คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : 14 : Glass Coffin
วิลลิสลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ตัวเขาอยู่ในสถานที่ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นที่ใด รอบตัวขาวโพลนราวกับหิมะ ไม่มีพื้นดิน ไม่มีท้องฟ้า มีเพียงตัวเขาที่กำลังลอยคว้าง
เขาอยู่ที่ไหน
และแล้ว รอบตัวของเขาก็เปลี่ยนไป ค่อยๆ เกิดสีขึ้นทีละนิด พระจันทร์ดวงโตส่องแสงนวลอยู่บนฟ้า เป็นเวลากลางคืนที่ส่องสว่าง ชายหนุ่มเห็นทุกอย่างไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ลมพัดใบไม้ร่วงลงดิน กระรอกวิ่งอยู่บนต้นไม้ ใบหญ้าที่กำลังปลิวไสว
รวมถึง คนสามคนที่กำลังเดินลัดเลาะเข้าไปในป่า พร้อมกับห่อผ้าขนาดเท่าผู้ชายตัวผอมสักคน วิลลิสมองตาถลนก่อนจะวิ่งตามไป
ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง
เด็กหนุ่มอีกหนึ่ง
ผู้หญิงคนนั้นนั่งหลบอยู่ใต้เงาของต้นไม้ห่างออกไปขณะอีกสองคนที่เหลือเริ่มขุดหลุมด้วยพลั่วไม้‘เร็วกว่านี้’
‘ครับ’
พลั่วถูกปักลงดิน ครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งมันลึกจนพอใช้งานได้ ชายผู้นั้นยิ่งมองยิ่งได้เห็นใบหน้าของชายชั่วผู้นั้นชัดขึ้น
คอนเนอร์
วิลลิสรีบหันไปมองหญิงสาวใต้ต้นไม้ บีทริซภรรยาเขากอดถุงเงินเฝ้ามองเห็นการนั้นเงียบๆ
‘ช่วยฉันลากหน่อย’
และวิลลิสก็เข้าใจเรื่องทั้งหมด
นี่คือเหตุการณ์ในตอนที่เขาตาย
กระสุนที่บีทริซยิงไม่ได้ฝังเข้าทะลุหัวใจ ถึงจุดนี้เขาหมดสติและมองสิ่งใดไม่เห็นเพราะดวงตาที่บวมปูด
ร่างผอมซึ่งคอนเนอร์ห่อไว้อย่างดีถูกโยนลงไปยังหลุม ผ้าที่ผูกเข้าด้วยกันไว้เปิดออก มีเสียงร้องครางด้วยความเจ็บปวด เด็กหนุ่มผมสีอ่อนสะดุ้งหงายหลังล้มก้นจ้ำเป้า เมื่อเห็นใบหน้าของร่างนั้น แทบจะจำไม่ได้ว่าเคยเป็นใครมาก่อน กลุ่มผมสีส้มถูกย้อมไปด้วยเลือดแห้งกรัง แม้จะมองเห็นรอบตัวชัดแต่ใบหน้ากลับเบลอจนแทบจำไม่ได้ แต่อย่างไรเสีย เขาก็รู้อยู่แล้วว่าเด็กคนนั้นเป็นใคร
‘คอนเนอร์! มะ..มือเขากำลังขยับ’
‘ไหนเธอบอกว่ามันตายไปแล้วไง’ คอนเนอร์หันไปตวาดใส่ชู้รัก วิลลิสเห็นว่าบีทริซตัวสั่น
‘ฉันไม่รู้! ก็เขาล้มลงไปแล้ว’
ใบหน้าของวิลลิสบวมเป่งจากการโดนซ้อมไปหลายหมัดแทบจะจำไม่ได้แล้ว แต่เขายังมีลมหายใจ
ร่างของเขาพยายามจะสื่อสาร แต่เด็กชายตื่นตระหนกเกินกว่าจะยอมรับฟัง ดวงตาของเขาไม่อาจมองเห็น และไม่รู้ว่าคนๆ นั้นกำลังจะทำอะไร
วิลลิสนึกถึงวินาทีที่นักสืบมาเคาะประตูห้องและแจ้งว่าเด็กที่เขาช่วยเหลือเอาไว้ในป่าเป็นคนเดียวกับที่ทำให้เขาหมดลมหายใจ
เบนจามิน
ชายหนุ่มกำหมัด กวาดเอาทุกอย่างที่มีอยู่บนโต๊ะทิ้งลงกับพื้น ดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธา
อย่า
พลั่วไม้ถูกแทงลงมา และเมื่อวิลลิสยังดิ้น เบนจามินจึงแทงมันซ้ำๆ อีกครั้งท่ามกลางความตกตะลึงของผู้ใหญ่ทั้งสอง เจตนาจะทำให้ร่างชายผู้น่าสงสารพ้นทุกข์ให้ไวที่สุด บีทริซร้องไห้ ขณะที่คอนเนอร์ปรับสีหน้าให้สงบ
เด็กหนุ่มรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีเพื่อจะฆ่าแล้ว
แต่วิลลิสก็ไม่ยอมตายสักที
‘ฝังมัน’
ไม่ ไม่นะ อย่า
‘ตะ..แต่คอนเนอร์’
‘เขายังหายใจอยู่’
‘จะฝังมันตอนนี้ หรือจะลงไปนอนในหลุมพร้อมกับมัน’
‘…’
วิญญาณของวิลลิสเข่าอ่อน เขามองดูร่างของตัวเองถูกฝังทั้งเป็น เศษดินร่วงลงหลุม มากขึ้นและมากขึ้นอีก ความเจ็บปวดเดียวกับเมื่อครั้งก่อนตีตื้นขึ้นมาในตา หลั่งรินเป็นสายธารเล็กๆ ไม่ว่าจะกรีดร้องดังแค่ไหน ก็ไม่มีใครได้ยิน
รสชาติของดินติดอยู่ที่ปลายลิ้น ตัวเขากำลังหายใจไม่ออก วิลลิสรู้สึกได้ถึงความรู้สึกหนักอึ้งทุกขณะที่ดินกลบร่างของเขาจนมิด หมดลมหายใจภายในเวลาไม่นาน
มันเกิดขึ้นอีกครั้ง
กระรอกวิ่ง ใบหญ้าพลิ้วไหว และเสียงพลั่ว
ไม่ต่างจากการตกนรกซ้ำแล้วซ้ำเล่า วิลลิสไม่มีทางที่จะได้ออกไปจากที่แห่งนี้ได้เลย
เบนจามินเดินมายืนข้างผีทั้งสองด้วยความรู้สึกหลากหลาย ส่วนหนึ่งยังกลัวสิ่งที่ทีโอดอร์เป็น แต่ส่วนหนึ่งกลับบอกเขาว่า ผีตนนี้อย่างน้อยก็เคยช่วยชีวิตเขามากกว่าหนึ่งครั้ง
“เธอจะไม่ไปกับฉันก็ได้นะ” ไคเลอร์เสนอ แต่เด็กหนุ่มปฏิเสธ
“ผมจะอยู่กับพวกคุณ จนกว่าเรื่องบ้าๆ ทั้งหมดจะจบ”
สำหรับคำนั้น มันเป็นยิ่งกว่าคำสัญญาที่เบนจามินตั้งใจรักษา
เด็กหนุ่มวิ่งหารถให้ไปส่งพวกเขาที่คฤหาสน์ดอริส แต่คนขับส่วนใหญ่ปฏิเสธ พร้อมกับจากไปด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก อาจเป็นเพราะรูปลักษณ์ผอมกระหร่องของเด็กหนุ่ม ดูเป็นผู้ไม่มีอันจะกินมากกว่าผู้มีเงินจ่ายค่าโดยสาร หรือเพราะข่าวลือในช่วงนี้ที่มีลัทธิแปลกประหลาดผุดขึ้นมาบนดิน และจับตัวใครสักคนไปล้างสมอง พวกเขาจึงไม่พยายามเดินทางทะลุป่า
ไคเลอร์พยักเพยิดไปทางชายผู้หนึ่งซึ่งขี่เกวียนม้าขนฟืนเข้ามาใกล้พวกเขา มองเห็นท่าทางร้อนรนของเด็กหนุ่มผู้น่าสงสาร จึงได้เข้ามาถามไถ่เอาความ
“คฤหาสน์อิฐแดง เธอมีธุระอะไรกับเขาล่ะ”
“ผมเป็นลูกชายของหญิงรับใช้ในบ้านหลังนั้นครับ” เด็กหนุ่มโกหกได้อย่างไหลลื่น ปากสั่นเพราะความหนาว ไคเลอร์เหลือบมองเบนจามินสลับกับทีโอดอร์ ผีผ้าคลุมร้องครวญครางติดกับอก ตัวสั่นเทาแม้ชายหนุ่มจะเสียสละเสื้อโค้ทให้แล้วก็ตาม ร่างเล็กโอบแขนรอบคอ ซุกตัวหาความอบอุ่น
“ไม่มีใครอยากไปที่นั่นหรอกนะ ปกติเส้นทางนั้นไม่ใช่ทางสัญจรปกติเสียด้วย ต้องยอมรับว่าเคาท์เตสดอริสหวงความเป็นส่วนตัวมาก”
“เรานี่ยังไงล่ะครับอยากไป! หมายถึงไม่ใช่เรา..ผมจำเป็นต้องพบแม่ของผมโดยเร็ว” เบนจามินกล่าววกไปวนมา ชายตัดฟืนเลิกคิ้ว เขาไม่เห็นว่ามีผีอีกสองตนยืนอยู่ตรงหน้า “ท่ายป่วย และเขียนจดหมายมาถึงผม ผมกลัวเหลือเกินว่ามันจะไม่ทันเวลา ได้โปรดเถอะครับ เพื่อให้ผมได้บอกลาท่าน”
ชายคนนั้นชั่งใจอยู่สักพัก ก่อนจะยอมให้เขาขึ้นมาบนรถ มีที่ว่างเหลือพอสำหรับผีทั้งสอง พวกเขารีบปีนขึ้นไปก่อนที่ชายตัดฟืนจะเปลี่ยนใจ
“ขอบคุณครับ” เบนจามินปัดฝุ่นออกจากที่นั่ง และรถม้าก็กระชากตัวไปข้างหน้า
ผีผ้าคลุมหนุนตักไคเลอร์ตลอดทาง บางครั้งก็ตัวร้อน บางครั้งก็ตัวเย็นภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง แม้ไคเลอร์นึกอยากจะปัดเป่าความเลวร้ายนี้ออกไปก็ยังทำได้ยากเหลือเกิน
“ฉันอยากจะพาเธอไปหาหมอ”
“หมอช่วยอะไรผมไม่ได้หรอก เพราะผมเป็นผี” ทีโอดอร์พยายามจะหัวเราะแต่เขากลับส่งเสียงแหบแห้งออกมาแทน “ผมไม่ตายซ้ำสองหรอก”
ชายหนุ่มนึกถึงวิลลิสขึ้นมาทันที ภาพที่เพื่อนสลายกลายเป็นควันยังติดตาเขาอยู่ทุกวินาทีที่หลับตา ดังนั้นเขาจึงจ้องมองทีโอดอร์เพื่อให้ลืมความเลวร้ายครั้งนั้น
เบนจามินและไคเลอร์สบตากันอย่างกังวลเป็นครั้งคราว แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเด็กหนุ่มจะหันไปพูดคุยกับคนตัดฟืนผู้คลั่งไคล้ตัวเฟอร์เร็ตเสียมากกว่า เขาเรียกพวกมันว่าเด็กๆ ของเขา
“เด็กๆ ของฉันฉลาดเฉลียวยิ่งกว่าหนูนาที่ฉันจับมาฝึกเสียอีก”
“เฟอร์เร็ตจะกินช็อกโกแลตไม่ได้ ห้ามอย่างเด็ดขาด”
“มันจะยิ้มต้องรับเวลาฉันหอบฟืนกลับบ้าน”
“โอ้ จริงหรือครับ” เบนจามินเป็นลูกคลอให้ เขาชอบที่ชายคนนี้เล่า มันทำให้เขาลืมเรื่องเลวร้ายไปได้ชั่วขณะ
“ไค-เลอร์” ทีโอดอร์ละเมอพึมพำ เอื้อมมือไปจับมืออีกคน “ผมคิดถึงเพลงจากกล่องดนตรีของคุณ เราไม่น่ามาที่นี่เลย”
“เงียบน่า”
“ไคเลอร์”
“หลับซะเด็กน้อย”
“คุณเชื่อใจผมไหม ผมสัญญาว่าจะเป็นเด็กดี”
“ฉันก็สัญญาว่าจะทำให้มันดีที่สุด” ลมหายใจอุ่นเป่ารดขมับผีผ้าคลุมอีกครั้ง
“หลับซะนะ”
คนตัดฟืนส่งพวกเขาไว้ที่ประตูรั้วเหล็กสีดำ ถึงตอนนั้นอาการของทีโอดอร์ก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ หนทางข้างหน้าเต็มไปด้วยหมอก ไม่มีรถสัญจรไปมามากนักบนถนน
“อีกไม่ไกลจากที่นี่ เดินไปตามถนนไม่งั้นจะหลง”
“เราเข้าไปใกล้กว่านี้แล้วไม่ได้หรือครับ” ไคเลอร์วิงวอน เบนจามินช่วยพูดให้ แต่คนตัดฟืนเพียงแค่ส่ายศีรษะ สะบัดแส้ให้ม้าทั้งสองตัวออกเดิน
“หวังว่าจะได้ตอบแทนคุณสักวันนะครับ!” ทีโอดอร์บอกลา คนตัดฟืนหันหลังราวกับได้ยินเสียงนั้น
“ผมดีขึ้นแล้ว” ผีผ้าคลุมยันกายลุกขึ้นยืน ราวกับก่อนหน้านี้เขาแค่หลับไป “เราไปกันเถอะ”
“เธอแน่ใจนะ” ไคเลอร์มองอย่างไม่วางใจ กลัวว่าจะล้มพับไปอีก เด็กหนุ่มพยักหน้ายืนยัน
“งั้นไปกันเลย”
หมอกปกคลุมบริเวณโดยรอบ แทบมองไม่เห็นทางข้างหน้า ทีโอดอร์อาสาเดินนำทาง
“ผมว่าผมจำเส้นทางนี้ได้” เขากล่าว พวกเขาจับมือกันเดิน หมอกลงหนาเกินไป มีไคเลอร์รั้งท้ายเพื่อคอยระวังหลัง “แปลกจัง ผมคิดว่าผมเคยปีนต้นไม้ต้นนั้น”
ทีโอดอร์ชี้ แต่ไม่มีใครมองเห็นว่าเขาชี้ไปที่อะไร
“เธอจำช่วงยังมีชีวิตอยู่ได้หรือ” ไคเลอร์ถาม ชนกับกิ่งไม้เบื้องหน้าเพราะความที่สูงกว่าเด็กหนุ่มทั้งสอง
“แค่บางส่วน ผมคิดว่าเป็นเพราะได้เห็นสิ่งที่คุ้นเคย”
“ใกล้จะถึงแล้ว” ผีผ้าคลุมชี้ให้ดูยอดหอคอยแหลมที่โผล่ให้เห็นแม้ในวันที่หมอกปกคลุม มันเป็นแค่เงาเลือนลางสำหรับพวกเขา คล้ายปีศาจตัวใหญ่เมื่อเห้นเพียงเค้าโครงร่าง ในบริเวณนี้หมอกเบาบางลงมาก
“นั่นใครน่ะ” เสียงทุ้มดังขึ้น ทั้งสามหันขวับ มันดังมาจากในสวน ตะเกียงเจ้าพายุส่องสว่าง “นี่พื้นที่ส่วนบุคคลนะ”
“เรา..เอ่อ ผม” เบนจามินอ้ำอึ้ง ไม่รู้จะบอกกับคนในหมอกว่ายังไง
“บอกนามของพวกคุณมาเสียเดี๋ยวนี้”
“ไคเลอร์ วู๊ดครับ”
“เบนจามิน ฟินน์”
“อีกคนล่ะ”
ผีผ้าคลุมปล่อยมือจากมือขื้นเหงื่อของเบนจามิน เดินเข้าไปหาเสียงนั้น คนที่ดูไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิงมองมาที่เขาอย่างงุนงง พอมองเห็นผีผ้าคลุมจึงดึงเข้ามาใกล้อีก
“หืม? เธอเป็นใครล่ะจ๊ะ”
ก่อนทีโอดอร์จะเริ่มร้องเพลง
“วานิลลาเค้ก วานิลลาเค้ก
บนตู้ใต้เตียงเรียงหลบซ่อน
วานิลลาเค้ก วานิลลาเค้ก
เอามาให้ฉันหรือจะยอมให้หลอก”
ไฟที่ลอยอยู่เมื่อครู่หล่นลงพื้น ก่อนที่เงาในหมอกจะหยิบขึ้นมาส่องทางให้ได้พบพวกเขา
เสียงของทีโอดอร์ดังกังวานราวกับจะปัดเป่าหมอกหนาเหล่านี้ไปด้วย เขา (หรือเธอคนนั้น) ตรงเข้าไปสวมกอดเด็กหนุ่มตัวเล็กเสียจมอกด้วยความปิติยินดี
“ท่านชายทีโอดอร์”
แต่น้ำเสียงเธอกลับเศร้าซึม
ทั้งหมดเดินเข้าไปข้างในคฤหาสน์ตามคำเชิญชวนของบาเรค เธอแนะนำตัวว่าเป็นหัวหน้าแม่บ้านของที่นี่ (และไม่ใช่ผี) มีหน้าที่ดูแลคฤหาสน์ยามที่นายหญิงของเธอต้องไปทำธุระที่ต่างเมือง
ตัวคฤหาสน์ก่อผนังด้วยอิฐแดงตามชื่อเรียกที่คนในเมืองเรียกกัน ห้องโถงกว้างใหญ่มีโคมไฟระย้าส่องระยิบระยับอยู่บนเพดาน สะอาดตาและหรูหรา เบนจามินที่เชื่องซึมมาตลอดทางยังมีสีหน้าตื่นตาตื่นใจเมื่อได้เห็นทั้งหมด ที่นี่ไม่เหมือนคฤหาสน์ซอมซ่อของวิลลิส ห่างไกลกันมากเสียด้วยซ้ำ
บาเรคยังคงมีสีหน้าเคร่งเครียดเหมือนคราแรก ทุกอย่างส่องสว่างในห้องโถงแห่งนี้
“ข้างนอกนั่นในฤดูหนาวจะเป็นอย่างนี้ตลอด มีแค่บางวันที่อากาศแจ่มใส” เธอยิ้ม มันดูไม่เข้ากับเธอนัก “คฤหาสน์ทั้งหลังจะจมอยู่ในหมอกยันเวลาเที่ยงวัน พวกคุณควรจะรออยู่ที่นี่ในระหว่างที่นายหญิงของฉันกำลังจะมา”
บาเรคหันมาสบตาผีผ้าคลุม “ท่านชาย เชิญทางนี้”
ทีโอดอร์ลูบไล้เสาต้นมหึมา หันไปสนใจผิวแจกันราคาสูง วาดลวดลายเป็นเส้นสีน้ำเงินเหมือนกับคลื่นน้ำเวลาที่ใครสักคนโยนหินลงไป ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปตามคำขอ ไคเลอร์ตามหลังไปห่างๆ ขณะที่เบนจามินเพลิดเพลินกับขนมและนมที่สาวใช้นำมาต้อนรับ
บาเรคพาทีโอดอร์ไปหยุดที่ห้องๆ หนึ่ง ลูกกุญแจสีทองถูกประตูนั้นกลืนเข้าไป เธอรอขณะที่ทีโอดอร์หันกลับมามองผู้คนที่กำลังมองตนอยู่เบื้องล่าง
เขารู้สึกยิ่งใหญ่เกินไปสำหรับที่นี่
ผีผ้าคลุมสบตาไคเลอร์ที่เดินมายืนเคียงข้างกัน ลังเลเพียงชั่วครู่แต่เมื่อชายหนุ่มพยักหน้า เขาจึงได้ยอมผลักระตูเข้าไป
กายหยาบของทีโอดอร์อยู่ในโลงแก้ว มีดอกไม้วางอยู่รอบข้าง ไคเลอร์ตกตะลึงในความงดงามนั้น ผีผ้าคลุมเดินเข้าไปยังโลงแก้ว ขอบกระจกถูกเชื่อมเข้าด้วยกันด้วยทอง เขาเฝ้ามองร่างของตนในชุดสง่างามสมเป็นบุตรชายของเคาท์เตสดอริสอยู่นาน ไม่ใช่แค่วิญญาณที่เติบโตขึ้น ร่างของเขาก็เช่นกัน ทีโอดอร์เห็นเด็กหนุ่มผู้นอนสงบนิ่ง ใบหน้านวลผ่องดั่งพระจันทร์ งามเฉกเช่นรูปปั้น หากเขาลืมตาขึ้นจะพบว่าดวงตากลมโตทั้งสองก็งดงามไม่แพ้กัน
ผีผ้าคลุมนั่งคุกเข่า
นี่หรือคือเขา
“ผมขออยู่ตรงนี้ตามลำพังได้ไหมครับ” ทีโอดอร์หันไปหาผู้ใหญ่ทั้งสอง
“เราจะไม่พูดคุยกันก่อนสักหน่อยหรือ”
“อดีตไม่จำเป็นหรอกครับ”
บาเรคค้อมหัวก่อนจะเดินออกจากห้อง เหลือเพียงไคเลอร์กับผีผ้าคลุมเท่านั้น
“ถ้าคุณไป” ทีโอดอร์พึมพำ “ผมคงต้องเหงาแน่ๆ”
“หากว่าเธอได้เรียนหนังสือ นั่นอาจจะดีนะ เธอจะได้มีเพื่อนเยอะกว่าที่เธอเคยมี”
“แต่ผมก็ไม่มีคุณเหมือนกัน”
“ฉันสัญญาว่าจะอยู่ดู จนกว่าเธอจะทำให้แม่ของเธอยิ้มได้ ฉันสัญญา”
“ขอบคุณครับ”
ไคเลอร์อยากจะกอดเด็กน้อยของเขา แต่ทีโอดอร์ยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม เพียงแต่หันหน้ามามองเขาเล็กน้อยเท่านั้น
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”
ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าตนหยุดหายใจ เขารีบหันหลังเดินออกจากห้องพร้อมกับปิดประตูตามหลัง ก่อนที่จะได้เห็นน้ำตาของอีกฝ่าย
เด็กหนุ่มลูบไล้ปลายนิ้วกับผิวกระจกใสก่อนจะจุมพิตมันเบาๆ ทีโอดอร์ลุกขึ้นยืน ก่อนจะถอดผ้าคลุมตัวลงไปกองกับพื้น
“เขาหายเข้าไปในนั้นนานเกินไปแล้ว”
“ผมว่าคุณควรให้เวลาเขาสักหน่อย” เบนจามินก้าวขาเพื่อที่จะตามให้ทันไคเลอร์ พวกเขาอยู่ในสวนซึ่งทำเป็นเขาวงกต และมันสูงมากพอที่จะไม่ให้มองเห็นเส้นทางทั้งหมด เด็กหนุ่มโยนก้อนหินซึ่งไคเลอร์ให้มาใส่ไว้ในถุงเสื้อ
“นี่เพิ่งผ่านไปได้แค่สองชั่วโมงเองนะครับ”
“เขาจะฟื้นขึ้นมาจริงๆ หรือ ฉันรู้สึกกังวลอย่างไรก็พูดไม่ถูก”
“คุณต้องเชื่อใจเขามากกว่านี้”
“โธ่เว้ย!” ไคเลอร์สบถเมื่อสะดุดหินก้อนหนึ่งบนพื้น นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจและพยายามเตะมันไปไกลๆ แม้จะรู้ว่ามันจะยังติดแน่นอยู่ใต้ดินก็ตาม เบนจามินได้แต่ยืนมอง
“เด็กนั่นไม่บอกลาฉันสักคำ และฉันก็กลัวที่จะไม่ได้อยู่ในความทรงจำของเขาแม้แต่เสี้ยวเดียว” ชายหนุ่มหันมาหาเบนจามิน “ก่อนไป บอกกับเขา ว่าฉันจะคิดถึงเขามากแค่ไหน”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับอย่างง่ายดายแต่แอบไขว้นิ้วไว้ข้างหลัง พวกเขาเดินเข้ามาถึงใจกลางสวนวงกต ไคเลอร์สูดหายใจ ขณะที่เบนจามินอึกอัก
“ผมว่าผมทำภารกิจใดๆ ของคุณเสร็จแล้ว” เขาพูด แววตาของเบนจามินบอกกับเขาว่าต้องการจากลา แต่ไคเลอร์ไม่รู้ เขาเบนสายตาไปยังใจกลางสวนอันงดงามแห่งนี้ แววตามุ่งมั่นบอกกับเด็กหนุ่มว่าชายคนนี้ต้องการทำบางอย่าง
“เสร็จจากนี้เธอไปได้ทุกที่ที่อยากจะไป เบนจามิน”
“เข้าใจแล้วครับ”
บางอย่างที่ไม่เป็นผลดีกับตัวมากด้วยสิ
ความคิดเห็น