ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    At the end of summer ♡ LayChen

    ลำดับตอนที่ #9 : In Dreams : By Pluviophile

    • อัปเดตล่าสุด 6 มิ.ย. 58


    @SQWEEZ

    In Dreams

    | Pluviophile |

     

     

     

    ดวงตาเรียวภายใต้เลนส์แว่นสายตาสั้นไล่ตามตัวหนังสือภาษาจีนที่เริ่มจะเลือนหายบนกระดาษสีน้ำตาลของหนังสือเล่มเก่าเล่มหนึ่งที่เขาเจอบนชั้นในร้านขายของโบราณ เนื้อหาของมันเป็นเหมือนนิยายที่ถูกเขียนในช่วงประวัติศาสตร์จีนยุคหนึ่งที่เขาเองก็ไม่คุ้นเคย คิม จงแด ใช้เวลากับหนังสือเล่มนี้มาเกือบๆ หนึ่งชั่วโมงระหว่างรอให้ถึงเวลานัดสำคัญและเขาตัดสินใจว่าจะซื้อมันติดมือกลับไปอ่านต่อที่บ้านด้วย

    จงแดชอบสะสมของโบราณเพราะเขามีความใฝ่ฝันที่จะเป็นนักโบราณคดีเหมือนกับพ่อ ตอนนี้ก็กำลังเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยอยู่ ร้านขายของโบราณแห่งนี้เป็นที่ที่เขาคุ้นเคยมาเกือบๆสองปี คุณลุงเจ้าของร้านมักจะใจดีกับเขาอยู่เสมอ

    “อ่านถึงไหนแล้วล่ะจงแด สนุกหรือเปล่า? เล่มนั้นเหมือนว่าป้าเขาจะอ่านอยู่แต่ก็ขี้เกียจไปเสียก่อน” คุณลุงเจ้าของร้านเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงใจดีขณะเดินเอาจานใส่คุ้กกี้ชิ้นเล็กๆ สองชิ้นมาให้

    จงแดปิดหนังสือ วางมันลงบนโต๊ะและยื่นมือออกไปรับจานคุ้กกี้พร้อมกับเอ่ยขอบคุณคุณลุง ใช้นิ้วชี้ข้างขวาดันตรงกลางของงแว่นตาให้เข้าที่ก่อนจะตอบคำถาม “ผมว่าก็สนุกดีครับ คงต้องซื้อกลับไปอ่านต่อที่บ้าน”

    “ถ้าอยากได้จริงๆ ลุงให้จงแดไปเลย ไม่ต้องซื้อหรอก” คุณลุงบอกก่อนจะยิ้มน้อยๆ เขานึกเอ็นดูเด็กคนนี้อยู่มาก มองจงแดทีไรทำให้เขานึกถึงลูกชายที่ตอนนี้ทำงานอยู่ที่ต่างประเทศส่งเงินมาให้ใช้ไม่ขาดมือ

    “ทำไมล่ะครับ ผมว่ามันมีราคามากนะ” เด็กหนุ่มแย้งด้วยความเกรงใจ

    “ไม่เป็นไรหรอก จงแดซื้อไปเยอะแล้ว อีกอย่างลุงไม่ได้อยากได้เงินมากมายอะไร เอากลับไปเถอะ...อ้อ ลุงมีของจะให้อีกอย่างด้วย รอเดี๋ยวนะ”

    จงแดได้แต่มองตามแผ่นหลังของคนสูงอายุที่หายเข้าไปหลังประตูกระจกใสโดยไม่รอให้เขาตอบรับอะไรเลย สักพักคุณลุงเดินกลับออกมาพร้อมกับสร้อยเส้นหนึ่ง

    “อ่ะนี่ ลุงให้”

    ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าสร้อยคอได้หรือเปล่า เส้นของมันดูหนาเกินกว่าจะใส่เป็นเครื่องประดับและยังมีจี้เป็นนาฬิกาที่ใช้เลขโรมันในการบอกเวลา แม้จะมีความเกรงใจเพราะคิดว่าหากลุงขายมันไปคงจะได้ราคาสูง แต่เหมือนมันมีแรงดึงดูดให้จงแดยื่นมือผอมๆออกไปรับและเลยหน้าพูดขอบคุณลุงเบาๆ

    “สวยไหม?”

    “ครับ สวยมาก”

    “เก็บไว้ดีๆล่ะ ลุงไม่กวนแล้ว อ่านหนังสือให้สนุกนะ”

     

     

     

    สายฝนข้างนอกเริ่มเปลี่ยนจากรวยรินเบาๆ เป็นตกหนักขึ้นพร้อมๆ กับที่เขาได้รับข้อความจากคนที่กำลังรอว่ามาถึงที่หน้าร้านแล้ว จงแดเก็บหนังสือใส่กระเป๋าโดยแล้วคว้าเอาสร้อยที่ลุงให้ก่อนจะเรียกชื่อลุงเพื่อบอกลา แต่ถึงจะเรียกอยู่หลายครั้งชายแก่เจ้าของร้านก็ไม่มีทีท่าว่าจะออกมาหา จงแดเลยตัดสินใจโค้งและบอกลาไปกับอากาศในร้านก่อนจะเดินออกไป

    “ไง รอนานหรือเปล่า” อีกฝ่ายเอ่ยถามทันทีที่เห็นหน้าเขาโผล่พ้นกรอบประตู เสื้อผ้าของคนตัวสูงเปียกชื้นจากน้ำฝน และมีสีหน้ากระอักกระอ่วนจนเขาสังเกตได้

    “ไม่นานหรอก แล้ววันนี้จะไปที่ไหนกันเหรอ?” จงแดตะโกนแข่งกับเสียงฝน หลังคาที่ยื่นออกมาช่วยได้ไม่มากเพราะพวกเขายังโดนฝนสาดใส่อยู่ดี

    “จงแดคือว่า...” คนตัวสูงพูดแค่นั้นแล้วเงียบไป สีหน้าก็ดูไม่ค่อยดี

    “มีอะไรเหรอชานยอล?”

    “พ่อรู้เรื่องที่เราคบกัน” คำตอบของชานยอลทำเอาใจหายวาบ “พ่ออยากให้กูเลิกกับมึง เขาจะส่งกูไปอยู่ออสเตรเลียหลังจากที่เราเรียนจบ” แต่ก็ไม่เท่าประโยคถัดมาที่ทำเอาจงแดใจกระตุก

    ความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองมันถูกเก็บเป็นความลับตั้งแต่แรกเพราะทางพ่อของชานยอลไม่ยอมรับ

    “งั้นเหรอ..” มันไม่ใช่คำถามแต่เป็นวลีที่จงแดเปล่งออกมาเสียงแผ่วเพราะไม่รู้จะพูดอะไร

    “มึงเข้าใจกูนะ จงแดกูรักมึงแต่...”

    “ไม่เป็นไร กู...กูเข้าใจ ก็ตามนี้แหละ มึงจะได้ไม่มีปัญหากับพ่อ บอกให้เขาสบายใจได้ กูจะไม่ยุ่งกับมึงอีก” เขาบอกเสียงสั่น และหดมือหนีมือใหญ่ที่กำลังเอื้อมมาจะจับมือเขาไว้

    “จงแด กูไม่ได้ต้องการแบบนั้น อย่างน้อย เรายัง...เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้”

    มันไม่ทางง่ายขนาดนั้นหรอก จงแดคิดในใจแต่เขาก็ตัดสินใจพยักหน้ารับส่งๆ ไม่รู้ว่าเป็นความเย็นของเม็ดฝนและเสื้อผ้าที่เริ่มเปียกหรือเปล่าที่ทำให้เขาสั่นไปทั้งตัวและหัวใจจนเริ่มจะยืนไม่อยู่ ร่างผอมถอยหลังเล็กน้อยมาพิงกับผนังร้านและยืนก้มหน้าอยู่อย่างนั้น คิม จงแด ไม่เคยร้องไห้ เพราะฉะนั้นเขาเลยได้แต่บอกกับตัวเองว่าน้ำที่เปียกอยู่ที่หน้าของเขาตอนนี้เป็นเพียงน้ำฝนที่ตกลงมาก็เท่านั้น

    “จงแด...”

    “มึงกลับไปเถอะ กูอยากอยู่คนเดียว”

    เขาเดินออกมาจากตรงนั้นโดยไม่สนใจว่าชานยอลจะมีท่าทียังไง ตอนนี้แค่คิดว่าไม่อยากเห็นหน้าคนที่เพิ่งบอกเลิกกันไปก็แค่นั้น ฝนตกแรงจนทิ่มหน้าและตัวของเขาจนรู้สึกแสบแต่จงแดก็ยังกึ่งเดินกึ่งวิ่งตากฝนออกไป

    แว่นสายตาของเขาพร่ามัวจนไม่มีประโยชน์ และเพราะสายตาที่สั้นตั้งเด็กทำให้ตอนนี้เขาแทบจะกลายเป็นผู้พิการทางสายตาเลยไม่เห็นรถที่กำลังพุ่งตรงเข้ามาหา

    ความรู้สึกเจ็บแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกายก่อนจะกลายเป็นจุกจนกระอักเลือดเหมือนตกลงมากจากภูเขาสูง จงแดรู้ตัว...ลมหายใจของเขากำลังอ่อนลง แขนขาหมดเรี่ยวแรงที่จะขยับ แต่อย่างนั้นเขาก็พยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายเอื้อมมือไปคว้าเอาสร้อยนาฬิกาที่ลุงให้ กำมันไว้ในมือด้วยแรงทั้งหมดที่ยังเหลือก่อนที่เขาจะไม่รับรู้อะไรเลยในวินาทีถัดมา

     

     

     

     

    “ตื่นแล้วหรือ?”

    เขาได้ยินเสียงพูดที่ไม่คุ้นเคยอยู่ข้างหู ทันทีที่ขยับตัวเพียงแค่เล็กน้อยความเจ็บปวดก็แล่นริ้วไปทั่วร่างกายจนเขาครางออกมาเสียงเบา ดวงตาคมค่อยเปิดขึ้นช้าๆ กระพริบตาอยู่หลายทีจนภาพที่มองเห็นเริ่มเป็นรูปร่างตามปกติเหมือนตอนที่เขาไม่สวมแว่นตา เขาอยากจะถามว่าที่นี่คือที่ไหนเหมือนในละครที่เคยดูเพราะอะไรๆ ก็ดูแปลกตาไปหมด

    “เจ้าได้ยินข้าหรือไม่?”

    “องค์ชาย ข้าว่าเจ้านี่ดูท่าจะไม่ไหว”

    คำพูดแปลกๆ จากเจ้าของเสียงเมื่อครู่ตามด้วยเสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยทำให้เขาหันขวับไปตามเสียงอย่างลืมความเจ็บ เขาเห็นชานยอลอยู่ในเสื้อผ้าที่แปลกตาพาให้นึกถึงเนื้อหาของหนังสือนิยายเล่มนั้นที่บรรยายลักษณะการแต่งกายของตัวละครเอาไว้ ข้างๆ เป็นผู้ชายที่ตัวเล็กกว่าชานยอล แต่กลับมีท่าทางสง่าสวมใส่เครื่องแต่งกายที่งดงาม แม้มองเห็นไม่ชัดแต่ใบหน้าหล่อหวานและลักยิ้มที่ประดับอยู่ข้างแก้มขณะที่กำลังส่งยิ้มมาที่เขาทำให้ต้องหลบสายตากลับไปมองชานยอลเหมือนเดิม

    “ชานยอล” เขาเรียกชื่อคนตัวสูงออกไป แต่กลับได้เห็นสีหน้าประหลาดใจของคนทั้งสอง

    “เจ้าพูดว่าอะไรนะ? เรียกข้าว่าชานยอลอย่างนั้นหรือ?”

    เจ้า? ข้า? นี่มันภาษาเรียกสรรพนามในยุคสมัยไหนกัน สมองของเขากำลังประมวลผล...ห้องแห่งนี้ดูแปลกตา การแต่งกายของสองคนนี้ก็เหมือนกัน ถึงแม้หนึ่งในนั้นจะหน้าละม้ายคล้ายชานยอลแต่คิดว่าคงจะไม่ใช่ ภาษาพูดถึงจะเป็นภาษาจีนซึ่งเขาพอจะคุ้นเคยอยู่บ้างแต่ก็ยังรู้สึกแปลกและโบราณเหมือนกับหนังสือนิยายเล่มนั้น...

    สิ่งสุดท้ายที่เขาจำได้คือกำลังเดินข้ามถนนในตอนที่ฝนตกหนักและถูกรถชน กระแทกจนตัวลอย นี่เขาตายไปแล้วหรือว่าเกิดอะไรขึ้น?

    “นี่เจ้า..” คนตัวผอมสะดุ้งเมื่อโดนมือแตะเข้าที่ต้นแขน “ไม่ต้องกลัว ข้าเจอเจ้านอนสลบเหมือดอยู่ในป่าเลยพามาทีนี่ ไม่อย่างนั้นคงโดนพวกฝั่งใต้ฆ่าหมกป่าเอา”

    เขาฟังชายใบหน้าหล่อหวานอธิบายด้วยความฉงน แต่ถึงอย่างนั้นก็พยักหน้าส่งๆ “แล้วพวกนายเป็นใคร...”

    “บังอาจนัก! ใยจึงพูดไม่ให้เกียรติ์เช่นนั่นกับเจ้าชาย!” คนที่หน้าคล้ายชานยอลโวยวายด้วยภาษาจีนอย่างชัดเจนจนเขารู้สึกประหลาดใจ และนั่นทำให้เขามั่นใจว่าเจ้าคนนี้คงจะไม่ใช่ชานยอลแน่ๆ....อีกอย่างชายหน้าหวานนี่เป็นเจ้าชายอย่างนั้นเหรอ นี่บ้ากันไปใหญ่แล้ว!

    “ไม่เป็นไรหรอกชานเลี่ย เขาอาจจะไม่ใช่คนของเราก็ได้...เจ้าชื่ออะไรหรือ?” ประโยคแรกเขาหันไปปรามคนตัวสูงก่อนจะหันกลับมาถามคนตัวผอมเสียงอ่อนโยน ดูท่าแล้วคนที่ช่วยมาจากป่าจะกำลังสับสนหรือไม่ก็คงหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย

    “จงแด แล้วนาย...แล้วท่านละ” เขาตอบเป็นภาษจีน เกือบจะหลุดภาษายุคปัจจุบันออกไปแล้วถ้าไม่ติดว่าเจ้าโย่งนั่นมองมาที่เขาจนตาเหลือก

    “ข้าชื่อจาง อี้ซิง เป็นเจ้าชายของเมืองนี้ ส่วนนั่นชานเลี่ย เขาเป็นคนสนิทของข้าเอง”

    นี่มันจะแฟนตาซีเกินไปแล้ว นี่เขาหลุดเข้ามาในโลกโบราณหรือกำลังฝันอยู่กันแน่ จงแดกำลังเท้าแขนจะยันตัวลุกนั่งแต่ถูกองค์ชายใช้มือแตะหัวไหล่เป็นเชิงบอกให้นอนลงไปเหมือนเดิม เขายอมทำตามแต่โดยดี

    “เจ้านอนพักเสียเถอะ รอให้ค่ำกว่านี้ค่อยกินมื้อเย็น”

     

     

     

    “ทำไมท่านต้องเอาเจ้าขี้ก้างนั่นพักที่ตำหนักรับรองด้วยหรือครับ หมอนั่นเป็นใครก็ไม่รู้ ควรจะให้อยู่กับพวกเชลยหรือไม่ก็เอาไว้รับใช้”

    เจ้าชายรูปงามไม่ได้สนใจเสียงทุ้มต่ำของคนสนิทที่โวยวายทันทีที่พ้นที่พักของจงแดออกมาได้ไม่ไกล ใบหน้าหล่อเหลากลับยิ้มอย่างอารมณ์ดีเหมือนว่าหลังจากสิ้นสงครามกับทางฝั่งใต้บ้านเมืองก็มีแต่เรื่องดีๆ เกิดขึ้น

    “เจ้าชาย หากเจ้านั่นเป็นคนของฝั่งใต้แล้วมีแผนการเพื่อเข้ามาลอบฆ่าท่านเล่า”

    “ชานเลี่ย เจ้านี่ก็คิดมากไป อีกอย่างข้ามั่นใจว่าฝีมือข้าเก่งกาจพอที่จะไม่ยอมให้ใครมาฆ่าข้าได้ง่ายๆหรอก โดยเฉพาะลูกแมวนั่นน่ะ เจ้าเห็นว่าเขาเป็นเสือที่ดุร้ายอย่างนั้นหรือ”

    “ท่านเรียกเขาว่าลูกแมวอย่างนั้นหรือ?” ชานเลี่ยถามอย่างตกใจ ดูท่าจ้าชายของเขาจะไม่ปกติเสียแล้วตั้งแต่วินาทีที่ช้อนร่างเจ้าขี้ก้างไร้มารยาทนั่นขึ้นอุ้มแนบอกอย่างทะนุถนอมขึ้นบนหลังม้าและพากลับมาที่วัง

    “ก็ใช่ เจ้าว่าเขาไม่น่ารักหรือ มุมปากนั่นขนาดตอนหลับยังเหมือนว่ายิ้มอยู่เลย”

    “ข้าว่าท่านเป็นเอามากแล้วเจ้าชาย”

    อี้ซิงไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างใดเพราะเขากับชานเลี่ยสนิทกันมาตั้งแต่เด็กเหมือนพี่น้อง และเขาชอบให้ชานเลี่ยปฏิบัติตนแบบนั้นกับเขามากกว่าจะเป็นเจ้านายและข้ารับใช้ เขาหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเดินเร็วๆ จนชายผ้าที่สวมใส่สะบัดไหวตามแรงลมของฤดูใบไม้ผลิไปที่ศาลาหลังเล็กริมลำธารภายในวังซึ่งอยู่ไม่ห่างจากเรือนรับรอง

    มันไม่ใช่เหตุการณ์ระทึกที่เขาจะเห็นคนนอนตายหรือสลบอยู่กลางป่าในขณะที่ออกตรวจบ้านเมือง กลับกันเจ้าชายนักรบอย่างเขากลับเห็นมันจนเป็นภาพชินตา เพียงแต่ใบหน้าของคนที่นำกลับมาที่วังแม้เพียงเสี้ยวเดียวที่เขามองไปช่างดึงดูดให้เขาเข้าไปใกล้ ทันทีที่ใช้มืออังจมูกและแนบหูกับอกบางเพื่อพิสูจน์ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกและไม่เสียเวลาคิดแม้แต่น้อยที่จะนำคนร่างผอมนี้กลับวังมาด้วย แน่นอนว่าตลอดระยะทางที่ขี่ม้ากลับวังโดยมีร่างผอมนั่งสลบพิงอกคนเป็นถึงเจ้าชายอย่างอี้ซิงโดนเจ้าชานเลี่ยองค์รักษ์คนเก่งบ่นมาตลอดทาง

     

     

     

     

     

    Pluviophile: ฮิฮิ จะเป็นยังไงต่อน้า น้องเฉินมาเจอคนเหมือนพี่ชานแล้วจะเลิฟๆกับพี่เลย์ยังไง ฝาก Project At the end of summer ไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ อย่าลืมน้า ปิดโอนวันที่ 12 นี่แล้วค่ะ รายละเอียดอยู่ในบทความนี่แล้วววววว รักพี่เลย์รักน้องเฉินช่วยอุดหนุนโปรเจ็คต์แรกของพวกเราด้วยนะคะ รัก.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×