ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    KNOCK KNOCK! เป็นผีห้ามเคาะประตู

    ลำดับตอนที่ #14 : 13 : Blood

    • อัปเดตล่าสุด 10 ก.พ. 64


    ทีโอดอร์ลุกขึ้นจากเตียง รู้สึกถึงความผิดปกติ

    ก่อนหน้านี้เขาใช้สายตาสำรวจพื้นที่ในโรงแรมมาบ้างเพียงเล็กน้อย แต่ก็จำได้ว่าครัวที่เจ้าของโรงแรมยอมให้พักอยู่ด้วยนั้นไม่ได้อยู่ไกลจากห้องมาก การที่ไคเลอร์หายเป็นเวลานานจึงทำให้เขาเป็นกังวล

    ผีผ้าคลุมลุกขึ้นจากเตียง เช็ดหน้าด้วยผ้าที่ตนสวมใส่เบาๆ

    ทีโอดอร์แนบหูกับประตูห้องนอนของเบนจามิน ไม่มีแม้แต่เสียงหายใจข้างในนั้น คิ้วที่ขมวดอยู่แล้วยิ่งผูกกันเป็นปม ผีตนหนึ่งเดินขึ้นบันไดมาเขาไม่รอช้าที่จะเข้าไปถาม

    “คุณเห็นเด็กผู้ชายตัวเท่าผม ผมสีอ่อน ท่าทางเศร้า ๆ บ้างไหมครับ”

    ชายผู้มีรอยยิ้มติดค้างบนใบหน้า ท่าทางน่าขนลุกชี้ไปด้านหลัง ผีผ้าคลุมค้อมหัวแสดงการขอบคุณก่อนจะรีบเดินไปให้ทัน และนั่นเอง เบนจามินกำลังเดินราวกับเป็นโจรย่องเบาอยู่ตรงนั้น เขาเดินออกไปด้านนอก ราวกับมองหาใครบางคนและเดินออกไป

    เอาล่ะ ท่าไม่ดีแล้วกระมัง

    เขาต้องรีบหาตัวไคเลอร์ให้พบ เรื่องนี้ทีโอดอร์แน่ใจว่าเขาควรที่จะบอกก่อนจะเกิดเรื่องไม่ดีตามมาอีก

    จังหวะที่จะเลี้ยงตรงหัวมุม ผีผ้าคลุมกลับไปชนเข้ากับใครคนหนึ่งเข้าพอดี

    คนคนนั้นตัวสูงจนต้องเงยหน้ามอง แถมยังมีกลิ่นบางอย่างที่คุ้นเคยแม้จะอยู่ภายใต้ผ้าคลุมหนาเตอะ ประมุขของเหล่าผีผ้าคลุมทั้งปวง

    “ผีไร้นาม!” ทีโอดอร์ร้อง ผีตนนี้ไม่มีชื่อเรียก น้ำเสียงสุขุมดูเป็นผู้ใหญ่ และเขาพอใจที่ได้ฉายานามแบบนั้น คนแรกที่เขาพบเมื่อลืมตาตื่นขึ้นเป็นผี ผู้สอนให้ทีโอดอร์ได้ชิมน้ำหวานของดอกไม้ที่ไม่มีพิษ และสอนเขาท่องกฎทั้งหมดห้าร้อยประการ

    ใจหนึ่งดีใจที่ได้พบกันอีก แต่อีกใจกลับรู้สึกผิดที่หนีหายมาไม่บอกกล่าว

    “เธอจากมา ไม่ลาสักคำ”

    “...”

    “เราให้อิสระแก่เธอ ได้พักอยู่ในบ้านแสนอบอุ่น แต่เมื่อได้ทุกอย่างแล้ว เธอก็ยังต้องการมากขึ้นไปอีก ทำไมถึงทอดทิ้งพวกเราไว้ข้างหลัง”

    “ได้โปรดอย่าโกรธผมที่แสนดื้อดึง” เด็กหนุ่มเม้มปากไม่ให้เผลอสะอื้น

    “ผมแค่เพียงอยากจะพบแม่”

    “ฉันก็หวังว่าจะห้ามความดื้อรั้นของเธอได้บ้างเช่นกัน” ผีไร้นามใจอ่อนเมื่อได้สบตา ร่างสูงเดินอ้อมเขาเพื่อจะออกทางประตู

    “ผมจะได้ไปเกิดใหม่ในเร็ววันนี้หากไม่เข้าร่าง ใช่ไหม” น้ำเสียงเด็กหนุ่มหวาดหวั่น

    เมื่อครั้งที่ยังอยู่กับเหล่าผี บางครั้งพวกเขาก็จะมีเรื่องเล่าสู่กันฟัง และเรื่องเล่าหนึ่งในนั้นก็คงหนีไม่พ้น ช่วงเวลาการเป็นวิญญาณ

    ‘เล่ากันว่าวิญญาณนั้นมีอายุไม่เกินเก้าปี หลังจากนั้นเขาจะไปเกิดใหม่ และจะหลงลืมตัวตน ทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังจนสิ้น’

    พิธีกรรมทำให้ตัวเขาเติบโตอย่างรวดเร็วภายในหนึ่งคืนทั้งที่อายุแค่สิบกว่า ตอนนี้ทีโอดอร์อายุเทียบเท่าเด็กหนุ่มอายุอานามใกล้จะสิบแปดปีบริบูรณ์แล้วด้วยซ้ำ ตลอดเวลานั่นทำให้เขากังวลแม้จะร้องเพลงและเต้นรำแต่คำถามนั้นก็ยังค้างอยู่ในใจ

    เขาไม่อยากจากไคเลอร์ไปโดยไม่บอกลา

    “คุณต้องการให้ผมหายไปจากโลกนี้”

    “เธอหมายความว่าอย่างไร”

    ทีโอดอร์ย้ำอีกครั้ง “ทำไม”

    ผีไร้นามตั้งท่าจะเมินเฉยอีกครั้ง แต่แล้วก็ยอมที่จะบอก

    “ฉันทำเพื่อทุกคน”

    “แล้วผมล่ะ” ทีโอดอร์ตัดพ้อ

    ผีไร้นามบังคับให้เขาดื่มเลือดสัตว์สดๆ นับครั้งไม่ถ้วน และหากไม่ทำตามคำสั่ง เขาก็หันปลายมีดกลับไปหาตัวเอง นั่นไม่ยุติธรรมเลย

    “คุณเอาความเป็นเด็กของผมไป ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ยังพอมีเวลาเหลือมากพอที่จะมีชีวิตต่อไปได้อีกนานแค่ไหน”

    “ฉันขอโทษ” ผีไร้นามค้อมศีรษะ “เรารับมือกับเธอจนกว่าจะถึงตอนนั้นไม่ได้ ต่อจากนี้ฉันไม่ใช่ผู้ดูแลของเธออีกแล้ว”

    รับมืองั้นหรือ สัตว์ร้ายในจิตใจของทีโอดอร์คำราม

    “คุณบอกว่าเราคือพี่น้อง! เหล่าผีเป็นพี่น้องชั่วนิรันดิ์ แล้วทำไมคุณถึงทำเหมือนว่าผมแปลกแยกและเป็นตัวประหลาด”

    น้ำเสียงของทีโอดอร์เปลี่ยนไป รูปวาดที่ติดอยู่บนผนังสั่นเครือ ความน้อยเนื้อต่ำใจทำให้เด็กหนุ่มควบคุมตัวเองไม่อยู่ ผีไร้นามยืนนิ่ง ไม่แสดงท่าทีเกรงกลัวต่ออำนาจที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

    “ทำไมทุกคนถึงกลัว..ผม”

    “ทีโอดอร์! ” เสียงของไคเลอร์ดังมาจากมุมมืด ผีผ้าคลุมรู้สึกได้ถึงความโกรธที่มลายลง พร้อมกับที่หันไปหาเสียงเรียกนั้น

    “อย่างน้อยก็มีหนึ่งคนที่ไม่ได้มองเธออย่างนั้นแล้ว” ร่างสูงแตะใบหน้าทีโอดอร์อย่างอ่อนโยน “ลาก่อน อสูร”

    ผีไร้นามผู้เปรียบเสมือนพ่อ และพี่ชายพาตัวเองออกนอกประตู ทิ้งทีโอดอร์ยืนอยู่กลางความมืด

    ไม่รู้นานเท่าไหร่กระทั่งมีมือเย็นๆ แตะเข้าที่ไหล่

    “เธอเป็นอะไรไหม” ไคเลอร์นั่นเอง เด็กหนุ่มโน้มตัวเข้าไปกอดชายหนุ่มเป็นเวลาเนิ่นนาน

    “ฝันร้ายหรือ”

    ทีโอดอร์สะบัดหน้า ปัดเป่าภวังค์ที่ทำให้เขาจมดิ่งอกไป และไม่อยากทิ้งเรื่องยุ่งยากใจให้กับชายหนุ่ม

    “กลับขึ้นห้องกันเถอะ ฤดูหนาวกำลังจะทำให้ตัวฉันแข็งตาย” ไคเลอร์ยื่นนมเย็นชืดให้ทีโอดอร์ได้ดื่ม “ฉันไม่แน่ใจว่าพวกเราจะขอผ้าห่มเพิ่มได้หรือเปล่า ฉันกะจะยกไปให้เบนจามินด้วย ฉันไม่รู้ว่าระหว่างคนกับผีใครจะหนาวกว่ากัน—”

    “เขาเดินออกไปข้างนอก!” ผีผ้าคลุมลากแขนเขาไปทางประตูเผชิญหน้ากับความมืดที่มีแสงดาวส่องนำทาง “ผมไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร ตามหาเขากันเถอะ”

    “ใครนะ?”

    “เบนจามิน”

     

    เบนจามินเคยมีประสบการณ์เสี่ยงตายอยู่นับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าด้วยโชคหรือความสามารถของเขา เขาก็เอาตัวรอดได้เสมอ

    ครั้งหนึ่งที่คอนเนอร์บอกให้เขาไปขโมยของในบ้านคนมีฐานะคนหนึ่งในเมือง มันเป็นงานใหญ่ครั้งแรกของเขาที่จะต้องอาศัยบทเรียนที่ได้รู้มาจากพี่ชายและเพื่อนโจรทั้งหลายที่รู้จัก

    เจ้าของบ้านจับเขาได้ในเวลาไม่นาน ปืนที่ชายคนนั้นยิงใส่เขาก็ตอกย้ำทุกชั่วขณะว่าเขามีสิทธิ์ตายได้ทุกเมื่อหากพลาดแม้เพียงเสี้ยววินาที ทันทีที่ออกมาพ้นเขตรั้วบ้านได้ คอนเนอร์ก็ปรากฎกาย และยิงชายผู้ดีคนนั้นเข้าที่หัว เขม่าดินปืนไม่ใช่กลิ่นที่น่าอภิรมย์นัก

    และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เห็นคนตายต่อหน้าต่อตา

    พี่ชายหันมาเผชิญหน้ากับเขา เบนจามินคิดว่าตัวเองนั้นตัวเล็กลงกว่าเดิมมากทีเดียว แววตาของคอนเนอร์ยากจะอ่านออกเสมอ แต่บางอย่างในนั้นบอกกับเขาว่าชายหนุ่มกำลังอ่อนล้า

    “แกไม่สามารถเป็นคนดีได้อย่างที่แกอยากจะทำหรอก โลกจะบีบให้แกใจร้าย”

    เบนจามินยังเด็กเกินกว่าจะโต้ตอบประโยคในตอนนั้น หรือในบางที เขาอาจคิดว่ามันจริงแท้ยิ่งกว่าสิ่งใด

    เบนจามินไม่มีเวลาจะร้องไห้ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาได้ เขาเพียงแต่ไอและสำลัก ส่วนวิลลิสก็ไม่ได้ใจดีกับเขามากนัก ร่างกายเริ่มจะไม่ตอบสนอง เด็กหนุ่มกำลังหมดแรง

    ไม่รู้ว่าทำไมพระเจ้าถึงได้ใจร้ายกับเขามากขนาดนี้

    เบนจามินคิดว่าเขาได้ตายไปแล้ว หัวใจเจ็บจนกลายเป็นหิน เพียงแค่ยังรู้สึกทรมานจากการที่ยังอยู่ในร่างกายนี้

    วิลลิสผงะถอยหลังเหมือนถูกจิกหัวหงายไปด้านหลัง เบนจามินได้จังหวะที่เป็นอิสระดันตัวเองขึ้นจากน้ำ สูดหายใจเข้าเต็มปอดทั้งที่ยังสำลักอยู่อย่างนั้น

    “แกทำบ้าอะไร!” ไคเลอร์ตะคอก พร้อมกับปล่อยกำปั้นไปจุมพิตแก้มสหายเต็มรัก

    “ทั้งที่แกเป็นคนที่เอ็นดูเด็กคนนี้มากแท้ๆ วันนี้กลับนึกจะฆ่าจะแกงอย่างไรก็ได้ เสียสติแล้วหรือ!!”

    ไม่เอ่ยคำใดเป็นคำตอบ วิลลิสหมุนตัวไปด้านหลังไคเลอร์และถีบเข่าล้มลง ก่อนจะตามไปกระทืบด้วยรองเท้าหนังให้จมอก แต่ชายหนุ่มเบี่ยงตัวหลบ ถึงแม้จะตายซ้ำสองไม่ได้ ก็ใช่ว่าจะไม่เจ็บเสียหน่อย ใบหน้าซีดๆ ของวิลลิสขึ้นเป็นรอยฟกช้ำอย่างเห็นได้ชัด เขาพยายามอ้าปากขยับกรามตัวเองอย่างเจ็บปวด

    “อย่าขวางกันเลยไค” วิลลิสส่ายศีรษะ กระชากกลุ่มผมสั้นๆ ของเบนจามินให้เงยขึ้น วางมืดสั้นลงกับคอเด็กหนุ่มที่หายใจหอบอย่างรุนแรง “แกไม่เข้าใจความรู้สึกกันเลย แค่ปล่อยให้เรื่องนี้กันจัดการเอง”

    “ฉันขอเถอะ ไว้ชีวิตเด็ก เขาไม่เคยทำอะไรให้แก”

    “แต่พี่ชายของมันทำ” น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงจากหางตา วิลลิสไม่สนใจที่จะเช็ดมันออกด้วยซ้ำ “ความทรมานก่อนตาย กันทนรับมันทั้งหมดไม่ไหว กันรักบีทริซ และเกลียดชังคนที่แย่งเธอไปมากเหลือเกิน”

    ชายหนุ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็ก เบนจามินก็ร้องตามไปด้วย ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำอย่างน่าสงสาร

    “วิล..”

    “กันไม่ได้มาเพื่อเจรจาหรือสนทนา นี่ไม่ใช่เรื่องของแกแต่แรก ไค”

    มีดกรีดลงกับผิวเนื้อนุ่มก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไรต่อ แต่เสียงร้องกลับไม่ใช่ของเบนจามิน วิลลิสชะงัก พร้อมกับก้มมองว่าเกิดอะไรขึ้น

    เบนจามินยังอยู่ในอ้อมแขนเขา แต่เลือดเป็นของคนอื่น

    ผีผ้าคลุมยืนอยู่ข้างๆ ใช้มือข้างนึงกำรอบคอเด็กหนุ่มในอ้อมแขนวิลลิสเอาไว้ มีดสั้นจึงกรีดลงไปในเนื้อหลังมือเขาเอง เลือดสีข้นไหลเปรอะแจ๊คเก็ตของเบนจามิน ชายหนุ่มผู้ตระหนกเกินกว่าจะใคร่รู้ว่าควรทำอย่างไรในช่วงเวลาแบบนี้ยืนตัวสั่นเทา เลือดไหลมาลูบไล้ฝ่ามือเขา

    ทีโอดอร์ดึงตัวเบนจามินออกมา ทั้งคู่ล้มพับไปด้วยกันบนพื้น มือสะบัดเลือดบางส่วนไปเลอะบนใบหน้าของวิลลิส ทีโอดอร์ใช้ผ้าคลุมซับห้ามเลือดให้ตัวเอง ความรู้สึกเหนื่อยล้าเข้าเกาะกินวิญญาณของเขามากขึ้นทุกที

     

    กฎของผีข้อที่หนึ่งร้อยสอง ห้ามดื่มเลือดแสนหวานของตนหรือให้ผีตนใดได้ลิ้มลองรสชาติของมัน

     

    ยามที่ปลายลิ้นสัมผัสรสผรุสวาท เส้นประสาททุกส่วนในร่างกายของเขาตื่นตัว เลือดเพียงหนึ่งหยดทำให้กายของเขาร้อนรุ่ม วิลลิสสูดจมูก รับรู้ได้ถึงความหอมหวานที่กำลังไหลอยู่บนมือและใบมีดเขา โลหะเย็นถูกยกขึ้นสูง ปลายแหลมชี้ลงมาเพื่อให้หยาดโลหิตไหลรินได้ถูกจุด

    หยดที่สองสัมผัสริมฝีปาก ปลายลิ้นตวัดเลียกลืนมันสู่ลำคอ

    เขาพบสวรรค์ พบพระเจ้าผู้อยู่ภายใต้ผ้าคลุมขาว และพบกับปีศาจในเวลาเดียวกัน

    ทุกข์ทรมาน แต่ก็ยังต้องการมันมากขึ้นไปอีก

    มากขึ้น และมากขึ้น

    ชายหนุ่มตาลอย หูไม่สดับฟังเสียงรอบกาย ทุกอย่างดำมืด และบางครั้งก็สว่างไสวราวกับกลางวัน

    หวานปานยาพิษ

    ปลายนิ้วของเขาชุ่มโชกไปด้วยเลือด วิลลิสนำนิ้วเข้าปาก ดูดกลืนเลือดทั้งหมดที่ได้รับอย่างขอทานผอมโซหิวกระหาย สูญสิ้นภาพลักษณ์ของผู้ดี ก่อนจะล้มลง

    “วิลลิส..”

    ไคเลอร์อยู่เคียงข้างร่างสงบนิ่งไม่ต่างจากศพของสหายรักที่ครั้งหนึ่งเคยรู้จักและรู้ใจกันอย่างดี วิลลิสดวงตาขาวโพลน ร่างชักกระตุกเพียงเล็กน้อย และตัวเขาก็ค่อยๆ สลายกลายเป็นควัน หายไปในความมืด

    เบนจามินก็เห็นเหตุการณ์นั้นไม่ต่างนั้น ทั้งคู่ตกตะลึง

    น้ำพุยังคงส่งเสียงดังอยู่ข้างๆ มีเพียงผีผ้าคลุมที่ยังคงนอนนิ่งไม่ยอมส่งเสียง

     

     

    เบนจามินหายไปจากโรงแรมในตอนเช้า

    ไคเลอร์และทีโอดอร์สบตากันอย่างงุนงง เจ้าของโรงแรม (หญิงขี้โมโหคนนั้น) บอกกับพวกเขาว่ามีคนในละแวกนั้นพบเด็กหนุ่มออกไปจากโรงแรมในช่วงเช้ามืดและไม่กลับมา

    เด็กคนนั้นหนีไปแล้วอย่างแน่นอน ไคเลอร์ไม่ได้โกรธที่เบนจามินกลัวจนต้องหนีไป หากเป็นเขาในตอนนี้ก็คงทำแบบเดียวกัน

    “บอกเด็กคนนั้นด้วยว่าเลิกทำตัวประหลาดด้วยการเอาผ้าคลุมหัวเดินไปเดินมาในโรงแรมฉันได้แล้ว ที่นี่ไม่ใช่โรงละครนะรู้ไหม” เธอกล่าวกับชายหนุ่มทั้งที่คนที่ถูกกล่าวถึงเองก็ยืนอยู่ข้างกัน ก่อนที่ผีผ้าคลุมจะมีปฎิกิริยาใดๆ โต้ตอบไปมากกว่าขมวดคิ้ว ไคเลอร์ก็พูดโพลงขึ้นเสียก่อน

    “ถึงเขาจะแตกต่างจากคนอื่นและการที่คุณคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์พูดจาแย่ๆ แบบนั้น ไม่ได้แปลว่ามันจะทำให้ตัวคุณมีค่ามากขึ้นหรอกนะครับ มันแค่จะบอกว่าทัศนคติของคุณติดลบ”

    ไคเลอร์คว้ากระเป๋าเดินทางพร้อมกับจูงมือทีโอดอร์ออกจากโรงแรมเล็กๆ แห่งนั้นโดยไม่หันหลังกลับไปมองหญิงร่างท้วมที่กำลังโวยวายเป็นภาษาสเปน ซึ่งคงมีแต่คำหยาบความที่ไม่ควรจะรู้ความหมาย

    “ผมว่าเราควรไปต่อ” ทีโอดอร์กล่าว ผีผ้าคลุมเดินมาใกล้ และจู่ๆ ก็ล้มลงไปต่อหน้าต่อตา ไคเลอร์รีบเข้าไปประคับประคองผีตนนั้นไว้ในวงแขน ตัวของเด็กหนุ่มอ่อนปวกเปียก

    “นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

    “เกิดอะไรขึ้นหรือ” ชายพเนจรที่นั่งบนถนนไม่ไกลนักหัวเราะ ไคเลอร์เห็นเขาตั้งแต่เข้ามาในโรงแรม และวันนี้เขาก็ยังอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน เมื่อจ้องมองดูให้ดีจึงได้พบว่าเขาตาบอด พึมพำประโยคเดิมซ้ำๆ ว่าตนนั้นมองเห็น แต่ไม่มีใครรู้ว่าเห็นสิ่งใด ควันบุหรี่ลอยออกจากปาก “เด็กน้อยผู้เดินอยู่ระหว่างเส้นด้ายของความเป็นและความตาย ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้ ปีศาจร้ายจะพาเขาไปตามการชักนำ”

    ผู้คนที่เดินผ่านไปมามองเขาราวกับเห็นผี คนอะไรพูดคุยกับความว่างเปล่า

    ไคเลอร์ช้อนร่างน้อยขึ้นโดยไม่พูดอะไร สายตาเหลือบไปเห็นเบนจามินยืนมองอยู่ตรงข้ามฝั่งถนน ลมหายใจอุ่นกลายเป็นควันท่ามกลางอากาศหนาว

    เขากลับมา

    สายตาของเขาจ้องมองมาที่ทีโอดอร์ ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล ลังเล และชั่งใจ ชั่ววินาทีนึงเขาทำท่าจะเดินจากไป แต่กลับเดินเข้ามาหา ใกล้พอให้ไคเลอร์ได้ยินสิ่งที่พูด

     

    “ผมติดหนี้ชีวิตเขา”

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×