ตอนที่ 7 : takashi-san : seven
คำทำนายของคุกกี้เสี่ยงทายครั้งที่เจ็ด
“Personality is much more important than intelligence"
บุคลิกภาพ บางครั้งก็สำคัญกว่าความฉลาด
- Bicentennial Man -
.. ชานยอลเงี่ยหูฟังมันอย่างตั้งใจ ..
** ไม่ใช่ฟิคกีฬานะคะ มีนิดหน่อยพอเป็นสีสันเท่านั้น
“เริ่มมีกล้ามแล้วนะคะยอลจัง”
ชานยอลกลอกตาใส่จงอิน- ที่ล้อเลียนเขาด้วยท่าทางโรคจิตอยู่
เช้านี้คนสวนประจำบ้านทาคาชิ อยู่ในลุคกางเกง’ บอล เปลือยกล้ามท้องลอนแน่น กับสองอ้อมแขนซึ่งเต็มไปด้วยกระถางต้นไม้สุดรักสุดหวง
“ไหนอัพเดทซิ” มันว่าต่อ “ยังกินโปรตีนตามที่ฉันแนะนำอยู่ไหม?”
คราวนี้ชานยอลเบ้ปาก
พวกเขาเพิ่งกลับมารวมตัวกันคืนก่อน เหตุเพราะญี่ปุ่นเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาว ตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคม หรือที่เรียกกันว่าโกลเดนวีค (Golden week)
โดย คิม จงอิน ถือโอกาสกลับโอซาก้า เช่นเดียวกับ จาง อี้ชิง ที่ถูกลากตัวคืนปักกิ่ง ในขณะที่บอสใหญ่และบอดี้การ์ด โอ เซฮุน รับหน้าที่เฝ้าบ้านตระกูลบยอนไว้เช่นเดิม
อนาถสุดคงเป็น ปาร์ค ชานยอล ที่ต้องปั่นจักรยานกลับบ้านเพียงลำพัง เพื่อใช้ชีวิตในช่วงหนึ่งสัปดาห์อย่างน่าขนลุก นั่นเพราะคุณนายปาร์คตาลุกวาวทุกครั้งที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนดีดตัวขึ้นมาจ๊อกกิ้งและยกเวท อีกทั้ง’ ทานอาหารเสริมไม่ขาด ให้เธอได้แสร้งน้ำตาซึมทุกครั้งที่เห็น
“ถ้าบอกว่าไม่- คงได้โดนสันหนังสือแบคฮยอนฟาดเข้ากลางกบาลน่ะสิ”
“รู้ก็ดี เพราะงั้นฉันเลยบอกอี้ชิงเพิ่มเซ็ตยกเวทให้แกอีก 2-3 เซ็ต”
“ให้ตายเถอะ” ชานยอลสบถ “แล้วจะให้ฉันวางลูกๆ ของแกไว้ตรงไหน?”
หนุ่มโอซาก้าเอียงหัวไปยังทางเดินข้างบ้าน บอกตำแหน่งให้ผู้ช่วยจำเป็นวางต้นเฟิร์นประดับลงไป
วันนี้ชานยอลถูกเทรนเนอร์เซฮุนเมินเพราะเจ้าโอดะท้องร่วง ดูเหมือนเป็นเรื่องน่ายินดี แต่คนเคยชินดันอยู่เฉยไม่ได้ รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวแปลกๆ
ครั้นจะชวนอี้ชิง ..รายนั้นกลับยกมือห้ามและประกาศเจตจำนงอันแรงกล้าต่อหน้าโปสเตอร์ไดจังเอาไว้ว่า ‘ผมไม่มีทางออกไปเสี่ยงชีวิตกับโมชิตัวใหญ่แน่นอนครับ ลู่วิ่งข้างล่างก็เหลือแหล่แล้ว’
ความหวังสุดท้ายจึงตกอยู่ที่จงอิน แต่เจ้านี่ดันทำท่าแขยงรองเท้ากีฬาขึ้นมาเสียขนาดหนัก พอชานยอลเริ่มรำคาญและตัดปัญหาจะออกตัวไปคนเดียว มันก็เรื่องมากรั้งเขาเอาไว้อีก
ลงเอยด้วยการต้องมาขุดดิน ยกกระถาง รดน้ำต้นไม้ช่วยมันอยู่แบบนี้
“อย่าบอกนะว่าแกไปขนเจ้าพวกนี้มาจากโอซาก้า?” ชานยอลชี้ไปยังกองทัพพันธุ์ไม้บรรจุถุงดำ และกระถางใหม่เอี่ยมอีกจำนวนมาก พ่วงมากับปุ๋ยและอุปกรณ์ทำสวนครบครัน
“อ่าฮะ” คนสวนประจำบ้านใช้มือสั่นๆ หยิบกรรไกรขึ้นมาตัดใบสีเหลืองออก พร้อมพึมพำอาลัยอาวรณ์ปานจะขาดใจ “ลูกพ่อ” ก่อนจะประคองใบที่เหลือมากอดเอาไว้แนบอก
ชานยอลเคยคิดว่าจงอินปกติที่สุดในบรรดาสามสหายพิทักษ์แบคฮยอน
แต่เขาขอถอนคำพูดวันนี้เลยก็แล้วกัน
“ได้ยินว่าแกเข้าชมรมดนตรีกับโทกะ?” คนผิวบรอนซ์ลอบมองปฏิกิริยาของหนุ่มนักรักอยู่ครู่หนึ่ง เจ้าของหุ่นสูงใหญ่ที่เริ่มเข้าที่เข้าทาง- ทำเพียงพยักหน้าและถอนหายใจออกมาเท่านั้น
“ลองบอกเหตุผลที่ทำให้แกห่อเหี่ยวมาสักข้อ ถ้ามันฟังดูงี่เง่าฉันจะจับปุ๋ยกรอกปากให้”
ชานยอลนั่งลงบนพื้นหญ้าข้างจงอิน และครุ่นคิดถึงคำถามนั้น
“ก็คุยกันบ่อยขึ้น”
“แล้วยังไง”
“อีกไม่กี่วันจะมีค่ายอาสา ฉันต้องไปกับเธอ ไม่สิ– ต้องไปกับชมรมดนตรีทั้งหมด”
“เหมาะเลย ใช้โอกาสนี้ทำให้เธอประทับใจ”
“มันก็คงจะดีแหละ”
“บื้อจริง” จงอินโยนพลั่วให้ชานยอลรับไปงงๆ “ข้อเสียหนึ่งอย่างของแกที่ฉันไม่ชอบคืออะไรรู้ไหม?”
หนุ่มตัวสูงส่ายหน้า
“มั่นใจหน่อยซีวะ!”
‘มั่นใจหน่อย’
ประโยคนั้นซ้อนทับกับคำพูดของแบคฮยอน ทำคนฟังชะงักไปครู่หนึ่ง
ความสัมพันธ์ระหว่างชานยอลและโทกะเริ่มด้วยคำว่า ‘เพื่อน’ อย่างราบรื่น จนแทบไม่มีอะไรให้ต้องกังวล เธอมักจะส่งข้อความมาพูดคุยด้วยเสมอ เป็นธรรมชาติ ไม่หวือหวา หรือเร่งรัด แต่ทุกครั้งที่ชานยอลพยายามจะแสดงตัวให้โทกะรู้ว่าตัวเองสนใจ ก็มักจะมีความรู้สึกบางอย่างเข้าแทรกจนเขาต้องพับเก็บมันลงไปเสมอ ซึ่งไม่ใช่คำว่า ‘ปอดแหก’ อย่างที่จงอินสบประมาท แต่มันค่อนข้างซับซ้อนกว่านั้น
“นั่นอะไร?” ชานยอลเบี่ยงประเด็น เขาชี้ไปยังดอกไม้สีฟ้าอ่อนซึ่งซ้อนกันเป็นพุ่มเล็ก เพราะดูท่าแล้ว จงอินพยายามทะนุถนอมมันราวกับไข่ในหินยิ่งกว่าชนิดอื่น
“ดอกไฮเดรนเยีย”
“แล้วทำไมแกดูอารมณ์เสียกับมันนัก?”
“มันเรื่องมากจะตายชัก” คนผิวบรอนซ์พ่นลมหายใจ ตีหน้าเบื่อหน่าย “ชอบที่ร่ม ชอบความชื้น มีอย่างที่ไหนไม่ชอบความแฉะ ชอบแดดอ่อน แต่ถ้าแรงไปใบก็ไหม้อีก น่ารำคาญ”
คนฟังหลุดหัวเราะ “ถ้ามันยุ่งยากขนาดนั้นก็ไม่ต้องปลูก”
“ไม่ได้” จงอินส่ายหัวทำหน้าจริงจัง และพยายามจัดพวกมันไว้ยังตำแหน่งพอดีกับแสงที่สุด “แบคฮยอนชอบพวกมัน”
“...”
“การปลูกเจ้าพวกนี้ เป็นไม่กี่อย่างที่ฉันทำให้หมอนั่นได้”
คำพูดประหลาดจากเพื่อนปากมาก ทำเอาชานยอลเลิกคิ้วแปลกใจ
เกือบเทอมแล้วที่รู้จักกัน ชัดเจนว่าจงอินไม่ใช่สายนอบน้อมอย่างอี้ชิง หมอนี่ขึ้นชื่อเรื่องความห่ามและหยาบคาย แถมยังเสียงขี้โวยวายเกินจำเป็นด้วยซ้ำ
ทว่าสิ่งที่ชานยอลสังเกตเห็น คือสายตาของเพื่อนโอซาก้าไม่ได้แข็งกร้าวเวลาอยู่กับเจ้าพวกทาคาชิ ยิ่งกับแบคฮยอนด้วยแล้ว ถึงแม้จงอินจะเหน็บแนมบอสใหญ่ไม่หยุด แต่ก็ยังแย่งจักรยานมาปั่นให้อีกคนซ้อนอยู่ตลอด
ในขณะที่เซฮุนห่วงใยแบคฮยอนอย่างใกล้ชิด
จงอินมักจะดูแลแบคฮยอนอยู่ห่างๆ
ตอนนี้ก็เช่นกัน ชานยอลสัมผัสได้ถึงความตั้งใจในการปลูกดอกไฮเดรนเยียนับร้อยได้เป็นอย่างดี ถึงแม้เจ้าตัวจะเอาแต่หน้านิ่วคิ้วขมวดก็ตาม
“จงอิน” ชานยอลจับไหล่เปลือยของเพื่อนผิวบรอนซ์แล้วมองอย่างจริงจัง ส่วนคนที่กำลังลุ้นกับประโยคต่อไปก็ได้แต่เลิกคิ้วรออย่างใจจดใจจ่อ
“อะไรวะ?”
“อุ๊บ! ” สุดท้ายชานยอลก็หลุดหัวเราะออกมาจนต้องกลั้นเอาไว้ “เวลาแกทำหน้าจริงจังแล้วตลกชะมัด”
“หนอย เจ้าบ้านี่!”
“เชื่อเถอะถ้าไปพูดแบบนั้นกับแบคฮยอน แกต้องโดนมองว่าบ้าแน่ๆ”
“หุบปาก!”
ชานยอลหัวเราะร่าพร้อมทั้งเบี่ยงตัวหลบฝ่าเท้าของจงอินให้วุ่น แต่ก็ดีแล้วล่ะ ที่เรื่องซึ้งของคนห่ามสามารถจบลงได้ด้วยการใช้กำลังอย่างเช่นทุกครั้ง ไม่งั้นบรรยากาศเช้านี้คงพิลึกชอบกล
ว่าแล้วชานยอลเลยลอบมองขึ้นไปยังชั้นบน ซึ่งเป็นที่อยู่ของคนต้นเหตุเสียหน่อย เขาเห็นหน้าต่างห้องนอนแบคฮยอนถูกเปิดทิ้งเอาไว้อีกตามเคย
“เช้าแบบนี้แบคฮยอนหายไปไหนได้แทบทุกวัน?”
จงอินกระฟัดกระเฟียด เพราะนอกจากจะทำร้ายร่างกายชานยอลไม่ได้แล้ว เจ้าหมอนี่มันยังชวนเปลี่ยนเรื่องไม่หยุด
“ถ้าอยากรู้ ก็ไปยกกระถางตรงนั้นมาให้หมด!”
“สตรีทบาสฯ?”
หลังจากขนกระถาง-ขุดดินกันเสร็จ จงอินก็ไม่ลืมที่จะหยิบเสื้อยืดขึ้นมาสวม ก่อนกอดคอเพื่อนตัวสูงให้เดินออกมาพร้อมกัน ทว่าเพียงแค่สองบล็อกเท่านั้นก็ถึงที่หมาย
สนามสตรีทบาสฯ ล้อมด้วยตาข่ายสูง ปรากฏร่างแบคฮยอนกำลังเลี้ยงลูกสีส้มสลับกับชู้ตลงห่วงอยู่ลำพัง บอสทาคาชิยังคงสงบนิ่ง แม้ผมสีบลอนด์สว่างจะเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อแล้วก็ตาม แปลกตายิ่งกว่าตรงที่คนตัวเล็กอยู่ในชุดกางเกงวอร์มขายาวและเสื้อแขนกุดสีดำ
“เดาถูกแฮะ” จงอินเดินเข้าไปใกล้ตาข่ายเหล็กด้านข้าง เพื่อสอดนิ้วจับมันเอาไว้ “ถ้าร้อนกว่านี้คงอยู่สระว่ายน้ำในสโมสร ไม่ก็สักที่ ที่ทำให้สงบจิตสงบใจได้”
“แกพูดเหมือนกับเขาเป็นพวกควบคุมอารมณ์ได้ยาก” ชานยอลมองตาม แบคฮยอนยังคงชู้ตลูกสามแต้มอยู่ ลงบ้าง ไม่ลงบ้าง แต่ก็ดูมีเสน่ห์ไม่หยอก กล้ามเนื้อสมส่วนตรงต้นแขนของเจ้าตัวคงได้มาเพราะการนี้
“ลืมไปแล้วรึไง ครั้งแรกที่พวกแกคุยกัน” จงอินกระตุ้นต่อมความหลังให้ชานยอลได้ระลึก
‘You should kick your ass back to San Francisco. Park Chanyeol’
ซึ่งก็จริง มันไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่
“เห็นนิ่งๆ แบบนั้น อารมณ์แปรปรวนเอาเรื่องเลยล่ะหมอนี่” น้ำเสียงของจงอินติดตลก “นอกจากชงชากับอ่านหนังสือ คงเป็นการเรียกเหงื่อนี่แหละที่แบคฮยอน ชอบทำ”
“เป็นพวกหยั่งไม่ถึงเสมองั้นสิ” ชานยอลหลุดน้ำเสียงหน่ายใจให้กับความคิดเหนือความเป็นระบบระเบียบของบอสทาคาชิ จนหนุ่มโอซาก้าหัวเราะร่วนตาม
“คอร์สเรียนภาษาของแกก็ได้ผลดีนี่ พูดซะน่าอัดขึ้นเยอะ”
“จะคุยกันอีกนานไหม?”
คนโดนนินนาเอ่ยแทรก แบคฮยอนไม่ได้ชายตามองมากนัก แต่รอจนกระทั่งเพื่อนทั้งสองเดินเข้ามาในสนามซึ่งแสงยามเช้าเริ่มสาดส่อง จากนั้นดวงตาเรียวถึงหันมาสบเข้ากับชานยอลโดยตรง
น่าแปลกที่สมาชิกใหม่กลืนคำทักทายกวนประสาทลงคอไปหมด คงเพราะร่องรอยความอ่อนล้าเล็กน้อยในนั้น
แบคฮยอนจัดการส่งลูกให้ชานยอลเป็นอันดับแรก โดยคนรับก็ปัดต่อไปยังจงอินอีกทอดเพื่อเป็นการเริ่มต้น
“ไม่ได้วันออนวัน7นานแล้วใช่ไหม?” คนผิวบรอนซ์จงใจแหย่
“พวกนายจะดับเบิ้ลทีม8ฉันก็ไม่ขัด”
“เอาน่า” ชานยอลว่า เมื่อจงอินเริ่มยั๊วะกับคำท้าทายกลายๆ ของแบคฮยอน หลายครั้งแล้วที่คนอย่างเขาต้องมาคอยขัดเจ้าพวกนี้ไม่ให้เถียงกัน รู้สึกแปลกใหม่มากทีเดียว “ทำแต้มของตัวเองไป เล่นฝั่งเดียวน่าก็น่าจะพอมั้ง”
แน่นอนว่าไม่ถึงขั้นทะเลาะกันเลยสักครั้ง เพราะเอาเข้าจริง จงอินไม่กล้าแม้แต่จะแตะปลายผมบอสใหญ่เลยด้วยซ้ำ เท่าที่ชานยอลสังเกต หมอนี่ป๊อดเสมอหากเป็นเรื่องของแบคฮยอน
หนุ่มลูกครึ่งโอซาก้าเบะปาก ก่อนจะส่งลูกคืนไปยังบอสทาคาชิเพื่อเป็นการต่อให้ก่อน ส่วนคนรับมาก็ไม่ได้เอ่ยปากบ่นอะไรตามนิสัย
!!
“โว้ว!”
แต่ดันชู้ตสามแต้มลงห่วงไปอย่างสบายๆ ซะอย่างนั้น
‘สองควอเตอร์แรกแบคฮยอนเป็นสมอลฟอร์เวิร์ดให้ก็จริง’
‘ถึงจะพลาดบ้าง แต่เขาก็ส่งลูกได้ดีจนฉันทึ่ง’
‘ตอนนั้นทีมเราตามอยู่สิบกว่าแต้ม’
‘ก่อนเริ่มควอเตอร์ที่สามเขาก็ขอเปลี่ยนเป็นพอยต์การ์ด’
‘ถึงจะทุลักทุเลมากไปหน่อย แกก็เห็นว่าเราเอาชนะมาได้เพราะอะไร’
‘บ้าไปแล้วชานยอล! ฉันไม่อยากยอมรับเลยจริงๆ’
‘มองดีๆ แล้ว ..”
“แบคฮยอนโคตรจะน่ารักเลย!’
คำพูดและน้ำเสียงเพ้อพกจากมิโดริยะลอยละล่องอยู่ในหัว ชานยอลพยายามสะบัดมันออกและโฟกัสลูกสีส้มในมือ แต่พอใบหน้าของบอสทาคาชิขยับเข้ามาใกล้ ความคิดนั้นก็วนกลับมา- กระทั่งชานยอลปล่อยมันหลุดมือไปอย่างน่าเสียดาย
“เสร็จฉัน!” จงอินชู้ตสองแต้ม หลังจากที่ปล่อยให้แบคฮยอนทำคะแนนนำไปได้ถึงสองลูก
“ขอดูหน่อย” น้ำเสียงเรียบปนหอบเอ่ยดึงสติคนเหม่อให้กลับเข้าสู่การแข่งขัน แบคฮยอนส่งลูกใต้แป้นให้ชานยอลครองอีกครั้ง
จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามือใหญ่ประคองลูกได้มั่นคงกว่าครั้งแรก
อาจเป็นคำพูดและการกระทำที่ดูเหมือนไม่มีความหมายอะไร แต่กลับจุดประกายชานยอลให้มีแรงฮึดขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ เขาเลี้ยงลูกผ่านจงอินอย่างคล่องแคล่ว ก่อนตรงไปยังหน้าแป้นโดยที่แบคฮยอนก็พยายามกระโดดป้องกันเอาไว้อย่างไม่ยอมแพ้
ทว่าความสูงซึ่งมากกว่า ทำให้รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้น
ชานยอลกระโดดดังค์ และคว้าสองแต้มมาไว้ได้สำเร็จ
ท่ามกลางมือของจงอินที่กดลงมาขยี้หัวฟูๆ เพื่อบอกว่า “เจ๋งเหมือนกันนี่หว่า!”
และรอยยิ้มเล็กๆ ของแบคฮยอน
“ไนซ์ดังค์ชานยอล”
คนถูกชมได้ตระหนักในความจริงเพิ่มอีกอย่าง
ว่าคำพูดของแบคฮยอน มีอิทธิพลต่อจังหวะการเต้นของหัวใจเข้าให้แล้ว
Ayana : วันไปค่ายห้ามเลทล่ะ 22:08
Park : คร้าบ 22:09
ชานยอลล็อกหน้าจอมือถือก่อนจะเก็บมันเอาไว้ในที่แห้ง
ชายหนุ่มค่อยๆ เอนกายลงให้ระดับน้ำร้อนอยู่เหนืออก และพอดีสำหรับการเกยท้ายทอยไว้บนขอบอ่าง เขาปล่อยใจให้ลอยออกไปไกลโดยไม่สนว่าจะนานสักแค่ไหน กระทั่งมือใหญ่ที่กำลังบีบนวดร่างกายไปเรื่อย- สัมผัสเข้ากับต้นแขนแน่นของตัวเอง
“น้ำหนักขึ้นจริงแฮะ” ชานยอลพึมพำหลังจากลองลูบไปบนไหล่ อก ลงมาถึงหน้าท้องตึง ปิดท้ายด้วยการยกข้อนิ้วขึ้นดู แล้วเห็นแหวนเงินที่สวมเอาไว้เริ่มคับ
โปรแกรมของจงอินช่วยในเรื่องการเพิ่มน้ำหนักได้มาก นั่นคือการรับประทานเนื้อและโปรตีนเสริม เปลี่ยนจากวันละสามเป็นห้ามื้อ โดยเพิ่มมื้อก่อนและหลังเข้าฟิตเนส เน้นรองท้องมากกว่าอิ่ม และเบิร์นให้กระชับด้วยการวิ่งหรือคาดิโอเป็นประจำ
Ayana : เข้านอนได้แล้ว 22:13
และในตอนนี้ ชานยอลกำลังคิดเรื่องของโทกะ
ว่าสิ่งที่เขาทำมีผลกับเธอรึเปล่า?
เธอชอบผู้ชายที่ภายนอกหรือดูที่จิตใจ?
ที่ผ่านมา การคุยของเรา- ไม่ว่าจะเป็นทางข้อความหรือต่อหน้า โทกะไม่เคยมีทีท่ารังเกียจชานยอลเลยสักครั้ง หรือนั่นเป็นเพราะเขาไม่เคยแสดงออกความรู้สึกที่มีต่อโทกะ?
เป็นเพราะเธอไม่รู้ ชานยอลจึงอยู่ในระยะที่เรียกได้ว่าปลอดภัยรึเปล่า?
และถ้าวันไหนเธอรู้ จะเป็นยังไงต่อ?
แล้วไอ้ความรู้สึกสับสนที่ตีขึ้นมาในอก ..มันคืออะไรกันแน่?
ชานยอลปรือตาลงด้วยความเพลีย ช่วงนี้เขาฟุ้งซ่านมากไป ไม่สมกับเป็นตัวเองเลยสักนิด ทั้งยังต้องรับมือกับการสอบอันแสนสาหัสอีก โชคดีที่โปรแกรมเทสออกมาราบรื่น เลยพอจะรอดตัวจากสายตาเย็นๆ ของแบคฮยอนไปได้อีกวัน
นึกถึงแล้ว บอสใหญ่ก็ดูมีเรื่องให้คิดเยอะอยู่เหมือนกัน
แต่เดี๋ยวก่อน– ทำไมทุกเรื่องในหัวต้องจบลงที่แบคฮยอนตลอดเลยเนี่ย!
ในขณะที่ชานยอลกำลังตบตีกับตัวเองอยู่ในอ่าง เจ้าบ้านที่เปิดประตูเข้ามาได้สักพัก- ก็มองตรงมาด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจ
“ทำอะไรของนาย?”
คนทึ้งผมตัวเองหยุดมือลง ก่อนกระพริบตาปริบ
“.. เปล่า” ตอบเสียงต่ำให้ดูมีพิรุจน้อยที่สุด แต่ก็ต้องยืดหลังนั่งตรงเมื่อมือขาวถอดสายโอบิของออกจากชุดยูกาตะต่อหน้าต่อตา “จะทำอะไร?”
“แช่ตัวสิ”
“..ถ้าอย่างนั้นฉันจะออกไป–”
“นั่งลง”
“...”
“นายควรชินได้แล้วชานยอล” เสียงนุ่มต่อประโยคทันควัน ส่วนคนโดนห้ามก็ได้แต่กลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคือง
ชานยอลแค่คิดว่าแบคฮยอนไม่ควรโผล่มาตอนนี้ต่างหาก
เพราะถึงแม้ว่าคนตัวเล็กจะหันหลังถอดชุดอยู่ก็ตาม ทว่าสายตาของคมกลับไม่รักดีเหมือนเคย ชานยอลไม่ควรสำรวจผิวขาวใสและสะโพกผายของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกประหลาดแบบนี้
เขาควรมองแบคฮยอนเหมือนกับที่มองเจ้าพวกสามคนนั้นไม่ใช่รึไง
และถึงแม้จะพยายามเบือนหน้าหนีแล้วก็ตาม เสียงน้ำจากฝักบัวซึ่งกระทบผิวอีกฝ่าย ก็หลอกล่อชานยอลให้หันกลับไปมองอยู่วันยังค่ำ
“...”
ให้ตาย แบคฮยอนยืนล้างตัวอยู่ข้างๆ
ความรู้สึกขลาดอายซึ่งแตกต่างจากคราวก่อน กำลังเล่นงานชานยอลอย่างหนัก
ริมฝีปากอิ่มเม้มเน้นเมื่อน้ำในอ่างกระเพื้อมและเพิ่มระดับขึ้น เป็นสัญญาณเตือนให้ชานยอลรู้ว่าอีกคนได้ก้าวลงมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อ่างยาวขนาดพอดี สามารถเหยียดขาถึงกันได้ และเทกเจอร์น้ำใสแจ๋วจนเห็นไปถึงไหนต่อไหน
ชานยอลก้มหน้าถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก
หรือว่าความรู้สึกนี้ คือผลข้างเคียงจากคำพูดของคริสและรุ่นพี่คิโยชิ
‘So did you ever x him?’
‘รู้ไหมนายน่ะ สเป็กแบคฮยอนชัดๆ!’
“หน้าแดงนะ น้ำร้อนไปเหรอ?” เสียงนุ่มเรียกให้ชานยอลต้องยืดอกขึ้นอีกครั้ง
“เปล่าหรอก”
“ก็ทำหน้าเหมือนจะไม่ไหว”
“ไหวน่า!” อยากจะบ้าตาย เขาเผลอขึ้นเสียงกลบเกลื่อนผิดธรรมชาติ จนอีกคนเลิกคิ้วใส่ เลยได้แต่ขยี้หัวตัวเองเพื่อเรียกสติอีกครั้ง “โทษที ช่วงนี้ฉันมีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะ” ปลายประโยคซังกะตายราวกับต้นไม้ขาดน้ำ ชานยอลแผ่รังสีเหนื่อยหน่ายใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“อย่างเช่น?” ใบหน้าเรียวก้มลงมองฝ่ามือขาวก่อนนวดมันเบาๆ
เป็นวิธีช่วยคลายความอึดอัดระหว่างการสนทนาในอีกรูปแบบหนึ่ง หากลองให้แบคฮยอนมองหน้าชานยอลขณะถาม ..หมอนี่คงเฉไฉไปเรื่องอื่นเพราะความประหม่าอย่างไม่ต้องเดา
และแน่นอนว่าชานยอลรับรู้ได้ เพราะเป็นครั้งแรกที่นัยน์ตาเรียวไม่พยายามที่จะคาดคั้นเอาคำตอบเหมือนอย่างที่ผ่านมา
“ฉันไม่รบกวนนายหรอก”
“แค่ไหนถึงจะเรียกว่ารบกวน นายต้องลองก่อน อย่าคิดไปเอง”
คำพูดถือดีจากบอสใหญ่ทำเอาคนฟังเบ้ปากอย่างช่วยไม่ได้ พวกทาคาชินี่น่าหมั่นไส้ทุกคนเลยมั้ง
“ถ้าเรื่องของฉันแม้แต่ คุโด้ ชินอิจิ9 ก็ยังแก้ไม่ตกล่ะ?” งั้นขอลองรบกวนประสาทตามคำแนะนำหน่อยแล้วก็แล้วกัน ชานยอลหวังให้แบคฮยอนตอกเจ็บๆ คันๆ คืนมาสักประโยค จากนั้นค่อยเปลี่ยนเรื่องคุยซะ
“นายคงลืมไปว่าเขามี ฮัตโตริ เฮย์จิ10 คอยช่วยอยู่”
แบคฮยอนเงยหน้าขึ้น สวนน้ำเสียงราบเรียบอันเป็นเอกลักษณ์กลับ และใช่ ชานยอลลืมนึกว่าอีกคนเพิ่งนั่งดู ดีเทคทีฟ โคนัน ไปเมื่อไม่นานมานี้
“การพึ่งพาเพื่อนไม่ใช่เรื่องรบกวนหรอกชานยอล”
ตาคมกลอกไปทั่วเพราะไม่รู้ต้องวางตัวอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้
แบคฮยอนฉลาดแฝงนัยยะลงในประโยคเสียจนคนอ่อนภาษาต้องทบทวนให้ถี่ถ้วนทุกครั้งเมื่อพูดคุยกัน
“โอเค ยอมแพ้” คนจนมุมยกมือขึ้นระดับอก “ฉันคิดอยู่หลายเรื่อง ทั้งเรื่องที่ต้องตื่นเช้า แบกร่างของตัวเองออกไปวิ่ง บ่ายเข้าคลาสภาษา ตกเย็นไปฟิตเนส และทานอาหารหลายมื้อ” ชายหนุ่มหยุดเพื่อสังเกตอาการของผู้ฟัง ซึ่งแบคฮยอนก็ทำเพียงแค่เอนหัวลงยังขอบอ่างแล้วหลับตาเอาไว้
“ต่อสิ”
“..อี้ชิงบอกว่าหลังกับไหล่ของฉันน่าซบ อ่า หมอนั่นทำเอาขนลุกอยู่เรื่อย”
มุมปากบางขยับยกพร้อมพ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อย นั่งคงเป็นการ กลั้นขำ ของแบคฮยอน
“อย่างน้อย นายก็ดูมีความสุขมากขึ้น”
“ฉัน?”
“ไม่มีใครเถียงกับจงอินได้ทุกวันหรอก”
“ก็จริง” ชานยอลหลุดขำบ้าง “แล้วนายคิดว่าฉันควรเปลี่ยน เอ่อ สไตล์การแต่งตัวบ้างไหม?”
“..?”
“อย่าง เสื้อผ้า ทรงผม ..”
“ทำไมถึงอยากเปลี่ยน?”
เพราะชานยอลมัวแต่กลั่นกรองคำพูดในหัว เลยไม่ทันสังเกตว่าเจ้าบ้านตั้งคอขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ นัยน์ตาอ่านยากคู่เดิมมองตรงมา และเขาไม่อาจคาดเดาได้ว่าแบคฮยอนต้องการคำตอบแบบไหน
“เธอบอกว่า ถ้าฉันลองเปลี่ยนทรงผมคงจะแปลกตา หมายถึง– โทกะน่ะ เธอพูดแบบนั้น”
ลมหายใจสะดุดทันทีเมื่อจบประโยค เพราะจู่ๆ แบคฮยอนก็หลุบตามองร่างกายที่เริ่มสมส่วนของเขาอย่างพิจารณา
แล้วค่อยๆ คลานเข่าเข้ามาใกล้
“ด-เดี๋ยว”
แบคฮยอนไม่ได้สนใจคำท้วงติง นัยน์ตาเรียวจ้องใบหน้าคมซึ่งติดตระหนก และคลานเข้ามาใกล้มากขึ้น กดดันชานยอลจนต้องร่นตัวแนบเข้ากับขอบอ่าง และขาทั้งสองก็ดันแยกออกอย่างคนสติแตก
ใบหน้าหวานลอยเด่นเข้าใกล้ทุกขณะ
ไม่นานก็จบลงที่ความห่างในระยะพอเหมาะพอดี ..ใกล้กับหว่างขายาว
ไม่ได้การแล้ว
ไรผมบลอนด์มีหยดน้ำเกาะประปราย ริมฝีปากบางขึ้นสีจัดเพราะอุณหภูมิสูง เช่นเดียวกับจมูกโด่งรั้น แบคฮยอนยกมือที่ใช้คลานเข่าขึ้นข้างหนึ่ง แล้วสัมผัสไปยังกลุ่มผมดำขลับของคนตัวสูง สางจากหน้าม้าซึ่งยาวไม่เป็นทรง ลูบขึ้นไปกลางศีรษะ พร้อมทั้งเอียงคอมองตาม
“แบบนี้ไม่ดีตรงไหน?”
นัยน์ตาคมชะงักค้างกับคำพูดนั้น สัมผัสอ่อนโยนไม่แพ้ครั้งที่แบคฮยอนสระผมให้ แต่ต่างตรงที่เวลานี้ชานยอลได้มองใบหน้าหวานใกล้เต็มสองตา
“ความจริงแล้ว” แบคฮยอนยังคงลูบผมเขา จากซ้ายไปขวา เชื่องช้า ทุกการขยับ “นายควรตัดคำพูดของพวกฉันออกไปก่อน”
“...”
“คำพูดของคนอื่นก็ด้วย” เสียงนุ่มเว้นช่วง ก่อนใช้นิ้วโป้งเช็ดหยดน้ำบนหน้าผากออกให้ “ฉันอยากให้นายทำ เพราะมันคือความต้องการของนายเอง”
“...”
“อย่าเปลี่ยนตัวเองเพราะความต้องการของคนอื่น”
คำพูดจากแบคฮยอนดังก้องเข้าไปในโสตประสาทของคนฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งน้ำเสียงและความหมาย แผ่เข้าไปในใจเพื่อเตือนสติ ผ่านนิ้วเรียวที่จิ้มลงยังกลางอกแกร่ง
ไม่ให้ชานยอลเชื่อคำพูดของคนอื่นมากกว่าความต้องการของตัวเอง
แต่ถึงอย่างนั้น- คำพูดของแบคฮยอนกลับใช้ได้ผลกับชานยอลเสมอ
“แบคฮยอน” เมื่อเห็นอีกคนทำทีจะลุกขึ้น ชานยอลก็ไม่ลังเลที่จะคว้าข้อมือขาวเอาไว้ มันอุ่น แถมยังเล็กเสียจนกำได้เกินหนึ่งรอบอย่างน่าตกใจ “ทำไมนายถึงคอยช่วยฉันทุกเรื่อง?”
คนถูกถามหลุบตามองมือใหญ่ที่ไม่ยอมคลายออก
“นั่นสิ”
และที่น่าแปลกกว่านั้น คือชานยอลก็ไม่ได้คิดที่จะปล่อย
เขาต้องการรู้ ..ว่าแบคฮยอนคิดอะไร
“คงเพราะฉันกำลังสนใจนายล่ะมั้ง”
หลายครั้งที่คนอ่อนภาษาญี่ปุ่นอย่างชานยอลเลือกที่จะปล่อยผ่านประโยคซับซ้อนจากแบคฮยอน เพียงเพราะขี้เกียจและไม่อยากตั้งคำถามให้ตัวเองดูโง่ ทว่าครั้งนี้ต่างออกไป ชานยอลอยากให้แบคฮยอนอธิบาย อยากรั้งอีกคนเอาไว้ แล้วถามว่าคำพูดที่ได้ยินคืออะไรกันแน่
แต่แรงปลดข้อมือจากเจ้าบ้านกลับไม่เข้าข้างชานยอลเลย
“อย่าแช่นานเกินไปล่ะ”
แบคฮยอนปิดประตูจากไป พร้อมรอยยิ้มมุมปากเสียแล้ว
7 วันออนวัน (One-on-One) การแข่งแบบตัวต่อตัว
8 ดับเบิ้ลทีม (Double Team) 2 ประกบ 1
9 คุโด้ ชินอิจิ นักสืบมัธยมปลายในเรื่อง Detective Conan
10 ฮัตโตริ เฮย์จิ เพื่อนสนิทของ คุโด้ ชินอิจิ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ปล. นี่ตลกกับมังงะทุกฉาก พี่ชิเข้าใจอารมณ์รีดเดอร์ทั้งๆที่ตัวเองเป็นไรเตอร์ เป็นคนเขียนเพื่อให้เรารู้สึก 55555
เลยสับสนกับความคิดตัวเอง เพราะได้มาเจอแบคด้วย
เหมือนยังยึดติดกับความรู้สึกเดิมๆ จนมองข้ามคนใกล้ตัวไป
พิแบ้กรุกน้องชานแล่วววววค่า~~ ชานแบคแน่เหรออ ไม่ใช่แบคยอลเหรอออ ฮ่าๆๆ