ตอนที่ 8 : takashi-san : eight
คำทำนายของคุกกี้เสี่ยงทายครั้งที่แปด
“Find out who you are and try not to be afraid of it"
จงค้นหาว่าคุณคือใคร และพยายามอย่าเกรงกลัวมัน
- Never Been Kissed -
.. ชานยอลเอาลิ้นแตะด้วยความอยากรู้ ..
04:00 am
ชานยอลสะลึมสะลือลุกขึ้นปิดนาฬิกาปลุก และก้าวลงจากเตียงอย่างไม่กระฉับกระเฉงนัก
เมื่อคืนเขาเร่งปั่นโปรแกรมส่งให้แบคฮยอนตรวจ อีกทั้งถ่างตาดูแคสเกมใหม่จนเกือบตีหนึ่ง ชายหนุ่มตบแก้มเรียกสติตัวเองอยู่หลายหน ก่อนจะเร่งจัดการธุระยามเช้าให้เสร็จสิ้นภายในเวลาอันรวดเร็ว
วันนี้ชมรมดนตรีจะไปออกค่ายที่จังหวัดอาคิตะ
ชานยอลเลือกใส่ชุดสบายตัวเพื่อเตรียมรับมือกับอากาศที่กำลังจะร้อนขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เสื้อยืดขาวกับกางเกงยีนส์สีซีดคงเหมาะยิ่งกว่าคลุมฮู้ดเป็นไหนๆ
ขายาวสาวลงบันไดมายังโถงกลางซึ่งค่อนข้างมืด แขนแกร่งกระชับกระเป๋าเป้ใบโตบนบ่าพลางสอดส่องสิ่งมีชีวิตรอบตัว ปรากฏเห็นเพียงแค่แสงไฟจากห้องอาบน้ำที่ตัวเองเปิดทิ้งเอาไว้
มันไม่ควรจะมีบางอย่างวางอยู่ตรงนั้น
“บ้าน่า”
ข้าวปั้นสองชิ้นบรรจุกล่องพลาสติก ถูกวางไว้บนเคาน์เตอร์ครัวอย่างจงใจจนต้องเหลียวหน้าเหลียวหลังด้วยความระแวงอีกครั้ง ชานยอลหยิบมันขึ้นมาอย่างตั้งคำถาม กระทั่งเจอเข้ากับโพสต์อิทสีเหลืองแปะอยู่ข้างกล่อง โดยมีใจความสั้นๆ ว่า
‘ให้ยอลจัง - เฮจัง’
ข้าวปั้นจากเซฮุนในยามเช้าตรู่?
หมอนั่นตื่นมาทำไว้ตอนไหนล่ะเนี่ย?
ถึงจะคาใจไม่น้อยเพราะยังไม่ถึงเวลาจ๊อกกิ้งของเพื่อนชาวญี่ปุ่น แต่ความอุ่นจากกล่องพลาสติกก็ทำให้ชานยอลเลือกที่จะมองข้ามแล้วยิ้มออกมาอย่างดีใจแปลกๆ แทน
“เฮ้ย” เสียงแหบแห้งจากจงอินไม่ได้ทำให้ชานยอลตกใจนัก ชายหนุ่มยัดข้าวปั้นชิ้นแรกเข้าปาก และหยิบคุกกี้ลงไปในกล่องพลาสติกอีกอัน ก่อนหันมายังห้องสตูดิโอซึ่งเปิดค้างเอาไว้
คนสวนของบ้านทาคาชิเดินออกมาด้วยสภาพสู้ฟัดจากฝันหวาน ผมยุ่งๆ ของมันมีกลีบดอกคาเนชั่นติดอยู่ประปราย จงอินไม่พูดพร่ำทำเพลง- เดินนำชานยอลไปยังหน้าบ้าน แล้วกระดิกนิ้วเรียกเพื่อนตัวสูงให้เร่งออกมาพร้อมกัน
ทว่าเสียงโครมครามฝั่งห้องนอนชั้นบนกลับดึงความสนใจทั้งสองเอาไว้
อี้ชิงในสภาพไม่ต่างจากจงอิน- ไถลตัวลงบันไดมาพร้อมกับหมอนข้างไดจังรุ่นลิมิเต็ดอิดิทชั่น หนุ่มชาวจีนขยับปากทั้งที่ตายังปิดอยู่
“ยอลจัง โชคดีนะครั–” แล้วหลับมันซะตรงนั้น ลำบากสองหนุ่มต้องหิ้วปีกเข้าห้องให้เสียเวลากันไปใหญ่
“ว่าแต่แกตื่นมาทำอะไรตอนนี้?” ชานยอลบิดเนื้อบิดตัว สูดเอาอากาศยามเช้าเข้าปอด แล้วผินมองเพื่อนผิวบรอนซ์ซึ่งลากจักรยานมาตรงหน้าเขา
“ไปส่งเจ้าบ้า ชื่อชานยอล”
แน่นอนว่าเจ้าของชื่อมองอย่างระแวงทันที “ถามจริง?”
“ตอนนี้เพิ่งจะตีสี่ครึ่งไม่มีรถเมล์หรอกเจ้าบ้า จะเดินงั้นเหรอ? คงทันหรอกมั้งเจ้าบ้า หรือจะเอาจักรยานไปจอดไว้โทโอสามวันสองคืน? งี่เง่าน่ะเจ้าบ้า” หนุ่มโอซาก้านั่งลงยังเบาะหลัง “เอ้า! รีบขึ้นมาปั่นซะ ฉันยังต้องกลับมารดน้ำเด็กๆ อีกเยอะ” ว่าแล้วก็หาวใส่หนึ่งที บีบชานยอลให้ต้องขึ้นมานั่งประจำที่อย่างช่วยไม่ได้
แล้วทำไมเขาจะต้องปั่นด้วยล่ะให้ตาย!
“ไม่ต้องทำหน้าสงสัย” มือหนาดันคางชานยอลให้หันไปทำหน้าที่ต่อ “แกมีทางเลือกซักเท่าไหร่กันเชียว ปั่นไป!”
“เยอะกว่าที่แกคิด”
“เยอะพอจะปฏิเสธแบคฮยอนเลยไหม?”
“หา?”
“ฉันรู้น่า” จงอินโผล่หน้าจากด้านหลังมากระแซะ แล้วมันก็น่าหงุดหงิดตรงที่ชานยอลรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองทุกทีที่ได้ยินชื่อคนๆ นั้น
“อะไรของแก” กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เพราะจู่ๆ จงอินก็ดันทำท่าทางเหมือนคินดะอิจิยอดนักสืบขึ้นมา อีกอย่าง ตัวชานยอลเองก็ยังไม่มีเวลาทบทวนประโยคที่แบคฮยอนพูดเอาไว้เลยด้วยซ้ำ
รู้แค่ว่าเขามองแบคฮยอนเปลี่ยนไป และคิดเรื่องของอีกคนมากขึ้น
“กับแบคฮยอนน่ะ”
“...”
“แก”
“...”
“แกกลัวแบคฮยอนมากเลยใช่ไหม?”
ชานยอลระบายลมหายใจ และขอมอบจุดให้ คิม จงอิน เอาไว้ทำปุ๋ย
เขาหรี่ตามองเพื่อนผิวบรอนซ์ที่ยังคงทำหน้าอ้อล้อราวกับเหนือกว่า แถมยังส่ายหัวพึมพำว่าเขาไม่ได้เรื่องอย่างนั้น อ่อนหัดอย่างนี้ ดูพูดเข้าเถอะ อยากให้มันส่องกระจกดูตัวเองตอนเจอสายตาเย็นๆ ของแบคฮยอนเหลือเกิน
“งี่เง่า” ชานยอลออกแรงปั่นแล้วเหวี่ยงให้จงอินร่นหน้ากลับไป “การมาส่งฉันเกี่ยวกับแบคฮยอนตรงไหนไม่ทราบ?”
“เกี่ยวอยู่แล้ว” จงอินว่า ก่อนเขย่าบางอย่างข้างหูเรียกชานยอลให้เหลือบตามองตาม
กล่องนมสีเหลือง ..ซึ่งถูกเจาะเอาไว้ด้วยหลอดเสร็จสรรพ
“ทุกคนเขาตื่นมาส่งแก”
นมกล้วย ..
นมกล้วยของแบคฮยอน
“เพราะฉะนั้น แกไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธอะไรทั้งสิ้นเจ้าเด็กใหม่”
“ร้อนจังเลยนะครับแบคซัง”
โตเกียวได้เข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการเมื่อไม่กี่วันก่อน
พยากรณ์อากาศแจ้งเอาไว้ว่าจะเป็นอีกปีที่ญี่ปุ่นอุณหภูมิเฉลี่ยสูงเช่นเคย และเครื่องวัดสภาพอากาศที่เจ้าบ้านติดตั้งเอาไว้ก็ทำงานไม่เคยพลาด มันโชว์ตัวเลขเด่นหราอยู่ที่ 29 องศาเซลเซียสไม่ขาดไม่เกิน
“นั่นสิ”
แบคฮยอนและอี้ชิงใช้โอกาสนี้ลากเก้าอี้อาบแดดสองตัวมายังใต้ต้นไม้ใหญ่ตรงสวนหน้าบ้าน พวกเขาหาที่คลายร้อนโดยไม่ยอมพึ่งเครื่องปรับอากาศให้เปลืองค่าไฟ โดยบอสทาคาชิในชุดยูกาตะสีขาว ยกเบาะขึ้นนั่งรัวแล็บท็อปอยู่ไม่ห่าง
“ร้อนแบบนี้ต้องไอศกรีมร้านริโกะจังเท่านั้น” อี้ชิงนอนหงาย อ้าปากพร่ำเพ้อ เขาปล่อยแขนขาให้ห้อยลงไปยังพื้นหญ้าสีเขียวสดซึ่งเปียกชุ่มเพราะมีคนสวนหุ่นนายแบบคอยดูแล
สายตาเหม่อลอยไปยังเสาไม้ไผ่ประดับธงปลาคาร์ฟปลิวไสวสู้สายลมอ่อนอยู่หน้าบ้านอีกฝั่ง เพราะถึงจะผ่านเทศกาลโคโดโมะโนะฮิ (วันเด็กผู้ชาย) ไปนานแล้ว เซฮุนก็ยังไม่ยอมชักมันลงมาเก็บเสียที คงเป็นเพราะความขี้เกียจของเจ้าตัว
ไม่ก็ความเห่อธงผืนใหม่ที่ผุดเพิ่มขึ้น จาก 4 เป็น 5 ผืน ล่ะมั้ง
“ซื้อซะสิ ขอนมกล้วยให้ฉันด้วยสองกล่อง”
“โถ่ แบคซัง” หนุ่มชาวจีนเบนหน้าเหนื่อยอ่อน เขาได้ยินเสียงเคาะแป้นพิมพ์ อย่างเร่งรีบ แต่ใบหน้าผู้กระทำยังคงราบเรียบเช่นเคย “รอบนึงแล้วนะครับ สำหรับวันนี้”
“งั้นก็ลองใช้สองคนนั้น” เจ้าบ้านไม่ยอมละสายตาออกจากหน้าจอ เขาชี้นิ้วข้างหนึ่งไปยังสองหนุ่มหยินหยางที่ง่วนอยู่กับแผงห้อยกล้วยไม้ข้างบ้าน ซึ่งแกนนำคิมจงอินกำลังตะโกนโหวกเหวก- กำหมัดลงยังกลางหัวเพื่อนหน้าง่วงและขยี้มันไปมา เพียงเพราะถูกเซฮุนจี้เอวจนทำให้ตัดกิ่งผิด
คงไม่ได้การเท่าไหร่
“ไม่ห้ามจะดีหรือครับ?”
“ร่าเริงกันก็ดีแล้ว”
‘งั้นเหรอ?’ อี้ชิงคิด เขาโปะผ้าเย็นไว้บนหน้าผาก “แล้วแบคซังทำอะไรอยู่ครับ?”
บอสทาคาชิใช้นิ้วเคาะกับที่พักมือก่อนจะเริ่มรัวโค้ดอีกครั้ง “แก้โปรแกรม ส่วนของชานยอล”
“มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ?”
“ไม่มีหรอก แค่เพิ่มฟังก์ชั่นเรียกใช้งานนิดหน่อย”
“อ่า” อี้ชิงยกยิ้มบาง แล้วเอนตัวนอนลงดังเดิม “ใช่เล่นเลยจริงไหมครับ?”
“เป็นคำถามประเภทไหนน่ะ?”
เสียงใสหัวเราะจนตาแทบปิดกับคำพูดล้อเลียนจากแบคฮยอน “ยอลจังไงล่ะครับ”
คนตัวเล็กเบนสายตาครุ่นคิด “ในเรื่องครีเอทอาจจะไม่เท่าพวกนาย แต่ลอจิกก็ไม่ได้ด้อยนักหรอก” แบคฮยอนออกความคิดเห็น “นายคงไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้เรื่องเดียวหรอกจริงไหม?”
หนุ่มชาวจีนระบายลมหายใจแล้วอมยิ้มให้กับความคิดรอบด้านของคนข้างๆ ก่อนพยักหน้าตอบ “ยอลจังเหมือนกับที่แบคซังเคยพูดเอาไว้เลยครับ”
“..?”
“ความพยายามของเขาทำเอาผมเผลอชื่นชมทุกครั้ง มีไม่มากหรอกนะครับ ที่ใครจะลุกขึ้นมาฮึดทำเรื่องพวกนี้”
“หมอนั่นปราบพยศง่าย เพราะเป็นคนที่มองเห็นผลลัพธ์ แต่ไม่มีแรงบันดาลใจมากพอก็เท่านั้น”
“ผมรู้สึกว่าโกจังไม่ใช่ตัวแปรต้นของการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้น่ะสิครับ” อี้ชิงพยายามนึกถึงโทกะ เขาเห็นมาตั้งแต่ต้นว่าทั้งคู่เริ่มทำความรู้จักกันก่อนที่ชานยอลจะเข้าที่เข้าทางเสียด้วยซ้ำ
“ถูกครึ่งหนึ่ง” แบคฮยอนแย้ง และยอมปิดหน้าจอแล็บท็อปลง “เพราะยังถือว่าเธอเป็นหนึ่งในล้านเหตุผลสำหรับชานยอลอยู่ดี”
“นั่นสินะครับ” หนุ่มชาวจีนทอดมองจงอินที่กำลังป้อนขนมปังให้เจ้าโอดะ และถึงจะทำท่าทีไม่เต็มใจนักแต่ก็ยอมยัดใส่ปากเซฮุนอีกคน “แต่ที่ยอลจังคล้อยตาม ผมคิดว่าเขาต้องรู้สึกวางใจบ้างแหละ”
“แบบนั้นไม่สมกับเป็นหมอนั่นเลยนะ”
“ครับ” อี้ชิงหัวเราะเห็นด้วย “เพราะวางใจ ทั้งเรื่องต้องย้ายเข้ามาอยู่กับคนที่ไม่รู้จัก เรียนภาษา เข้าคลาส โปรเจค หรือการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เขาจะไม่ทำมันตามที่พวกเราแนะนำก็ยังได้ แต่เขาก็เลือกที่จะทำ”
“นายไม่คิดว่าฉันบังคับเขาบ้าง?”
“เรียกชี้ทางไม่ดีกว่าเหรอครับ”
แบคฮยอนยกมุมปากขึ้น เล่นงานคนมองให้เคลิบเคลิ้มไปกับรอยยิ้มเล็กๆ นั่น
“ฉันก็แค่หย่อนเชือกลงไป อยู่ที่ว่าเขาจะปีนมันขึ้นมาแบบไหนมากกว่า”
การที่แบคฮยอนพูดเรื่องชานยอลออกมาด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ทำให้อี้ชิงลดความกังวลใจลงไปได้หลายเปราะ มันคือความรู้สึกคล้ายคลึงกับการพูดถึงเซฮุนที่แอบย่องลงมานั่งคุยกับอากาศในยามดึก หรือการบ่นให้จงอินที่ขนดอกไม้เข้าห้องสตูดิโอมากเกินไป
จะเรียกว่าคุ้นเคยได้รึเปล่า?
หรือความสนิทสนมที่มีมากขึ้นกันแน่?
“อาจจะปีนขึ้นมาแบบทุลักทุเลก็ได้นะครับ” อี้ชิงกลั้นขำ เมื่อคิดถึงนิสัยขวานผ่าซากของเพื่อนตัวสูง
“ดีซะอีก การชื่นชมวิวระหว่างทางก็สำคัญเหมือนกัน นายเองก็รู้”
คนฟังหัวเราะแห้ง แต่ก็เห็นด้วยกับคำพูดนั้นอยู่มาก
อี้ชิงนับถือแบคฮยอนในหลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้นความเป็นผู้ใหญ่ในตัวอีกฝ่าย หากไม่นับพระเจ้าและครอบครัว- แบคฮยอนเปรียบเสมือนแสงสว่างเดียวที่อี้ชิงมี เขาเต็มใจที่จะยึดเอาไว้ เพราะเชื่อมั่นว่าทุกสิ่งที่แบคฮยอนมอบให้ผ่านการไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว
“ใจดีอีกแล้วนะครับ”
“ฉันไม่เคยใจร้ายจริงไหม?”
แน่นอนว่าอี้ชิงมีความสุขเสมอเมื่อได้พูดคุยกับแบคฮยอน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
เสียงเอะอะดังขึ้นอีกรอบ คราวนี้จงอินเดินลากคอเสื้อเซฮุนแล้วตรงมารวมกลุ่มกับเพื่อนทั้งสอง จากที่อี้ชิงคาดการณ์ คนสวนประจำบ้านคงใช้กำลังบังคับเพื่อนตัวขาวอยู่สักพัก ดูได้จากผมเผ้ายุ่งเหยิงของทั้งคู่
“ไม่อยากรู้บ้างรึไง?”
เซฮุนกลอกตามองแบคฮยอนอย่างไม่แน่ใจในคำพูดของจงอินนัก
“มีอะไรครับจินจัง?”
คนขวานผ่าซากนั่งแหมะลงระหว่างเก้าอี้อาบแดดทั้งสอง มือหนาตบที่ว่างให้เซฮุนนั่งลงข้างกัน พลางดึงไหล่ชุดยูกาตะของแบคฮยอน- ที่ร่นลงจนเห็นไปถึงไหนต่อไปขึ้นให้
“มีเรื่องสงสัย และอยากให้ตอบด้วย” จงอินเข้าประเด็นอย่างไม่อ้อมค้อม เขาพุ่งคำถามไปยังเจ้าบ้านซึ่งนอนเหยียดขาอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไรนัก
“ซีเรียสแค่ไหน?”
“น้อยกว่าลืมรดน้ำต้นไม้”
“ว่ามาเถอะ”
“เมื่อวานก่อนออกไปส่งเจ้าบ้านั่น ฉันเห็นห่อพัสดุแกะแล้วในถังขยะตรงเคาน์เตอร์ครัว จ่าหน้าจากเกียวโตถึง บยอน แบคฮยอน” จงอินพูดรัวพลางมองคนรับพัสดุสลับกับเซฮุน “ลงชื่อผู้ส่งชัดเจน ฉันล่ะแปลกใจจริงๆ ที่เห็นมัน” เขาทำหน้าซังกะตายไม่ต่างจากตอนที่เจอคริสนัก
“เขาเหรอครับ?” อี้ชิงถามขึ้นมาบ้าง ประกอบกับความกังวลในแววตาของเซฮุนที่แสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจน
และตามมาด้วยการพยักหน้าจากแบคฮยอน
“ใช่ เขานั่นแหละ”
“ปกติแล้วเจ้านี่ต้องรู้ก่อนใครไม่ใช่รึไง?” คนเปิดประเด็นที่เริ่มจะหงุดหงิด- มองหาเรื่องเจ้าบ้าน พร้อมชี้ไปทางเซฮุนเพื่อย้ำเตือน
ในที่นี้ การแสดงความไม่พอใจของจงอินคือการทวงสิทธิ์ของเพื่อนสนิทอย่างหนึ่ง ทั้งสามยินยอมให้แบคฮยอนยุ่งย่ามเรื่องส่วนตัวได้ ตามเหตุผลและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงมีสิทธิ์ในเรื่องของแบคฮยอนได้อย่างเท่าเทียม ยิ่งเป็นเรื่องนี้ด้วยแล้ว ใครจะปล่อยก็เอาเลย แต่จงอินไม่ยอมแน่
“คำถามต่อไปก็คือ มีอะไรที่พวกฉันควรรู้ไหม?”
บอสใหญ่ลุกขึ้นนั่งแล้ววางมือลงบนกลุ่มผมสีดำสนิทของเซฮุน เขายกไหล่อย่างไม่แยแส ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“มันไม่ได้สำคัญนักหรอก เพราะเขาแค่ฝากมัทฉะและความคิดถึงมาให้พวกนายก็เท่านั้น”
“เฮ้อ”
ค่ายอาสาที่อาคิตะห้าวันสี่คืนลุล่วงไปด้วยดี
แม้การไปครั้งนี้จะไม่ตรงกับเทศกาลน่าสนใจอย่างคันโตมัตสึริ (แห่โคมไฟคันโต) ที่จัดขึ้นในเดือนสิงหาก็ตาม แต่ชานยอลยอมรับเลยว่าที่นั่นมีภูเขาสูงตระการตาและอากาศเย็นสบายกว่าในโตเกียวเป็นไหนๆ
“ยอลจัง! ทางนี้ครับ” อี้ชิงโบกไม้โบกมือต้อนรับการกลับมาของเพื่อนตัวสูงอย่างร่าเริง ประกายในตาหนุ่มชาวจีนระยิบระยับอยู่กับถุงของฝากใบโต- ที่ชานยอลเพิ่งหอบลงมาจากรสบัสมหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่ลืมหันไปทักทายโทกะกับรุ่นพี่สุดหล่อซึ่งตามหลังมาติดๆ “คอนนิจิวะ โกจัง เปปจัง”
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยิน แต่ คิโยชิ เทปเป ก็หัวเราะลั่นทุกครั้งเมื่อชื่อตัวเองหลุดออกจากปากรุ่นน้องจอมครีเอท ส่วนโทกะนั้นยิ้มรับด้วยความเคยชิน เธอบอกลาเพราะถูกเร่งจากกลุ่มสาวๆ ด้านหลัง และโค้งตัวให้กับชายหนุ่มรุ่นพี่
“เปปจังอยู่ชมรมดนตรีเหรอครับ?”
“ซะที่ไหน ฉันเห็นมันน่าสนุกดีก็เลยขอไปด้วยน่ะซี”
“เห แปลกคนตลอดเลยนะครับ”
“แล้วนาย อ่อ มารับชานยอลสินะ?” รุ่นพี่นักกีฬาตบป้าบเข้ากลางหลังรุ่นน้อง “ดูแลมันดีๆ หน่อยล่ะ ช่วงนี้เหม่อบ่อยจนน่าเป็นห่วง” พูดไว้แค่นั้นก่อนจะโบกมือลา หนุ่มตัวโตเท่าไททั่นวิ่งจากไปโดยมีทุ่งดอกไม้วิบวับประดับรอบตัว พร้อมกับตะโกนไล่หลังไว้ว่า “ฝากบอกแบคฮยอนด้วยน้าว่าฉันคิดถึงม๊ากมาก”
ไม่บอกหรอก - อี้ชิงคิด
พอหันกลับมาเห็นหน้าตาเพื่อนตัวสูงที่ดูหน่ายโลกแล้ว ..
“ถอนหายใจซะแรงเลยนะครับ”
“กลับกันเถอะ” ชานยอลตอบด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เขาทิ้งถุงของฝากให้อี้ชิงดูแล ก่อนคว้าจักรยานซึ่งจอดอยู่ใต้ต้นซากุระใบเขียวเต็มกิ่งไปปั่นให้อีกคนซ้อนอย่างรู้งาน
ในขณะที่เพื่อนชาวจีนมัวแต่สนใจโมจิในมือและฮัมเพลงไปเรื่อยอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว ด้านชานยอลนั้น ..กำลังถอนหายใจออกมาอีกรอบ
เซ็งเจ้าเซฮุนจริงๆ ให้ตายเถอะ
คนตัวสูงคิดพลางอ้าปากหาวหวอดไปตามทาง
หนึ่งในความคาดหวังในการไปค่ายครั้งนี้ของชานยอล คือการที่ตัวเองจะเลิกคิดเรื่องไร้สาระที่วนเวียนอยู่ในหัว อย่างเช่นเรื่องที่เซ็นโตวันนั้น เรื่องที่ร้านติ่มซำวันโน้น หรือเรื่องในห้องอาบน้ำไม่กี่สัปดาห์ก่อน
โอเค ..ทุกเรื่องที่มีแบคฮยอนนั่นแหละ
ชานยอลลองทบทวนอย่างจริงจังระหว่างเดินทางไปอาคิตะ เขาไม่ได้โง่ถึงขนาดไม่รู้สึกถึงความผิดปกติของตัวเอง และถึงแม้จะมีคนที่ชอบอย่างโทกะอยู่ใกล้ ..คำตอบของอาการข้างต้นก็ค่อนข้างเอนเอียงไปทางน่ากลัวเสียจนนึกหวั่น
‘ใช้โอกาสนี้ทำให้เธอประทับใจ’
ตลอดเวลาที่อยู่ค่ายอาสา ชานยอลพยายามทำตามคำแนะนำของจงอินอยู่หลายครั้ง เพราะอย่างไรเสียการเข้าหาโทกะก็เป็นอีกหนึ่งหนทางที่จะทำให้เขาลืมเรื่องไร้สาระไปได้บ้าง ..
ทว่าเมื่อชานยอลทำเป็นลืมและเริ่มสนุกกับกิจกรรมของค่าย
Oh : (ส่งสติ๊กเกอร์รูปแมวดำเลียหาง) 07:03
Oh : (แนบรูปโอดะกำลังเลียน้ำแข็งใส) 11:18
Oh : (ส่งไฟล์เสียงร้อง ‘ม้าว’ ของโอดะ) 13:59
ไม่ว่าจะเป็นตอนสันทนาการค่าย เก็บขยะ ทาสี ปีนต้นไม้ ล้างส้วม หรือแม้กระทั่งเวลาที่จะได้อยู่กับโทกะสองต่อสอง
เจ้าบ้า โอ เซฮุน คนนั้นก็มักจะรัวข้อความหาเขาอยู่ตลอด
Oh : (ส่งวีดิโอโอดะถูกลูบหัว) 15:30
โดยเฉพาะคลิปล่าสุดที่ถูกส่งเข้ามา ช่างพอเหมาะพอดีกับตอนที่ชานยอลกำลังจะลุกไปช่วยโทกะยกของลงจากรถเสียเหลือเกิน
และเท่านั้นยังไม่พอ ..คนที่ลูบหัวเจ้าโอดะ
ก็คือแบคฮยอน
ชานยอลเสียเวลาชะงักค้างตาเหลือกมองคนในคลิปอยู่นานสองนาน จนพลาดโอกาสเข้าไปช่วยโทกะอย่างน่าเสียดาย
“ทำไมครั้งนี้ถึงเป็นนายที่มารับล่ะ?” ชานยอลถามเสียงเนือย เพราะล่าสุด เป็นจงอินที่ส่งข้อความมาถามว่าจะถึงโทโอเมื่อไหร่ ก็นึกว่าเพื่อนปากดีจะเป็นคนมารับเองซะอีก ที่ไหนได้กลับส่งตัวตายตัวแทนมาซะนี่
“จินจังรอยอลจังอยู่ที่บ้านครับ!”
“ทำไมเจ้านั่นต้องรอฉันด้วย?”
“ทุกคนเขารอยอลจังกันทั้งนั้นแหละครับ!”
“แล้วทำไมต้องทำเสียงร่าเริงตลอดเวลาด้วย!”
“คิดถึงยอลจังไงล่ะครับ!”
“พูดบ้าอะไรเนี่ย!”
อี้ชิงหัวเราะคิกคักแถมยังไม่ยอมตอบคำถามในทันที เขากอดเอวหนาเอาไว้พร้อมกับใช้หัวถูแผ่นหลังที่กว้างขึ้นของชานยอลอย่างออดอ้อนคล้ายแมวตัวน้อย
“หยุดนะเฟ้ย!” จนคนถูกลวนลามได้แต่ร้องโวยวายพลางบังคับทิศทางเอาไว้ไม่ให้จักรยานชนเสาไฟตายหมู่เสียก่อน
“ไปตัดผมกันเถอะครับยอลจัง!”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ตลกตอนชานยอลถามอี้ชิงว่าทำไมต้องทำน้ำเสียงร่าเริงตลอดเวลาด้วย5555
อย่าคิดนานนะคะ แบคฮยอนรออยู่ แต่ฮอตขนาดนี้
ก็ต้องเร่งทำคะแนนก่อนแล้ว