ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    KNOCK KNOCK! เป็นผีห้ามเคาะประตู

    ลำดับตอนที่ #12 : 11 : Liar

    • อัปเดตล่าสุด 10 ก.พ. 64


    อาเจียนถูกพ่นออกมาไม่จบไม่สิ้นหลับหลังจากที่ไคเลอร์พาตัวคนรับใช้ไปถึงมือสามีของเธอได้สำเร็จ สายตาเหลือบไปเห็นลำไส้คลุกเลือดข้นกำลังขยับตามจังหวะการหายใจหอบกระชั้น แต่หญิงชรายังยิ้ม

    “แค่เย็บปิดแผลก็พอแล้วจ้ะ สามีฉันจะจัดการเอง พวกเธอไปพักผ่อนเสียเถอะ”

    จะพูดออกมาได้อย่างไรว่ากลัวให้ดูเป็นการเสียทั้งมารยาทและความรู้สึกต่อกัน ตัวเขาไม่ได้เข้มแข็งไปกว่าใครเลยสักนิด เพราะอย่างนั้นถึงได้เห็นใจความรู้สึกของเบนจามินที่ต้องพบพานกับเรื่องของโลกอีกฝั่งโดยไม่ทันตั้งตัว เขานึกสงสัยว่าคนอื่นๆ ทำใจเรื่องการตายของตัวเองได้อย่างไร

    แต่เมื่อถามเด็กหนุ่มใต้ผ้าคลุมผืนใหญ่ข้างกาย เขากลับจำไม่ได้เสียนี่

    ผีผ้าคลุมเดินมาลูบหลังเขา ระวังไม่ให้ชายผ้าเอี้ยวไปโดนสิ่งปฏิกูล

    “คุณต้องพักผ่อนนะ”

    “ฉันเองก็คิดอย่างนั้น” ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งกับพื้นบันไดหินอ่อน ก่อนจะเอนศีรษะไปพิงพาไหล่แคบของผีที่นั่งอยู่ข้างกัน ทั้งคู่ไม่พูดอะไรกันอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ฝ่ายใดต้องรู้สึกอึดอัด

    เหมือนกับพวกเขาพูดคุยกันในความเงียบ

    “ขอโทษนะเด็กน้อย” ไคเลอร์เกริ่น พร้อมกับถอนหายใจ ทีโอดอร์หันไปสนใจเขา

    “เรื่องอะไรหรือครับ”

    “เรื่องที่เป็นผู้ปกครองที่ไม่ได้เรื่อง” ไคเลอร์ยังคิดเรื่องที่เขาทิ้งเด็กหนุ่มไว้กลางป่าไม่ได้หยุดหย่อน ก่อนที่คำคำหนึ่งที่หลุดจากปากของทีโอดอร์จะทำให้เขาเผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว

    “คุณพูดเหมือนเราเป็นครอบครัวเดียวกันเลย”

    ดวงตากลมโตช้อนขึ้นมองทำเอาชายหนุ่มค้นหาเสียงตัวเองแทบไม่เจอ

    ตลอดมาทีโอดอร์เป็นเพียงผีน่ารำคาญที่เขาไม่อยากให้อยู่ใกล้เสียด้วยซ้ำ ตอนนี้ไม่รู้เลยว่าได้กระโจนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันตั้งแต่เมื่อไหร่

    มือหนาแตะลงไปบนผืนผ้า ประคองใบหน้าผีผ้าคลุมเอาไว้

    “เธอคือครอบครัวฉัน ฉันสัญญาว่าทุกอย่างมันจะออกมาดีหลังจากนี้”

    “คุณไม่จำเป็นต้องสัญญาหรอก” ทีโอดอร์โอบแขนรอบคอชายหนุ่ม เขารู้สึกถึงความเปียกชื้นที่ซึมผ่านเนื้อผ้าในบริเวณไหล่ “แค่อยู่กับผมก็พอ”

     

    ไคเลอร์ตื่นขึ้นมาอีกครั้งในยามเย็น นกกระพือปีกบินกลับรังเป็นตัวปลุกเขาจากห้วงนิทรา อย่างที่สองที่ทำให้เขาตื่นเต็มตาก็คือระฆังเตือนทานอาหารมื้อค่ำ

    ดวงอาทิตย์ทอแสงต่ำมากแล้ว แต่ไคเลอร์ยังคงนั่งอยู่บนเตียง คิดไม่ตกว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป แต่ท้ายที่สุด เมื่อมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เขาจึงดึงตัวเองออกจากภวังค์

    “แกดูเหม่อลอยเหลือเกินนะตั้งแต่เราได้พบกัน” เป็นวิลลิสที่เดินเข้ามาในห้อง ใบหน้าเคร่งเครียด “ใกล้ได้เวลาอาหารแล้ว ยังไหวใช่ไหม”

    “ฉันยังไหว ขอบใจ” ไคเลอร์ลูบใบหน้าของตัวเอง “แค่ช่วงนี้เรื่องทุกอย่างมันปะทะเข้ามาในทีเดียว ฉันรับมือกับมันไม่ทัน”

    “ใจเย็นๆ นะ” เพื่อนรักของเขาปลอบใจ “คิดไปทีละเรื่อง”

    “ฉันคิดว่าแกเองก็มีอะไรอยากจะพูดกับฉันนะ ว่ามาสิ” ไคเลอร์กล่าวอย่างตรงไปตรงมา

    “แกบอกเด็กคนนั้นหรือยัง เรื่องที่ต้องไป”

    ในคราวแรกเขาคิดว่าเป็นเบนจามิน แต่ไม่ใช่ ผีผ้าคลุมต่างหาก

    “ฉันยังไม่มีโอกาสบอก”

    “งั้นหรือ” เจ้าของคฤหาสน์ยกมือขึ้นกอดอก กรีดกรายปลายนิ้วกับแขนของตน “ยังไม่ได้จังหวะงั้นหรือ”

    ไคเลอร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “จะต้องรู้ให้ได้เลยสิ”

     

    “แกเป็นคนไม่รอบคอบ อย่าว่ากันเลยนะไค กันแค่อยากจะรู้ว่าแกวางแผนเอาไว้ยังไง และกันช่วยอะไรได้บ้างหรือเปล่า หรือแม้แต่ตอนนี้แกคิดอะไรอยู่”

    เป็นเพียงความเป็นห่วงเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง ชายผิวน้ำผึ้งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสหายของเขาผู้นี้นี่เองที่เป็นผู้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้หลายต่อหลายครั้ง เหมือนกับที่เขาเคยทำ พวกเขาต่างมีหนี้ชีวิตติดค้างกันเอาไว้มากมายเหลือเกิน ไคเลอร์จึงไม่ลังเลที่จะถามคำถามที่อยู่ในใจมานาน

    “ถ้าเกิดว่า ถ้าเด็กคนนั้นกลับไปมีชีวิต จะจำเรื่องระหว่างที่เป็นวิญญาณได้ไหม” ชายหนุ่มพูดเสียงเบา “มันเป็นไปได้หรือเปล่า”

    “คิดว่าไม่นะ”

    ไคเลอร์มีหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด

    “รู้ไหม เราทุกคนยังไงก็ตายกันอยู่แล้ว แกก็แค่ไม่พาเขากลับไป—”

    “ฉันต้องพาเขากลับไป ให้หลุดพ้นจากความโดดเดี่ยวที่เด็กคนนึงต้องเผชิญ เหมือนที่ฉันเคยพบพานมันมาก่อน” ชายหนุ่มพูดเสียงเข้ม “มารดาเฝ้ารอเขาอยู่ ตัวทีโอดอร์เองก็เช่นกัน ฉันเมินเฉยเรื่องนี้ไม่ได้”

    “นั่นคือสิ่งที่แกต้องการหรือ”

    “ใช่”

    “ตกลง กันจะช่วยแกทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางหรือปัจจัยอย่างอื่น” วิลลิสพูด ขายาวก้าวออกไปจากห้อง ทิ้งให้ไคเลอร์อยู่เพียงลำพังอีกครั้ง

    “แล้ว..อะไรคือสิ่งที่แกติดค้างจนไปไหนไม่ได้ในภพนี้” ไคเลอร์เอ่ย สหายของเขาไม่แม้แต่จะหยุดเดินเพื่อหันมาคุยกับเขา

    “อย่าได้กังวลอะไรเลย ทำสิ่งที่อยากทำเสียเถอะ”

    เสียงรองเท้าหนังดังเข้าไปใกล้ประตูมากขึ้นเรื่อยๆ มีเงาเคลื่อนไหวอยู่ที่หน้าประตู แต่เมื่อวิลลิสเดินไปถึง ก็ไม่พบใครที่นั่นแล้ว

     

    “ผมอยากอยู่ที่นี่” เบนจามินประกาศกร้าวกลางมื้ออาหาร หลังจากการที่ไคเลอร์กล่าวความต้องการที่จะพาเขาไปด้วยและวอนขอให้เบนจามินตอบรับ ทีโอดอร์เป็นเพียงคนเดียวที่ปฏิเสธจะร่วมโต๊ะกับพวกเขา “ผมอิ่มแล้วครับ”

    “เธอทานไปแค่ไม่กี่อย่างเองนะ” ไคเลอร์พูด เบนจามินดูไม่เหมือนกับเด็กหนุ่มร่าเริงที่เขารู้จัก การล่วงรู้ถึงความตายที่ใกล้เข้ามาเปลี่ยนเขาให้โศกโศกา

    “ขอตัวนะครับ” เขาลุกขึ้น ดูไร้เรี่ยวแรงมากกว่าเก่า “ขอบคุณสำหรับมื้ออาหาร”

    ผีผ้าคลุมเดินเข้ามาในห้องขวางทางเขาพอดี เบนจามินหลบตาเบียดตัวหนีมาโดยไม่หันมองย้อนหลัง ทีโอดอร์งุนงนเล็กน้อยกับเหตุการณ์นั้น ไคเลอร์และวิลลิสหันมองหน้ากันอย่างไม่สบายใจนัก

    “เห็นทีจะยากเสียแล้ว” วิลลิสยิ้มแหย

    และไคเลอร์ก็หันมาเจอผีผ้าคลุม เขาลุกขึ้นจากโต๊ะ เดินเข้าไปโอบกอดเด็กหนุ่มไว้ในอ้อมแขนก่อนจะเดินออกจากห้องอาหารไปพร้อมกับหันไปสบตาเพื่อนของตน วิลลิสเพียงพยักหน้าให้เขาเล็กน้อยเท่านั้น

    “ฉันมีเรื่องสำคัญจะบอก”

     

    ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็เดินมาถึงห้องทำงานของของวิลลิสซึ่งเต็มไปด้วยเอกสารสำคัญ สายตาของผีผ้าคลุมค้นพบว่ามีรูปใบหน้าของเด็กชายคนหนึ่ง วาดด้วยมือ ซึ่งเขาเจอริมน้ำ ใต้ธารน้ำใสสองสามครั้ง เป็นเงาสะท้อนของตัวเขาเอง

    ไคเลอร์ดึงเก้าอี้ตัวหนึ่งให้ผีผ้าคลุมได้นั่ง ก่อนจะหยิบหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งขึ้นมา ทีโอดอร์มองมันไม่วางตา ก่อนจะหันไปสบตาร่างสูงอีกครั้งอย่างสงสัย

    “ฉันอยากให้เธอได้อ่านมัน”

    ทีโอดอร์กวาดสายตาไปกับตัวอักษรภาษาอังกฤษทั้งหมดนั้น ดวงตาเบิกกว้าง พูดไม่ออกไปชั่วขณะ

    “ฉันพบเธอ” ไคเลอร์คุกเข่าลงตรงหน้าผีผ้าคลุม “และแม่ของเธอ”

    เด็กหนุ่มดึงร่นผ้าคลุมที่คลุมมือตัวเองอยู่ออก ก่อนจะสัมผัสรูปบนหน้าหนังสือพิมพ์ด้วยปลายนิ้ว เนื้อกระดาษบางเรียบมอบความรู้สึกบางอย่างกลับคืนสู่เขา

    “คุณแม่..และนี่ผม”

    ไคเลอร์ได้แต่มองดวงตาสีดำสนิทที่กำลังน้ำตาเอ่อ หยดน้ำใสไหลซึมเนื้อผ้า

    “เคาท์เตสดอริสอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนักรู้ไหม เธอจะได้พบแม่ และมอบรอยยิ้มกลับไปให้อย่างที่เธออยากจะทำมาตลอด”

    “ผมจะกลับไปมีชีวิตหรือ”

    “ใช่” ชายหนุ่มจับมือของทีโอดอร์ทาบลงไปกับอก “รู้ไหม ถ้าเธอจับตรงนี้ตอนที่ยังมีชีวิต เธอจะรับรู้ได้ว่ามีบางอย่างกำลังขยับอยู่ข้างใน”

    “มันคืออะไรหรือครับ”

    “สัญญาณของชีวิต ฟังสิ” ผีผ้าคลุมยืนนิ่ง ได้ยินเสียงนาฬิกาติ๊กต่อกดังอยู่เหนือหัว “ตอนนี้เธออาจจะยังไม่รู้สึกถึงมัน แต่อีกไม่นาน ทันทีที่เธอได้กลับไป เธอจะรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน”

    “ผมว่า..” ทีโอดอร์ทำท่าเหมือนกับจะพูดบางอย่างออกมาแต่กลับสะบัดหัว “แล้วคุณล่ะ”

    “ฉันจะอยู่ข้างเธอ” ร่างสูงปด เผลอกำมือข้างหนึ่งของตนเอาไว้แน่นข่มความรู้สึกเอาไว้ข้างใน ในตอนนี้เขาต้องเข้มแข็ง” แม้ว่าเธอจะมองไม่เห็น แต่ฉันรู้ว่าเธอจะหาหนทางมาพบฉันได้สักวันหนึ่ง”

    “แล้วถ้าเกิด..ถ้าผมลืมตาขึ้นมาแล้วลืมคุณไปล่ะครั—”

    ผีผ้าคลุมเพียงแค่ถูกโอบกอด พร้อมกับมีสัมผัสลูบปลอบประโลมไม่ให้ขวัญหนีดีฝ่อ

    “ไม่มีทาง”

    ชายหนุ่มไม่อาจสบตายามโกหกเด็กคนนี้ ทีโอดอร์ไม่สมควรจะกังวลอะไรเกี่ยวกับเขาเลย “ถ้าเธอลืมฉันไป บ้านของฉันก็จะมีแค่ฉันเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียวน่ะสิ”

    “อย่างนั้นผมไม่ยอมนะ” เด็กหนุ่มพูดเสียงอ่อย

    “ถ้าอย่างนั้น อย่าลืมฉัน ฉันขออ้อนวอนเธอ”

    “อือ”

    ไคเลอร์ถอนหายใจอย่างโล่งอก มีรอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นมาบนใบหน้าในขณะที่ดวงตากลมโตของทีโอดอร์นั้นจับจ้องอยู่ที่รูปเสมือนของตัวเองบนกระดานด้วยสายตาว่างเปล่า

     

    ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึงในเขตแดนของวิลลิส เพราะฉะนั้น เมื่อถึงเวลาภพค่ำ เหล่าคนรับใช้ทั้งสองจึงได้จุดเทียนไว้ตามทางเดินที่ใช้กันเป็นประจำ แต่แม้ว่าทางเดินจะไร้แสงไฟ ก็ไม่มีอะไรมาทำให้ทีโอดอร์หวาดกลัวคฤหาสน์หลังเก่านี้ได้

    หลังอาหารมื้อค่ำที่แสนจะน่าอึดอัดใจทีโอดอร์ใช้เวลาในการทำสมาธิหนึ่งชั่วยามเพื่อให้ช่วงเวลาไม่น่าอภิรมย์ผ่านไปไวมากขึ้นจนกระทั่งเวลาที่เขารอคอยมาถึง เด็กหนุ่มลุกขึ้นจากท่าคุกเข่าเพื่อเดินออกจากห้องไร้หน้าต่างที่เขาพบ

    มีตะเกียงน้ำมันอยู่บนโต๊ะ เขาคว้ามันพร้อมกับจุดไฟด้วยเทียนบนกำแพง ก่อนจะเดินไปตามโถงทางเดินมืดสนิท

    มีเสียงกระซิบกระซาบกันเบาๆ ของผู้ใหญ่สองคน พูดคุยกันถึงความทรงจำครั้งเก่า การเดินทางและเรื่องที่เขาไม่เข้าใจ เขาจำเสียงของไคเลอร์ได้ กับชายอีกคน วิลลิสซี่ ฟังดูแล้วก็คงมีกันแค่สองคน ทีโอดอร์จึงได้เดินต่อ

    ประตูแต่ละบานนั้นเวลาเปิดเสียงไม่ต่างกับเวลาเปิดโลงศพอย่างไรอย่างนั้น เขาเปิดเข้าไปในห้องของเบนจามิน เงาจากแสงตะเกียงทำให้เงาของผีผ้าคลุมขยายใหญ่ฉายอยู่บนกำแพง

    “ต้องการอะไร” เสียงเบนจามินนั่นเอง เขายืนอยู่กลางห้อง รับรู้ถึงการมาของผีผ้าคลุมจากอากาศที่เริ่มเปลี่ยน ตัวเขาเป็นคนเรียนรู้ได้ไวจึงได้จับสัญญาณของผีได้อย่างรวดเร็ว จากการสังเกตเพียงไม่กี่ครั้ง

    “ฉันอยากให้นายตอบตกลง หากว่าฉันอยากให้นายเดินทางไปด้วย”

    “ฉันเบื่อเรื่องนี้แล้ว” เบนจามินกลอกตา ขัดขืน ทำเหมือนกับตัวเองกำลังเข้มแข็งและไม่กลัวผีที่ส่วนสูงไม่ต่างจากเขามากนัก “ถ้าไม่ทำ นายจะฆ่าฉันหรือไง”

    “ถึงฉันไม่ฆ่านาย นายก็มีชะตาที่จะต้องตายในเร็ววันนี้อยู่แล้ว” เบนจามินหน้าซีด เม้มริมฝีปากพยายามสกัดกั้นอารมณ์

    “โชคดีที่ฉันไม่มีใครต้องห่วง โชคร้ายที่ฉันไม่มีคนร้องไห้ให้ฉันหลังวันสิ้นลมไปแล้ว” เด็กหนุ่มกระพริบตาโอบอุ้มหยดน้ำที่กำลังคลอ แต่ไม่สามารถทำได้ดีนัก

    “ฉันเลยอยากจะยื่นข้อเสนอบางอย่างให้นาย” ดวงตาของทีโอดอร์ในยามนี้ดูราวกับกำลังยิ้ม “บางทีฉันอาจจะมอบชีวิตใหม่ให้นายได้นะรู้ไหม”

     

    ร่างของเบนจามินแข็งทื่อ อากาศรอบตัวหนาวกว่าปกติจนตัวสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×