามหาคุณ บาเรค ผมกลัว”

    “ท่านชายอย่ากังวล” เธอจุมพิตขมับเขา เรียกขวัญกลับมา แม้จะรู้ว่าทีโอดอร์ตัวจริงยังคงหลับใหลไม่ได้สติอยู่ก็ตาม

    “และ..และสาวใช้ข้างนอกเห็นผมสภาพนี้ พวกเขาวิ่งหนีไป ศพ..ศพยังอยู่ข้างนอก”

    หัวหน้าแม่บ้านเหลือบมองไคเลอร์พักหนึ่ง ซึ่งเบนจามินเองก็มองตาม แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่ารกฝุ่นของห้องใต้ดินเท่านั้น

    “เราต้องรีบไปจากที่นี่ ฉันจะช่วยให้ท่านหนีไปอย่างปลอดภัย” เธอคว้าข้อมือเด็กหนุ่มออกไปจากห้องใต้ดิน “อย่างไรซะ ที่นี่ก็ไม่เหมาะสำหรับคนเป็นนักหรอก”

    ชายหนุ่มผู้เฝ้ามองอยู่ไม่พูดอะไรเมื่อร่างของทีโอดอร์ถูกลากตามไปด้วย ไม่รู้ตัวเลยว่ายื่นแขนอยากจะคว้าตัวอีกฝ่ายเอาไว้ แต่ก็ทำได้เพียงนิ่งค้างกลางอากาศ

    “บาเรครับใช้เรามานาน อย่ากังวลเลย เธอเป็นคนของเราที่นี่” เสียงอันคุ้นเคยกล่าวกับไคเลอร์เพื่อให้คลายใจ ผีไร้นามนั่นเอง “หลังจากนี้ผมมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตต่อได้อีกอย่างยืนยาวเทียวล่ะ”

    เหล่าผีล้อมรอบทีโอดอร์และไคเลอร์เป็นวงกลม ผีตนนึงก้มๆ เงยๆ อยู่เหนือร่างทีโอดอร์ ทาบนิ้วกับคอ และตรวจเช็คในบริเวณอื่น ช่างทำกล่องดนตรีจับตามองทุกขณะ

    “ไม่เป็นไร เขาแค่หมดสติ” ผีตนนั้นถอยห่าง

    “แล้วปีศาจล่ะ” ไคเลอร์ถาม

    “ไม่มีร่องรอยใดๆ เหลืออยู่เลย”

    เหล่าผีถอนหายใจกันอย่างโล่งอกและปิติยินดี

    และสิ่งอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น ร่างของผีบางตนเกิดแสงดูคล้ายละอองวนรอบกายกระทั่งร่างนั้นหายไปทีละน้อย เริ่มจากเท้า ตามด้วยเข่า ไหล่ และใบหน้าเลือนลาง กลุ่มแสงลอยออกไปทางหน้าต่าง หายไปกับอากาศหนาวด้านนอก ไคเลอร์มองตามภาพอันงดงามนั้นตาไม่กระพริบ

    “สิ่งนี้มัน..”

    “พวกเขาละจากสิ่งที่กังวลไปได้แล้ว” ผีไร้นามพูดด้วยน้ำเสียงเปี่ยมสุข แม้จะไม่ได้เห็นรอยยิ้ม แต่ไคเลอร์มั่นใจว่าผีตนนี้กำลังยิ้มอยู่ “การเกิดใหม่นั้นงดงามเสมอ”

    “หมดหน้าที่ของเราแล้ว ใช้ช่วงเวลาที่มีเหลือให้ดีเถอะ”

    เหล่าผีที่เหลือหันไปสบตากันก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้ทั้งสอง (และบาทหลวงผู้หมดสติ) อยู่กันตามลำพัง ไคเลอร์ลูบหัวทีโอดอร์เบาๆ ทำได้เพียงรอให้อีกฝ่ายลืมตาตื่นอีกครั้ง ก่อนจะถึงเวลาที่เขาต้องจากไปบ้าง

    “เราต้องไปกันอีกไกลแค่ไหน” เบนจามินกอดคอม้าที่กำลังห้อเต็มแรง คนที่ควบคุมบังเหียนอยู่ด้านหลังคือบาเรค

    “ไกลจนกว่าจะพ้นจากเมืองนี้ และไปเริ่มต้นใหม่เงียบๆ ได้” เธอคำราม พวกเขาหอบทรัพย์สินส่วนหนึ่งติดไม้ติดมือมาด้วยสำหรับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเด็กหนุ่ม และขี่ม้าออกจากคฤหาสน์ น่าแปลกที่บาเรคเตรียมการทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว ทั้งสองหยุดพักเมื่อหิมะตกแรงมากขึ้น

    เบนจามินเอนตัวพิงผนังอย่างหมดแรงเหนื่อยล้าจากเรื่องบ้าๆ ที่เกิดตั้งแต่ก่อนตายกระทั่งเกิดใหม่อีกหน  พวกเขาพบกระท่อมแห่งหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นที่พักสำหรับพรานล่าสัตว์ในบริเวณนั้น จึงได้ถือวิสาสะหลบหิมะที่นั่นด้วย

    “เธอไม่ใช่ท่านชายทีโอดอร์ ฉันมองออก”

    “คุณพูดเรียกอะไร” เบนจามินกะพริบตา รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาแวบนึง พยายามจะพยุงตัวขึ้นยืน

    “ท่านชายไม่ใช่คนใจเสาะ เท่าที่เคยรู้จักเขาเป็นคนโหดร้ายเหมือนกับแม่ของเขา”

    เด็กหนุ่มถึงกับพูดไม่ออก บาเรคเข่าอ่อนล้มลงกับพื้น ท่าทีคล้ายกำลังเจ็บปวด แต่น้ำตาแห่งความสุขกลับอาบรดแก้ม

    “ปีศาจไม่ต่างจากกาฝาก ผูกติดวิญญาณของทีโอดอร์เพื่อรอวันที่จะครอบครองร่างโดยสมบูรณ์” ทั้งคู่อยู่รอบกองไฟในกระท่อมหลังนั้น มีแค่บาเรคที่นอนไร้เรี่ยวแรงบนพื้น “โดยธรรมชาติแล้วแม้แต่ราชาปีศาจที่มีพลังอำนาจก็สามารถใช้มันได้น้อยนิดหากมายังโลก แต่หากเขามีกายหยาบเพื่อยืนยันการมีตัวตนของเขาแล้วละก็..”

    บาเรคเว้นช่วง เบนจามินถึงกับกลั้นหายใจกลัวว่าอีกฝ่ายจะสิ้นใจไปเสียก่อน “เคาท์เตสดอริสนำความชั่วร้ายนี้มาให้กับลูกชายของนาง เด็กน้อยถูกครอบงำ มีแค่ความตายที่จะปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ ก่อนหน้านี้ฉันเองที่เป็นคนวางยาให้เขาออกจากร่างนั้น ลบความทรงจำของวิญญาณ เพื่อให้ปีศาจอ่อนแอ ปกปิดตัวตนเขาจากใครก็ตามที่พยายามจะนำวิญญาณของเขากลับร่าง พี่น้องเหล่าผีผู้ภักดีเป็นคนทำหน้าที่นั้นแทนฉัน”

    “คุณเป็นใครกันแน่”

    “ฉันเป็นเพียงข้ารับใช้ ที่รัก” เธอยิ้ม เมื่อเห็นว่าท่านชายของเธอไม่อยากแม้แต่จะฟังเรื่องเลวร้ายพันธุ์นั้นอีกจึงได้เปลี่ยนเรื่องคุย “เธอชื่ออะไร”

    “เบน..เบนจามินครับ”

    “ยินดีต้อนรับสู่ชีวิตใหม่ของเธอ เบนจามิน” บาเรคพึมพำ ก่อนจะเตรียมตัวเข้าสู่ห้วงนิทราตลอดกาลของตัวเอง หัวใจเธอปวดหนึบมากกว่าเก่า และเธอรู้ตัวดีว่าการเดินทางของตนสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ “ใช้ชีวิต..ที่เหลือให้ดี”

    สิ้นคำ บาเรคก็ไม่ขยับอีกเลย เบนจามินก้มหน้ายอมรับการจากลาจากคนที่ตนรู้จักแทบนับไม่ถ้วน

    ต่อจากนี้จะเป็นเขาเองที่แบกรับเรื่องทั้งหมดเอาไว้ลำพัง 

    ไคเลอร์ปล่อยให้ร่างนุ่มนอนหนุนตัก เขาปัดเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนของทีโอดอร์ก่อนจะจูบที่ขมับเด็กหนุ่มเบาๆ

    ทีโอดอร์ตื่นจากการหลับใหล แพขนตากะพริบอย่างเชื่องช้า เด็กหนุ่มยิ้มให้ไคเลอร์ ซึ่งเขายืนยันได้ว่าเป็นสิ่งที่งดงามที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาชั่วชีวิต

    “ทำไมคุณถึงรู้” เด็กหนุ่มกระซิบเสียงแผ่ว “คุณรู้ว่าผมยังไม่ได้กลับเข้าไปในร่าง”

    “เรื่องนั้นฉันเพิ่งรู้ตอนที่เธอบอก” ไคเลอร์ขมวดคิ้วเป็นจริงเป็นจัง 

    “โอ๊ะโอ”

    “แต่นอกนั้นฉันรู้หลายเรื่องมากกว่าที่เธอคิด เด็กน้อย” เขาใช้นิ้วโป้งสัมผัสแก้มอีกคน “ผีไร้นามบอกกับฉันเรื่องเธอจนหมดเปลือก”

    “ตั้งแต่เมื่อไหร่” เด็กหนุ่มมีท่าทีสับสน จากศีรษะที่เอนเอียง แม้จะโตเป็นเด็กหนุ่มแล้วแต่ก็ยังดูไร้เดียงสาไม่เปลี่ยน

    “เธอต้องตอบคำถามฉันก่อน” ชายหนุ่มทำท่าเหมือนจะดุ “ร่างของเธอน่ะ..”

    ทีโอดอร์เข้าใจในทันที เขาก้มหน้างุด จู่ๆ ก็รู้สึกผิด “ผมยกให้เบนจามินครับ”

    “ทำไม?”

    “เพราะผมสามารถทำให้แม่ยิ้มได้โดยที่ไม่เสียความทรงจำที่มีร่วมกับคุณไปน่ะสิ ทั้งตอนที่คุณให้แพนเค้กกับผม สอนหนังสือผม และลุกขึ้นมาทำกับข้าวให้ทานทั้งทีคุณไม่ใช่คนที่ชอบตื่นเช้า ทั้งหมดนั่นมันมีค่ากับผมมากเลยนะ”

    “นั่นเพราะเธอก่อกวนฉันต่างหาก เด็กผี”

    “ไหนจะโรงละครอีกล่ะ และคุณอย่าขัดเวลาผมพูดอย่างนั้นซี!” ดังนั้นไคเลอร์จึงตั้งใจฟัง พอได้สบตากัน เด็กหนุ่มกับอึกอักไม่กล้าพูดต่อเสียอย่างนั้น 

    พอได้เห็นสีหน้ากันชัดๆ ความรู้สึกบางอย่างก็ก่อกวนในใจไคเลอร์ไม่หยุด แต่ก็ไม่แน่ใจนักว่ามันคืออะไร

    “จำคืนที่เราพักกันที่โรงแรมได้ไหม” ช่างทำกล่องดนตรีเป็นฝ่ายเอ่ยถามทำลายความเงียบ ทีโอดอร์พยักหน้า “ผีไร้นาม เขามาหาฉันในวันนั้น ข่มขู่จะพาเธอกลับไปกับเขา ฉันจึงอ้อนวอน ร้องขอโอ้ ขอสักทางให้ข้าได้ช่วยท่านชายน้อยให้ปลอดภัยจากปีศาจร้ายด้วยเถิด

    ไคเลอร์ดัดเสียงในประโยคหลังราวกับกำลังเล่านิทาน ทีโอดอร์หัวเราะชอบใจ เขารักนิทานเสมอ

    “และเขาก็บอกว่าฉันต้องลงไปนรกถึงจะได้ดอกกุหลาบของพญามาร เขาไม่ได้บอกว่าต้องรับมือกับอะไรแต่ฉันก็เข้าใจ นรกไม่ใช่ถนนที่เธออยากไปเดินเล่นหรอก”

    “แล้ว..ในนรกเป็นยังไงครับ คุณหลอกล่อผ่านพญามารมาได้ยังไง” ดวงตาของทีโอดอร์เป็นประกาย เป็นเหมือนกับตอนที่ได้ฟังนิทานบนเตียงกับชายหนุ่มเจ้าของบ้านหลังเล็กไกลผู้คน ยังคงความอ่อนหัดต่อโลกนี้อยู่มากโข บางครั้งผีน้อยหัวเราะคิกคักไปกับสิ่งที่ไคเลอร์เล่า และบางตอนที่ชายหนุ่มมีสีหน้าอึดอัดใจ เขาก็ไม่เซ้าซี้จะให้เล่าในจุดนั้น

    “ฉันคิดว่าจะไม่ได้มีชีวิตกลับมาแล้วด้วยซ้ำ ฉันอยากจะเขียนมันเก็บเอาไว้เสียจริงๆ คงโด่งดังใช่เล่น”

    “แต่อย่างน้อยคุณก็ปลอดภัย ขอบคุณที่กลับมา”

    ตะวันเช้ารุ่งสาดแสงส่องมาทางหน้าต่าง ทีโอดอร์ลุกขึ้นนั่งบนตักของไคเลอร์และกอดคอเอาไว้แน่น ชายหนุ่มอึกอัก สะกิดไม่ให้เด็กหนุ่มเริ่มทำอะไรประหลาดให้เขาอึดอัดใจกว่าเดิม แม้จะพยายามแงะเจ้าตัวออกแล้วก็ตาม แขนทีโอดอร์แข็งแกร่งกว่าเชือกผูกเรือเสียอีก สุดเท้าจึงได้แต่จำยอม

    โตแล้วก็ยังจะตัวติดเขา ต่างจากเด็กไม่หัดหย่านมเสียที่ไหน

    “ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ไคเลอร์”

    “ฉันก็ดีใจที่เจอเธอ”

    ทั้งสองกอดกันอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานจนแทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

    รอยยิ้มสุดท้ายเลือนหายไปกับแสงยามเช้า ร่างทั้งสองเป็นประกายด้วยละอองที่ก่ออยู่รอบตัว

    ถึงเวลาที่ต้องไปแล้ว

     

    The En-

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×