คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : 15 : Labyrinth
ฤดูใบไม้ร่วงตายไปพร้อมกับการมาของฤดูหนาวแสนเย็นชา ราตรีกลืนคฤหาสน์เอาไว้ทั้งหลังท่ามกลางความมืดมิด ลมหนาวบาดกาย อีกไม่นานหิมะจะตก
เหล่าสาวใช้ทั้งสองเยื้อแย่งผ้าผิวกระสอบผืนเดียวของพวกเธอกันไปมา หัวหน้าแม่บ้านนั้นเคี่ยวเข็ญว่าพวกเธอจะได้ผ้าอีกผืนต่อเมื่อหิมะตกเท่านั้น ดังนั้นพวกเธอจึงเฝ้าคอยหิมะแรกทุกวัน และโอบกอดกันให้ความอบอุ่นแม้จะไม่พิศวาสกันมากนัก
หัวหน้าแม่บ้านไม่จำเป็นต้องใช้ไฟในการนำทางในการเดินสำรวจคฤหาสน์ก็รู้เส้นทางทุกซอกทุกมุมเป็นอย่างดี บาเรคเดินรอบคฤหาสน์ทั้งหลังเพื่อตรวจความเรียบร้อยหากมีหน้าต่างบานใดเปิดเอาไว้อีก ก่อนจะสำรวจห้องนอนของแขกที่เธอต้อนรับมาในวันนี้ เด็กหนุ่มที่ชื่อเบนจามินนั่งเหม่อลอยริมหน้าต่างเป็นเวลานาน ในขณะที่ห้องไคเลอร์นั้นดับไฟมืดสนิท
เธอหยุดอยู่ตรงหน้าประตูห้องนอนของทีโอดอร์ ท่านชายน้อยของเธอยังไม่ปรากฏกายแม้เวลาจะผ่านไปยามค่ำแล้วก็ตาม เมื่อเคาะประตูก็สัมผัสได้เพียงความเงียบงัน บาเรคเดินกลับไปยังห้องของตนซึ่งแยกตัวจากสาวใช้ทั้งสองเพื่อเข้านอน โดยไม่รู้เลยว่ามีแสงไฟดวงหนึ่งอยู่ในสวนวงกต
และร่างของใครคนหนึ่งที่กำลังร่วงหล่น
ไคเลอร์เดินกึ่งวิ่งออกจากเส้นทางเขียวขจีพร้อมกับตะเกียงเจ้าพายุและกิ่งไม้ที่มัfรวมกันด้วยเถาองุ่นเป็นรูปทรงไม่ต่างจากคน หายใจหอบแฮ่ก เมื่อเงยหน้าขึ้นฟ้า พระจันทร์สีเงินครึ่งดวงคือสิ่งที่เขาเห็น เกือบสะดุดหน้าทิ่มเพราะหินก้อนเดิมที่พบเมื่อกลางวัน
เขาแน่ใจว่าตนไม่ได้หลง ดังนั้นเขาจึงเดินต่อ ใช้ด้ายสีแดงเส้นหนึ่งผูกตุ๊กตากิ่งไม้ที่เขาทำไว้กับพุ่มไม้ช่อหนึ่งในลักษณะคนแขวนคอ
งานของเขาคืนนี้เสร็จแล้ว
คฤหาสน์ดอริสดับไฟมืดสนิท ไคเลอร์วางนิ้วลงบนร่องของอิฐแต่ละก้อนก่อนจะปีนขึ้นไปที่หน้าต่าง ไม่ใช่เรื่องง่าย ตลอดชีวิตของชายหนุ่มไม่เคยคิดจะทำอะไรโลดโผน แต่เพราะถือว่าในตอนนี้สถานการณ์มันบีบบังคับ เขารวบรวมใจบอกกับตนว่าเขาเป็นวิญญาณที่ไร้น้ำหนักแม้เล็บจะเจ็บมากก็ตาม ในที่สุดเขาก็ขึ้นไปยืนอยู่ที่ระเบียงห้องตัวเองได้สำเร็จ
รถยนต์สีดำคันหนึ่งเร่งเครื่องมายันตัวคฤหาสน์ แส่งไฟสว่างจ้ามาแต่ไกล ไคเลอร์เฝ้ามองอยู่ชิดกระจก ให้ม่านสีหม่นบังตัวเองพร้อมกับดับไฟ ติดตามทุกการเคลื่อนไหวกระทั่งจอดนิ่งสนิท ผู้ที่โดยสารมาก้าวขาลงจากรถ รูปหน้าคุ้นเคยที่เห็นอยู่นั้นงดงามยิ่งกว่ารูปขาวดำในหน้าหนังสือพิมพ์ เธอสวมชุดสีดำ ม่านตาข่ายปัดเสี้ยวหน้าไปครึ่งแต่ก็ยังปิดความงามนั้นไม่มิด
เธอยังดูสาวกว่าที่ไคเลอร์คิด คงอายุน้อยกว่าเขาซึ่งเพิ่งจะพ้นวัยเบญจเพสมาไม่นานด้วยซ้ำ
ประตูคฤหาสน์เปิดออกกว้างต้อนรับผู้มาเยือน และเด็กหนุ่มผู้มีดวงตาว่างเปล่าเดินออกจากประตู ต้อนรับการกลับมาของมารดา ใบหน้างดงามราวกระเบื้องเคลือบนิ่งงันขณะเฝ้ารอ
ทีโอดอ —ไม่สิ ท่านชายทีโอดอร์
เคาท์เตสสาวอุทานสั้นๆ มองทูนหัวของเธออย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนจะตรงเข้าไปโอบแขนกอดลูกชายหัวแก้วหัวแหวนพร้อมกับมอบจุมพิตให้เขาที่มือ เด็กหนุ่มยืนนิ่งอยู่เช่นเดิม ท่าทางห่างเหินกว่าที่ควรจะเป็นแถมยังดูอึดอัด
ทั้งคู่กอดกันอีกครั้งก่อนจะเดินเข้าไปหาความอบอุ่นจากเตาผิงด้านใน
น่าเศร้า เคาท์เตสดอริสมองเห็นไคเลอร์เช่นเดียวกับบาเรค นั่นแปลได้ง่ายๆ ว่าพวกเขาใกล้จะถึงความตายในเร็ววันนี้ คนรับใช้สาวสองคนมองเจ้านายซึ่งพูดคุยกับความว่างเปล่าอย่างกังวลบนโต๊ะอาหาร
“ทีโอดอร์ไม่ใช่เด็กช่างพูดมากนัก” เคาท์เตสดอริสบอกกับเขา เธอจึงไม่เป็นกังวลใดๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นและเด็กหนุ่มก็ยังนิ่งเฉย และเลือกที่จะกินแค่เนื้ออย่างหิวโหยไคเลอร์มองเขาอย่างเป็นกังวล เขาดูหิวโซ ท้องไส้ไร้อาหารตกถึงท้องมาเนิ่นนาน แม้สุดท้ายจะอ้วกใส่กระโถนก็ยังฝืนจะดื่มกินสิ่งที่วางเรียงรางบนโต๊ะอย่างไม่รู้มารยาท เคาท์เตสดอริสหัวเราะกลบความน่าขยะแขยงบนโต๊ะอาหาร
“ค่อยๆ กินนะจ๊ะ”
ไคเลอร์ใช้สายตาพิจารณาใบหน้าของอดีตผ้าคลุมใหม่อีกครั้ง พวงแก้มที่กำลังเก็บงำอาหารไว้ข้างใน ดวงตากลมโตสุกใส ดูโตกว่าที่เขาเห็นครั้งสุดท้ายในพิธีกรรมประหลาดของเหล่าผีเล็กน้อย อยู่ในขั้นตอนเตรียมการเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มพร้อม
ชายหนุ่มเอามือเท้าคางมองใบหน้างดงามราวดอกไม้ แต่กิริยาสวนทางกันอยู่เนิ่นนาน หมดอารมณ์อยากอาหารไปนานแล้ว ในใจมีความหวังจะได้เห็นอีกฝ่ายโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดีอย่างเขาได้สักวัน
เบนจามินหนีออกจากที่นั่นในตอนเช้าตรู่วันต่อมา ไคเลอร์ไปที่ห้องของเขาและพบจดหมายที่เขาทิ้งเอาไว้ให้ใต้แจกัน มีใจความสั้นๆ เขียนเอาไว้ว่า
ถึง มิสเตอร์ไคเลอร์
ขอบคุณครับ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ผมหวังว่าการจากลาครั้งนี้จะไม่ทำให้คุณผิดหวังในตัวผม
เบนจามิน
ไคเลอร์มองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่รู้ว่าเด็กขายหนังสือจะไปสิ้นสุดเส้นทางชีวิตในที่ใดต่อจากนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็อวยพรให้อีกฝ่ายแคล้วคล้าดรอดภัย
ชายหนุ่มใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการนอนหลับในช่วงกลางวัน ไม่รู้สึกเหมือนกำลังจะไปเกิดใหม่เลยสักนิด
ยังไม่หมดห่วงงั้นหรือ
อาจจะใช่
ไคเลอร์มีงานให้ทำมากกว่าจะเอาเวลาไปคิดเรื่องอื่น แม้แต่เรื่องตัวเองอย่างที่ควรจะเป็นทุกที ลึกๆ เขาดีใจที่ยังไม่ไปเกิดใหม่ในทันทีหลังพาทีโอดอร์กลับมาถึงอ้อมกอดมารดา
นอกจากเวลาอาหารแล้วเขาก็ไม่ได้พบเด็กหนุ่มเลย ทีโอดอร์ขังตัวเองอยู่ในห้องตลอดทั้งวัน ไม่เหมือนกับที่เคยเป็นผีที่เที่ยวก่อกวนชาวบ้านเค้าจนแทบจะบ้า เคาท์เตสดอริสใช้เวลาตลอดบ่ายในการนั่งหน้าประตูห้องบุตรชายและเฝ้ารอหากทีโอดอร์ต้องการเธอขึ้นมา นับเป็นพฤติกรรมที่ประหลาด คงเป็นความรักของแม่ที่โหยหาลูกชายมากกระมัง ไคเลอร์เลี่ยงที่จะออกความเห็นเกี่ยวกับเธอ และแจ้งกับเธอว่าจะขอพักอยู่แค่สามคืนเท่านั้น
ค่ำคืนที่สองมาเยือน
คฤหาสน์ทั้งหลังราวกับกำลังมีชีวิตในตอนที่เขาออกมาเส้นทางเดิม ซึ่งก็คือการปีนกำแพง ชายหนุ่มไม่จุดไฟขณะที่เดินเข้าไปในเขาวงกตรวมทั้งตอนที่ออกมาด้วยเช่นกัน เขาอยู่ในนั้นราวๆ ชั่วโมงครึ่ง ในยามนั้นไฟมอดดับลงแล้ว แต่ชายหนุ่มยังรู้สึกเช่นเดียวกับครั้งแรก รับรู้ถึงการถูกจ้องมองทุกย่างก้าว ขนที่คอลุกชัน
เมื่ออยู่ในโถงทางเดินยาว ไคเลอร์ได้ยินเสียงฝีเท้าพร้อมกับเงาดำนอกประตูที่หายไปเช่นกัน ความคุ้นเคยแสนประหลาดทำเขาเอะใจ แต่ความเหนื่อยล้าดึงเขาให้กลับเข้าไปในห้องแล้วล้มตัวนอน
ชายหนุ่มบอกกับเคาท์เตสดอริสในวันรุ่งขึ้น
“ฉันไม่คิดว่าจะเป็นทีโอดอร์นะคะ เขาเป็นเด็กเรียบร้อย” หญิงสาวจิบน้ำชาในตอนบ่าย พวกเขานั่งอยู่ในศาลาซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเขาวงกต ในพื้นที่ซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนของเจ้าหล่อนเอง พื้นเป็นหินอ่อนขาว จากตรงนี้สามารถเห็นคฤหาสน์รวมถึงระเบียงห้องนอนของทีโอดอร์ได้ชัดทีเดียว
“คงเป็นสาวใช้ของดิฉันเอง ฉันจะแจ้งให้บาเรคอบรมสั่งสอนเด็กสาวของเธอให้มากกว่านี้ คุณอย่าห่วงไปเลยค่ะ มีสิ่งอื่นใดที่ฉันจะพอช่วยคุณได้บ้างไหมคะ”
“เท่านี้ก็ดีเกินพอแล้ว ผมคงไม่รบกวนคุณนานนักดอกครับ อีกไม่นานผมเองก็ถึงเวลาที่ต้องไปแล้วเช่นกัน ขอบคุณในความกรุณาของคุณที่ให้ผมได้มีที่พักระหว่างนี้”
“ถือเป็นการตอบแทนเล็กน้อยจากฉันเถอะค่ะ”
เคาท์เตสสาวยิ้มค้าง ริมฝีปากสีชาดนั้นยิ่งจ้องนานยิ่งทำให้ขวัญผวา เธอจ้องไคเลอร์กลับตาไม่กระพริบจนเขารู้สึกอึดอัดใจ
“คุณมีอะไรอยากจะพูดหรือคะ”
ทีโอดอร์ยืนอยู่นอกระเบียง มองมายังทิศที่พวกเขาอยู่ ชายหนุ่มคิดว่าพวกเขาทั้งคู่ได้สบตากัน ก่อนเด็กหนุ่มจะหลบเข้าไปในห้องเมื่อมารดาของเขาหันไปมอง
“ไม่ครับคุณผู้หญิง”
“คุณชอบที่นี่ไหมคะ” เคาท์เตสดอริสถาม วางแก้วลงกับจานโดยไม่มีแม้แต่เสียงกระทบกัน ก่อนจะลุกขึ้นยืน “สวนของฉัน”
“แน่นอนครับ ผมชอบมัน”
“ฉันค่อนข้างชื่นชอบเทพนิยายกรีก และเรื่องราวของมิโนทอร์ คนครึ่งวัวก็เป็นแรงบันดาลใจให้ฉันสร้างสวนวงกตนี้ขึ้นมา” เธอกล่าวถึงตำนานเกาะครีต ซึ่งราชาไมนอสสั่งให้สร้างเขาวงกตเพื่อเป็นที่กังขังอสูรกายนามว่ามิโนทอร์ไม่ให้ออกมาเข่นฆ่า รังแกผู้คนบนเกาะ และต้องส่งเครื่องบรรณาการให้อสูรกายในทุกๆ ปี
“เคยมีคนหลงอยู่ที่นี่ก่อนจะมีคนพบในภายหลังว่าเสียชีวิตไปแล้วเป็นเวลานาน คงไม่เหมาะหากคุณจะเดินดุ่มๆ เข้ามาที่นี่เพียงลำพัง ถือเป็นการเตือนด้วยความหวังดีจากฉันนะคะ”
เธอส่งยิ้มทิ้งท้ายก่อนเดินออกไปจากตรงนั้น ทิ้งไคเลอร์เอาไว้กับข้ารับใช้อิสเบลของเธอพร้อมกับความรู้สึกไม่ไว้วางใจเคาท์เตสแห่งคฤหาสน์แห่งนี้ไปเสียแล้ว
ทีโอดอร์ยืนอยู่ระหว่างทางเดิน ดวงตาจ้องตรงมาที่ไคเลอร์หลังมื้อค่ำในวันนั้น เขาดูบอบบางเหลือเกินในชุดแสนสุภาพนี้ ต่างจากเด็กผู้คลุมตัวด้วยผ้าขาวกระโดดเล่นซนไปมามากโข ดวงตามีแววเศร้าสร้อย บางครั้งก็ขึงขัง แต่ในยามนี้ราวกับว่าเด็กหนุ่มมองเห็นเขาจริงๆ และเขาดูเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
“เด็กน้อย..” ไคเลอร์พูดเสียงอ่อน ก้าวเข้ามาหาเขาช้าๆ แต่กลับถูกขัดจังหวะด้วยเสียงของมารดาเด็กหนุ่มเอง ทีโอดอร์หันไปตามเสียงเรียก ทิ้งให้ชายหนุ่มยืนอยู่ตามลำพัง
รองเท้าของไคเลอร์หายไปในคืนที่สาม หลังจากเอนตัวลงเตียงและพร้อมจะปิดตาลงนอน มีเสียงดังกุกกักมาจากในตู้เสื้อผ้า แต่เมื่อเปิดออกดูกลับไม่พบใคร
ช่างทำกล่องดนตรีผู้นี้แทบจะไม่มีช่วงเวลานอนหลับเต็มตาตลอดวันและคืนที่ได้อยู่ในสถานที่แห่งนี้ สามคืนผ่านไปเขาก็กลายเป็นหนึ่งในความลับที่คฤหาสน์ดอริสมี
ทุกครั้งที่ได้จ้องเข้าไปยังนัยน์ตาดำสนิทของทีโอดอร์ในระหว่างมื้ออาหาร ยามที่เดินสวนกันในห้องโถง จะมีเพียงความเรียบนิ่งที่แฝงไปด้วยความกลัวเท่านั้น ไคเลอร์มองไม่เห็นเด็กน้อยของเขาคนเดิมอีกต่อไป
เคาท์เตสดอริสเองก็กีกกันทีโอดอร์ให้อยู่ห่างจากเขาอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่เธอได้มองเข้าไปในดวงตาของเขา แล้วพบกับความรู้สึกผิดหวังที่ซ่อนเอาไว้ไม่มิด
มารดาของเด็กหนุ่มได้ร้องขอให้เขาจากไปเมื่อถึงเวลา
คืนสุดท้ายก่อนจากลา ช่วงเวลากลางคืนนั้นยืดยาวกว่าเวลากลางวัน บนเตียงของไคเลอร์ไร้ซึ่งเงาของวิญญาณ พร้อมกับหิมะที่เริ่มตก
ความคิดเห็น