ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    KNOCK KNOCK! เป็นผีห้ามเคาะประตู

    ลำดับตอนที่ #3 : 03 : Trick or Treat!

    • อัปเดตล่าสุด 10 ก.พ. 64



     


     

    ไคเลอร์อยู่ที่นี่มาเกือบอาทิตย์แล้ว

    หลังจากเจอผีที่ชื่อทีโอดอร์ เขาก็ถูกวิญญาณตนนี้ตามหลอกหลอนไม่เว้นแต่ละวัน

     

    'แฮ่!'

    เพื่อปล้นอาหารเช้า

     

    เสียงดังขึ้นข้างหน้าต่างปลุกเขาหลับๆ ตื่นๆ อยู่เป็นประจำ ทั้งเสียงเล็บเกาบานหน้าต่าง เสียงเคาะไม้ และเสียงโหยหวนตลกๆ เมื่อชะโงกหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างก็เจอกับผีผ้าคลุมเตียงยืนโบกไม้โบกมืออยู่ด้านนอก นานวันเข้าก็ไม่ได้ทำให้เขาชินชากับมันเลยสักที

    ช่างน่ารำคาญจริงๆ

     

    หลังจากย้ายเข้ามาในเมืองนี้ เขาก็ได้งานที่ร้านขายกล่องดนตรีในชั้นใต้ดินของตึกเก่าๆ มีหน้าที่ซ่อมแซม ตรวจตรา ดูแลกล่องดนตรีทั้งมือหนึ่งและมือสองหลากหลายแบบ แม้จะทำเงินได้ไม่มาก แต่ก็เพียงพอกับการใช้ชีวิตอยู่ต่อไปวันๆ หลังจากหมดเงินก้อนโตไปกับบ้านห่างไกลผู้คนหลังนั้น ลำพังเขารู้ขีดจำกัดของตัวเองและควบคุมมันได้ แค่ไปทำงานเช้า กลับเย็น ตั้งหม้อสตูและโยนทุกอย่างที่ได้มาจากตลาดลงหม้อ ไคเลอร์ไม่พาตัวเองไปแวะเวียนฟาร์มเพื่อนบ้านที่ให้เค้กวนิลลาเมื่อครั้งก่อนอีกเลย เพียงแค่ส่งยิ้มให้ยามพบกันเท่านั้นก็มากพอ

     

    แต่สิ่งที่ผิดแปลกไปจากทุกวันคือบทเพลงที่ร้องคลอไปกับเสียงจากกล่องดนตรี และเขาลงความเห็นว่ามันเข้ากันได้ดีอย่างประหลาด

     

    'ลาซานญ่ากลิ่นหอม ชวนชอบน่าลิ้มลอง'

     

    เป็นบทเพลงที่วนซ้ำแค่ประโยคเดียว ไคเลอร์ขมวดคิ้ว ขยับไปมองลอดนอกหน้าต่าง ผีตัวเล็กนั่นจับกิ่งต้นโอ๊คแล้วขยับมันเบาๆ ไปทางซ้าย มาทางขวา ดูท่าทางสนุกกับการได้ทำแบบนั้น อาจเพราะไม่มีเพื่อนเล่นด้วยมากนักตอนยังมีชีวิตเลยทำให้ยังคงกิริยาแบบเด็กๆ

     

    'ลาซานญ่ากลิ่นหอม ชวนชอบน่าลิ้มลอง'

     

    เสียงหวานลากยาว เล่นระดับตัวโน้ตของตัวเอง ทีโอดอร์ร้องเพลงเก่งใช้ได้ทีเดียว ชายหนุ่มไม่เคยเบื่อเสียงผีตนนี้ เขาชอบที่ผีน้อยมีเสียงหวานกว่านักร้องบางคนที่ร้องเพลงวันคริสต์มาสข้างถนน และมันไม่เคยทำให้ไคเลอร์หวาดหลัวหรือรู้สึกโดดเดี่ยว

    ไม่รู้เพราะหลอนหูหรือการฟังเพลงเกี่ยวกับอาหารทำให้เขาน้ำลายสอ

    วันต่อมาเมื่อรู้ตัวอีกที เขาก็กำลังทำลาซานญ่า

     

    "กลิ่นหอมกรุ่นรูปเย้ายวนตา" ทีโอดอร์ทักทายข้างหน้าต่างห้องครัว หลังจากที่ได้รู้จักและคุ้นเคยจากการหลอกหลอนกันมาสักพัก คำพูดพวกนี้ประหลาดทีเดียว แต่พอทีโอดอร์ได้พูดออกมา มันก็ฟังดูเป็นธรรมชาติอย่างกับทุกคนก็พูดแบบนี้กันจนไม่รู้สึกแปลก ผีน้อยแนบใบหน้าเข้าหากระจก ดวงตากลมสบกับเจ้าของบ้านเป็นเชิงอ้อนวอนเมื่อเห็นจานลาซานญ่าวางอยู่กลางโต๊ะเล็กๆ ในครัว ทีโอดอร์ส่งเสียง 'ฮูว' อย่างที่ชอบทำ ไคเลอร์ตีความว่าผีตนนี้กำลังอารมณ์ดี และเขาคิดถูกทีเดียว

     

    "หลอกหรือเลี้ยง"

    ชายหนุ่มปล่อยให้เสียงนั้นทะลุผ่านหูไป

     

    ในตอนนี้เจ้าผีคงขมวดคิ้วไปแล้วเป็นแน่ ไคเลอร์คิดแล้วก็กินต่อไม่ใส่ใจ ควันจากความร้อนยังลอยตัวเหนือลาซานญ่าชิ้นโต แต่ผีน้อยกลับถูกละเลยไม่ต่างจากลูกหมากำลังรออาหาร

    ความคิดนั้นทำให้ทีโอดอร์ทนไม่ไหว และก่อนจะทันรู้ตัว เขาก็กำลังเล่า

     

    "ปีค.ศ.1896 ในกระท่อมกลางป่าเป็นบ้านของหญิงชราใจวิปริต"ทีโอดอร์พูดเสียงเย็น ชี้ไปที่ลำธารเล็กๆ ที่อยู่ห่างจากทุ่งหญ้าของเขาไป "เดินไปตามต้นน้ำสอดสายตามองหาหินก้อนใหญ่หน้าตาประหลาด"

     

    ผีน้อยชะงักไปโดยไร้สาเหตุ อ้าปากงับมือตัวเองเข้าไปเต็มๆ ไคเลอร์เห็นท่าทางนั่นแต่กลับกระตุ้นให้เล่าต่อ

    อย่างที่เคยบอก เสียงทีโอดอร์ทำให้ไคเลอร์หายเหงา

     

    "ฉันกำลังฟังอยู่"

     

    ทีโอดอร์ชั่งใจสักพักก่อนจะเปิดปาก "มีเสียงร่ำลือกันมาว่าเธอเป็นแม่มด บูชาซาตาน หากใครได้ยุ่งเกี่ยวจะมีอันเป็นไป แม้แต่ได้ฟังเรื่องเล่าของเธอก็ตาม"

     

    "แล้วเธอวิปริตยังไงเล่า" ไคเลอร์ถามด้วยท่าทีไม่ใส่ใจคำขู่ “แค่เรื่องเล่าจะเชื่อได้ยังไง”

     

    ทีโอดอร์กระทืบเท้ากับพื้น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คนเล่าเรื่องที่เก่งนัก

     

    "เธอไม่มีสามีหรือลูก นั่นยิ่งทำให้เธอเปลี่ยวเหงา ยอมแลกเลือดขายวิญญาณเพื่อให้ได้มีลูกกับเขาสักคน และเหมือนฟ้าประทาน เธอได้พบกับเด็กชายคนหนึ่ง นั่งหลบฝนอยู่ข้างหินใหญ่ หลงทาง ใบหน้ามอมแมมสกปรก เธอรับเด็กคนนั้นมาอุปการะ

     

    เด็กน้อยอาศัยอยู่ในบ้าน หญิงชราเอ็นดูเด็กน้อยราวกับเป็นลูกแท้ๆ แต่เด็กชายกลับหวาดกลัวเธอ ไม่เพราะคำเล่าลือก็คงเป็นใบหน้าอัปลักษณ์ ต้องสะดุ้งตื่นกับเสียงย่ำเท้าในยามดึก เสียงตึงตังชวนหวาดหวั่น  เขาใช้เวลาส่วนใหญ่นั้นหลบอยู่ในห้อง ไม่สามารถจะหลับสนิทได้ เห็นชัดว่ายายแก่คนนี้วิปริต ทำให้เด็กหวาดกลัวจับไข้อย่างนี้"

     

    แม้จะไม่รู้สึกอย่างที่โดนยัดเยียดมา แต่ไคเลอร์ก็ยอมฟังต่อ

     

    "จนกระทั่งวันหนึ่ง..

     ผีผ้าคลุมพึมพำบางอย่างเบาๆ ไคเลอร์เลยเอียงหูเข้าไปใกล้อีก

     

    ‘แกมันปีศาจชั่ว!!’"

    ทีโอดอร์กระแทกตัวเข้าใส่บานหน้าต่าง ชายหนุ่มสะดุ้งเพราะไม่นึกฝันมาก่อน

     

    "หญิงชรากรีดร้องใส่เด็กชายตัวน้อยหลังจากเขายื่นดอกชิคโครี่หนึ่งกำมือให้ เธอปัดทิ้งอย่างไม่ใยดี ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ล้มคุกเข่าอ้อนวอนต่อบางสิ่ง แทบไม่ใช่ภาษามนุษย์”เด็กชายพูดไวขึ้นแต่ยังชัดเจนทุกคำ “ดวงตาแดงก่ำ น้ำตาที่ไหลเป็นเลือดสีเข้มชวนผวา ใบหน้าบิดเบี้ยวราวกับกำลังทุกข์ทรมาน เด็กชายถูกความหวาดกลัวเกาะกุมจิตใจ สิ้นสติล้มลงไปกับพื้น

     

    “และแล้ว ในคืนนั้น วันพระจันทร์ดับ เขาฟื้นขึ้น รอบตัวมืดมิดไร้ซึ่งแสงไฟ แต่กระนั้น เงาดำที่อยู่เบื้องหน้าเขายังเด่นชัด ดวงตาแดงก่ำจับจ้องที่เขาอย่างอาฆาต เสียงครวญครางแผ่วเบาทำเอาเด็กชายผวาก่อนจะทันรู้ตัวก็ถูกอุ้มมือเหี่ยวเฉาปิดปาก ถูกลากตัวออกไปนอกบ้าน สองขาเตะสลับหวังจะทำร้ายร่างกายหญิงชราวิปริตนั้นได้บ้าง แต่กลับไม่เป็นผล ไร้เสียงกรีดร้องตอนที่ใบหน้าถูกกดตรึงไว้ใต้กระแสน้ำที่ไหลผ่านมาเอื่อยๆ

     

    “หลังจากร่างของเด็กชายแน่นิ่ง เธอปล่อยให้ศพนั่นลอยคว่ำหน้าไหลไปตามกระแสน้ำ หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ไม่มีใครพบเธออีกหลังจากนั้น”เสียงของทีโอดอร์สั่นครืน ไคเลอร์มองสบตากับผีน้อยที่ดูคล้ายกำลังหอบด้วยความเหน็ดเหนื่อย

     

    หากนี่เป็นเรื่องการตายของทีโอดอร์ ก็เป็นเรื่องที่น่าสงสารทีเดียว ถึงตอนนั้นที่ไคเลอร์คิดว่าตัวเองนั้นผิดถนัด ทีโอดอร์ยิ้ม

     

    "นึกภาพชาวบ้านที่พบศพเด็กลอยมาตามน้ำซี"

     

    ผีน้อยเชิดหน้าหัวเราะราวกับผู้ชนะ แต่ไคเลอร์ยังคงมีน้ำเสียงสงบนิ่ง

     

    “แค่นี้เหรอ”

     

    ผีน้อยยืนเงียบกริบ พูดไม่ออกไปชั่วขณะตอนที่ได้มองใบหน้าของไคเลอร์ที่ไม่แสดงความยินดียินร้ายแต่อย่างใด

     

    "ถ้าคุณไม่เชื่อมัน มันจะมาทำให้คุณเชื่อ"

     ไคเลอร์ถอนหายใจ

     

    "เรื่องเล่าของเธอน่าเชื่อถือสักที่ไหน"

     

    "ผมเป็นผีเล่าเรื่องผีให้คุณฟัง มีตรงไหนไม่น่าเชื่อถืองั้นเหรอ"

     

    "เอาเถอะ"ไคเลอร์ยอมแพ้ รู้ดีว่าหากจะให้พูดต่อก็ไม่มีทางชนะ เขาไม่อยากพูดถึงเรื่องบ้าๆ นั่นอีก "ถ้าเธอสัญญาว่าจะไม่ก่อความวุ่นวาย ฉันก็อนุญาตให้มาร่วมโต๊ะอาหารด้วยกันได้.."

     

    "สัญญาว่าผมจะเป็นเด็กดีครับ"

     

    ผีน้อยชิงพูดแทรกอย่างไร้มารยาท แต่ชายหนุ่มก็ไม่ถือสา

     

    "เข้ามาสิ"

     

    ทั้งคนทั้งผีหันหน้าเข้าหาลาซานญ่าตรงหน้า ไคเลอร์ตักแบ่งใส่จานไปให้ผีน้อย ซึ่งขยับเพียงดวงตามองเขาสลับกับอาหารเพียงเท่านั้น

     

    "ไม่อยากกินแล้วรึไง"ชายหนุ่มออกปากถาม เมื่อไม่ได้รับคำตอบ จึงทำท่าจะเอาจานลาซานญ่ากลับ แต่ถูกผีน้อยขู่ว้ากเข้าให้เสียก่อน

     

    "ผมจะกิน"พูดพร้อมทำเสียงฮึดฮัด

     

    ดังนั้น ไคเลอร์จึงจัดการกับส่วนแบ่งของตัวเอง มองดูท่าทีที่ไม่รู้จะทำยังไงดีของทีโอดอร์เมื่อมีผ้าคลุมเตียงมากั้น ผีน้อยเอามือเท้าคางทำท่าคิด ชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามกันวางส้อมกระทบจานเสียงดังเรียกความสนใจ

    เขารู้ว่าทีโอดอร์ดื้อ ไม่ยอมถอดผ้านั่นออกแน่ๆ

     

    "เหมือนจะลืมอะไรบางอย่าง" ไคเลอร์กล่าวพึมพำกับตัวเองก่อนจะเอี้ยวตัวไปที่เคาท์เตอร์เพื่อรื้อหาของ เมื่อหันกลับมาก็พบว่าลาซานญ่าในจานทีโอดอร์หายไป ผีน้อยนั่งนิ่งตรงนั้น ผ้าบริเวณปากเลอะคราบจากด้านในทะลุออกมา ไคเลอร์อมยิ้มกับท่าทางของผีที่กลอกตาไปมา ทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว

     

    เด็กก็ยังเป็นเด็ก

     

    “อีกสักจานไหมเด็กน้อย”

     

     

    ไคเลอร์หาววอด หลังจากจัดการกับงานตัวเองเสร็จเขาก็ตรงดิ่งเข้านอนในทันที แม้จะอยู่มาได้ไม่นานนักแต่เขาก็คุ้นเคยกับเส้นทางที่ไม่ซับซ้อนของบ้านหลังนี้ไปแล้ว ทางเดินไปที่ห้องจึงไม่จำเป็นต้องใช้แสงสว่าง แสงจันทร์ที่ลอดผ่านกระจกใสให้ความร่วมมือในการมองเห็นของเขาเป็นอย่างดี

    เสียงฟังคล้ายกรงเล็บกำลังข่วนผนังนอกบ้านทำให้ไคเลอร์ผงะออกห่าง นัยน์ตาเบิกกว้าง

    บางสิ่งอยู่ข้างนอกกำลังก่อกวนเขา

     

    “หยุดนะทีโอดอร์”

    เขาทุบไปทีฝาผนัง มันเงียบลงทันที ชายหนุ่มสะบัดหน้าเดินออกจากตรงนั้น

    "ทำอะไรเหลวไหล"

     

    ชายหนุ่มหยุดกึกหน้าห้องนอนของตัวเอง มีแสงไฟทะลุขอบประตูออกมา ไคเลอร์กลั้นหายใจขณะกำลังขยับบานประตูให้เลื่อนเปิดอย่างใจเย็น

    เขาในวันนี้ช่างขวัญอ่อนเหลือเกิน

    ผีผ้าคลุมนั่งอยู่บนเตียง จ้องมองมาทางเขาด้วยลูกตาสีดำสนิทที่สะท้อนกับแสงไฟ

    แต่..

     

    “เข้ามาสิ”

     

    ไคเลอร์เดินเข้าไปอย่างว่าง่าย “ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ”

     

    “ผมแค่กลัวว่าคุณจะกลัวผี ก็เลยมาช่วยเฝ้า”

     

    “เธอก็เป็นผีไม่ใช่หรือไง”

     

    “ว้า”

     

    ผีผ้าห่มแบมืออย่างช่วยไม่ได้ ดูท่าแล้วทีโอดอร์ชอบทำท่าทางแบบนี้เสียจริงๆ

     

    “เธอมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”สิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียวปลดกระดุมคลายความอึดอัด แม้อากาศไม่ร้อน แต่เหงื่อกลับก่อตัวขึ้นบนผิว ก่อนจะนั่งลงข้างเตียง จ้องตากับผีเค้นหาเอาคำตอบ

     

    “สักประมาณ..”ทีโอดอร์ตอบคำถามด้วยการหยิบเทียนเล่มใหม่ที่ยังไม่ได้จุดขึ้นมาเทียบกับเทียนที่ติดไฟอยู่ เทียนติดไฟส่องสว่างสูงไม่ถึงครึ่งของเทียนเล่มใหม่เลยด้วยซ้ำ ทีโอดอร์นั่งรออยู่อย่างนี้มานานทีเดียว และเขาแทบจะไม่ได้ทำอย่างอื่นเลยนอกจากรอ

     

    "ถ้าอย่างนั้น.."

     

    เสียงข่วนนอกบ้านนั่นคืออะไร

     

    “ไค”

     

    เสียงของผีน้อยเรียกชายที่กำลังเหม่อไม่ได้สติให้กลับสู่ปัจจุบัน

     

    "ฉันไม่เป็นไร"

     

     ชายหนุ่มสะบัดศีรษะก่อนจะเป่าเทียนบนหัวเตียง สอดตัวเข้าไปนอนหันหลังให้ผีน้อยที่นั่งอยู่ตรงนั้นตลอดทั้งคืน ความหวาดกลัวเล็กๆ ก่อกวนเขาในใจ ผีน้อยนั่งนิ่งจ้องเสี้ยวหน้าไคเลอร์ตาไม่กะพริบ

     

     

     

     

     

    กลางดึกสงัด  เสียงขูดดังขึ้นอีกครั้ง ทีโอดอร์หมุนศีรษะช้าๆ ก่อนจะปีนลงจากเตียง ไคเลอร์หลับไปแล้ว ณ ตอนนี้เป็นเพียงเวลาของผี

     

    ฝีเท้าเบาหวิวย่ำลงบนพื้นราวกับเป็นสัมผัสของผีเสื้อยามจุมพิตดอกไม้ ชายผ้ายาวลากตามหลัง ทีโอดอร์หยุดอยู่ข้างหน้าต่าง มองทะลุผ่านพงหญ้าสูงไปยังท้องฟ้าไกลและเนินเขา เสียงดังชัดในบริเวณนี้ ดวงตาสีดำสนิทเหลือบลงมองริมหน้าต่างด้านนอก 

     

    กระต่ายตัวหนึ่งคือภาพที่เขาเห็น มันพยายามขุดพื้นดินเพื่อจะสร้างโพรงของมันเองติดกับบ้านของไคเลอร์ ทีโอดอร์มองอย่างสนใจใคร่รู้

    ไม่กลัวเรื่องผีแต่กลัวกระต่ายที่ตัวเองมองไม่เห็นงั้นเหรอ?

     

     พอได้ทบทวนอีกครั้ง ทีโอดอร์ก็เริ่มจะส่งเสียงแปลก ๆ กับตัวเอง

    เสียงที่ไคเลอร์บอกเขาว่ามันเป็นเสียงหัวเราะ

     

     

    ทีโอดอร์หัวเราะกับเรื่องของชายหนุ่มเป็นครั้งที่สอง

     


     


     


     


     


     

     


     


     

    ทอล์ค : 

    ติชมได้ตรงๆ ไม่โกรธค่ะ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×