คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : 17 : Exorcism
สาวใช้ร่างท้วมคือคนที่พบศพเด็กหนุ่มผู้มาเยือนพวกเธอในค่ำคืนก่อน เขาอยู่ในบ่อน้ำหิน รูปร่างบิดเบี้ยว เด็กหนุ่มผมสีอ่อนตอนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำ เศษดิน ซากและใบไม้ตาย ผิวบวมจนแทบจะจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ เคาท์เตสดอริสซึ่งอยู่บริเวณนั้นรีบเข้ามาดูและคว้าแขนเด็กสาวที่กำลังเสียสติ
“เกิดอะไรขึ้น!”
“มีเด็กชายอยู่ในบ่อค่ะ” เธอควบคุมน้ำเสียงพูดมันออกมาได้ตรงประเด็นอย่างน่าเหลือเชื่อ เคาท์เตสดอริสกำแขนเธอแน่นเพื่อที่จะได้ไปดูมันด้วยกันอีกหน
สภาพศพส่งกลิ่นเหม็นอย่างน่าขนลุก นายหญิงแห่งคฤหาสน์อิฐแดงไม่เคยเห็นเด็กคนนี้มาก่อน
“เขาเป็นใครกัน เอลิเซีย”
“เด็กคนนี้เป็นคนที่คุณบาเรคต้อนรับมาก่อนที่ท่านชายจะตื่นค่ะนายหญิง ดิฉันคิดว่าเขาเป็นคนปลุกท่านชายด้วยตัวเอง”
แน่นอน มิสเตอร์ไคเลอร์เล่าเรื่องเด็กชายผู้มากับเขาให้ฟังอยู่บ้างว่าเขาไม่ได้มาเพียงลำพัง
“เด็กน้อยผู้น่าสงสาร” เธอพึมพำก่อนจะเดินกับคฤหาสน์แสนเงียบเหงา เรียกหาหัวหน้าคนรับใช้ “บาเรค”
เธอก้าวเข้ามายืนเคียงข้างทันที คล้ายกับว่ารอเธออยู่ก่อนแล้ว
“ผู้ติดตามของทีโอดอร์คือใครกันบ้าง”
“มิสเตอร์ไคเลอร์ และเด็กหนุ่มชื่อเบนจามิน เท่านี้เองค่ะ”
สาวใช้ร่างท้วมมีสีหน้างุนงง ไคเลอร์คนไหนกันแน่ ในเมื่อที่เดินทางมามีเพียงคนเดียวเท่านั้นไม่ใช่หรือ แต่ด้วยความอำนาจน้อยจึงไม่กล้าจะแย้งขัด
“ได้ยินมาว่าเด็กคนนั้นออกไปจากคฤหาสน์พร้อมกับทิ้งจดหมายเอาไว้ จริงหรือไม่บาเรค เธอได้เห็นตอนที่เขาออกไปหรือ”
“ไม่มีใครเห็นค่ะนายหญิง”
“อา..” เคาท์เตสสาวทิ้งตัวให้พนักเก้าอี้โอบกอดความรู้สึกเหนื่อยล้าที่เข้ามาจู่โจม
มันเกิดอะไรขึ้นลับหลังเธอกันนี่ ภายในใจโกรธแทบยืนไม่ไหว เมื่อสงบสติอารมณ์สักพัก เธอจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้งทำลายความเงียบ
“หรือฉันควรจะมีบุตรชายอีกคนกันล่ะ”
“ทำไมหรือคะ?” ข้ารับใช้ถามด้วยความงุนงง สายตาทั้งคู่จ้องมองทีโอดอร์ผ่านกระจก ซึ่งเด็กหนุ่มกำลังก้มลงมองบางสิ่งในบ่อน้ำหินด้านนอก นายหญิงของเธอไม่ตอบคำถามนั้น “แล้วนายน้อยละคะ”
“เด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกชายของฉันอีกต่อไปแล้ว”
ทีโอดอร์นอนหนุนตักของเคาท์เตสสาว
ทั้งคู่อยู่ใต้ต้นวิลโลว์ หลังจากที่เด็กหนุ่มอ้อนวอนให้เธอกลับเข้าไปหาเตาผิงอันอบอุ่นในคฤหาสน์แต่ไม่เป็นผล จึงได้เอนตัวนอนกับตักเธอตรงนั้นด้วยกัน
“ลูกมีความสุขดีไหม ลูกรัก”
เด็กหนุ่มพยักหน้า
“ร้องเพลงให้แม่ฟังสักเพลงสิ ทีโอดอร์” เคาท์เตสสาวลูบเส้นผมสีน้ำตาลอ่อน ทีโอดอร์นิ่งเงียบ “ลูกชอบร้องเพลง แม่รักเสียงและบทเพลงของลูก”
เป็นความจริงที่ว่าทีโอดอร์รักการร้องเพลงมากกว่าสิ่งใด มีบทเพลงเป็นร้อยๆ ที่เขาขับกล่อมแมกไม้และผืนหญ้า ท้องฟ้าและบ่อน้ำ ทุกที่ในเขตแดนแห่งนี้ล้วนแล้วแต่เคยได้ยินเสียงอันไพเราะของเขามาแล้วทั้งนั้น
เสียงหายใจสม่ำเสมอคือสิ่งที่เธอได้รับ เจ้าหล่อนนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะก้มตัวโน้มใบหน้าไปหาเด็กหนุ่ม
“หรือว่าเธอไม่ใช่ลูกแม่กันหือ”
เงียบไปพักหนึ่ง ปลายเล็บยาวของเคาท์เตสดอริสกรีดกรายลงบนผิวของเด็กหนุ่ม ลมหายใจสะดุดทันที
“ว่าอย่างไร”
“บะ..”
“หืม?”
“...คนดีไม่ยอมแพ้แม้โชคชะตาไม่เข้าข้าง
คนดี แค่นี้เจ้ายังไหว
สุดห้วงลึกหัวใจ เจ้ารู้สิ่งใดมิควร
เอ่ยออกมาในยามสิ้นหวัง”
“ลูกชายของแม่” เธอยิ้ม ประคองใบหน้าบุตรชายให้หันมาหาตนก่อนจะก้มลงจุมพิตริมฝีปากเบาๆ ไม่สนแม้แต่ว่าเด็กหนุ่มจะกำลังตัวสั่นระริกด้วยความกลัว
ใบหน้าซีดเซียวมีรอยยิ้มอิ่มเอิบเมื่อได้จูงมือบุตรชายเดินไปด้วยกัน ดวงตาของทีโอดอร์ว่างเปล่า
คืนนี้พระจันทร์ดับแสง แต่เคาท์เตสสาวและบุตรชายยังเดินไปตามสนามหญ้ายามค่ำได้โดยไม่ติดขัดราวกับเคยหลับตาเดินในบริเวณนี้เป็นพันๆ ครั้ง ไม่มีแม้แต่เสียงเรไรรอบกาย ยกเว้นเพียงเสียงลมพัดหวีดหวิวข้างกาย ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรกันสักคำ กระทั่งหยุดอยู่ใต้ต้นวิลโลว์เก่าแก่ มันส่งเสียงครวญครางราวกับภูตผีกำลังโหยหวนด้วยความทรมาน อายุอานามของมันหากให้เดาคงมากกว่าเจ็ดชั่วอายุคนได้
ทีโอดอร์หันไปสบตามารดาในความมืด
“มาเถิดลูกรัก วันนี้เป็นวันสำคัญของลูกนะรู้ไหม” เคาท์เตสสาวผายมือ เกิดลมหวนพัดรอบกายแรงขึ้น
“พร้อมหรือยังจ๊ะ”
ทีโอดอร์พยักหน้าพร้อมกับหลับตาลงขณะที่เคาท์เตสดอริสเริ่มสวดมนต์อ้อนวอน ฟ้าดำทมิฬยามที่หิมะเองก็เริ่มโปรยปราย
แม้จะไม่มีดวงจันทร์ปรากฎบนฟ้า แต่หากจะให้รอถึงจันทร์เพ็ญครั้งหน้า เกรงว่าทุกอย่างจะจบสิ้นลงก่อนที่วันนั้นจะมาถึง เคาท์เตสดอริสไม่รีรออะไรอีก
“ดันทาเลียน!” เธอกู่ร้องหลังบทสวดนั้นจบลง ก่อนจะเอ่ยนามนั้นอีกครั้ง “โปรดใช้ร่างเด็กคนนี้เพื่อเป็นเส้นทางให้ท่านได้ลงมาจุติอีกครั้ง ให้วิญญาณของเขาชี้นำทางให้ท่าน”
มีเสียงกรีดร้องดังมาจากคฤหาสน์ ทั้งคู่หันไปมอง เสียงร้องของเด็กชายปนไปกับเสียงคำรามของสัตว์ร้าย เคาท์เตสดอริสยิ้ม ปีศาจกำลังตอบรับเธอ ก่อนจะหันมาพิจารณาทีโอดอร์อีกครั้ง
“โปรดรับเครื่องบรรณาการแก่ข้า วิญญาณเด็กหนุ่มผู้นี้ เป็นพลังแก่ท่าน”
“คุณแม่!” ทีโอดอร์ตกตะลึง เมื่อผู้เป็นมารดาย่างเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ “เครื่องบรรณาการงั้นหรือ?”
“วิญญาณชั่วช้าแอบอ้างตนเพื่อจะครอบครองบุตรชายของฉัน!” ใบมีดสีเงินซึ่งเธอซ่อนเก็บไว้ถูกชักออกมา ใบหน้าทีโอดอร์ถอดสี “โปรดรับมันไปด้วยเถิด!”
สามวันก่อนหน้านี้
ทีโอดอร์ซึ่งถอดผ้าคลุมตัวออกไปแล้วเดินไปยังตู้เสื้อผ้าในห้องของตน ร่างที่เป็นกายเนื้อเขายังนอนนิ่งอยู่อย่างเดิมตั้งแต่เข้าห้องมา เด็กหนุ่มสะบัดหน้าหนีและลงมือแต่งตัวด้วยตัวเอง
บาเรคทิ้งตะเกียงไว้ให้เขาดวงนึง เด็กหนุ่มจึงใช้มันเพื่อนำทางเข้าไปในความมืดของตู้เสื้อผ้า ดันเสื้อผ้าส่วนหนึ่งออกห่าง ความทรงจำในสถานที่ที่เขาเคยอยู่มาตลอดชีวิตนั้นเลือนลาง แต่เขาแน่ใจว่ามีเส้นทางลับอยู่ตรงนี้ เขาใช้กำปั้นทุบไปบริเวณผนัง เงี่ยหูฟังเสียงที่เกิดขึ้น หาความแตกต่างของเสียงแต่ละพื้นที่ ในที่สุดเขาก็พบ
ทีโอดอร์ดันประตูลับขึ้นเพื่อให้ตัวเองได้แทรกตัวเข้าไปได้ เขาสำรวจเส้นทางทั้งหมดเพื่อทบทวนความจำ
ตรงนี้เป็นทางเดิน ทางแคบต่ำๆ นั่นเป็นห้องถนัดจากห้องของเขา
ทีโอดอร์สูดจมูกเมื่อเขามาถึงห้องครัว มีเสียงหม้อกับตะหลิวกระทบกันฟังดูยุ่งเหยิง
“มื้อค่ำสามที่!” เสียงหญิงรับใช้ร่างท้วมอุทาน “บาเรคเสียสติไปแล้ว ว่าไหมล่ะอิสเบล แค่เด็กหนุ่มคนเดียวเนี่ยนะ”
“เบาๆ เสียสิ!” หญิงรับใช้อีกคนปรามแต่กลับใช้เสียงดังไม่แพ้กัน “แกจะทำให้ฉันเดือดร้อนไปด้วยหากยังพูดพร่ำต่อไป”
“ก็ฉันเห็นคนย่างเข้าประตูมาแค่คนเดียว ยายเพี้ยน! นี่เรากำลังทำกับข้าวให้ใคร ผีงั้นหรือ!”
“ฉันบอกให้แกเงียบยังไงล่ะ!”
ทั้งคู่ยังตะโกนโหวกเหวก ทีโอดอร์หาทางเข้าไปในครัวขณะที่พวกเธอหันหลังให้ เขามาโผล่ในชั้นเก็บของ กลิ่นหอมๆ ของไก่อบโชยมาแตะจมูก
เด็กหนุ่มหยิบจานนั้นออกมาก่อนจะหายเข้าไปในเส้นทางลับ
“ตาเถร!”
“อะไร!! มีอะไร!”
“ไก่ที่ฉันอบไว้หายไปไหนแล้ว”
“หาให้เจอนังหมูตะกละ แกน่าจะผ่าท้องแกออกมาดูนะ”
“หน๋อย”
เกิดการต่อสู้กันเล็กน้อย ทีโอดอร์รีบคลานหนีออกจากตรงนั้นทันที
ผีผ้าคลุมรอจนกระทั่งพลบค่ำ หลังจากที่ทุกคนเข้าห้องนอนกันแล้ว เขาจึงออกตามหาห้องของเบนจามินเพื่อทวงสัญญาที่ได้ให้ไว้แก่กัน
“นายดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยนะ” ผีผ้าคลุมออกความเห็น ปัดฝุ่นออกจากเสื้อ ใช้เวลาพักหนึ่งกว่าจะเจอห้องเบนจามิน เด็กหนุ่มนั่งอยู่ริมระเบียง เหม่อมองออกไปด้านนอก แม้จะตกใจเล็กน้อยที่ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงใต้ผ้าคลุม มันไม่ได้มีอะไรน่ากลัวแบบที่เขาจินตนาการ ออกจากเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาจิ้มลิ้มด้วยซ้ำไป
“ฉันรู้แล้ว ความตายกำลังโอบกอดฉัน” เบนจามินยิ้มอย่างอ่อนแรง
“ฉันเคยฆ่าคนโดยเจตนา ไม่นึกเลยว่าการคิดถึงมันจะทำให้เจ็บปวดได้ขนาดนี้ ฉันไม่โกรธเลยที่คุณวิลลิสอยากจะฆ่าฉันให้ตายคามือ บางครั้งฉันก็คิดว่าตัวเองสมควรได้รับมัน”
ทีโอดอร์ไม่พูดอะไร
“นั่นเลยเป็นเหตุผลที่นายตกลงจะทำสัญญากับผมงั้นหรือ?”
“ใช่” เบนจามินพยักหน้า นึกถึงคืนที่ผีผ้าคลุมขอให้เขาตาย เพื่อทีจะมีชีวิตอยู่ต่อได้ในร่างของทีโอดอร์ แม้จะเป็นข้อเสนอที่แปลกและแม้ว่าจะถามเท่าไหร่ ผีผ้าคลุมก็ไม่ตอบอะไรเลยก็ตาม
ใครจะอยากทิ้งครอบครัว ทรัพย์สมบัติมากมายขนาดนั้นกันล่ะ สุขสบายไปทั้งชาติเลยนะ
“เพราะฉันเป็นเบนจามิน ผู้ไม่มีทางได้รับสิ่งดีๆ ได้เลย ขอโทษนะถ้าฉันจะพูดมากเกินไป”
“การเริ่มต้นใหม่อาจเป็นทางเลือกที่ดีในร่างอื่น” ทีโอดอร์บีบไหล่คนข้างๆ “นี่จะเป็นการเจอกันครั้งสุดท้ายของเรา ผมไม่ว่าอะไรถ้านายอยากจะพูดมันออกมาจนกว่านายจะสบายใจ”
“ขอบคุณ” เบนจามินสูดจมูก “ฉันหวังตัวเองมีชีวิตยืนยาวกว่านี้ ฝันอยากจะมีบ้านเล็กๆ กับสวนเหมือนคนอื่น มีชีวิตปกติธรรมดา แต่ฉันไม่มีทางหนีไปจากคอนเนอร์ได้ ไม่มีทางทำได้เลย ยกเว้นแต่ว่าฉันจะตาย”
“นายจะได้สิทธิ์นั้นวันนี้”
เบนจามินพยักหน้า แต่เพื่อพิจารณาถึงเนื้อความแล้วถึงกับขนลุกซู่
ทีโอดอร์เดินไปชิดริมระเบียงก่อนจะปีนขึ้นไป สายลมเดือนธันวาคมพยายามจะผลักเขาลงไปสู่พื้นด้านล่าง
“ระวังนะ” เบนจามินร้อง ก่อนจะเอามือปิดปากเมื่อคิดได้ว่าอาจมีใครสักคนมาได้ยินเข้า ทีโอดอร์กางแขนเพื่อช่วยในการทรงตัวของตน
เขาเคยปีนต้นไม้มานับร้อยต้น ยืนทรงตัวได้อย่างยอดเยี่ยม แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก
“ถึงตกลงไปผมก็ไม่ตายหรอก” เด็กหนุ่มยิ้ม “อยากขึ้นมาด้วยกันไหม”
“ฉันไม่แน่ใจ..”
“ตรงนี้สามารถมองเห็นไปถึงรถไฟเลยนะ มาสิ”
เบนจามินลังเล แต่ก็ไม่อยากจะขัดใจผีผ้าคลุม คนตัวเล็กกว่าช่วยพยุงเขาขึ้นไป
“เห็นไหม”
“สวยมากๆ” ทีโอดอร์โอบคอเบนจามินไว้
“ตั้งใจฟังให้ดี” เขากระซิบ รวบรวมความทรงจำที่เขาพอจะนึกออกเมื่อมาถึงสถานที่แห่งนี้ “อย่าคุยกับใครโดยไม่จำเป็น หาทางออกจากปราสาทให้ได้ ที่นี่ไม่ปลอดภัย หนีให้พ้นจากเมืองไปเริ่มชีวิตใหม่ที่ไหนก็ได้ที่นายต้องการ แต่อย่ากลับมาเด็ดขาด เคาท์เตสดอริสแม่ของผมต้องการใช้ร่างผมเพื่อทำสิ่งชั่วร้าย และเธอต้องการสานต่อเจตนารมณ์นั้นเมื่อผมฟื้นขึ้นอีกครั้ง”
ทีโอดอร์ทาบมือกับอกของตน มีสีหน้าเจ็บปวด เขาอธิบายถึงเส้นทางลับที่เขาสามารถจะใช้มันได้ ก่อนจะกอดตัวเองไม่ให้ตัวสั่น พึมพำประโยคนึงที่เบนจามินไม่สามารถเข้าใจมันได้ในทันที
“ครึ่งหนึ่งของผมเป็นของมัน บางทีผมอาจจะเป็นปีศาจมาตั้งแต่แรก”
“ฉันไม่เข้าใจ”
“ผมขอให้นายมีชีวิตใหม่ที่ดีนะ” ทีโอดอร์กระซิบท่ามกลางความแปลกใจของเบนจามิน
ก่อนจะผลักเด็กหนุ่มลงจากระเบียงสู่ผืนหญ้าเขียวเบื้องล่าง เสียงกระดูกหักดังลั่น แท่งกระดูกโผล่ออกมาจากเนื้อ
ทีโอดอร์ค้อมหัวลงต่ำเป็นการเคารพเหมือนนักแสดงยามที่โชว์จบลง จ้องมองเด็กหนุ่มผู้กำลังหมดลมหายใจและลงไปนำร่างของเบนจามินทิ้งลงบ่อน้ำด้วยตัวเองอย่างทุลักทุเล
เบนจามินตื่นขึ้นบนพื้นหญ้า ได้ยินเสียงคนลากของหนักๆ และเสียงบางสิ่งตกกระทบผืนน้ำดังตูม! ดวงดาวส่องแสงระยับก่อนที่ใบหน้างดงามเช่นตุ๊กตากระเบื้องจะบนบังมันจากสายตาเขาไปหมด ทีโอดอร์นั่นเอง ดวงตากลมโตยิ้มยี
“เร็วเข้า”
เด็กหนุ่มถูกดึงให้ลุกขึ้นด้วยความมึนงง กระดูกเขาไม่ได้หัก ไม่มีเลือด หรืออะไรที่บ่งบอกว่าเขาเป็นวิญญาณ เขามองไม่ออกด้วยซ้ำ ทีโอดอร์กุมมือเบนจามินไว้แน่นขณะที่พวกเขาวิ่งเข้าไปในเส้นทางคับแคบที่ซ่อนหลังพุ่มไม้หนา แทบจะต้องฉุดกระชากเขาตลอดทาง
“ได้โปรดเถอะ เร็วเข้าสิ”
เลี้ยวซ้าย ขวา ปีนขึ้น และก็เลี้ยวขวา เลี้ยวขวา
ในที่สุดก็ถึงห้องของผีผ้าคลุม ทีโอดอร์มุ่งตรงไปที่โลงแก้ว ซึ่งบรรจุร่างตัวเองไว้ เขาดันฝาโลงแก้วเปิดอย่างเบามือ มันเบากว่าที่คิด
เบนจามินยังพูดไม่ได้ศัพท์ เขาเดินโซเซไปอยู่ข้างโลงแก้ว ก้มมองเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้างดงามสะอาดตานั้น ก่อนจะรู้ตัวอีกที ริมฝีปากของเขาก็สัมผัสกับร่างที่นอนหลับอยู่
ทีโอดอร์เฝ้ามองเบนจามินที่ค่อยๆ จางหาย กลายเป็นละอองแสง หายเข้าไปในตัวเขาที่กำลังนอนอยู่ เด็กหนุ่มกุมมือตนเอง จากร่างที่เย็นเฉียบกลับอุ่นขึ้นทีละนิด เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อร่างที่นอนอยู่ลืมตาขึ้น มองไปรอบตัวไม่พบสิ่งใด
เบนจามินมองเงาสะท้อนในแจกันสีทอง ทีโอดอร์จ้องมองเขากลับมา และไม่ว่าจะทำท่าที่แบบไหน เงานั้นก็เลียนแบบเขาไปเสียหมด
เขาเข้าไปอยู่ในร่างของท่านชายของคฤหาสน์โดยสมบูรณ์
เบนจามินหันหลังจะวิ่ง มีดสั้นในมือเคาท์เตสดอริสถูกปาใส่น่องจนเด็กหนุ่มต้องล้มลงเอาหน้าคลุกหิมะเย็นเฉียบ
“กล้าดียังไง!!” เคาท์เตสดอริสหวีดเสียง ก้มลงลากขาร่างบุตรชายไถลไปกับพื้น เด็กหนุ่มพยายามที่จะหาที่ยึดเกาะแต่ก็ไม่มีสิ่งใดเต็มใจจะทำหน้าที่นั้นให้ พละกำลังของเธอมากกว่าที่เห็นจากรูปร่างบอบบางนี้มากโข พวกเขาหยุดที่ใต้ต้นวิลโลว์ ในตอนที่หญิงสาวดึงมีดออกจากขาของเด็กหนุ่ม เลือดกระเซ็นเปราะเปื้อนชุดราคาแพง
เคาท์เตสดอริสะบัดเลือดออกจากใบมีด ชุดของเธอฉีกขาดจากการฟาดฟันกันกับเบนจามิน แม้จะรู้สึกหงุดหงิดใจที่ทุกอย่างพังทลายลงกับตาแต่ยังมีสิ่งอื่นที่สำคัญกว่านั้น เธอไม่แม้แต่จะลงมือฆ่าผู้ที่เข้ามาสิงสู่ร่างบุตรชายด้วยซ้ำ ยังก่อน ต้องเก็บเขาเอาไว้และหาหนทางที่จะไล่ผีตนนี้ออกไป
“ถ้าคุณไป ผมจะทำลายร่างนี้ซะ!” เด็กหนุ่มผู้กล้าตะโกนก้อง ในมือของเขามีเศษกระจกชิ้นใหญ่จ่ออยู่บริเวณลำคอ ซึ่งเขาแอบซ่อนมันไว้ใต้ชุดตัวเองก่อนหน้านี้ “คุณจะไม่มีวันได้ซ่อมแซมร่างนี้อีกเป็นครั้งที่สอง เข้าใจไหม!”
เคาท์เตสสาวหันมาสบตาเขา และเริ่มหัวเราะเยาะ
“เอาสิ” เธอท้า ก้าวเท้าเข้ามาใกล้ ในเมื่อเด็กคนนี้อยากจะเล่นเกม เธอก็จะสนองให้ “ทำเสียตั้งแต่ตอนนี้ ในตอนที่เธอยังมีโอกาส!”
เบนจามินในร่างทีโอดอร์สั่นเทา คมกระจกบาดผิวบริเวณลำคอให้ได้เลือด
เด็กหนุ่มหลับตาลง รอรับความตายที่ใกล้มาเยือนอีกหน
ไคเลอร์ลืมตาตื่น ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องทำสิ่งที่ควรทำ
ชายหนุ่มหันไปมองแจกันที่เขารักษาดอกกุหลาบไม่ให้แห้งเหี่ยว
‘มนุษย์ผู้ใดที่มีดอกกุหลาบของพญามารถึงสามดอก เขาผู้นั้นจะอยู่เหนือปีศาจทั้งปวง’
นิทานครั้งเก่าที่เขาเคยเชื่อว่ามันเป็นเพียงเรื่องแต่ง เขาเปลี่ยนใจแล้วจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดสามคืนที่ผ่านมา มันเป็นดั่งสัญลักษณ์แห่งความกล้าหาญ ไคเลอร์นึกถึงคืนที่ยังพักอยู่ในโรงแรม
เส้นทางไปนรก ไม่น่าเชื่อว่ามันจะอยู่ในใจกลางสวนวงกตของเคาท์เตสดอริสนี่เอง ตลาดสามวันมานี้เขาแทบไม่ได้หลับเต็มตาเลยสักครั้ง ความเหน็ดเหนื่อยทำให้เขาหลับไปมากในคืนสุดท้าย น่าเศร้าที่แม้จะตายก็ไม่สามารถจะหลุดพ้นจากความรู้สึกทุกอย่างไปด้วย เนื้อตัวเขาปวดร้าวไปถึงกระดูก ทัวร์นรกไม่ใช่ที่เที่ยวที่น่าอภิรมย์นัก
เคาท์เตสดอริสมีท่าทีเคลือบแคลงเขา เรื่องนั้นไคเลอร์รู้ดี แต่ทุกอย่างพร้อมแล้ว เขาต้องรีบลงมือก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ หนทางที่ทีโอดอร์จะได้มีชีวิตอย่างมนุษย์ปกติโดยไม่รู้สึกแปลกแยกหรือโดดเดี่ยว
ทางเดินเงียบสนิท ไฟทุกดวงในคฤหาสน์ดับไปดังเช่นทุกคืน หิมะแรกร่วงหล่นอยู่ด้านนอก ในตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นมาจากห้องใต้ดิน ชายหนุ่มไม่รอช้า เมื่อจำได้ว่านั่นเป็นเสียงของใคร
“ทีโอดอร์!”
ไคเลอร์ไปถึงที่นั่นในเวลาไม่นาน ประตูล็อก แม้จะพยายามพังมันเข้าไปแต่กลับไม่เป็นผล สาวใช้สองคนตื่นขึ้นมามุงดูบริเวณประตูเช่นเดียวกัน แต่พวกเธอมองไม่เห็นเขาก็เท่านั้นเอง
“ประตูเปิดไม่ได้” อิสเบลพยายามที่จะทุบพร้อมกับเขย่าลูกบิด “อยากรู้เสียจริง เกิดอะไรขึ้นข้างในนั้นกันแน่”
“นั่นน่ะซี” อลิเซีย สาวใช้อีกคนส่งเสียงฮึดฮัด ใจหนึ่งคิดว่าอยากจะหนีไปตากตรงนั้นแต่ก็ทนความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ “เธอควรลงลิฟต์ส่งของไปนะ มันใหญ่พอแถมยังเชื่อมกับห้องใต้ดินน่ะ”
“เสียสติแล้วหรือ!” ร่างผอมเอ็ด “ทำไมฉันต้องเป็นคนเสี่ยงตายอยู่คนเดียวด้วยล่ะ”
“เพราะแกตัวผอมกว่าฉันยังไงล่ะ”
“ฉันไม่มีทางยอม! นังหมูสกปรกเห็นแก่ตัว” อิสเบลผลักเพื่อนล้มลง พวกเขาด่าทอกันไปมาพลางผลักอกกันและกันอยู่อย่างนั้น ไคเลอร์จึงปลีกตัวออกมา และมองหาลิฟต์ส่งของที่พวกเธอว่า
และมันอยู่ตรงนั้น หน้าชุดเกราะอัศวินยุคกลาง ลิฟต์ดูเก่าคร่ำครึแต่ยังใหญ่พอที่จะใส่ตัวเขาเข้าไปได้ แม้ต้องใช้ความพยายามมากก็ตาม
ชายหนุ่มปีนเข้าไปข้างใน คงเป็นโชคของเขาที่ไม่ใช่ผู้ชายกล้ามโตเหมือนพวกชาวเรือจึงพอหายใจหายคอได้บ้าง มีเชือกอยู่เหนือหัว เขาใช้สิ่งนั่นในการค่อยๆ ขยับพาตัวเองลงไปข้างล่าง
เสียงกรีดร้องเสียดแทงไปถึงประสาท และยังคงดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพาตัวเองออกจากกล่องลิฟต์ได้ เขาก็ได้พบกับผีผ้าคลุมที่ถูกมัดอยู่บนพืื้น โดยที่ปลายเชื่อมเป้นบาเรคที่ดึงรั้นเอาไว้ เลือดไหลออกมาจากตาเปื้อนผ้าขาว เป็นเขาไม่ผิดแน่ ทีโอดอร์เสียงแหบแห้ง
แต่สิ่งที่แปลกก็คือ ทำไมทีโอดอร์ถึงยังดูเหมือนวิญญาณ?
สัญชาตญาณของเขาตั้งคำถามก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ จึงได้ยินเสียงของบาทหลวงผู้หนึ่งสวดมนต์เบื้องหน้าผ้าผ้าคลุมที่อยากจะฉีกทึ้งอีกฝ่ายเป็นชิ้นๆ
“ข้าแต่พระบิดาเจ้า ข้าพระองค์ยอมรับต่อพระเจ้าว่า ข้าพระองค์เป็นคนบาป และเชื่อว่าพระเยซูคริสตเจ้าทรงสิ้นพระชนม์บนกางเขนเพื่อไถ่ข้าพระองค์ให้พ้นจากบาป และ..”
หัวหน้าคนรับใช้สูดหายใจเข้าลึกขณะหันมามองไคเลอร์
“เกิดอะไรขึ้น” เป็นคำถามที่โง่เขลาเมื่อพูดออกไปทั้งที่มันประจักษ์อยู่ตรงหน้า
พิธีไล่ผี
“วันพระจันทร์ดับแสง ปีศาจจะอ่อนแอที่สุด ฉันจึงเรียกบาทหลวงมาที่นี่ มันเกือบจะไปได้ดี กระทั่งนายหญิงปลุกมันขึ้นมา มันจะไม่ยอมกลับไปจนกว่าจะได้ของบูชายัญ!”
เมื่อได้ยินเสียงของบาเรค ทีโอดอร์จึงได้เปลี่ยนเป้าหมายการโจมตีไปที่เธอ หัวหน้าคนรับใช้หวีดร้อง แต่ไคเลอร์ไวกว่า ชายหนุ่มกระโจนเข้าไปคว้าตัวผีผ้าคลุมกระทั่งล้มลงไปกับพื้นทั้งคู่ ใช้ตัวเองแทนเครื่องพันธนาการตรึงปีศาจเอาไว้อย่างนั้น
บาทหลวงเฒ่าสั่นระริก แต่พยายามอย่างที่สุดจะกล่าวบทสวดมนต์ให้เร็วขึ้น เพื่อที่ทุกสิ่งทุกอย่างจบสิ้นลงโดยเร็ว“...โปรดช่วยนำพาวิญญาณของเด็กหนุ่มผู้นี้ให้ไร้ซึ่งมลทิน ในพระนามของพระเยซูคริสต์ อาเมน!”
“ท่านชายทีโอดอร์ ท่านต้องเข้มแข็งไว้นะ!” บาเรคตะโกนแข่งกับเด็กหนุ่มที่กำลังดิ้นทุรนทุรายในอ้อมกอดไคเลอร์ ชายหนุ่มคล้องแขนรอบคอเขา กำดอกกุหลาบไว้ในมือกระทั่งหนามของพวกมันทิ่มเข้าผิวเนื้อ เลือดสีแดงหยดลงบนผ้าคลุมเปื้อนฝุ่น
แต่ร่างของชายหนุ่มถูกผลักไส ก่อนที่ผีผ้าคลุมจะกรีดร้อง เสียงเล็กแหลมของผู้หญิงปนไปกับเสียงคำรามของชายแก่ หัวของทีโอดอร์สั่นคลอนอย่างรุนแรง ไม่ต่างจากภาพเบลอ
ใบหน้าหลากหลายพยายามดันผ้าคลุมออกมาจากผ้าคลุม บาทหลวงนิโคลัสผู้ที่ตลอดชีวิตทำหน้าที่เพียงสวดมนต์และเทศนาให้เหล่าสาวกของพระเยซูเจ้า ฟังคำสารภาพบาปอันน่าหดหู่ใจของพวกเขา แต่ไม่เคยต่อกรกับปีศาจย่างก้าวถอยหลัง ทำสัญญาไม้กางเขนที่อก แค่เพียงแวบนึงที่เกรงกลัวต่ออำนาจจนอยากศิโรราบ ชายชราร้องไห้อย่าอดกลั้นไม่อยู่
หากนี่เป็นจุดจบ ก็จะเป็นจุดวินาศของโลกนี้ไปด้วยเช่นกัน
ปีศาจในร่างเด็กหนุ่มหัวเราะด้วยน้ำเสียงนุ่มหวานของหญิงสาว ไม่กี่วินาทีก็เปลี่ยนใบหน้าไปอีกแบบแม้จะมองไม่เห็นได้ชัดนักภายใต้ผ้าคลุม อีกใบหน้ากลับเป็นชายเขี้ยวแหลมมากจนทะลุออกมาจากเนื้อผ้า ข่มขวัญผู้คนในห้องแห่งนั้นได้อยู่หมัด
สถานการณ์มันแย่กว่าที่คิดเสียอีก
ความคิดเห็น