คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : ▽The Challenge ☆ Chap 14 (100%)
The challenge กล้าท้าก็กล้าลอง
Mark x Bambam
-14-
“กูอยากเลิกกับเวนดี้ว่ะ”
หลังจากที่ผมพูดออกไปคู่รักบีเนียร์มันก็หันไปมองหน้ากันก่อนจะหันหน้ามามองผมแล้วมองด้วยสายตาเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด
“มึงเมาหรือป่าว?”
นั่นไง ผมว่าแล้วว่ามันต้องไม่เชื่อที่ผมพูด
ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าอยากจะเลิกกับเวนดี้ แค่รู้สึกว่าความรู้สึกของเวนดี้ที่มีให้ผมมันก็ไม่ใช่ความรู้สึกของคนรักเช่นกัน..
“กูไม่ได้เมา”
“แล้วทำไมมึงถึงอยากเลิกตอนนี้
ทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกกูพูดยังไงมึงก็ไม่ฟังเลยสักนิด”
จริงอย่างที่จูเนียร์พูด
ในตอนแรกผมไม่ฟังในสิ่งที่มันพูดเลยสักนิด..อาจจะเป็นเพราะหลังจากได้ยินแบมแบมพูดว่าเค้ากำลังคบกับเซฮุนหรอ?
มันถึงทำให้ผมรู้สึกอยากเลิกกับเวนดี้แบบนี้?
อาจจะไม่ใช่มั้ง..
“ไม่รู้ว่ะ”
“มาร์ค มึงแม่งเคยรู้อะไรบ้างวะ
กูถามอะไรตอบแต่ไม่รู้อย่างเดียว”
ก็คนมันไม่รู้จริงๆจะให้ตอบยังไงวะ
ไม่ใช่ว่าผมแกล้งโง่หรืออะไรหรอกนะครับ
ผมก็แค่ไม่รู้ว่าตอนนี้ผมรู้สึกยังไงหรือควรทำอะไร
“ทำไมเซฮุนกับแบมแบมเดินจับมือกันลงมาแบบนั้นวะ?”
เจบีพูดขึ้นทำให้ผมต้องหันไปมองตามที่มันบอก ก็เห็นเซฮุนกับแบมแบมที่เดินจับมือกันออกไปจากโรงแรม
ผมเองก็ทำได้แค่มองแล้วหันไปตอบเจบี
“สองคนนั้นคบกัน..”
“ห้ะ!?
เซฮุนกับแบมแบมเนี่ยนะ?” เจบีว่าแล้วเบิกตากว้าง
อันนี้ผมก็เข้าใจนะแต่จูเนียร์เนี่ยสิ
มันไม่ได้ทำหน้าตกใจแต่กลับยิ้มอย่างมีความสุข..
“เฮ้อ
รู้สึกดีจังในที่สุดแบมก็ได้รักกับคนดีๆ”
นั่นคือสิ่งที่จูเนียร์พูดออกมา
จะว่าไปแล้วจูเนียร์คือคนที่คอยบอกให้ผมเลิกกับเวนดี้แล้วไปคบกับแบมแบมมากที่สุดรองจากแจ็คสันเลยก็ว่าได้
มันก็คงจะสมน้ำหน้าผมที่ไม่ฟังสิ่งที่มันพูดอยู่เหมือนกันนั้นแหละครับ ผมไม่ได้ใส่ใจการเยาะเย้ยของเพื่อนเท่าไหร่นัก
ได้แต่หันไปสนใจคู่รักคู่ใหม่สองคนขึ้นแท็กซี่ออกไปข้างนอกด้วยกันจนคอแทบเคล็ด..
ผมเดินขึ้นไปบนห้องก็เห็นเวนดี้นั่งหัวเราะคิกคักๆให้กับหน้าจอมือถือ
คงจะเพลินมากจริงๆเพราะขนาดผมเดินมายืนอยู่เหนือหัวเธอๆยังไม่รู้ตัวเลย
“เวนดี้..”
“อ่าวมาร์ค มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?”
เธอรีบเก็บโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงแล้วหันมาทักผมทันที
ทาทีแบบนี้มันอะไรกันแน่
ดูเหมือนในโทรศัพท์ของเธอคงจะมีอะไรที่เป็นความลับอยู่แน่ๆ
แต่ผมเองก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก
“ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”
“มีอะไรหรอคะ?”
“เราเลิกกันเถอะ”
“มาร์คพูดเล่นใช่มั้ยคะ? มาร์ครักเวนดี้นี่!”
“ผมไม่ได้พูดเล่น…เราเลิกกันเถอะ”
นับว่าเป็นคำพูดที่ยาวมากๆของผมเลยมั้ง
ผมก็แค่อยากจะรีบพูดรีบจบ ไม่อยากจะยืดเยื้อให้มันมากกว่านี้แล้ว
ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองก้าวช้าเกินไปแล้ว..
“ไม่เลิก!!”
เวนดี้ตะคอกใส่หน้าผมดังๆแล้วลุกขึ้นยืนมาจ้องหน้าผมนิ่งๆ
ผมถอนหายใจแรงๆแล้วมองหน้าเธอกลับอย่างนิ่งๆเช่นกัน
“เธอไม่ได้รักฉันแล้ว จะกลับมาทำไม”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของผมเวนดี้ดูตกใจตามมาด้วยสีหน้าเลิ่กลั่กของเธอ
จนผมมั่นใจว่าความคิดที่ว่าเธอไม่ได้รักผมแล้วมันคือเรื่องจริง แต่ที่ผมสงสัยคือ
เธอจะยังกลับมาหาผมทำไมอีก ในเมื่อหมดรักไปแล้วจะกลับมาทำไมอีก
ผมเองก็เพิ่งจะคิดได้ว่าการที่เธอหายไปนานหลายปีขนาดนั้น
กลับมาครวนี้เธอจะยังเหลือความรักให้ผมอีกหรอ?
“ว่ายังไงล่ะ?”
“ไม่นะมาร์ค เวนรักมาร์คจริงๆนะ”
“แรกๆฉันก็เชื่ออยู่หรอกนะ
แต่ตอนนี้สีหน้าและแววตาของเธอมันกำลังสื่อว่าเธอพูดโกหก!! ทำไมเธอถึงหลอกฉัน..ทำไมถึงเอาความรักมาล้อเล่นแบบนี้!!”
ถึงผมจะไม่ได้รู้สึกรักเธอมากเหมือนเมื่อก่อนแล้วแต่ความห่วงใยผมก็ยังคงมีให้เธอ
แล้วทำไม ทำไมเธอถึงทำแบบนี้ เธอคิดว่าจะมาหลอกผมซ้ำๆอยู่แบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่กัน!
“เธอจะยังไม่ออกไปตอนนี้ก็ได้นะ
แต่พรุ่งนี้ฉันหวังว่าเข้ามาแล้วคงจะไม่เห็นเธออยู่ในห้องนี้...”
ผมอาจจะดูใจร้ายที่พูดจาแบบนี้ใส่ผู้หญิง
แต่ก็นั่นแหละ ถ้าไม่ทำแบบนี้เรื่องมันก็คงไม่จบเหมือนกัน พูดจบผมก็เดินออกมาจากห้องทันที
สงสัยคืนนี้ต้องไปนอนเป็นก้างของคู่รักบีเนียร์..
-End มัคคึ’s Part-
ผมกับเซฮุนเราออกจากโรงแรงไปซื้อของด้วยกัน
กลับมาอีกทีก็ปาไปสองทุ่ม
ถามว่าออกไปนานขนาดนั้นของที่ไปซื้อต้องเยอะมากเลยใช่มั้ย? ตอบเลยว่าไม่ครับ ซื้อของไปสองสามอย่างส่วนเวลาที่เสียไปก็คือเดินซื้อของกินกันไปทั่ว
“เข้าห้องแล้วอาบน้ำเลยนะ”
“อืม”
ผมพยักหน้ารับแล้วรับของในมือเซฮุนมาถือ
หันหลังกลับจะเปิดประตูห้องแต่ก็ถูกเซฮุนเรียกเอาไว้ซะก่อน
“แบมแบม”
“หื้อ?”
“เดี๋ยวคืนนี้โทรหานะ”
เดี๋ยวนะ..โทรหา? คือก็ไม่แปลกใจอะไรที่เซฮุนจะโทรหาผม
ปกติเค้าก็โทรมาอยู่แล้ว แต่คือตอนนี้ก็อยู่ไม่ไกลกันป่ะ
ห่างกันไปไม่กี่ห้องเองอ่ะ
เดินมาเคาะประตูแล้วนั่งคุยกันที่หน้าห้องนี้เลยก็ได้มั้ยล่ะ เอ้อ
จะโทรหาให้มันเปลืองสตางค์ทำไมครับ
“ถ้าอยากคุยก็มาหาที่ห้องก็ได้มั้ยล่ะ”
“มาได้หรอ?”
ไม่ได้มั้งพูดขนาดนี้แล้ว..
“อืม มาได้ตลอดแหละ”
จบคำผมเซฮุนก็ยิ้มหน้าบานเดินไปเข้าห้องตัวเองทันทีเลยครับ
ส่วนผมเองก็ได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆแล้วเดินเข้าห้องไป อยากจะอาบน้ำใจจะขาดแล้วครับ
อยู่ใกล้ๆทะเลแล้วมันเหนียวตัวเหลือเกิน
วันแรกและวันที่สองของการมาเที่ยวทะเลผ่านไปอย่างรวดเร็วอาจจะเป็นเพราะการเที่ยววันที่สองหรือเมื่อวานที่ผ่านมาไม่มีเวนดี้อยู่ให้ปวดหัว
ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอหายไปไหนแต่ก็ช่างเธอผมไม่ได้ใส่ใจอยู่แล้ว จนมาถึงวันที่จะเดินทางกลับกัน
ผมและฟานี่เราตัดสินใจว่าจะนั่งรถกลับกับเซฮุน
ซึ่งในตอนแรกมาร์คก็ไม่ยอมแต่ผมก็ไม่ได้คิดจะฟังสิ่งที่มาร์คพูดเท่าไหร่
สุดท้าเลยได้กลับกับเซฮุนอย่างที่หวัง
ยังจะให้กูกลับกับมึงแล้วนั่งดูคนข้างหน้าสองคนสวีทกันเหมือนขามาอีกหรือไง!!
ใช้เวลาประมาณสี่ชั่วโมงเราก็เข้าสู่ตัวเมือง
ตลอดระยะเวลาเดินทางกลับเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะพูดคุยของพวกเราทั้งสามคน
ซึ่งต่างกับตอนขามาอย่างสิ้นเชิงเลย..
“แวะกินข้าวกันก่อนมั้ยแบมแบม”
หลังจากที่แวะส่งฟานี่ที่คอนโดแล้วเซฮุนก็ถามขึ้นทันที
แต่ตอนนี้ผมรู้สึกไม่อยากจะทำอะไรเลยสักนิด อยากจะกลับคอนโดไปนอนกลิ้งบนเตียงใหญ่ๆเพราะรู้สึกเมื่อยกับการมานั่งอยู่บนรถนานๆแบบนี้
แถมยังไม่ค่อยได้นอนเลยสักนิด
“ไม่เป็นไร
เดี๋ยวกลับคอนโดไปค่อยกินก็ได้ ตอนนี้ฉันอยากนอนอ่ะ”
เซฮุนพยักหน้ารับ แล้วหันไปสนใจทางข้างหน้าต่อ
ผมเลยได้ทีเอนหลังหลับไปสักพักเพราะจู่ๆก็รู้สึกมึนหัวแล้วก็ไม่มีแรงขึ้นมาดื้อๆ
“แบมแบม”
“….”
“ถึงแล้วนะ ตื่นเถอะครับ”
ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมาเพราะเสียงปลุกของคนข้างๆ
เซฮุนมองผมก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ
ผมเองก็ไม่ได้แปลกใจอะไรที่เค้าจะหัวเราะเพราะผมรู้ตัวเองดีว่าเวลาตื่นนอนหน้าตามันจะบวมยิ่งกว่าอะไร
ยืนโบกมาให้เซฮุนได้สักพักผมก็เดินขึ้นห้องไป
ในระหว่างขึ้นลิฟต์ก็เอาแต่คิดถึงเรื่องที่จะย้ายออกจากคอนโดของมาร์ค แล้วถ้าออกไปผมคงต้องไปอยู่โรงแรมสักพักเพราะยังหาคอนโดไม่ได้
ไหนจะต้องเก็บของออกมาอีก คิดๆแล้วก็ปวดหัวขึ้นมาซะงั้น ยืนอยู่สักพักลิฟต์ก็เปิด
ผมเดินไปยืนอยู่หน้าห้องภาวนาให้ไอมาร์คยังไม่กลับมาเพราะอยากจะเก็บเสื้อผ้าบางส่วนใส่กระเป๋าไว้ก่อน
เพราะตอนย้ายออกของจะได้ไม่เยอะมากเท่าไหร่
แกร็ก..
เหมือนคำขอของผมมันพังทลายลงตรงหน้าเพราะทันทีที่เปิดประตูเข้ามาก็เห็นมาร์คยืนอยู่หน้าประตูเหมือนจะรอผมอยู่
แต่ไม่เป็นไรถึงมาร์คจะอยู่ผมก็จะเก็บของ
ยังไงซะผมก็บอกให้มันรู้อยู่แล้วว่าผมจะย้ายออกจากคอนโดนนี้!
ผมเดินผ่านหน้ามาร์คไปอย่างไม่สนใจนัก
เดินเข้าไปหยิบกระเป๋าเดินทางที่ไม่ได้ใช้งานมาประมาณสองปีน่าจะได้แล้วหยิบเสื้อผ้าจากในตู้เข้ามายัดใส่รัวๆ
เป้าหมายต่อไปของผมคือโต๊ะเครื่องแป้ง แต่ยังไม่ทันให้ผมได้ก้าวสักก้าวมาร์คก็ดึงผมเขาไปกอดแน่นซะก่อน
“จะไปไหน”
“กูว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ
กูจะย้ายออก..”
“กูเลิกกับเวนดี้แล้ว”
ผมชะงักตัวไปสักพัก มาร์คแล้วกับเวนดี้แล้ว? อ่า..เมื่อวานที่ผมไม่เห็นเวนดี้ก็เพราะแบบนี้เองสินะ แต่เดี๋ยว
เลิกกับเวนดี้แล้วทำไม? เกี่ยวอะไรกับผมล่ะ
ผมจำเป็นต้องรู้ด้วยหรอ?
“แล้วมาบอกกูทำไม
ปล่อยกูได้แล้วมาร์ค..”
“แบมแบม กูไม่ให้มึงไป!”
ผมพยายามพาตัวเองให้หลุดออกจากการเกาะกุมของมาร์คแต่เหมือนจะออกแรงเยอะไปหน่อยจนรู้สึกหน้ามืดและอยากอาเจียนขึ้นมาขนาดนี้
มาร์คที่เห็นผมเงียบไปเลยยอมคลายอ้อมกอด
ผมเลยรีบวิ่งเข้าห้องน้ำไปก่อนจะอ้วกออกมาอย่างหนัก ย้ำว่าหนักมาก
ทั้งที่เมื่อเช้าผมก็ทานไปแค่นิดเดียวแต่กลับอ้วกออกมามากมายจนตัวผมเองรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะหมดแรง
มาร์คที่วิ่งเข้ามาด้วยก็ได้แต่ช่วยจับผมของผมเอาไว้ไม่ให้มันยุ่งแล้วลูบหลังผมเบาๆ
“แบมแบม!!”
และนั่นก็เป็นเสียงสุดท้ายของมาร์คที่ผมได้ยินก่อนที่ทุกอย่างจะมืดไป..
44.4%
-มัคคึ’s Part-
ผมตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเมื่อจู่ๆแบมแบมก็สลบไป
ผมรีบอุ้มแบมแบมออกจากห้องไปเพื่อพาไปโรงพยาบาล
“แบมแบม..”
ผมเอาแต่เรียกชื่ออีกคนตลอดระยะทางที่ขับรถมา หวังว่าอีกคนจะลืมตาขึ้นมาตอบผม
ถ้าเป็นแบบนั้นผมคงจะรู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย
และแล้วจู่ๆแบมแบมก็ลืมตาขึ้นมาช้าๆแล้วหันมามองผม
“มึงจะพากูไปไหน”
“โรงพยาบาล”
“กูไม่ไป กูไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น
มึงกลับรถเหอะ กูจะกลับคอนโด”
“ไม่
ยังไงมึงก็ควรจะไปให้หมอตรวจให้แน่ใจก่อนว่าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ”
เหมือนแบมแบมจะเหนื่อยเกินไปที่จะเถียงผมเลยได้แต่นั่งนิ่งๆ
ให้ผมพาไปส่งที่โรงพยาบาล
พอขับมาถึงที่โรงพยาบาลผมก็รีบเดินลงจากรถมาเปิดประตูให้แบมแบมหวังจะช่วยประคองอีกคนไป
แต่ก็ถูกปฏิเสธจากแบมแบม
“กูเดินเองได้”
ผมเลยได้แต่เดินตามแบมแบมอยู่ห่างๆ
แล้วนั่งรอแบมแบมอยู่หน้าห้องที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นห้องตรวจร่างกาย
แบมแบมหายเข้าไปประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนจะออกมาพร้อมกับสีหน้าที่ดูเหนื่อยสุดชีวิต..
“เป็นยังไงบ้าง!?”
ผมรีบลุกเข้าไปหาแบมแบมเพื่อถามไถ่ถึงอาการ
“กูบอกแล้วไงว่าไม่ได้เป็นอะไร หมอบอกว่ากูเครียดแล้วก็พักผ่อนไม่เพียงพอ
ก็แค่นั้น! แม่ง เสียเวลาตรวจทำไมก็ไม่รู้!!”
แบมแบมร่ายยาวแล้วเดินออกจากโรงพยาบาลไปด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก
ส่วนผมเองถึงจะโดนแบมแบมว่าแต่ก็รู้สึกโล่งใจที่อย่างน้อยแบมแบมก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก
-End มัคคึ’s Part-
สรุปแล้วหลังจากกลับจากโรงพยาบาลไอมาร์คมันก็รื้อเสื้อผ้าในกระเป๋าผมออกแล้วเก็บเข้าตู้เสื้อผ้าเหมือนเดิม
ส่วนผมเองก็ไม่มีแรงพอจะเถียงหรือขัดมันครับ
ได้แต่นอนอยู่บนเตียงนิ่งๆมองมันสาละวนอยู่กับกระเป๋าเดินทางของผม
ในตอนนี้ถ้ามาร์คอยากจะทำอะไรผมก็คงไม่ขัด
เพราะยังไงมันก็คงไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้แล้ว
ไม่มีแล้วจริงๆ..
ผมไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่และหลับไปนานแค่ไหน
รู้ตัวอีกทีก็เช้าแล้ว และวันนี้ผมก็มีเรียนเช้าด้วยเลยต้องรีบตื่นขึ้นมาอาบน้ำ
รู้สึกอาการดีขึ้นจากเมื่อวานแล้วและหวังว่าจะไม่มีอาการปวดหัวหรืออาเจียนเหมือนเมื่อวานอีก
“แบมแบมจะไปไหน”
ทันทีที่ผมลุกขึ้นออกจากเตียงก็ได้ยินเสียงไอมาร์คที่ดังขึ้นทันที
ผมหันหลังกลับไปดูแล้วก็นึกขำนิดหน่อย มันคงจะระแวงว่าผมจะหายไปแน่ๆ
“ไปเรียนดิ”
“ไม่สบายอยู่ทำไมไม่พัก”
“พักบ้าอะไร กูหายแล้ว”
พูดจบผมก็รีบเดินเข้าห้องน้ำทันทีไม่อยากจะพูดอะไรกับไอมาร์คมันมาก
เดี๋ยวก็บังคับให้ทำนู้นทำนี่อีก ก็แค่อาการปวดหัวกับอาเจียนเอง ยังไงมันก็เป็นธรรมดาอยู่แล้ว..
เมื่อเช้าพอผมออกมาจากห้องน้ำก็เห็นข้าวต้มที่คิดว่าน่าจะเป็นข้าวต้มฝีมือไอมาร์ค
วางอยู่บนโต๊ะกินข้าวเตรียมไว้ให้ผมอยู่
ถึงจะรู้สึกไม่อยากจะกินเท่าไหร่แต่ยังไงซะมาร์คก็อุตสาห์มีน้ำใจทำให้
จะไม่กินก็ดูเสียมารยาทเลยยอมกินจนหมด
“แบมทำไมสีหน้าแกดูไม่ดีเลย”
“เปล่าหรอก ฉันแค่ปวดหัวนิดหน่อย”
“ไม่ไหวบอกนะ”
ผมพยักหน้าตอบให้ฟานี่แล้วบทสนทนาของผมกับฟานี่ก็จบลงแค่นั้นก่อนที่อาจารย์จะเดินเข้าห้องมาสอนตามปกติ
แต่ก็เช่นเคย ผมไม่ได้ฟังสิ่งที่อาจารย์พูดเลยเพราะปกติก็ไม่เคยฟังอยู่แล้วยิ่งมามีอาการปวดหัวแบบนี้ยิ่งไม่เข้าสมองเลยสักนิดเดียว
“เดี๋ยวฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
หลังจากจบคลาสผมก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำเพื่อจะล้างหน้าล้างตาเพื่อให้อาการบ้าๆพวกนี้มันหายไปแต่ทันทีที่เดินเข้ามาในห้องน้ำก็ต้องชะงักไป
“เป็นยังไงบ้าง”
เสียงที่ไม่ได้ยินมาสักพักนั่นดังขึ้นท่ามกลางห้องน้ำหญิงที่ไม่มีใครเลย
ไม่ต้องเดาให้ยากเพราะทันทีที่ผมหันไปมองก็เจอกับคังจุนที่นั่งอยู่บนอ่างล้างหน้าแล้วมองผมยิ้มๆ
“ฉันสบายดี!”
ผมตอบแล้วหันกลับไปหวังจะเดินไปเข้าห้องน้ำต่อ
แต่ก็ต้องชะงักไปอีกรอบทันทีที่ได้ยินคำพูดที่ไม่คาดคิดที่หลุดออกมากจากปากของคังจุน
“ฉันหมายถึงเด็กในท้อง..”
ใช่ครับ..ผมท้อง ท้องลูกของมาร์ค
ท้องได้สามสัปดาห์แล้ว และผมก็เลือกที่จะโกหกมาร์ค เพราะผมกลัว
กลัวว่าถ้าบอกไปแล้วมาร์คจะผลักใสผมหรือเปล่า จะบอกให้ผมไปเอาเด็กออกมั้ย
อยากจะปรึกษาฟานี่แต่ก็ไม่กล้าพอ จะโทรไปบอกที่บ้านก็คงไม่ได้
ผมเหมือนมายืนอยู่ที่ทางตัน จะต้องหันหน้าไปทางไหนถึงจะเจอทางออกผมยังไม่รู้เลย…
“ฉันทำอะไรผิด?”
ผมถามออกไป..ไม่ได้รู้สึกแปลกใจที่คุงจุนรู้เพราะยังไงมันก็คงรู้ทุกเรื่องของผมถึงจะอยากรู้บ้างว่ามันรู้ได้ยังไงแต่ถึงอย่างนั้นรู้ไปมันก็คงไม่ได้ทำให้อะไรๆดีขึ้นหรอกและมันก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ผมต้องใส่ใจ สิ่งที่สำคัญคือผมไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองเลยสักนิด
โอเคผมยอมรับว่าผมผิดที่ไปลบหลู่ความเชื่อของคนอื่น แต่ผมไม่เข้าใจ
ไม่เข้าใจเลยว่าบทลงโทษที่ผมกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้มันมากเกินไปหรือเปล่า? มันเหมือนเอาสิ่งที่ผมทำบาปจากชาติที่แล้วและชาตินี้มารวมกันแล้วให้ผมชดใช้ในตอนนี้เลย
“หึ”
“…”
“ถึงเวลาแล้วฉันจะบอกเอง”
“ดูแลลูกในท้องให้ดีนะแบมแบม..”
พูดแค่นั้นคังจุนก็เดินหายไปจากห้องน้ำ
ผมได้แต่กุมขมับตัวเองเพราะรู้สึกปวดและอยากจะอาเจียนออกมาแต่ตอนนี้เหมือนว่ามันไม่ได้จะรู้สึกอย่างเดียวเพราะมันเริ่มจะออกมาแล้วต่างหาก
ผมวิ่งเข้าไปในห้องน้ำและอาเจียนออกมาอย่างหนัก ไม่คิดเลยว่าการตั้งท้องมันจะต้องมีอาการที่ทำให้รู้สึกทรมานแบบนี้มาก่อน
ผมอ้วกออกมาสักพักก็รู้สึกถึงแรงลูบที่ข้างหลัง
อยากจะหันไปแต่ก็ยังอาเจียนไม่หยุดสักที จนสักพักอาการก็หาย
ผมรีบหันไปมองคนที่เข้ามาลูบหลังให้ผมทันที
“ฟานี่..”
“ไม่เป็นไรแล้วใช่มั้ย?”
“…”
“ไปล้างหน้าล้างตาเถอะ”
55.55%
หลังจากที่ผมล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อยแล้วฟานี่ก็พาผมนั่งรถมาที่สวนสาธารณะใกล้ๆกับมหา’ลัย
ซึ่งระหว่างทางทั้งผมและเธอเราต่างนั่งเงียบกัน ไม่มีใครพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
“แกเป็นอะไร”
ทันทีที่ผมนั่งลงบนม้านั่งข้างๆฟานี่
เธอก็พูดถามออกมาว่าผมเป็นอะไร
“เป็นอะไรล่ะ ฉันสบายดี”
ผมว่าแล้วหัวเราะ แต่ฟานี่ไม่ได้ตลกไปกับผม
เธอมีสีหน้าที่จริงจังและดูเครียดกว่าทุกๆครั้งจนผมต้องหุบยิ้มลงทันที ผมไม่ได้อยากจะปิดบังฟานี่
แต่ผมรู้ว่าถ้าพูดออกไปเธอต้องเครียดแทนผมแน่ๆ
ถึงจะคบกันได้ไม่นานนักแต่ผมก็พอจะรู้ว่าฟานี่เธอแคร์ผมมากและหลายครั้งเธอก็มักจะเครียดแทนผมตลอด
“แกเป็นอะไร”
ฟานี่พูดย้ำอีกครั้งจนผมรู้สึกกดดัน..
“ฉันท้อง..”
“…”
ทันทีที่พูดคำว่าตัวเองท้องออกมามันเหมือนกับการย้ำเตือนว่าตอนนี้ผมมีใครอีกคนที่ต้องดูแล
มีอีกหนึ่งชีวิตที่อาศัยอยู่ในร่างกายของผม และเค้าก็เป็นลูกของมาร์ค..
“แบม..ฉันเข้าใจแกนะ”
“ฉันควรจะทำยังไงหรอฟานี่? ฉันต้องทำยังไงกับเรื่องนี้ที่มันเกิดขึ้น ฮึก”
“แบมแบมใจเย็นๆก่อน..แกบอกมาร์คไปแล้วยัง” ผมได้แต่ส่ายหน้าเป็นคำตอบให้ฟานี่
ไม่อยากบอกเลย ผมไม่อยากบอกมาร์คเลยว่าผมท้อง
“แกควรจะบอกมาร์คนะแบม”
“แกจะให้ฉันบอกมาร์ค
ว่าฉันท้องลูกของเค้า แกจะให้ลูกฉันมีพ่อที่เห็นแก่ตัว ใจโลเล แบบนั้นหรอฟานี่
แกคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดีหรอ?”
ผมพูดออกไปด้วยความโมโห
ใครอยากจะให้ลูกตัวเองมีพ่อที่โลเลแบบนั้นล่ะครับ ถึงมาร์คจะทำทุกอย่างเพื่อผมได้
แต่เพราะนิสัยโลเลของมันมีอยู่มากกว่าเลยทำให้ผมรู้สึกไม่ชอบใจ
“แต่แกรักมาร์ค..”
ผมนิ่งไปทันทีที่ได้ยินแบบนั้น
ใช่ ผมยอมรับว่าผมรักมาร์ค รักมากด้วยซ้ำ
อยากให้เค้าคอยอยู่เคียงข้างผม คอยดูแลผมตลอดเวลาและตลอดไป
แต่มาคิดดูอีกทีมันก็คงไม่ได้ มาร์คควรจะมีอนาคตที่ดีคือได้คบกับผู้หญิงดีๆ
ไม่ใช่มาจมปลักอยู่กับคนที่เหมือนตัวอะไรสักอย่างแบบผม
จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายผมยังไม่รู้ตัวเองเลย
แล้วเรื่องอะไรที่มาร์คจะต้องเอาชีวิตมาคิดมากกับคนแบบผมล่ะ..ไหนจะเซฮุนอีก
คนดีๆแบบเค้าไม่ควรที่จะมาเสียใจเพราะผม ไม่น่าเลย ผมไม่น่าคบกับเค้า
ไม่น่าคุยกับเค้าจนเค้ารู้สึกดีกับผมมากขนาดนี้ ทำไมนะ..ทำไมทุกอย่างที่ผมตัดสินใจมันดูแย่ไปหมด
“บอกมาร์คเถอะแบมแบม
ฉันคิดว่ามาร์คมันไม่ได้แย่ขนาดนั้น ถ้ามันรู้ว่าแกท้อง มันต้องดูแลแกดีแน่ๆ
มันจะไม่ทิ้งแกไปไหน เชื่อฉันเถอะ”
“แต่ตอนนี้ฉันกับเซฮุน..”
“เซฮุนต้องเข้าใจแกอยู่แล้ว”
ผมเงียบไปหลังจากฟังฟานี่พูด เธอเองก็คงจะสังเกตเห็นว่าผมเงียบไปนานเลยถามขึ้นมาว่าผมโอเคหรือเปล่า
“ฉันไม่โอเคเลยฟานี่
ไม่โอเคเลยสักนิด..ฮึก ฉันทำอะไรผิด
ทำไมชีวิตฉันต้องเจออะไรแบบนี้ด้วย ทำไมต้องเป็นฉันด้วย ทำไม ฮืออ”
ฟานี่ดึงผมเข้าไปกอดในทันทีที่ผมปล่อยโฮออกมา
ผมรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่ถูกส่งผ่านมาจากอ้อมกอดของเธอ
รู้สึกเหมือนเธอเจ็บปวดไปกับผมด้วย และรับรู้ได้ถึงความเปียกชื้นที่หัวไหล่ของผม
ฟานี่และผมกอดกันร้องไห้กันอยู่อย่างนั้น ฟานี่คอยลูบหลังเพื่อปลอบผมอยู่ตลอด
แต่ไม่ว่าจะอยากหยุดร้องไห้แค่ไหนผมก็ทำไมได้เลย
อยากจะเข้มแข็งให้ได้มากกว่านี้แต่มันก็เป็นเรื่องยากเกินไปที่จะทำได้ในตอนนี้
ถ้าผมย้อนเวลาไปแก้ไขอะไรๆได้ มันก็คงจะดีกว่านี้
ดีกว่านี้จริงๆ..
หลังจากที่ผมหยุดร้องไห้ไป
ฟานี่ก็พาผมมาส่งที่คอนโด
ฟานี่ขับรถกลับไปแล้วแต่ผมยังคงยืนอยู่หน้าคอนโดไม่ยอมขึ้นไปสักที
รู้สึกอยากจะยืนอยู่เฉยๆ อยากให้เวลาเดินเร็วๆ อยากให้ทุกอย่างมันจบลงสักที
ผมเหนื่อย..เหนื่อยเกินไปที่จะรับรู้เรื่องที่ไม่คาดฝันที่มันเกิดขึ้นกับตัวผมอยู่ทุกวันนี้
ผมเหนื่อยจริงๆนะ
เมื่อไหร่มันจะจบสักที...
“แบมแบม” เสียงเรียกของใครสักคนทำให้ผมที่ยืนนิ่งอยู่คนเดียวหลุดออกจากภวังค์ทันทีที่ได้ยิน
“มาร์ค..”
“มายืนทำอะไรตรงนี้อยู่คนเดียว
เป็นอะไร?”
เคยเป็นกันใช่มั้ยครับ
ที่เวลาเราเสียใจมากๆแล้วมีคนถามว่าเป็นอะไร จากที่ไม่มีน้ำตาไม่ได้ไหลออกมากลับกลายเป็นว่าตอนนี้น้ำตาผมเริ่มไหลออกมาช้าๆ
“แบม! ร้องไห้ทำไม
ใครทำอะไร?
“เปล่า..”
มาร์ครีบเดินเข้ามาหาผมแล้วจับมือผมเอาไว้
แต่ผมก็ปฏิเสธไปว่าไม่ได้เป็นอะไร ถึงจะดูเป็นคำตอบโง่ๆแต่ตอนนี้ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะบอกหรือพูดอะไรกับมาร์ค
ผมแกะมือมาร์คที่จับมือผมไว้ออกแล้วเดินขึ้นห้องไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ หลังจากขึ้นมาผมก็ทิ้งตัวลงบนเตียงทันที
ไม่ลืมที่จะล็อคห้องเพื่อกันไม่ให้มาร์คเข้ามา ดูเห็นแก่ตัวที่ทำแบบนี้ทั้งที่มาร์คเป็นเจ้าของห้อง
แต่มาร์ครู้..มาร์ครู้ดีว่าถ้าผมทำแบบนี้แสดงว่าผมอยากจะอยู่คนเดียวสักพัก
“แบมแบม..”
เสียงเรียกของมาร์คดังเข้ามาจากนอกห้อง
ผมได้แต่นอนอยู่นิ่งฟังสิ่งที่มาร์คพูดโดยที่น้ำตาก็ยังไหลออกมาอยู่เรื่อยๆ
“มึงยังโกรธกูอยู่ใช่มั้ย?”
“…”
“กูขอโทษนะแบมแบมกูมันแย่เอง
กูมันคนโลเล เห็นแก่ตัว แต่..”
“…”
“กูรักมึง..รักจริงๆนะ”
ถ้ามึงรักกูจริงๆ..แล้วทำไมตอนนั้นมึงถึงเลือกเวนดี้ล่ะ?
TBC..
เราจะไม่กินมาม่าค่ะ
จันทร์อังคารพุธนี้มีกีฬาสีที่โรงเรียนค่า
พฤหัสก็ต้องไปทำกิจกรรมของห้อง จะพยายามมาอัพให้เร็วที่สุดนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ
ปล.คนที่ชื่อฟรอยด์อ่ะ เรามาอัพแล้วนะ555555
ความคิดเห็น