คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : 12 : 500 miles from home
ย่าง ก้าว กระโดด
เป็นเกมที่เล่นโดยการขีดเส้นเป็นช่องแล้วกระโดดไปตามวงกลมแต่ละวง ตามแต้มที่ได้จากการโยนลูกเต๋า พร้อมกับพูด ย่าง ก้าว กระโดดตามลำดับ ทีโอดอร์อธิบายเกมโดยคร่าว “ใครหยุดที่ย่างครบสามรอบจะต้องถูกเผา”
“เอ่อ เอาเป็นมันฝรั่งบดแทนได้ไหม” ไคเลอร์ต่อรอง แม้ทีโอดอร์จะพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงแต่แววตาเอาจริงเอาจังนั่นทำให้เขาเริ่มไม่ไว้วางใจ ทีโอดอร์ยิ้มให้เขาด้วยการวาดนิ้วที่ริมฝีปากเป็นรูปยิ้ม
เบนจามินพาตัวเองอยู่ห่างจากผีทั้งสองตนที่ม้านั่งฝั่งหนึ่งแต่ก็ไม่กล้าไปไหนไกล ไคเลอร์สัญญาว่าจะคุ้มครองเขาจากการตายโดนการฆาตกรรม ซึ่งก็คือจากคอนเนอร์นั่นแหละ ใช่เลย เขาพูดเอง แม้ในใจจะยังกลัวผีซะมัด แต่ความกลัวตายมันมีมากกว่า สิ่งที่เขาทำตอนนี้จึงเป็นการบิดตัวไปมาอย่างอึดอัด
“มีอะไรหรือเปล่า” ไคเลอร์หันมาถาม เบนจามินสะดุ้งตัวโยน
“มะ..ไม่ครับ” เขาตอบเสียงอ่อย “ผมแค่ไม่รู้จะทำยังไงเวลาอยู่กับพวกคุณ”
“เรายังต้องอยู่ด้วยกันอีกนานตลอดการเดินทาง แม้นายจะตายไปในระหว่างนั้น” ผีน้อยพูดแทรก หรี่ตาลง “สักวันนายจะเบื่อการกลัวผมจนตัวลีบแบนเป็นกระดาษแบบนี้ เชื่อสิ”
“ฉันต้องการเวลาทำใจนะ!” เบนจามินแผดเสียงจนผีแถวนั้นสะดุ้งไปด้วย คำพูดของผีตนนี้ไม่ได้ทำให้เขาใจชื่นขึ้นเลย
“เล่นกับผมไหมล่ะ เผื่อจะทำใจได้ง่ายขึ้น”
“ไม่ ขอบคุณ”
ทีโอดอร์เพียงแค่ยักไหล่ก่อนจะกลับไปสนใจเกมของตัวเองต่อ รถไฟส่งเสียงวูดเรียกทั้งสามและผู้คนที่กำลังแออัดบนสถานีมาแต่ไกล ไคเลอร์โล่งอกที่ไม่ต้องเล่นเกมที่ทีโอดอร์คิดขึ้นมาเองสดๆ บางครั้งเด็กคนนี้ก็เกินจะรับไหวเหมือนกัน ชายหนุ่มขนสัมภาระซึ่งก็คือผีหนึ่งตน และคนอีกหนึ่งคนด้วยการจูงมือพาขึ้นรถไฟไปหาที่นั่ง มุ่งหน้าออกนอกเมือง
วิลลิสมอบเงินค่าอาหารและการเดินทางในครั้งนี้จำนวนหนึ่งไว้ให้ไคเลอร์ดูแลเด็กหนุ่มทั้งสอง เบนจามินกอดลาผู้ช่วยชีวิตและเจ้านายร้านหนังสือของเขาอย่างเนิ่นนานก่อนจะเดินตามผีทั้งสองตนจากมา
เขานั่งอย่างอึดอัดใจอยู่ชิดประตู ที่ว่างในสายตาของคนปกติคือที่นั่งของไคเลอร์และทีโอดอร์ เด็กผมสีทองตาสีฟ้าคนหนึ่งมองมาที่พวกเขาก่อนจะกระตุกแขนมารดา สายตาจับจ้องอยู่ที่ทีโอดอร์ซึ่งโบกมือให้เขาอยู่ เบนจามินมองสิ่งนั้นอย่างเศร้าใจ
เด็กคนนี้ก็กำลังจะตายเหมือนเขาสินะ
เด็กหนุ่มกลืนก้อนสะอื้นลงคอ ขดตัวเป็นหนึ่งเดียวกับตัวรถไฟขณะที่เหม่อมองผนังว่างเปล่าอย่างหมดอาลัยตายอยาก ดูไม่ต่างจากเด็กเร่ร่อนที่หนีขึ้นรถไฟมาไม่ผิด พยายามลืมข้อตกลงที่ทำกับไว้กับผีผ้าคลุมและข่มตานอนให้หลับ
มีกลุ่มผู้คนคลุมร่างด้วยผ้าคลุมขาวเหมือนทีโอดอร์กระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณสถานี ท่าทางกำลังมองหาบางสิ่ง เด็กหนุ่มขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจนัก แต่ก็เลือกที่จะไม่ทักท้วงสิ่งใด เปลือกตาปิดสนิท เข้าสู่ห้วงนิทรา
ทีโอดอร์ยื่นมือออกไปนอกหน้าต่าง โบกมันไปมาจนไคเลอร์ต้องดึงมือเขาเข้ามาข้างใน “อันตราย ฉันเป็นห่วง” ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะตายไปแล้วก็ตาม
“ผมจำไม่ได้แล้วว่าเคยนั่งรถไฟหรือเปล่า” ผีผ้าคลุมบอกกับชายหนุ่ม มีท่าทีกระตือรือร้นมากกว่าทุกวัน “ผมชอบวันนี้พอๆ กับที่ได้กินลาซานญ่าของคุณในตอนเช้า”
“ขนาดนั้นเลยหรือ” ไคเลอร์เอ่ยอย่างไม่เชื่อหูแต่ก็ยังไม่หยุดยิ้ม ครู่นึกเขาเกือบจะบอกกับผีน้อยว่าจะพามาให้บ่อย แต่กลับกลืนคำพูดนั้นลงคอ เพียงแค่ลูบศีรษะเด็กหนุ่มตรงหน้าเบาๆ ทีโอดอร์กระตุกแขนเสื้อโค้ตของชายหนุ่มให้ดูฝูงแกะจากในฟาร์มที่ห่างไกลออกไป
"เดี๋ยวเจ้าของฟาร์มก็จะตัดขนพวกมันไปปั่นเสื้อ ไม่งั้นมันจะหนักขนของตัวเองจนเดินแทบไม่ไหว"ชายหนุ่มอธิบาย ในขณะที่ทีโอดอร์ตั้งใจฟัง "ฉันเคยทำงานในฟาร์มแห่งหนึ่งมาก่อน ไม่ใช่งานง่ายเลยสักนิด ฉันมัวแต่กังวลว่าตัวเองจะเผลอไปเฉือนเนื้อแกะเลือดทะลักหรือเปล่า"
"แล้วเคยไหมครับ"ผีผ้าคลุมฟังอย่างลุ้นระทึก แม้ตัวจะโตขึ้นแต่ท่าทีการแสดงออกก็ยังคงเหมือนเด็ก
"ขอบคุณความกังวลที่ทำให้ฉันไม่เคยทำพลาด"
อากาศรอบตัวเริ่มหนาว ก่อนออกจากคฤหาสน์ของวิลลิส ไคเลอร์สวมถุงเท้ายาวสีดำและผ้าพันคอสีแดงให้เด็กหนุ่มเพิ่มความอบอุ่นแม้เพียงเล็กน้อยและอยู่ในกฎเกณฑ์ที่ผีผ้าคลุมยินยอม ตอนนี้เขาดูเหมือนตุ๊กตาหิมะ
คนรับใช้หญิงยังมอบรองเท้าของหลานชายให้ด้วยอีกหนึ่งคู่ ทั้งหมดดูเข้ากันดีอย่างประหลาด
“ฉันจำไม่ได้แล้วว่าเราเคยพูดคุยกันอย่างนี้ครั้งล่าสุดเมื่อไหร่”
“บางครั้งฉันก็อยากจะหยุดเวลาเอาไว้สักพัก”
“ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่โตขึ้น และคุณก็ไม่แก่ลงสิ” เด็กหนุ่มเปรย “อาจจะมีใครสักคนเฝ้ารอการเติบโตอยู่ก็ได้นะ”
ลมพัดปลายผมสีเข้มบังสายตา ทีโอดอร์ปัดผมชายหนุ่มไปด้านข้างแต่มันก็ยังคงกลับมาปรกตาอีกเช่นเคย มือเล็กๆ นั่นเลยจับเอาไว้แนบติดหน้าผากไคเลอร์เสียเลย
“พวกเขาจะอยากโตไปทำไม โลกใบนี้โหดร้ายจะตาย” เขาหันมาสบตาทีโอดอร์ที่หลบตาเขาทันที
"อาจจะอยากเติบโตขึ้นพร้อมกับใครสักคนก็ได้นะ"
ชายหนุ่มเลิกคิ้วก่อนจะเอ่ยเป็นเชิงถาม “เธอล่ะ อยากเติบโตขึ้นทำไม”
เด็กหนุ่มไม่กล้าจะสบตาด้วยเหตุผลบางประการที่ไคเลอร์คิดว่าตนนั้นไม่รู้แต่ถึงอย่างนั้นก็กำลังพยายามช้อนตาขึ้นมามองเขา
สุดท้ายก็ไม่กล้าพูดออกมาอีกรอบ เพื่อหลีกหนีความรู้สึกแปลกหน้าที่เข้ามาทักทาย
พวกเขาลงจากรถไฟที่สถานีปลายทางในตอนพลบค่ำ ทีโอดอร์เดินตามเบนจามินไปยังแผงลอยขายขนมริมถนน ไคเลอร์เช็คกระเป๋าเดินทางก่อนจะมองดูอยู่ห่างๆ ผีตัวเล็กดูสนอกสนใจกับโลกภายนอกที่มีอะไรมากกว่าในป่ามากทีเดียว
กระดาษสีเทาลอยอยู่กลางอากาศก่อนที่จะปลิวลงบนพื้นต่อหน้า ชายหนุ่มก้มลงไปเก็บมันขึ้นมา
มีรอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าก่อนที่มันจะเลื่อนหายไป เมื่อเงยหน้าขึ้นบนร่างสูงที่คลุมตัวเองไว้ด้วยผ้าปูเตียงขาว ยืนชิดกับเสาของโรงละคร ตาสบตา ขนแขนลุกซู่เมื่อสัมผัสได้ถึงบางอย่างในอากาศที่กำลังปะทุ ภาพในคืนพระจันทร์เต็มดวงย้อนกลับมา
ร่างใต้ผ้าคลุมผู้ยื่นเลือดแพะให้กับทีโอดอร์
ไม่ผิดแน่ ต้องเป็นผีตนนี้แน่
หมึกสีดำเข้มเลอะนิ้วมือข้างนึง ตอนที่เขาถูกมันเบาๆ ผีผ้าคลุมตัวสูงหันหน้าเข้าไปยังตรอกแห่งหนึ่งอย่างเชื่องช้า ราวกับกำลังรอคอยการตัดสินใจของไคเลอร์ ชายหนุ่มขย้ำใบปลิว เดินจ้ำอ้าวตามหลังผีผ้าคลุมที่เคยพบเจอในคืนจันทร์เพ็ญไปติดๆ
ไคเลอร์พยายามที่จะเอื้อมมือไปคว้าชายผ้าขาวของผีตนนั้น แต่เพียงแค่เขาถอยห่างสองสามก้าวก็หลุดพ้นจากรัศมีจำกุมแล้ว
“เราต้องการการพูดคุยอย่างสันติวิธี” น้ำเสียงผีตนนั้นฟังแล้วชวนให้ผ่อนคลายและอยากจะคล้อยตามแต่โดยดี ช่างซ่อมกล่องดนตรีพยายามจะต่อต้านด้วยการเพ่งสมาธิไปยังแต่ละประโยคที่เขาพูดแทน
“เชิญ”
“ทุกสิ่งที่คุณอยากรู้ ทุกสิ่งที่เรารู้ เราจะบอก คืนนี้แค่พาเขามาคืนเรา”
“เขา?”
“ทีโอดอร์ของคุณ”
“เห็นทีคงจะไม่ได้” ไคเลอร์สวนกลับ ไม่แน่ใจในเจตนาของผีตนนี้ และไม่ต้องการเสี่ยงให้ทีโอดอร์กลับไปพบเจอกับพิธีกรรมประหลาดนั่นอีก
“เราเพียงต้องการตัวเขาคืน” ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเป็นประกาย แม้จะยืนหลังค่อมก็ยังสูงกว่าช่างซ่อมกล่องดนตรีมากทีเดียว “ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินไป”
“คุณหมายความว่ายังไง”
“หนทางที่ดีที่สุดที่ผมจะให้คุณได้มีเพียงเท่านี้”
“คุณเป็นใครกันแน่” ไคเลอร์ขบฟันไม่หยุดตั้งคำถามกับสิ่งที่ตนเองไม่รู้จัก ผีตนนั้นส่งเสียงหัวเราะในลำคอ
“ตัวผมนั้นไร้นามโดยสิ้นเชิง คุณวู๊ด โดยทั่วไปแล้วใครต่อใครก็เรียกผมว่าผีไร้นาม ผมมาที่นี่เพราะวิญญาณร้ายกำลังเกาะกินทีโอดอร์ เด็กคนนี้กำลังอ่อนแอ และในที่สุด เขาก็จะตาย โดยไม่ทันได้ร่ำลาคุณเสียด้วยซ้ำ”
ไคเลอร์งุนงง แต่ผีไร้นามก็ไม่ได้แก้ให้ความสงสัยของเขากระจ่าง ผีตัวสูงเดินหันหลังจากไปช้าๆ โดนไม่มองย้อนกลับมา ทิ้งเพียงข้อความสุดท้ายเอาไว้ก่อนหายลับตา
“ผมจะมาพบคุณอีกเร็วๆ นี้ ใช้เวลาช่วงสุดท้ายให้คุ้มค่าเถอะ”
ทีโอดอร์และเด็กหนุ่มเบนจามินยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน ในมือของทั้งสองมีขนมสายไหมติดมือมาคนละแท่ง สายตาทอดมองไคเลอร์ที่เดินฝ่าฝูงชนมาทางพวกเขาด้วยความสงสัย
“คุณหายไปไหนมา” เบนจามินร้อง ขณะที่ทีโอดอร์จ้องกระดาษแผ่นบางๆ ที่เขาถือในมือเขม็ง
“นั่นอะไรน่ะ”
“ตั๋วโรงละครเหมันต์” ชายหนุ่มยิ้มเจื่อนๆ และยื่นใบปลิวที่เขาเก็บได้ใส่มือเบนจามิน เด็กหนุ่มรับมันไปอ่าน ผีผ้าคลุมยึดตั๋วมาสำรวจคร่าวๆ
“ตื่นตระการตา กับโชว์สุดพิเศษ โรเมโอ และจูเลียต
รักต้องห้ามของศัตรูคู่อาฆาต โศกนาฎกรรมที่พวกเขาต้องฝ่าฟัน
ขายตั๋วแล้ววันนี้! ที่โรงละครเหมันต์”
“ว้าว” นัยน์ตาของทีโอดอร์เป็นประกาย ดวงตาที่เคยไร้แววกลับมามีชีวิต ราวกับเก็บดวงดาวเอาไว้ในดวงตาคู่นั้น เด็กหนุ่มวิ่งเข้าไปกอดตัวไคเลอร์เอาไว้ มีรอยเปียกชื้นบนเสื้ออยู่บริเวณหัวไหล่ตอนที่ทีโอดอร์ซุกหน้าลงไป บนผ้าคลุมขาวด้วยเช่นกัน
“คุณจำมันได้ ขอบคุณ!”
“ตามที่ฉันสัญญาไว้เลย เด็กดี” ชายหนุ่มลูบหัวเด็กน้อยในอ้อมแขน พวกเขาพักทานอาหาร (ซึ่งทีโอดอร์จัดการมันได้เร็วเกินเหตุ) เดินเล่นสวนกับผู้คนบนถนนพักใหญ่ ก่อนจะเดินเข้าโรงละครตรงตามเวลาหลังอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว
ทางเข้าสว่างไสว มีม่านหลายชั้นทีเดียวกว่าจะไปถึงพื้นที่จัดแสดง เวทีอยู่ต่ำลงไปเบื้องล่าง ม่านสีแดงนิ่งงันไม่ขยับ เสียงผู้คนพูดคุยกันอย่างตื่นเต้นบนอัฒจันทร์ แน่นอนว่าชาวเมืองนั้นรักโรงละครเสมอ
ตั๋วของพวกเขาอยู่แถวกลาง ผีผ้าคลุมแทบจะตัวลอย ส่วนเบนจามินนั้นมีท่าทีประหม่า
“ผมเคยแต่แอบอยู่หลังม่านเวลาแอบเข้าโรงละครไปกับเพื่อน” เสียงเขาสั่นเครือด้วยความตื่นเต้น “การได้มาดูตรงนี้มันน่าทึ่งกว่าที่คิดไว้เสียอีก”
“ดื่มด่ำไปกับมันเถอะ” ไคเลอร์ยิ้ม ก่อนจะแตะตัวทีโอดอร์ที่นั่งขยุกขยิกให้อยู่นิ่งให้ได้มากที่สุด
ผ้าม่านแดงถูกคลี่ออก การแสดงเริ่มขึ้นตั้งแต่นั้น
ดนตรีโหมโรงอย่างอลังการ ส่งให้ขนลุกซู่ไปทุกขณะ เด็กหนุ่มทั้งสองนั่งตัวแข็งทื่อ ตื่นตะลึงกับการแสดงแม้มันจะเป็นเพียงละครน่าเบื่อหน่ายสำหรับไคเลอร์ก็ตาม เขาดูเรื่องนี้มาหลายต่อหลายครั้งจนแทบจะเอียน หากจะมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงคงเป็นแค่ใบหน้านักแสดงเท่านั้น
“เธอชอบเหรอ” ชายหนุ่มหันไปถามผีผ้าคลุม เด็กน้อยส่งเสียงชู่วกลับมาเป็นคำตอบ ดวงตาไม่ละจากนักแสดงชายที่รับบทเป็นจูเลียตแห่งตระกูลคาปูเล็ต
“คุณกำลังทำให้ผมไม่สบอารมณ์”
“ขอโทษนะครับนายน้อย” บุคคลผู้เบื่อหน่ายนั่งเท้าคางไปตลอดทั้งเรื่องโดยไม่ปริปาก จ้องมองการแสดงสลับกับใบหน้าหลากอารมณ์ของผู้ชมข้างๆ
ผมจะมาพบคุณอีกเร็วๆ นี้ ใช้เวลาช่วงสุดท้ายให้คุ้มค่าเถอะ
คำพูดของผีไร้นามยังวนเวียนอยู่ในหัวแม้จะสลัดมันออกไปหลายต่อหลายครั้ง แทนที่จะได้ใช้เวลาเหล่านี้อย่างสบายใจ ทุกวินาทีกลับมีแค่ความกังวลและเหม่อลอย
“คุณดูไม่สนุกเท่าไรเลย” ผีผ้าคลุมเอ่ยทัก พวกเขาตัดสินใจพักอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่ง หญิงร่างท้วมขี้โมโหเห็นผีผ้าคลุมและไคเลอร์ เธอบังคับให้เปิดสองห้องสำหรับพวกเขาเพราะไม่มีเตียงเสริมไว้สำรองให้ ช่างซ่อมกล่องดนตรีเหนื่อยล้าเกินกว่าจะโต้เถียงและจัดให้เบนจามินได้นอนตามลำพัง อย่างไรเสียเด็กหนุ่มก็ยังกลัวผีผ้าคลุมและแม้แต่เขาเองด้วยซ้ำ
“แค่เหนื่อยล้ากับการเดินทางก็เท่านั้น” ชายหนุ่มบอกปัด “ฉันเคยดูมันเป็นพันครั้ง”
“มีอะไรก็เรียกแล้วกัน” ชายหนุ่มกล่าวกับเบนจามิน สัมภาระไม่กี่อย่างถูกวางเอาไว้ปลายเตียง มนุษย์เพียงคนเดียวไม่พูดไม่จา นั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ข้างหน้าต่างจนน่าเป็นห่วง
“นายพูดกับฉันได้ทุกเรื่อง รู้ใช่ไหม”
“ครับ”
ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ไคเลอร์ยอมแพ้ และปิดประตูตามหลังเพื่อกลับไปยังห้องของตัวเอง ที่ที่ผีผ้าคลุมรอเขาอยู่
ในห้องแคบๆ มืดสนิท มีเพียงแสงจากไฟถนนที่ส่องเข้ามาพอดิบพอดี ร่างของทีโอดอร์อยู่บนเตียง ผ้าคลุมที่เคยยาวคลุมเท้าบัดนี้ยาวถึงแค่เข่า ไคเลอร์เบนสายตาจากเรียวขาเปลือย เสียงลูกกุญแจกระทบผนังเรียกให้เด็กหนุ่มหันไปมองเขา
“เธออยากได้อะไรหรือเปล่า ฉันจะลงไปด้านล่าง” ชายหนุ่มชิงพูดขึ้นก่อนที่ผีผ้าคลุมจะถามอะไรเขาก่อน ไคเลอร์อยากให้เสียงตัวเองเตือนตัวเองออกจากเรื่องไม่ดีทั้งหลายแหล่
“นม” ขณะนี้ผีผ้าคลุมลุกขึ้นนั่ง ก่อนที่ชายหนุ่มจะออกจากห้องไปทั้งตัว เขาก็ถูกเรียกเอาไว้เสียก่อน “รีบกลับมานะ”
ไคเลอร์ไม่ได้รีบร้อนอย่างที่ผีเด็กหนุ่มขอ เขาทำทุกอย่างอย่างเชื่องช้า เดินอย่างระมัดระวังไม่ให้โซเซ ทบทวนตนเองว่ากำลังตั้งใจจะทำสิ่งใดเป็นลำดับถัดไป
ก็แค่กลับห้อง เอานมวางไว้หัวเตียงแล้วหลับไปเลย ไคเลอร์ย้ำกับตัวเองเบาๆ ไม่เห็นจะมีอะไรยากเลย
แต่เขาจะนอนหลับสบายทั้งที่มีคนแปลกหน้ามาบอกว่าผีผ้าคลุมกำลังอ่อนแอได้ยังไง
ครู่หนึ่งที่เดินผ่านหน้าต่างริมบันไดวน ชายผ้าขาวสะบัดพลิ้วดึงเขาออกจากความสงสัยนอกหน้าต่าง ผีผ้าคลุมรอเขาอยู่ตรงหัวมุม ชายหนุ่มลูบใบหน้า ไม่คิดว่าทีโอดอร์จะเดินลงมาตาม
“ขอโทษที่ช้าเกินไปสำหรับเธอ” เขาก้าวขายาวๆ ครู่เดียวก็จะถึงตัวผีอยู่แล้ว แต่ร่างนั้นไวกว่า เมื่อไคเลอร์ไปโผล่จุดที่ร่างนั้นเคยยืน ผีผ้าคลุมก็ขยับหาที่ใหม่ ซึ่งก็คือใต้บันไดมืดในส่วนที่แสงไฟส่องไปไม่ถึง
ไคเลอร์คิดแค่ว่าทีโอดอร์แค่อยากจะเล่นไล่จับ จึงไม่ทันได้ระวังตัวเมื่อถูกดึงเข้าไปในความมืดนั้นอย่างจนตรอก ช่างซ่อมกล่องดนตรีตื่นตระหนกปล่อยหมัดสะเปะสะปะ เกิดการต่อสู้ขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่เขาจะพ่ายแพ้และล้มลงนอนคว่ำหน้าบนพื้น ชายผ้าขาวคลอเคลียใบหน้า
ชายหนุ่มตั้งท่าจะคว้าผ้าคลุมผืนนั้นออก แต่ก็ถูกรั้งข้อมือบิดไปด้านข้างโดยแรง
“ห้ามถอดผ้าคลุม”
“ทำไม”
“เราไม่ต้องการเปิดเผยตัว โปรดเคารพในความต้องการของเราด้วย”
‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’
เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะทั้งสอง ไคเลอร์ร้องครวญคราง
“เข้ามา”
ผีผ้าคลุมสองตนเปิดประตูเข้ามาข้างใน ไคเลอร์มีท่าทีสับสน หากลัทธิผีพวกนี้เป็นกลุ่มเดียวกันกับทีโอดอร์ และมีกฎห้าร้อยประการต้องรักษา ทำไมหนึ่งในนั้นถึงทำผิดกฎที่ทีโอดอร์ฝึกท่องทบทวนอยู่บ่อยครั้ง
“เรามาตามหาทีโอดอร์ของเรา” เสียงของผีไร้นามเปี่ยมไปด้วยชัยชนะ ช่างน่าแปลกที่น้ำเสียงของเขาแสดงอารมณ์ได้ดีกว่าสีหน้าเสียอีก “เขาอยู่บ้านหลังเดียวกับคุณ ตามคุณไปยังคฤหาสน์สหายของคุณ และพามาที่นี่ ไม่ว่าคุณจะหวังดีกับทีโอดอร์มากแค่ไหน ผมจะขอให้คุณหยุดมันเดี๋ยวนี้ ทีโอดอร์ต้องกลับไปกลับเรา”
“เด็กคนนี้ยังไม่ตายนะ ผมต้องพาเขากลับไปหาแม่”
“มันสายเกินไปแล้ว”
“คุณหมายความว่าคุณจะปล่อยให้เด็กคนนึงต้องตายไปเสียเฉยๆ อย่างนั้นหรือ”
“ไม่มีทางเลือก หากสวรรค์กำหนดมา ชาตินี้เขาไม่ที่ทางที่จะได้กลับเข้าร่างอีกเป็นครั้งที่สอง เสียใจด้วย”
คำสบถหยาบคายหลุดจากปากไคเลอร์โดยไม่ยั้งคิด “พวกคุณไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้นะ”
“เรามีสิทธิ์เต็มกำลังอยู่แล้ว แม้เรื่องนี้มันจะผิดและจะฝังใจเราไปถึงวันเกิดใหม่”
“ทำไม” ไคเลอร์ตะโกน ช่วงสองสามวันมานี้เขารู้สึกเหมือนกับเป็นคนโง่ที่ไม่เคยรู้อะไรเลย “ถ้าอย่างนั้นทำไม”
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก เป็นผีห้ามเคาะประตู” กล่าวจบ ผีไร้นามก็เดินไปเคาะประตูโดยทันที “กฎข้อนี้สำคัญมาก หากผีตนนั้นรวมเป็นหนึ่งเดียวกับปีศาจ”
ชายหนุ่มนิ่งอึ้ง ไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “อะไรนะ”
“ทีโอดอร์คือบุคคลที่เรากำลังปกป้อง เหล่าผีสร้างกฎนี้ขึ้นมาเพื่อป้องกันเรื่องร้ายที่ปีศาจจะใช้เขาก่อเหตุแก่มนุษย์ เคาะประตูครั้งที่หนึ่ง คนในบ้านนั้นจิตใจจะหมองเศร้า ครั้งที่สองจะเกิดโรคระบาด และครั้งสุดท้ายจะมีคนตาย”
ไคเลอร์พูดอะไรไม่ออก
“คนของเราเป็นคนพาวิญญาณของเขาออกจากร่างเองกับมือ พร้อมกับลบความทรงจำที่เขามี เพื่อที่จะไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใคร เราชักนำให้เขาอยู่ในคำสอน เอาผ้ามาคลุมร่างเขาและเราเสีย เท่านี้เขาก็แทบจะจำตัวเองไม่ได้ แถมยังไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร ช่างล้ำเลิศเหลือเกิน” ผีไร้นามส่งสายตาชื่นชมไปให้คนทางขวาซึ่งดูแล้วท่าจะเป็นผู้หญิง
“คุณบอกว่าเขาเป็นเครื่องมือของปีศาจงั้นหรือ?”
“ร่างจุติของดันทาเลียน” ผีไร้นามบอก “ปีศาจผู้สามารถเปลี่ยนความนึกคิดของใครต่อใครได้ตามอำเภอใจ เราไม่สามารถเพิกเฉยกับเรื่องนี้ได้ ไคเลอร์ เขาจะก่อสงคราม ปลุกความดำมืดในจิตใจของผู้คน ชักนำให้พวกเขาเข่นฆ่ากันเอง ในขณะที่ปีศาจเพลิดเพลินราวกับกำลังดูละครเรื่องนึง”
ถ้าอย่างนั้น ในตอนที่ทีโอดอร์เปลี่ยนใจคอนเนอร์ในตอนนั้น เป็นเพราะปีศาจนามว่าดันทาเลียนอย่างนั้นเองหรือ?
“แต่มันต้องมีหนทางอื่นสิ ทางที่ฉันจะพาทีโอดอร์กลับไปใช้ชีวิตได้เหมือนเด็กปกติ” ไคเลอร์พูดอย่างดื้อดึง “คุณกักขังเขาเอาไว้แบบนี้ไม่ได้ตลอดหรอก ยิ่งถ้าคุณพาเขากลับไปโดยไม่ได้เจอกับผมอีก คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมเห็นกับตาว่าเขาสามารถทำอะไรได้บ้าง”
ผีทั้งสามมองหน้ากันไปมา คำพูดนั้นได้ผลดีราวกับคำขู่ เหล่าผีเองก็รู้ดีเช่นกัน
“เห็นได้ชัดว่าคุณเลี้ยงเขาด้วยการเอาอกเอาใจมากเกินไป” ผีไร้นามถอนหายใจ “มีอยู่หนทางหนึ่ง ทางที่อาจต้องแลกด้วยชีวิต ในป่ามืดมีเสียงเล่าขานกันมาว่าหากใครมีเส้นผมของพญามาร จะมีอำนาจเหนือมัน และถ้ามนุษย์ได้ดอกกุหลาบของพญามารสามดอก เขาผู้นั้นจะมีอำนาจเหนือปีศาจทั้งปวง”
“แล้วฉันจะไปตามหาเขาได้ยังไง”
ผีหญิงหัวเราะ “เขาก็อยู่ในนรกน่ะซี!”
“ถูกของเธอ เขาอยู่ในนรก” ผีไร้นามส่งเสียงหึๆ “ไม่ใช่ที่ที่จะเข้าและออกมาได้โดยง่ายเลยไคเลอร์ แต่หากคุณต้องการ เราจะบอก ใช้เวลาทั้งหมดสามคืน แต่ละคืน คุณต้องนำดอกกุหลาบของพญามารกลับมาได้วันละดอกเท่านั้น”
“วันละดอก? แสดงว่าผมต้องกลับไปมาระหว่างนรกและโลกสามวันเลยอย่างนั้นหรือ”
“ถ้านำมามากกว่านั้น ระหว่างทางดวงวิญญาณของคุณจะมอดไหม้เป็นธุลี” ผีไร้นามกระแอม “ทางออกจากนรกเป็นเหมือนด่านทดสอบใจ หากว่าคุณไม่สามารถผ่านมันไปได้ คุณจะไม่มีทางได้กลับออกมา หรือแม้แต่คิดจะช่วยเด็กคนนั้น
“คำถามก็คือ คุณอยากจะเอาวิญญาณตัวเองไปเสี่ยงเพื่อเด็กคนนึงอย่างนั้นหรือ”
ไคเลอร์นิ่งอึ้งท่ามกลางผีทั้งสามตน พูดไม่ออกราวกับมีแอปเปิลติดอยู่ที่คอ ผีไร้นามก้าวขาเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทำให้เขากดดันมากขึ้นเป็นพันเท่า
“คุณจะรับผิดชอบชีวิตของตัวเองและเด็กคนนั้นได้หรือเปล่า”
“ทำได้ไหม” ผีผ้าคลุมหญิงถาม
“ทำได้ไหม” ผีผ้าคลุมอีกตนถามย้ำอีกครั้ง
เตียงแข็งๆ กับหมอนขึ้นราไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้เบนจามินนอนไม่หลับ ความคิดต่างหากที่ทำ
ชีวิตใหม่ที่ไคเลอร์และผีประหลาดพูดถึงมันแทบไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้และไม่ได้ในเวลาเดียวกัน เด็กหนุ่มสับสน เขาไม่มีเวลาได้พูดคุยเรื่องนี้กับคนที่ไว้ใจได้ตามลำพังด้วยซ้ำ
นาฬิกาตีเวลาบอกถึงเที่ยงคืน เด็กหนุ่มลุกขึ้น ก่อนจะเดินออกจากห้อง ในห้องมีเพียงเทียนกับไม้ขีดเอาไว้บริการ เบนจามินใช้แสงไฟนั่นนำทางตนเองฝ่าความมืด โถงทางเดินมืดจนมองแทบไม่เห็นทาง ผีตนหนึ่งเดินสวนกับเขา จ้องใบหน้าเขม็งยามที่เดินผ่านเลยไป
มีผีอีกหลายตนอยู่บนถนนราวกับคนไร้บ้าน บ้างก็ครางโหยหวนไม่ต่างจากคนเสียสติ เด็กหนุ่มกลืนน้ำลาย และอยากจะหันหลังกลับเสียตั้งแต่ตอนนี้ แทบแยกไม่ออกว่าใครเป็นผีหรือคน
วิลลิสกระซิบบางอย่างกับเขาก่อนจากมา ตอนนี้ชายหนุ่มเป็นคนเดียวที่เขารู้สึกสบายใจที่จะอยู่ด้วย นั่นเป็นสาเหตุที่เบนจามินพาตัวเองมาหยุดยืนหน้าน้ำพุ เงาดำเป็นรูปอสูรกายกรีกที่เขาเคยอ่านเจอแต่จำไม่ได้แล้วว่าเป็นใคร
หญิงรูปงามสามตนผู้มีเส้นผมเป็นงู เขี้ยวแหลมแยกออกราวกับขู่ขวัญคนที่ได้พบเห็น ปกติแล้วน้ำพุมักจะมีรูปปั้นสวยๆ งามๆ มาให้ชมมากกว่าอสูรกายไม่ใช่หรืออย่างไร เบนจามินนึกสงสัย ลมพัดมาจากทิศเหนือแรงขึ้น เขายกมือพยายามป้องไฟไม่ให้ดับ
เสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นทำให้เด็กหนุ่มหันไปตามเสียง เขากลั้นใจมองเงาดำที่เดินย่างมาใกล้ กระทั่งเห็นตาไร้แววกับกลุ่มผมสีส้มที่คุ้นเคย คุณวิลลิส
เบนจามินเกือบจะหลุดยิ้มอยู่แล้ว ถ้าไม่ติดว่าความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นมากะทันหันทำให้เขาเดินถอยห่าง ใบหน้าหล่อเหลานิ่งสงบจนดูน่าขนลุก
“เป็นอะไรไปล่ะเบนจามิน”
“เปล่าครับ” คนที่ถูกเรียกชื่อเกือบจะฝืนยิ้ม แต่ก็เลือกที่จะไม่ทำ “ทำไมคุณถึงให้ผมมาที่นี่ล่ะครับ”
วิลลิสเงยหน้าขึ้นสบจากับรูปปั้น ฟังเสียงน้ำไหลลูบไล้เรือนกายหิน ชายหนุ่มสูญอากาศยามค่ำคืนเข้าเต็มปอด
“ฉันอยากจะเล่าเรื่องหนึ่งให้เธอฟัง” วิลลิสเกริ่น “ฉันเคยมีภรรยา เธองดงามไม่ต่างจากรูปปั้นพวกนี้ เบนจามิน เธอยังหนุ่มอาจจะยังไม่เข้าใจ การรักใครสักคนและโกรธแค้นไปในเวลาเดียวกัน
“เราสร้างทุกอย่างมาด้วยกัน แต่ฉันไม่เคยเข้าใจว่าทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงได้เอาทุกอย่างไป ฉันไว้ใจเธอที่สุด จนมันกลับมาทำร้ายตัวฉันเอง”
รูปถ่ายใบหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้า เป็นรูปขาวดำของชายหญิงคู่หนึ่ง หญิงสาวผมสีอ่อนหน้าตาสละสลวย ใบหน้าของชายอีกคนนั้นถูกนิ้วของวิลลิสบดบัง
"ศพของฉันนองจมกองเลือดอยู่ในสวน หลังจากที่ฉันวิ่งตามเธอกับชายชู้ออกจากปราสาท พวกเขาจะหนีไปด้วยกัน และเธอจะเริ่มชีวิตใหม่กับเขา ไม่มีน้ำตาบนใบหน้าเเธอสักหยดเหมือนเธอกลายเป็นอีกคนที่ฉันไม่เคยรู้จัก กระสุนนัดสุดท้ายเจาะเข้ากลางหัวใจด้วยน้ำมือผู้หญิงคนที่ฉันรัก"
เด็กหนุ่มเดินถอยหลัง เขารู้สึกทั้งกลัวทั้งนึกสงสารชายตรงหน้าขึ้นมาแต่ก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้ วิลลิสเดินเข้ามาหาตามจังหวะที่เขาถอยหลัง
“นังงูพิษ ฉันฝังร่างเธอทั้งเป็นลงในหลุม แต่นั่นยังไม่สาแก่ใจฉัน เหลืออีกหนึ่งชายชั่วที่ฉันอยากจะล้างเลือดชั่วจากตระกูลของมันให้สิ้นแผ่นดิน อยากให้มันทรมานเหมือนตอนที่มันทำกับฉันก่อนตาย ให้มันรู้สึกสูญเสียทุกอย่างที่มันมี ทุกอย่างที่ฉันสามารถทำได้ด้วยน้ำมือฉันเอง” นิ้วมือถูกเลื่อนออกจากรูปถ่ายเล็กน้อย ดวงตาของเบนจามินเบิกกว้างเมื่อพบใบหน้าที่คุ้นเคยบนนั้น
คอนเนอร์ พี่ชายเขานั่นเอง
“นักสืบของฉันทำงานล่าช้าเกินควร และเพิ่งรู้ข่าวดีในตอนเช้า ยังไม่มีจังหวะที่จะได้ลงมือเสียที”
เบนจามินหันหลังเตรียมจะวิ่งแต่กลับถูกมือใหญ่กระชากผมสีอ่อนจนหงายหลัง ชายหนุ่มยังจับเอาไว้มั่นไม่ยอมปล่อย รอยยิ้มเย็นชาคือสิ่งที่เขาได้
“ฉันเกือบจะเสียของชิ้นสำคัญที่ต้องทำลายด้วยมือของตัวเองไปเสียแล้ว”
ความตายกำลังวิ่งมาหาเขา
ใบหน้าถูกกดลงกับน้ำเย็นเฉียบ เด็กหนุ่มดิ้น พยายามให้ตัวเองหลุดจากพันธนาการ เขาเกลียดร่างกายตัวเองที่อ่อนแอนี้เหลือเกิน ความทรงจำแล่นเข้ามาและผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหมือนกับตอนที่นั่งรถไฟในวันนี้
ทุกอย่างแค่ผ่านไปเร็วมาก
ทอล์ค :
วาดคุณผีไว้เมื่อเช้า เลยแวะมาอวด ฮี่ๆ
ความคิดเห็น