ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    KNOCK KNOCK! เป็นผีห้ามเคาะประตู

    ลำดับตอนที่ #13 : 12 : 500 miles from home

    • อัปเดตล่าสุด 10 ก.พ. 64



     

     

     

     

     

    ย่าง ก้าว กระโดด

    เป็นเกมที่เล่นโดยการขีดเส้นเป็นช่องแล้วกระโดดไปตามวงกลมแต่ละวง ตามแต้มที่ได้จากการโยนลูกเต๋า พร้อมกับพูด ย่าง ก้าว กระโดดตามลำดับ ทีโอดอร์อธิบายเกมโดยคร่าว “ใครหยุดที่ย่างครบสามรอบจะต้องถูกเผา”

    “เอ่อ เอาเป็นมันฝรั่งบดแทนได้ไหม” ไคเลอร์ต่อรอง แม้ทีโอดอร์จะพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงแต่แววตาเอาจริงเอาจังนั่นทำให้เขาเริ่มไม่ไว้วางใจ ทีโอดอร์ยิ้มให้เขาด้วยการวาดนิ้วที่ริมฝีปากเป็นรูปยิ้ม

    เบนจามินพาตัวเองอยู่ห่างจากผีทั้งสองตนที่ม้านั่งฝั่งหนึ่งแต่ก็ไม่กล้าไปไหนไกล ไคเลอร์สัญญาว่าจะคุ้มครองเขาจากการตายโดนการฆาตกรรม ซึ่งก็คือจากคอนเนอร์นั่นแหละ ใช่เลย เขาพูดเอง แม้ในใจจะยังกลัวผีซะมัด แต่ความกลัวตายมันมีมากกว่า สิ่งที่เขาทำตอนนี้จึงเป็นการบิดตัวไปมาอย่างอึดอัด

    “มีอะไรหรือเปล่า” ไคเลอร์หันมาถาม เบนจามินสะดุ้งตัวโยน

    “มะ..ไม่ครับ” เขาตอบเสียงอ่อย “ผมแค่ไม่รู้จะทำยังไงเวลาอยู่กับพวกคุณ”

    “เรายังต้องอยู่ด้วยกันอีกนานตลอดการเดินทาง แม้นายจะตายไปในระหว่างนั้น” ผีน้อยพูดแทรก หรี่ตาลง “สักวันนายจะเบื่อการกลัวผมจนตัวลีบแบนเป็นกระดาษแบบนี้ เชื่อสิ”

    “ฉันต้องการเวลาทำใจนะ!” เบนจามินแผดเสียงจนผีแถวนั้นสะดุ้งไปด้วย คำพูดของผีตนนี้ไม่ได้ทำให้เขาใจชื่นขึ้นเลย

    “เล่นกับผมไหมล่ะ เผื่อจะทำใจได้ง่ายขึ้น”

    “ไม่ ขอบคุณ”

    ทีโอดอร์เพียงแค่ยักไหล่ก่อนจะกลับไปสนใจเกมของตัวเองต่อ รถไฟส่งเสียงวูดเรียกทั้งสามและผู้คนที่กำลังแออัดบนสถานีมาแต่ไกล ไคเลอร์โล่งอกที่ไม่ต้องเล่นเกมที่ทีโอดอร์คิดขึ้นมาเองสดๆ บางครั้งเด็กคนนี้ก็เกินจะรับไหวเหมือนกัน ชายหนุ่มขนสัมภาระซึ่งก็คือผีหนึ่งตน และคนอีกหนึ่งคนด้วยการจูงมือพาขึ้นรถไฟไปหาที่นั่ง มุ่งหน้าออกนอกเมือง

    วิลลิสมอบเงินค่าอาหารและการเดินทางในครั้งนี้จำนวนหนึ่งไว้ให้ไคเลอร์ดูแลเด็กหนุ่มทั้งสอง เบนจามินกอดลาผู้ช่วยชีวิตและเจ้านายร้านหนังสือของเขาอย่างเนิ่นนานก่อนจะเดินตามผีทั้งสองตนจากมา

    เขานั่งอย่างอึดอัดใจอยู่ชิดประตู ที่ว่างในสายตาของคนปกติคือที่นั่งของไคเลอร์และทีโอดอร์ เด็กผมสีทองตาสีฟ้าคนหนึ่งมองมาที่พวกเขาก่อนจะกระตุกแขนมารดา สายตาจับจ้องอยู่ที่ทีโอดอร์ซึ่งโบกมือให้เขาอยู่ เบนจามินมองสิ่งนั้นอย่างเศร้าใจ

    เด็กคนนี้ก็กำลังจะตายเหมือนเขาสินะ

    เด็กหนุ่มกลืนก้อนสะอื้นลงคอ ขดตัวเป็นหนึ่งเดียวกับตัวรถไฟขณะที่เหม่อมองผนังว่างเปล่าอย่างหมดอาลัยตายอยาก ดูไม่ต่างจากเด็กเร่ร่อนที่หนีขึ้นรถไฟมาไม่ผิด พยายามลืมข้อตกลงที่ทำกับไว้กับผีผ้าคลุมและข่มตานอนให้หลับ

    มีกลุ่มผู้คนคลุมร่างด้วยผ้าคลุมขาวเหมือนทีโอดอร์กระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณสถานี ท่าทางกำลังมองหาบางสิ่ง เด็กหนุ่มขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจนัก แต่ก็เลือกที่จะไม่ทักท้วงสิ่งใด เปลือกตาปิดสนิท เข้าสู่ห้วงนิทรา

     

    ทีโอดอร์ยื่นมือออกไปนอกหน้าต่าง โบกมันไปมาจนไคเลอร์ต้องดึงมือเขาเข้ามาข้างใน “อันตราย ฉันเป็นห่วง” ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะตายไปแล้วก็ตาม

    “ผมจำไม่ได้แล้วว่าเคยนั่งรถไฟหรือเปล่า” ผีผ้าคลุมบอกกับชายหนุ่ม มีท่าทีกระตือรือร้นมากกว่าทุกวัน “ผมชอบวันนี้พอๆ กับที่ได้กินลาซานญ่าของคุณในตอนเช้า”

    “ขนาดนั้นเลยหรือ” ไคเลอร์เอ่ยอย่างไม่เชื่อหูแต่ก็ยังไม่หยุดยิ้ม ครู่นึกเขาเกือบจะบอกกับผีน้อยว่าจะพามาให้บ่อย แต่กลับกลืนคำพูดนั้นลงคอ เพียงแค่ลูบศีรษะเด็กหนุ่มตรงหน้าเบาๆ ทีโอดอร์กระตุกแขนเสื้อโค้ตของชายหนุ่มให้ดูฝูงแกะจากในฟาร์มที่ห่างไกลออกไป

    "เดี๋ยวเจ้าของฟาร์มก็จะตัดขนพวกมันไปปั่นเสื้อ ไม่งั้นมันจะหนักขนของตัวเองจนเดินแทบไม่ไหว"ชายหนุ่มอธิบาย ในขณะที่ทีโอดอร์ตั้งใจฟัง "ฉันเคยทำงานในฟาร์มแห่งหนึ่งมาก่อน ไม่ใช่งานง่ายเลยสักนิด ฉันมัวแต่กังวลว่าตัวเองจะเผลอไปเฉือนเนื้อแกะเลือดทะลักหรือเปล่า"

    "แล้วเคยไหมครับ"ผีผ้าคลุมฟังอย่างลุ้นระทึก แม้ตัวจะโตขึ้นแต่ท่าทีการแสดงออกก็ยังคงเหมือนเด็ก

    "ขอบคุณความกังวลที่ทำให้ฉันไม่เคยทำพลาด"

    อากาศรอบตัวเริ่มหนาว ก่อนออกจากคฤหาสน์ของวิลลิส ไคเลอร์สวมถุงเท้ายาวสีดำและผ้าพันคอสีแดงให้เด็กหนุ่มเพิ่มความอบอุ่นแม้เพียงเล็กน้อยและอยู่ในกฎเกณฑ์ที่ผีผ้าคลุมยินยอม ตอนนี้เขาดูเหมือนตุ๊กตาหิมะ

    คนรับใช้หญิงยังมอบรองเท้าของหลานชายให้ด้วยอีกหนึ่งคู่ ทั้งหมดดูเข้ากันดีอย่างประหลาด

    “ฉันจำไม่ได้แล้วว่าเราเคยพูดคุยกันอย่างนี้ครั้งล่าสุดเมื่อไหร่”

    “บางครั้งฉันก็อยากจะหยุดเวลาเอาไว้สักพัก”

    “ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่โตขึ้น และคุณก็ไม่แก่ลงสิ” เด็กหนุ่มเปรย “อาจจะมีใครสักคนเฝ้ารอการเติบโตอยู่ก็ได้นะ”

    ลมพัดปลายผมสีเข้มบังสายตา ทีโอดอร์ปัดผมชายหนุ่มไปด้านข้างแต่มันก็ยังคงกลับมาปรกตาอีกเช่นเคย มือเล็กๆ นั่นเลยจับเอาไว้แนบติดหน้าผากไคเลอร์เสียเลย

    “พวกเขาจะอยากโตไปทำไม โลกใบนี้โหดร้ายจะตาย” เขาหันมาสบตาทีโอดอร์ที่หลบตาเขาทันที

    "อาจจะอยากเติบโตขึ้นพร้อมกับใครสักคนก็ได้นะ"

    ชายหนุ่มเลิกคิ้วก่อนจะเอ่ยเป็นเชิงถาม “เธอล่ะ อยากเติบโตขึ้นทำไม”

    เด็กหนุ่มไม่กล้าจะสบตาด้วยเหตุผลบางประการที่ไคเลอร์คิดว่าตนนั้นไม่รู้แต่ถึงอย่างนั้นก็กำลังพยายามช้อนตาขึ้นมามองเขา

    สุดท้ายก็ไม่กล้าพูดออกมาอีกรอบ เพื่อหลีกหนีความรู้สึกแปลกหน้าที่เข้ามาทักทาย

     

    พวกเขาลงจากรถไฟที่สถานีปลายทางในตอนพลบค่ำ ทีโอดอร์เดินตามเบนจามินไปยังแผงลอยขายขนมริมถนน ไคเลอร์เช็คกระเป๋าเดินทางก่อนจะมองดูอยู่ห่างๆ ผีตัวเล็กดูสนอกสนใจกับโลกภายนอกที่มีอะไรมากกว่าในป่ามากทีเดียว

    กระดาษสีเทาลอยอยู่กลางอากาศก่อนที่จะปลิวลงบนพื้นต่อหน้า ชายหนุ่มก้มลงไปเก็บมันขึ้นมา

    มีรอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าก่อนที่มันจะเลื่อนหายไป เมื่อเงยหน้าขึ้นบนร่างสูงที่คลุมตัวเองไว้ด้วยผ้าปูเตียงขาว ยืนชิดกับเสาของโรงละคร ตาสบตา ขนแขนลุกซู่เมื่อสัมผัสได้ถึงบางอย่างในอากาศที่กำลังปะทุ ภาพในคืนพระจันทร์เต็มดวงย้อนกลับมา

    ร่างใต้ผ้าคลุมผู้ยื่นเลือดแพะให้กับทีโอดอร์

    ไม่ผิดแน่ ต้องเป็นผีตนนี้แน่

    หมึกสีดำเข้มเลอะนิ้วมือข้างนึง ตอนที่เขาถูกมันเบาๆ ผีผ้าคลุมตัวสูงหันหน้าเข้าไปยังตรอกแห่งหนึ่งอย่างเชื่องช้า ราวกับกำลังรอคอยการตัดสินใจของไคเลอร์ ชายหนุ่มขย้ำใบปลิว เดินจ้ำอ้าวตามหลังผีผ้าคลุมที่เคยพบเจอในคืนจันทร์เพ็ญไปติดๆ

    ไคเลอร์พยายามที่จะเอื้อมมือไปคว้าชายผ้าขาวของผีตนนั้น แต่เพียงแค่เขาถอยห่างสองสามก้าวก็หลุดพ้นจากรัศมีจำกุมแล้ว

    “เราต้องการการพูดคุยอย่างสันติวิธี” น้ำเสียงผีตนนั้นฟังแล้วชวนให้ผ่อนคลายและอยากจะคล้อยตามแต่โดยดี ช่างซ่อมกล่องดนตรีพยายามจะต่อต้านด้วยการเพ่งสมาธิไปยังแต่ละประโยคที่เขาพูดแทน

    “เชิญ”

    “ทุกสิ่งที่คุณอยากรู้ ทุกสิ่งที่เรารู้ เราจะบอก คืนนี้แค่พาเขามาคืนเรา”

     “เขา?”

    “ทีโอดอร์ของคุณ”

    “เห็นทีคงจะไม่ได้” ไคเลอร์สวนกลับ ไม่แน่ใจในเจตนาของผีตนนี้ และไม่ต้องการเสี่ยงให้ทีโอดอร์กลับไปพบเจอกับพิธีกรรมประหลาดนั่นอีก

    “เราเพียงต้องการตัวเขาคืน” ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเป็นประกาย แม้จะยืนหลังค่อมก็ยังสูงกว่าช่างซ่อมกล่องดนตรีมากทีเดียว “ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินไป”

    “คุณหมายความว่ายังไง”

    “หนทางที่ดีที่สุดที่ผมจะให้คุณได้มีเพียงเท่านี้”

    “คุณเป็นใครกันแน่” ไคเลอร์ขบฟันไม่หยุดตั้งคำถามกับสิ่งที่ตนเองไม่รู้จัก ผีตนนั้นส่งเสียงหัวเราะในลำคอ

    “ตัวผมนั้นไร้นามโดยสิ้นเชิง คุณวู๊ด โดยทั่วไปแล้วใครต่อใครก็เรียกผมว่าผีไร้นาม ผมมาที่นี่เพราะวิญญาณร้ายกำลังเกาะกินทีโอดอร์ เด็กคนนี้กำลังอ่อนแอ และในที่สุด เขาก็จะตาย โดยไม่ทันได้ร่ำลาคุณเสียด้วยซ้ำ”

    ไคเลอร์งุนงง แต่ผีไร้นามก็ไม่ได้แก้ให้ความสงสัยของเขากระจ่าง ผีตัวสูงเดินหันหลังจากไปช้าๆ โดนไม่มองย้อนกลับมา ทิ้งเพียงข้อความสุดท้ายเอาไว้ก่อนหายลับตา

    “ผมจะมาพบคุณอีกเร็วๆ นี้ ใช้เวลาช่วงสุดท้ายให้คุ้มค่าเถอะ”

     

    ทีโอดอร์และเด็กหนุ่มเบนจามินยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน ในมือของทั้งสองมีขนมสายไหมติดมือมาคนละแท่ง สายตาทอดมองไคเลอร์ที่เดินฝ่าฝูงชนมาทางพวกเขาด้วยความสงสัย

    “คุณหายไปไหนมา” เบนจามินร้อง ขณะที่ทีโอดอร์จ้องกระดาษแผ่นบางๆ ที่เขาถือในมือเขม็ง

    “นั่นอะไรน่ะ”

    “ตั๋วโรงละครเหมันต์” ชายหนุ่มยิ้มเจื่อนๆ และยื่นใบปลิวที่เขาเก็บได้ใส่มือเบนจามิน เด็กหนุ่มรับมันไปอ่าน ผีผ้าคลุมยึดตั๋วมาสำรวจคร่าวๆ

     

    “ตื่นตระการตา กับโชว์สุดพิเศษ โรเมโอ และจูเลียต

    รักต้องห้ามของศัตรูคู่อาฆาต โศกนาฎกรรมที่พวกเขาต้องฝ่าฟัน

    ขายตั๋วแล้ววันนี้! ที่โรงละครเหมันต์”

     

    “ว้าว” นัยน์ตาของทีโอดอร์เป็นประกาย ดวงตาที่เคยไร้แววกลับมามีชีวิต ราวกับเก็บดวงดาวเอาไว้ในดวงตาคู่นั้น เด็กหนุ่มวิ่งเข้าไปกอดตัวไคเลอร์เอาไว้ มีรอยเปียกชื้นบนเสื้ออยู่บริเวณหัวไหล่ตอนที่ทีโอดอร์ซุกหน้าลงไป บนผ้าคลุมขาวด้วยเช่นกัน

    “คุณจำมันได้ ขอบคุณ!”

    “ตามที่ฉันสัญญาไว้เลย เด็กดี” ชายหนุ่มลูบหัวเด็กน้อยในอ้อมแขน พวกเขาพักทานอาหาร (ซึ่งทีโอดอร์จัดการมันได้เร็วเกินเหตุ) เดินเล่นสวนกับผู้คนบนถนนพักใหญ่ ก่อนจะเดินเข้าโรงละครตรงตามเวลาหลังอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว

    ทางเข้าสว่างไสว  มีม่านหลายชั้นทีเดียวกว่าจะไปถึงพื้นที่จัดแสดง เวทีอยู่ต่ำลงไปเบื้องล่าง ม่านสีแดงนิ่งงันไม่ขยับ เสียงผู้คนพูดคุยกันอย่างตื่นเต้นบนอัฒจันทร์  แน่นอนว่าชาวเมืองนั้นรักโรงละครเสมอ

    ตั๋วของพวกเขาอยู่แถวกลาง ผีผ้าคลุมแทบจะตัวลอย ส่วนเบนจามินนั้นมีท่าทีประหม่า

    “ผมเคยแต่แอบอยู่หลังม่านเวลาแอบเข้าโรงละครไปกับเพื่อน” เสียงเขาสั่นเครือด้วยความตื่นเต้น “การได้มาดูตรงนี้มันน่าทึ่งกว่าที่คิดไว้เสียอีก”

    “ดื่มด่ำไปกับมันเถอะ” ไคเลอร์ยิ้ม ก่อนจะแตะตัวทีโอดอร์ที่นั่งขยุกขยิกให้อยู่นิ่งให้ได้มากที่สุด

    ผ้าม่านแดงถูกคลี่ออก การแสดงเริ่มขึ้นตั้งแต่นั้น

    ดนตรีโหมโรงอย่างอลังการ ส่งให้ขนลุกซู่ไปทุกขณะ เด็กหนุ่มทั้งสองนั่งตัวแข็งทื่อ ตื่นตะลึงกับการแสดงแม้มันจะเป็นเพียงละครน่าเบื่อหน่ายสำหรับไคเลอร์ก็ตาม เขาดูเรื่องนี้มาหลายต่อหลายครั้งจนแทบจะเอียน หากจะมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงคงเป็นแค่ใบหน้านักแสดงเท่านั้น

    “เธอชอบเหรอ” ชายหนุ่มหันไปถามผีผ้าคลุม เด็กน้อยส่งเสียงชู่วกลับมาเป็นคำตอบ ดวงตาไม่ละจากนักแสดงชายที่รับบทเป็นจูเลียตแห่งตระกูลคาปูเล็ต

    “คุณกำลังทำให้ผมไม่สบอารมณ์”

    “ขอโทษนะครับนายน้อย” บุคคลผู้เบื่อหน่ายนั่งเท้าคางไปตลอดทั้งเรื่องโดยไม่ปริปาก จ้องมองการแสดงสลับกับใบหน้าหลากอารมณ์ของผู้ชมข้างๆ

    ผมจะมาพบคุณอีกเร็วๆ นี้ ใช้เวลาช่วงสุดท้ายให้คุ้มค่าเถอะ

    คำพูดของผีไร้นามยังวนเวียนอยู่ในหัวแม้จะสลัดมันออกไปหลายต่อหลายครั้ง แทนที่จะได้ใช้เวลาเหล่านี้อย่างสบายใจ ทุกวินาทีกลับมีแค่ความกังวลและเหม่อลอย

     

    “คุณดูไม่สนุกเท่าไรเลย” ผีผ้าคลุมเอ่ยทัก พวกเขาตัดสินใจพักอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่ง หญิงร่างท้วมขี้โมโหเห็นผีผ้าคลุมและไคเลอร์ เธอบังคับให้เปิดสองห้องสำหรับพวกเขาเพราะไม่มีเตียงเสริมไว้สำรองให้ ช่างซ่อมกล่องดนตรีเหนื่อยล้าเกินกว่าจะโต้เถียงและจัดให้เบนจามินได้นอนตามลำพัง อย่างไรเสียเด็กหนุ่มก็ยังกลัวผีผ้าคลุมและแม้แต่เขาเองด้วยซ้ำ

    “แค่เหนื่อยล้ากับการเดินทางก็เท่านั้น” ชายหนุ่มบอกปัด “ฉันเคยดูมันเป็นพันครั้ง”

    “มีอะไรก็เรียกแล้วกัน” ชายหนุ่มกล่าวกับเบนจามิน สัมภาระไม่กี่อย่างถูกวางเอาไว้ปลายเตียง มนุษย์เพียงคนเดียวไม่พูดไม่จา นั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ข้างหน้าต่างจนน่าเป็นห่วง

    “นายพูดกับฉันได้ทุกเรื่อง รู้ใช่ไหม”

    “ครับ”

    ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ไคเลอร์ยอมแพ้ และปิดประตูตามหลังเพื่อกลับไปยังห้องของตัวเอง ที่ที่ผีผ้าคลุมรอเขาอยู่

    ในห้องแคบๆ มืดสนิท มีเพียงแสงจากไฟถนนที่ส่องเข้ามาพอดิบพอดี ร่างของทีโอดอร์อยู่บนเตียง ผ้าคลุมที่เคยยาวคลุมเท้าบัดนี้ยาวถึงแค่เข่า ไคเลอร์เบนสายตาจากเรียวขาเปลือย เสียงลูกกุญแจกระทบผนังเรียกให้เด็กหนุ่มหันไปมองเขา

    “เธออยากได้อะไรหรือเปล่า ฉันจะลงไปด้านล่าง” ชายหนุ่มชิงพูดขึ้นก่อนที่ผีผ้าคลุมจะถามอะไรเขาก่อน ไคเลอร์อยากให้เสียงตัวเองเตือนตัวเองออกจากเรื่องไม่ดีทั้งหลายแหล่

    “นม” ขณะนี้ผีผ้าคลุมลุกขึ้นนั่ง ก่อนที่ชายหนุ่มจะออกจากห้องไปทั้งตัว เขาก็ถูกเรียกเอาไว้เสียก่อน “รีบกลับมานะ”

     

    ไคเลอร์ไม่ได้รีบร้อนอย่างที่ผีเด็กหนุ่มขอ เขาทำทุกอย่างอย่างเชื่องช้า เดินอย่างระมัดระวังไม่ให้โซเซ ทบทวนตนเองว่ากำลังตั้งใจจะทำสิ่งใดเป็นลำดับถัดไป

    ก็แค่กลับห้อง เอานมวางไว้หัวเตียงแล้วหลับไปเลย ไคเลอร์ย้ำกับตัวเองเบาๆ ไม่เห็นจะมีอะไรยากเลย

    แต่เขาจะนอนหลับสบายทั้งที่มีคนแปลกหน้ามาบอกว่าผีผ้าคลุมกำลังอ่อนแอได้ยังไง

    ครู่หนึ่งที่เดินผ่านหน้าต่างริมบันไดวน ชายผ้าขาวสะบัดพลิ้วดึงเขาออกจากความสงสัยนอกหน้าต่าง ผีผ้าคลุมรอเขาอยู่ตรงหัวมุม ชายหนุ่มลูบใบหน้า ไม่คิดว่าทีโอดอร์จะเดินลงมาตาม

    “ขอโทษที่ช้าเกินไปสำหรับเธอ” เขาก้าวขายาวๆ ครู่เดียวก็จะถึงตัวผีอยู่แล้ว แต่ร่างนั้นไวกว่า เมื่อไคเลอร์ไปโผล่จุดที่ร่างนั้นเคยยืน ผีผ้าคลุมก็ขยับหาที่ใหม่ ซึ่งก็คือใต้บันไดมืดในส่วนที่แสงไฟส่องไปไม่ถึง

    ไคเลอร์คิดแค่ว่าทีโอดอร์แค่อยากจะเล่นไล่จับ จึงไม่ทันได้ระวังตัวเมื่อถูกดึงเข้าไปในความมืดนั้นอย่างจนตรอก ช่างซ่อมกล่องดนตรีตื่นตระหนกปล่อยหมัดสะเปะสะปะ เกิดการต่อสู้ขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่เขาจะพ่ายแพ้และล้มลงนอนคว่ำหน้าบนพื้น ชายผ้าขาวคลอเคลียใบหน้า

    ชายหนุ่มตั้งท่าจะคว้าผ้าคลุมผืนนั้นออก แต่ก็ถูกรั้งข้อมือบิดไปด้านข้างโดยแรง

    “ห้ามถอดผ้าคลุม”

    “ทำไม”

    “เราไม่ต้องการเปิดเผยตัว โปรดเคารพในความต้องการของเราด้วย”

    ‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’

    เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะทั้งสอง ไคเลอร์ร้องครวญคราง

    “เข้ามา”

    ผีผ้าคลุมสองตนเปิดประตูเข้ามาข้างใน ไคเลอร์มีท่าทีสับสน หากลัทธิผีพวกนี้เป็นกลุ่มเดียวกันกับทีโอดอร์ และมีกฎห้าร้อยประการต้องรักษา ทำไมหนึ่งในนั้นถึงทำผิดกฎที่ทีโอดอร์ฝึกท่องทบทวนอยู่บ่อยครั้ง

    “เรามาตามหาทีโอดอร์ของเรา” เสียงของผีไร้นามเปี่ยมไปด้วยชัยชนะ ช่างน่าแปลกที่น้ำเสียงของเขาแสดงอารมณ์ได้ดีกว่าสีหน้าเสียอีก “เขาอยู่บ้านหลังเดียวกับคุณ ตามคุณไปยังคฤหาสน์สหายของคุณ และพามาที่นี่ ไม่ว่าคุณจะหวังดีกับทีโอดอร์มากแค่ไหน ผมจะขอให้คุณหยุดมันเดี๋ยวนี้ ทีโอดอร์ต้องกลับไปกลับเรา”

    “เด็กคนนี้ยังไม่ตายนะ ผมต้องพาเขากลับไปหาแม่”

    “มันสายเกินไปแล้ว”

    “คุณหมายความว่าคุณจะปล่อยให้เด็กคนนึงต้องตายไปเสียเฉยๆ อย่างนั้นหรือ”

    “ไม่มีทางเลือก หากสวรรค์กำหนดมา ชาตินี้เขาไม่ที่ทางที่จะได้กลับเข้าร่างอีกเป็นครั้งที่สอง เสียใจด้วย”

    คำสบถหยาบคายหลุดจากปากไคเลอร์โดยไม่ยั้งคิด “พวกคุณไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้นะ”

    “เรามีสิทธิ์เต็มกำลังอยู่แล้ว แม้เรื่องนี้มันจะผิดและจะฝังใจเราไปถึงวันเกิดใหม่”

    “ทำไม” ไคเลอร์ตะโกน ช่วงสองสามวันมานี้เขารู้สึกเหมือนกับเป็นคนโง่ที่ไม่เคยรู้อะไรเลย “ถ้าอย่างนั้นทำไม”

    “ก๊อก ก๊อก ก๊อก เป็นผีห้ามเคาะประตู” กล่าวจบ ผีไร้นามก็เดินไปเคาะประตูโดยทันที “กฎข้อนี้สำคัญมาก หากผีตนนั้นรวมเป็นหนึ่งเดียวกับปีศาจ”

    ชายหนุ่มนิ่งอึ้ง ไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “อะไรนะ”

    “ทีโอดอร์คือบุคคลที่เรากำลังปกป้อง เหล่าผีสร้างกฎนี้ขึ้นมาเพื่อป้องกันเรื่องร้ายที่ปีศาจจะใช้เขาก่อเหตุแก่มนุษย์ เคาะประตูครั้งที่หนึ่ง คนในบ้านนั้นจิตใจจะหมองเศร้า ครั้งที่สองจะเกิดโรคระบาด และครั้งสุดท้ายจะมีคนตาย”

    ไคเลอร์พูดอะไรไม่ออก

    “คนของเราเป็นคนพาวิญญาณของเขาออกจากร่างเองกับมือ พร้อมกับลบความทรงจำที่เขามี เพื่อที่จะไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใคร เราชักนำให้เขาอยู่ในคำสอน เอาผ้ามาคลุมร่างเขาและเราเสีย เท่านี้เขาก็แทบจะจำตัวเองไม่ได้ แถมยังไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร ช่างล้ำเลิศเหลือเกิน” ผีไร้นามส่งสายตาชื่นชมไปให้คนทางขวาซึ่งดูแล้วท่าจะเป็นผู้หญิง

    “คุณบอกว่าเขาเป็นเครื่องมือของปีศาจงั้นหรือ?”

    “ร่างจุติของดันทาเลียน” ผีไร้นามบอก “ปีศาจผู้สามารถเปลี่ยนความนึกคิดของใครต่อใครได้ตามอำเภอใจ เราไม่สามารถเพิกเฉยกับเรื่องนี้ได้ ไคเลอร์ เขาจะก่อสงคราม ปลุกความดำมืดในจิตใจของผู้คน ชักนำให้พวกเขาเข่นฆ่ากันเอง ในขณะที่ปีศาจเพลิดเพลินราวกับกำลังดูละครเรื่องนึง”

    ถ้าอย่างนั้น ในตอนที่ทีโอดอร์เปลี่ยนใจคอนเนอร์ในตอนนั้น เป็นเพราะปีศาจนามว่าดันทาเลียนอย่างนั้นเองหรือ?

    “แต่มันต้องมีหนทางอื่นสิ ทางที่ฉันจะพาทีโอดอร์กลับไปใช้ชีวิตได้เหมือนเด็กปกติ” ไคเลอร์พูดอย่างดื้อดึง “คุณกักขังเขาเอาไว้แบบนี้ไม่ได้ตลอดหรอก ยิ่งถ้าคุณพาเขากลับไปโดยไม่ได้เจอกับผมอีก คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมเห็นกับตาว่าเขาสามารถทำอะไรได้บ้าง”

    ผีทั้งสามมองหน้ากันไปมา คำพูดนั้นได้ผลดีราวกับคำขู่ เหล่าผีเองก็รู้ดีเช่นกัน

    “เห็นได้ชัดว่าคุณเลี้ยงเขาด้วยการเอาอกเอาใจมากเกินไป” ผีไร้นามถอนหายใจ “มีอยู่หนทางหนึ่ง ทางที่อาจต้องแลกด้วยชีวิต ในป่ามืดมีเสียงเล่าขานกันมาว่าหากใครมีเส้นผมของพญามาร จะมีอำนาจเหนือมัน และถ้ามนุษย์ได้ดอกกุหลาบของพญามารสามดอก เขาผู้นั้นจะมีอำนาจเหนือปีศาจทั้งปวง”

    “แล้วฉันจะไปตามหาเขาได้ยังไง”

    ผีหญิงหัวเราะ “เขาก็อยู่ในนรกน่ะซี!”

    “ถูกของเธอ เขาอยู่ในนรก” ผีไร้นามส่งเสียงหึๆ “ไม่ใช่ที่ที่จะเข้าและออกมาได้โดยง่ายเลยไคเลอร์ แต่หากคุณต้องการ เราจะบอก ใช้เวลาทั้งหมดสามคืน แต่ละคืน คุณต้องนำดอกกุหลาบของพญามารกลับมาได้วันละดอกเท่านั้น”

    “วันละดอก? แสดงว่าผมต้องกลับไปมาระหว่างนรกและโลกสามวันเลยอย่างนั้นหรือ”

    “ถ้านำมามากกว่านั้น ระหว่างทางดวงวิญญาณของคุณจะมอดไหม้เป็นธุลี” ผีไร้นามกระแอม “ทางออกจากนรกเป็นเหมือนด่านทดสอบใจ หากว่าคุณไม่สามารถผ่านมันไปได้ คุณจะไม่มีทางได้กลับออกมา หรือแม้แต่คิดจะช่วยเด็กคนนั้น

    “คำถามก็คือ คุณอยากจะเอาวิญญาณตัวเองไปเสี่ยงเพื่อเด็กคนนึงอย่างนั้นหรือ”

    ไคเลอร์นิ่งอึ้งท่ามกลางผีทั้งสามตน พูดไม่ออกราวกับมีแอปเปิลติดอยู่ที่คอ ผีไร้นามก้าวขาเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทำให้เขากดดันมากขึ้นเป็นพันเท่า

    “คุณจะรับผิดชอบชีวิตของตัวเองและเด็กคนนั้นได้หรือเปล่า”

    “ทำได้ไหม” ผีผ้าคลุมหญิงถาม

    “ทำได้ไหม” ผีผ้าคลุมอีกตนถามย้ำอีกครั้ง

     

     

    เตียงแข็งๆ กับหมอนขึ้นราไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้เบนจามินนอนไม่หลับ ความคิดต่างหากที่ทำ

    ชีวิตใหม่ที่ไคเลอร์และผีประหลาดพูดถึงมันแทบไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้และไม่ได้ในเวลาเดียวกัน เด็กหนุ่มสับสน เขาไม่มีเวลาได้พูดคุยเรื่องนี้กับคนที่ไว้ใจได้ตามลำพังด้วยซ้ำ

     

    นาฬิกาตีเวลาบอกถึงเที่ยงคืน เด็กหนุ่มลุกขึ้น ก่อนจะเดินออกจากห้อง ในห้องมีเพียงเทียนกับไม้ขีดเอาไว้บริการ เบนจามินใช้แสงไฟนั่นนำทางตนเองฝ่าความมืด โถงทางเดินมืดจนมองแทบไม่เห็นทาง ผีตนหนึ่งเดินสวนกับเขา จ้องใบหน้าเขม็งยามที่เดินผ่านเลยไป

    มีผีอีกหลายตนอยู่บนถนนราวกับคนไร้บ้าน บ้างก็ครางโหยหวนไม่ต่างจากคนเสียสติ เด็กหนุ่มกลืนน้ำลาย และอยากจะหันหลังกลับเสียตั้งแต่ตอนนี้ แทบแยกไม่ออกว่าใครเป็นผีหรือคน

    วิลลิสกระซิบบางอย่างกับเขาก่อนจากมา ตอนนี้ชายหนุ่มเป็นคนเดียวที่เขารู้สึกสบายใจที่จะอยู่ด้วย นั่นเป็นสาเหตุที่เบนจามินพาตัวเองมาหยุดยืนหน้าน้ำพุ เงาดำเป็นรูปอสูรกายกรีกที่เขาเคยอ่านเจอแต่จำไม่ได้แล้วว่าเป็นใคร

    หญิงรูปงามสามตนผู้มีเส้นผมเป็นงู เขี้ยวแหลมแยกออกราวกับขู่ขวัญคนที่ได้พบเห็น ปกติแล้วน้ำพุมักจะมีรูปปั้นสวยๆ งามๆ มาให้ชมมากกว่าอสูรกายไม่ใช่หรืออย่างไร เบนจามินนึกสงสัย ลมพัดมาจากทิศเหนือแรงขึ้น เขายกมือพยายามป้องไฟไม่ให้ดับ

    เสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นทำให้เด็กหนุ่มหันไปตามเสียง เขากลั้นใจมองเงาดำที่เดินย่างมาใกล้ กระทั่งเห็นตาไร้แววกับกลุ่มผมสีส้มที่คุ้นเคย คุณวิลลิส

    เบนจามินเกือบจะหลุดยิ้มอยู่แล้ว ถ้าไม่ติดว่าความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นมากะทันหันทำให้เขาเดินถอยห่าง ใบหน้าหล่อเหลานิ่งสงบจนดูน่าขนลุก

    “เป็นอะไรไปล่ะเบนจามิน”

    “เปล่าครับ” คนที่ถูกเรียกชื่อเกือบจะฝืนยิ้ม แต่ก็เลือกที่จะไม่ทำ “ทำไมคุณถึงให้ผมมาที่นี่ล่ะครับ”

    วิลลิสเงยหน้าขึ้นสบจากับรูปปั้น ฟังเสียงน้ำไหลลูบไล้เรือนกายหิน ชายหนุ่มสูญอากาศยามค่ำคืนเข้าเต็มปอด

    “ฉันอยากจะเล่าเรื่องหนึ่งให้เธอฟัง” วิลลิสเกริ่น “ฉันเคยมีภรรยา เธองดงามไม่ต่างจากรูปปั้นพวกนี้ เบนจามิน เธอยังหนุ่มอาจจะยังไม่เข้าใจ การรักใครสักคนและโกรธแค้นไปในเวลาเดียวกัน

    “เราสร้างทุกอย่างมาด้วยกัน แต่ฉันไม่เคยเข้าใจว่าทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงได้เอาทุกอย่างไป ฉันไว้ใจเธอที่สุด จนมันกลับมาทำร้ายตัวฉันเอง”

    รูปถ่ายใบหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้า เป็นรูปขาวดำของชายหญิงคู่หนึ่ง หญิงสาวผมสีอ่อนหน้าตาสละสลวย ใบหน้าของชายอีกคนนั้นถูกนิ้วของวิลลิสบดบัง

    "ศพของฉันนองจมกองเลือดอยู่ในสวน หลังจากที่ฉันวิ่งตามเธอกับชายชู้ออกจากปราสาท พวกเขาจะหนีไปด้วยกัน และเธอจะเริ่มชีวิตใหม่กับเขา ไม่มีน้ำตาบนใบหน้าเเธอสักหยดเหมือนเธอกลายเป็นอีกคนที่ฉันไม่เคยรู้จัก กระสุนนัดสุดท้ายเจาะเข้ากลางหัวใจด้วยน้ำมือผู้หญิงคนที่ฉันรัก"

    เด็กหนุ่มเดินถอยหลัง เขารู้สึกทั้งกลัวทั้งนึกสงสารชายตรงหน้าขึ้นมาแต่ก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้ วิลลิสเดินเข้ามาหาตามจังหวะที่เขาถอยหลัง

    “นังงูพิษ ฉันฝังร่างเธอทั้งเป็นลงในหลุม แต่นั่นยังไม่สาแก่ใจฉัน เหลืออีกหนึ่งชายชั่วที่ฉันอยากจะล้างเลือดชั่วจากตระกูลของมันให้สิ้นแผ่นดิน อยากให้มันทรมานเหมือนตอนที่มันทำกับฉันก่อนตาย ให้มันรู้สึกสูญเสียทุกอย่างที่มันมี ทุกอย่างที่ฉันสามารถทำได้ด้วยน้ำมือฉันเอง” นิ้วมือถูกเลื่อนออกจากรูปถ่ายเล็กน้อย ดวงตาของเบนจามินเบิกกว้างเมื่อพบใบหน้าที่คุ้นเคยบนนั้น

    คอนเนอร์ พี่ชายเขานั่นเอง

    “นักสืบของฉันทำงานล่าช้าเกินควร และเพิ่งรู้ข่าวดีในตอนเช้า ยังไม่มีจังหวะที่จะได้ลงมือเสียที”

    เบนจามินหันหลังเตรียมจะวิ่งแต่กลับถูกมือใหญ่กระชากผมสีอ่อนจนหงายหลัง ชายหนุ่มยังจับเอาไว้มั่นไม่ยอมปล่อย รอยยิ้มเย็นชาคือสิ่งที่เขาได้

    “ฉันเกือบจะเสียของชิ้นสำคัญที่ต้องทำลายด้วยมือของตัวเองไปเสียแล้ว”

    ความตายกำลังวิ่งมาหาเขา

    ใบหน้าถูกกดลงกับน้ำเย็นเฉียบ เด็กหนุ่มดิ้น พยายามให้ตัวเองหลุดจากพันธนาการ เขาเกลียดร่างกายตัวเองที่อ่อนแอนี้เหลือเกิน ความทรงจำแล่นเข้ามาและผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหมือนกับตอนที่นั่งรถไฟในวันนี้

     

    ทุกอย่างแค่ผ่านไปเร็วมาก

     

     

     

    ทอล์ค : 

    วาดคุณผีไว้เมื่อเช้า เลยแวะมาอวด ฮี่ๆ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×