ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : -Intro-
ชีวิตคนเราบางทีมันก็เล่นตลกกันจนเกินไป เล่นตลกกันจนน่าชัง..
“เงียบๆไว้อย่าให้พวกมันจับได้ว่าเราซ่อนอยู่ตรงนี้” เสียงหวานแผ่วเบาที่ดังลอดออกจากริมฝีปากอิ่มนั้นบอกแก่เหล่าชายร่างสูงอีกสองสามคนที่นั่งยองๆติดกันอยู่ มือบางกระชับอาวุธสีดำปราบเอาไว้แน่นในขณะที่ดวงตาคู่สวยก็เหลือบมองมีดสั้นที่สอดอยู่ในรองเท้าบูทคู่ยาวให้อุ่นใจ
เงาดำของชายกลุ่มหนึ่งพาดผ่านกำแพงสีเทาของเขาวงกตที่มีพวกเขาอยู่เพียง5คนและที่เหลือกว่าสิบคนนั้นเป็นคนของฝ่ายอื่นที่ต้องระมัดระวังตัวให้มากหลังจากที่วางใจจนเกิดการสูญเสียขึ้น เกมการทดสอบที่ถูกจัดขึ้นภายในเขาวงกตที่คดเคี้ยวนั้นนอกจากจะต้องคอยหาทางออกให้ได้แล้วพวกเขายังต้องรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้ให้ดีอีกด้วย
ในเกมที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะใช้กระสุนเทียมที่แค่ทำให้สวิตซ์ที่ฝังอยู่ใต้เสื้อเกราะอ่อนทำงานแล้วถูกนำตัวออกจากเกมหรืออาจเป็นกระสุนจริงที่ทำให้เกิดความสูญเสียในชีวิตจนมีเพียงร่างไร้วิญญาณที่ออกจากสนามแห่งนี้ไป
เขาไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตของตัวเองจะต้องกลับตละปัตจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ถึงขนาดนี้..
ชีวิตของผมในวัยเด็กเกิดมาบนกองเงินกองทอง มีคนรายล้อมคอยเอาใจ คุณป๋าคุณม๊าพร้อมที่จะหาของทุกสิ่งมากองให้ผมเมื่อยามที่ผมต้องการทั้งหมดนั้นอาจเป็นเพราะที่บ้านของเรารวย แต่อีกแง่หนึ่งที่ผมโดนเอาใจมากขนาดที่ว่าอาจทำให้ผมเสียนิสัยหากว่าคุณยายไม่คอยเตือนและสอนผมอยู่ตลอดๆนั้นเป็นเพราะว่าผมเป็นลูกชายเพียงคุณเดียวของตระกูลที่จะต้องสืบทอดมรดกพันล้านของบริษัทในเครือตระกูลคิมที่แสนจะยิ่งใหญ่แห่งนี้เพียงคนเดียว
เรื่องนั้นทำให้ผมต้องเรียนหนักกว่าเพื่อนในวัยเดียวกันเป็นเท่าตัว ในขณะที่หลายๆคนได้ออกไปวิ่งเล่น เตะบอลกันหลังเลิกเรียนผมมักจะคลุกตัวอยู่กับกองหนังสือเล่มหนาหลายๆเล่มพร้อมๆกับที่มีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยมาคอยสอนอยู่ทุกเย็น แม้วัยเด็กและวัยรุ่นของผมมันออกจะน่าเบื่อหน่ายไร้ชีวิตชีวาและขาดแสงสีเสียงไปบ้างแต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมกลายเป็นเด็กมีปัญหาแต่อย่างใด
ตราบจนผมเรียนจบมหาลัยในวัย21 ทุกสิ่งทุกอย่างที่ครอบครัวเพียรพยายามมอบให้ผมนั้นกลับสูญป่าว เมื่อยามที่เกิดสูญยากาศทางการเมืองครั้งใหญ่ในเกาหลี ทุกอย่างตกอยู่ในความวุ่นวายเศรษฐกิจเกิดภาวะฟองสบู่แตกทำให้หลายธุรกิจต้องล้มละลายไม่เว้นแม้กระทั้งบริษัทส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์รายใหญ่ของประเทศอย่างบริษัทในเครือของตระกูลคิมอย่างครอบครัวผม
ในวันที่ครอบครัวของผมถูกประกาศว่าล้มละลาย ผมยังจำภาพในวันนั้นได้อย่างติดตามันเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานทั้งๆที่มันก็ผ่านมาปีกว่าๆแล้ว
ภาพที่ผู้คนมากมายที่ผมไม่เคยรู้จักเดินเข้ามาในบ้านพร้อมๆกับหยิบเอาทรัพย์สินต่างๆภายในบ้านทยอยขนออกไป คุณป๋ามีสีหน้าเคร่งเครียดและมีแววตาของคุณสิ้นหวังฉายอยู่ในดวงตาคู่คมนั้นอย่างชัดเจนในขณะที่คุณม๊าได้แต่ยืนกอดป๋าร้องไห้อยู่คนเดียวและก็ตามสเต็ปละครหลังข่าว ฟิคดราม่า นิยายน้ำเน่าทั่วๆไปนั้นล่ะครับที่ว่าพอล้มละลายแล้วคุณป๋าและคุณม๊าก็มาพร้อมใจกันล้มป่วยก่อนจะสิ้นลมหายใจไปตามๆกัน ทิ้งลูกชายเพียงคนเดียวอย่างผมให้ต้องเผชิญหน้ากับโลกกว้างที่แสนโหดร้ายและสำหรับเด็กที่ถูกเรียกมาอย่างไข่ในหินแบบผมแล้ว คำว่าโหดร้ายมันอาจจะยังเล็กน้อยเกินไปสำหรับสิ่งที่ผมกำลังรู้สึกในตอนนี้
ผมเหลือตัวคนเดียวกับหนี้ก้อนใหญ่ที่ไม่ได้เป็นคนก่อขึ้น ทางโรงพยาบาลแจ้งค่ารักษาพยาบาลมาเป็นจำนวนหลายแสนในขณะที่ค่าทำศพก็ไม่ได้น้อยหน้าเรื่องราคาไปกว่ากันเลย ผมไม่มีเงินติดตัวมากไปกว่าเงิน2หมื่นวอนที่ติดกระเป๋ากับบัตรประชาชน นั้นทำให้ผมต้องหลบหนีออกจากโรงพยาบาลพร้อมกับทิ้งแบงค์หมื่นวอนไว้ใบนึ่งกับโน๊ตกระดาษใบเล็กๆเอาไว้ที่โต๊ะของคุณหมอให้ดูเก็บดูแลศพของพวกท่านเอาไว้ก่อนส่วนเงินผมจะหามาให้ในทีหลัง
แม้ผมจะรู้สึกโกรธขึ้นมาบ้างในสิ่งที่ผมไม่จำเป็นต้องเผชิญ แม้ผมจะโมโหในสิ่งที่ไม่ได้ก่อแต่กลับต้องมานั่งชดใช้ ซึ่งถึงผมจะมีความรู้สึกเลวๆแบบนี้อยู่บ้างแต่อย่างน้อยมันก็จะไม่ทำให้ผมทำตัวเป็นลูกเลวๆคนหนึ่งตามความรู้สึกของผมและละทิ้งร่างไร้วิญญาณของทั้งคู่เอาไว้ข้างหลังอย่างไม่เหลี่ยวแลหรอกนะครับ
ผมก็แค่ต้องการเวลาและเงิน..
อเมริกาโน่ส่งกลิ่นหอมที่วางอยู่ตรงหน้าผม ผมได้แต่จับจ้องกลุ่มควันสีขาวของมันที่ค่อยๆลอยขึ้นมาช้าๆ ไม่ใช่เรื่องฉลาดที่จะกินกาแฟเข้มจัดๆแบบนี้ในยามที่เข็มสั้นและเข็มยาวของนาฬิกาชี้ที่เลข1ในยามที่ท้องฟ้าเป็นสีดำหมึก คืนนี้ผมอาจอาศัยร้านกาแฟเล็กๆข้างทางแห่งนี้เป็นที่นอนหลังจากที่ได้ซื้อกาแฟเป็นค่าที่แล้ว
“ดูเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากเลยนะ” เสียงทุ้มนุ้มหูดังขึ้นจากโต๊ะข้างๆกัน ผู้ชายร่างสูงที่มีดวงตาคู่กลมโตกับเส้นผมสีทองหยิกๆฟูๆนั้นมันน่าขันเหลือเกิน
“ก็ไม่เชิง..” ตอบรับออกไปพร้อมกับยกกาแฟแก้วกระดาษขึ้นจิบช้าๆ ชายร่างสูงคนนั้นลุกขึ้นโค้งให้กันอย่างมีมารยาญทีนึ่งก่อนจะค่อยๆนั่งลงตรงที่ว่างตรงข้ามกัน เขาวางเครื่องดื่มเย็นที่ดูจากสีน่าจะเป็นเครื่องดื่มช็อกโกแล็ตลงข้างๆตัวก่อนจะวางมือเอาไว้บนโต๊ะ
“ชีวิตเรามันก็งี๊ล่ะงี่เง่าบ้าง และโคตรงี่เง่าในบางเวลาจริงไหม?”
“...” ผมไม่ตอบแต่เหลือบตาขึ้นมองคนตรงหน้าเล็กน้อย
“ถังแตกรึป่าว?” ดวงตาคู่โตของเขาหรี่เล็กลงเมื่อจ้องมองดูกระเป๋าตังค์ของผมที่วางอยู่ข้างๆผมบนโต๊ะ ผมไม่คิดอะไรมากหรอกจะมองก็มองไปจะขโมยก็ตามสบายเพราะยังไงเงินเท่านั้นเดี๋ยวมันก็ต้องหมดอยู่ดี
“เกิดมาทั้งทีอ่ะก็ใช้ชีวิตให้มันเต็มที่หน่อยสิจริงไหม ปล่อยให้แม่งสังกะตายไปวันๆเสียชาติเกิดพอดี” มันก็จริงของเขา..
“ฉันพอจะรู้นะว่านายจะหาเงินเยอะๆได้จากไหนแถมที่นั้นยังมีที่ให้อยู่พร้อมกับอาหาร3มื้อด้วยนะเอ่อ”รอยยิ้มกว้างๆของเขากับดวงตาคู่กลมโตนั้นมันดูน่าขันเสียจนผมต้องแอบกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ในลำคอด้วยเกรงว่าจะโดนหาว่าเสียมารยาท
“งานสุจริต..เท่านั้น” ผมตอบกลับไปสั้นๆเพราะฟังจากสิ่งที่คนหัวฟูตรงหน้าบอกมานั้นมันแลดูไม่น่าจะใช้งานสุจริตเลยแม้แต่น้อย งานสุจริตที่ไหนมันจะได้เงินเยอะๆแถมสบายๆไม่ต้องหาที่พักแถมมีข้าวให้กินอีกล่ะครับจริงไหม?
“งานสุจริตสินา หน้าตาอย่างฉันมันดูเป็นคนเลวรึไง?” ผมเหลือบตาขึ้นมองใบคมคายของเจ้าตัว คนๆนี้มีดวงหน้าคมคายดีแต่เพราะดวงตาที่ดูโตและบ๊องแบ๊วนั้นทำให้คนๆนี้ดูน่ารักขึ้นมาถนัดตา ผมคิดว่าคนที่ดูน่ารักๆแกมเอ๋อๆแบบนี้จะเป็นคนไม่ดีไปได้อย่างไร ในเมื่อดูจากหน้าตาท่าทางของเขาแล้วช่างไม่มีอะไรที่บอกถึงความไม่น่าไว้วางใจของเจ้าตัวเลยแม้แต่นิด
“นายแลดูเป็นคนดี..”
“งั้นนายสนใจงานนี้ไหมล่ะ? ไปเป็นผู้ดูแลของนักเรียนเตรียมจบที่สถานศึกษาชานกรุงโซล มีที่พักพร้อมอาหารให้แค่กรอกใบสมัครอันนี้นายก็สามารถเริ่มงานได้เลย” กระดาษa4สีขาวที่มีข้อความหมึกสีดำอยู่เต็มหน้ากระดาษถูกยื่นมาพร้อมๆกับปากกาหมึกสีน้ำเงิน ผมรับมันมาอ่านคร่าวๆพบว่ามันเป็นหนังสือข้อตกลงที่มีให้ลงลายเซ็นในตอนท้ายของกระดาษ
สายตาของผมไล่อ่านดูข้อตกลงทั้งหมดที่เท่าที่อ่านดูแล้วมันเหมือนเป็นเกมเกมนึ่งเลยล่ะครับ ให้ดูแลนักเรียนแล้วก็คอยดูแลพัฒนาการของนักเรียนไปเรื่อยๆ จนมาถึงข้อสุดท้ายที่ทำให้ผมถึงกับชะงักแล้วเงยหน้าขึ้นมาชายตรงหน้าที่กำลังยกโกโก้ของเขาขึ้นจิบอย่างไม่แสดงอารมณ์หรือท่าทางอะไรไปมากกว่าความสบาย
“ข้อสุดท้ายที่ว่าตายนี้หมายความว่ายังไง?”
“ข้อ10 หากระหว่างการทำงานเกิดความเสียหายกับทรัพย์สินหรือชีวิตของผู้ลงนาม ทางโรงเรียนจะไม่ขอรับผิดชอบใดๆนอกไปจากค่าทำขวัญ10ล้านวอน” ชายคนนั้นทวนข้อความสั้นๆนั้นให้ผมฟังอีกครั้ง
“ทำไมต้องตายด้วย ไหนว่าให้ไปดูแลเด็กเตรียมจบ..”
“โรงเรียนคล้ายๆเด็กช่างกลน่ะสิจะตีกันก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ในตำแหน่งที่ฉันเสนอให้นายมันไม่เสี่ยงขนาดนั้นหรอกนายพิเศษกว่านั้นเยอะ เปอร์เซ็นจะเจอเรื่องคอขาดบาดตายน่ะมันน้อยกว่าพวกกระจ๊อกๆเยอะน่า” ผู้ชายหัวฟูคนนั้นคงคิดว่าสิ่งที่อธิบายออกมาให้ผมฟังนั้นมันคงทำให้ผมเบาใจ สบายใจยิ่งขึ้นแต่ผมขอบอกเลยว่าไม่เลยสักนิด!
“ป๊อดรึไง?..ไม่กล้าหรอ?”
“ป่าว..ไม่ได้ป๊อด” ไอ้นี้มันดูถูกผม=*=
“ฉันบอกแล้วนี้..เกิดมาทั้งทีใช้ชีวิตมันให้คุ้ม บางทีการไปทำงานที่นี้อาจทำให้นายเข้าใจความหมายของชีวิตมากขึ้น..ว่าอยู่หรือตายไปซะอันไหนมันเหมาะกับนายมากกว่ากัน?” ดวงตาคู่กลมโตของเขาค่อยๆหรี่ลง แววตาคู่ที่ผมคิดว่ามันดูใสซื่อนั้นค่อยๆแปรเปลี่ยนไปเป็นแววตาคมดูดุดัน
“....”
“กล้าลองดูไหม?..” ผู้ชายหัวฟูคนนั้นยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆผมด้วยรอยยิ้มดูเป็นมิตรในขณะที่ผมได้แต่ทำหน้านิ่งมองเจ้าตัวตอบกลับไป
“ลองดูก็แล้วกัน” ผมจรดปลายปากกาหมึกสีน้ำเงินนั้นลงบนแผ่นกระดาษเป็นชื่อและนามสกุลของผมก่อนจะส่งมันให้กับผู้ชายคนนั้น..แม้ว่าผมอาจไม่มีชีวิตออกจากเกมนี้ก็ตามที..
///////////////////////////////
เรื่องใหม่หวังว่าจะถูกใจและติดตามกันนะค่ะ><
ไปเวิ่นในทวิตได้นะค่ะติดแทก #มาเฟียแพนด้า ค่ะ
S Y D N E Y `
ความคิดเห็น