คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Tepaanr : By ตาเกิ้น
Tepaanr
Yixing × Jongdae
l ตาเกิ้น l
เสียงตะหลิวกระทบกับกระทะดังก๊องแก๊งปลุกให้จางอี้ชิงตื่นขึ้นมาพบกับเพดานสีไข่ไก่ ดวงตาเรียวรีหรี่ปรือก่อนจะกระพริบอย่างเชื่องช้าเมื่อแสงแดดที่ลอดผ่านช่องระหว่างผ้าม่านจัดจ้าเกินไปสำหรับคนที่เพิ่งตื่นนอน ใบหน้าหล่อเหลาบิดเบ้ เรือนผมสีเข้มยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ชายหนุ่มอ้าปากหาวติดๆ กันหลายๆ ครั้งก่อนจะตลบผ้านวมสีอ่อนให้ไปกองอยู่ปลายฟูก แต่ยังไม่ทันจะได้ลุกจากที่นอนประตูไม้สีซีดก็เปิดออกเสียก่อน
“คุณครับ.. เอ่อ.. คุณพ่อเรียกไปทานข้าว” ใบหน้าเล็กๆ คล้ำแดดโผล่ออกมาตรงรอยแยกของประตู ประโยคค่อนข้างตะกุกตะกักและเหน่ออยู่มากแต่อี้ชิงก็ฟังเข้าใจ เขาพยักหน้ารับเชื่องช้า โบกมือให้เด็กชายตัวเล็กเป็นเชิงให้ไป เมื่อประตูงับปิดลง จางอี้ชิงก็ลุกขึ้นจากที่นอน คว้าผ้าเช็ดตัวได้ก็เดินมึนๆ เขาไปในห้องน้ำที่อยู่ในห้อง
ประตูที่ทำจากสังกะสีลั่นเอี๊ยดอ๊าดเมื่อเขาเผลอลงแรงกับมันโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาแค่ปิดประตูไว้แต่ไม่ได้ลงกลอนเพราะสนิมที่ขึ้นเขรอะทำให้อี้ชิงไม่อยากแตะต้องมัน อันที่จริงเขาก็ไม่ได้รังเกียจสภาพที่ว่าหรืออะไร เขาเพียงแค่กลัวว่าถ้าจับมันแรงเกินไปแล้วมันจะพังไปคามือก็เท่านั้น
ชายหนุ่มใช้เวลาไม่นานนักกับการอาบน้ำและออกมาแต่งตัวในห้อง ผ้าขาวม้าผืนบางถูกใช้ปกปิดร่างกางช่วงล่างแทนผ้าขนหนูที่เขาใช้อยู่ประจำ เสื้อผ้าของเขายังคงนอนนิ่งอยู่ในกระเป๋าเดินทางใบเขื่อง อี้ชิงเลือกเสื้อและกางเกงออกมาอย่างละตัวก่อนจะสวมมันอย่างรวดเร็ว
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้คนที่โผล่หน้าพ้นกรอบประตูเข้ามาไม่ใช่เด็กชายคนเดิม แต่เป็นเด็กหนุ่มร่างผอมผู้เป็นเจ้าของบ้านที่อี้ชิงพักอาศัยอยู่ด้วย เด็กหนุ่มหัวเราะแห้งๆเมื่อพบว่าจางอี้ชิงกำลังยุ่งอยู่กับการสอดแขนข้างขวาเข้าไปในแขนเสื้อ รอยยิ้มแหยๆ วาดขึ้นบนใบหน้าเมื่ออีกคนหันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“ขอโทษที่มารบกวนครับ”
“ไม่เป็นไรครับ.. ผมแต่งตัวเสร็จพอดี” อี้ชิงว่าพลางดึงชายเสื้อให้ทิ้งตัวลงมาคลุมขอบกางเกง เขาจัดปกเสื้อโปโลของตัวเองอีกนิดหน่อยก่อนจะส่งยิ้มให้คุณเจ้าของบ้านสบายใจ
“ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“อ..อ๋อ.. ผมแค่จะมาปลุกอีกรอบน่ะครับ เผื่อว่าคุณจางไม่ตื่น” เขาหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะเอ่ยเสริม “พอดีว่าถึงเวลาที่ผมจะต้องไปทำงานแล้วครับ อาหารเช้าอยู่ที่โต๊ะในครัว แล้วถ้าคุณต้องการอะไรเพิ่มเติมก็ถามจงอินได้นะครับ เขารู้ว่าอะไรอยู่ที่ไหน”
“โอเค” อี้ชิงตอบรับ พวกเขาบอกลากันอีกสองสามคำก่อนที่เจ้าของบ้านจะออกไปทำงาน อี้ชิงเดินเอื่อยๆไปยังห้องครัว โต๊ะขาเหล็กแบบพับได้ตั้งอยู่ชิดผนัง มีฝาชีสีส้มวางอยู่บนนั้น เขาเปิดมันออกและพบกับอาหารสำรับเล็กๆ ที่พอกินสำหรับหนึ่งคน ในนั้นประกอบด้วยข้าวผัดที่ยังอุ่นอยู่ ปลาทอดขนาดเกือบเท่าฝ่ามือหนึ่งตัว และแกงจืดถ้วยเล็กๆ หลังจากที่อี้ชิงนั่งลงและตักข้าวคำแรกเข้าปาก เขาก็รู้สึกว่ามันอร่อยดี
จางอี้ชิงเคี้ยวข้าวช้าๆ สายตาก็มองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าใส ปุยเมฆขาวขนาดย่อมลอยเอื่อยอยู่บนนั้น ลมทะเลพัดโบกให้ปลายสนสะบัดไหวเช่นเดียวกับต้นมะพร้าวที่อยู่ไกลลิบๆ นั่น วันนี้อากาศดี เขาจึงตัดสินใจจะออกไปเดินเที่ยวเล่นในเมืองเสียหน่อย ไว้แดดร่มเมื่อไหร่ก็ค่อยไปเดินรับลมที่ริมหาดแล้วค่อยกลับมาทานอาหารตอนค่ำๆ ชายหนุ่มวางแผนคร่าวๆเอาไว้ในใจ เพราะตอนนี้เป็นเวลาเพียงแปดโมงกว่าเท่านั้น
ข้าวคำสุดท้ายถูกกลืนลงท้องตามด้วยน้ำเปล่าเย็นๆ ที่เขาหยิบเอามาจากตู้เย็นหลังเก่า จางอี้ชิงเอาจานไปวางไว้ตรงซิงค์ ก่อนจะเดินไปหาจงอินที่นั่งเล่นทรายอยู่หลังบ้าน
“ผมออกไปข้างนอกนะ” เขาบอกเรียบๆ เมื่อเด็กชายพยักหน้ารับเขาก็เดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์มือถือในห้องนอน ถึงแม้ว่าในที่แห่งนี้จะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ เครื่องมือสื่อสารราคาแพงของเขาจึงมีค่าไม่ด่างอะไรกับที่ทับกระดาษขนาดย่อม แต่อี้ชิงก็ไม่ไว้ใจจะทิ้งของสำคัญไว้ในที่ที่เพิ่งเคยมาครั้งแรก เมื่อเตรียมตัวพร้อมเขาก็เดินออกจากบ้านหลังเล็กอย่างเชื่องช้า และจำใส่ใจเอาไว้ว่าบ้านหลังนี้มีหลังคาสีฟ้าและกันสาดผ้าใบสีส้ม
........................
ขายาวก้าวไปตามทางเดินที่ทำด้วยซีเมนต์เนื้อหยาบ ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว ถนนหนทางและอาคารบ้านเรือนจึงถูกสร้างขึ้นโดยเน้นประโยชน์ใช้สอยมากกว่าความสวยงาม อี้ชิงเดินไปจนถึงตลาดที่เป็นแค่ถนนขนาดเล็กที่ข้างทางเต็มไปด้วยร้านรวงต่างๆ รวมถึงร้านแบบแบกะดินที่มีเพียงร่มพลาสติกคันโตคุ้มหัวเรียงรายเต็มสองข้างทาง อี้ชิงเดินดูสินค้าต่างๆ ที่ถูกเอามาตั้งขาย ทั้งที่เคยเห็นและไม่เคยเห็น ชายหนุ่มเอ่ยถามคนขายบ้างเป็นบางครั้งเมื่อพบสิ่งที่เขารู้สึกสนใจเป็นพิเศษ เขาเดินต่อไปเรื่อยๆ จนมาหยุดที่ร้านอาหารขนาดเพียงหนึ่งคูหา สั่งอาหารจานเดียวง่ายๆ มารับประทานพอให้อิ่ม เดินเที่ยวรอบเมืองอีกนิดหน่อยก่อนจะลงไปเดินเล่นริมหาดเมื่อตะวันเริ่มคล้อยลงมา
ชายหาดว่างเปล่าไร้ผู้คน สายลมพัดอ่อนเอื่อยกระทบหน้า อี้ชิงถอดรองเท้าใส่ถุงหูหิ้วที่ขอมาจากร้านอาหารเมื่อกลางวัน เดินไปตามริมหาดที่น้ำทะเลสามารถแตะสัมผัสกับเท้าทั้งสองข้าง เขาตั้งใจว่าจะเดินไปข้างหน้าจนสุดทาง แต่ที่สุดสายตานั้นยังมีให้เห็นเพียงพื้นฟ้าสีชมพูอมส้มที่จรดไปกับผืนทรายนุ่มละเอียด เวิ้งว้าง ว่างเปล่าคล้ายกับชีวิตของเขาที่ดูจะไร้จุดมุ่งหมายจนโดนไล่ให้มาที่นี่
ความจริงก็ไม่เชิงไล่แค่เป็นการบังคับให้มาพักผ่อนอย่างที่เจ้านายตัวดีควบตำแหน่งเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยมัธยมมอบเป็นรางวัลให้เขาในฐานะที่ตั้งใจทำงานจนเกินควร ด้วยความเป็นห่วงว่าวิธีชีวิตอันแสนจะจำเจของเขาจะทำให้เขาเบื่อโลกจนฆ่าตัวตายเข้าสักวัน ปาร์คชานยอลจึงสอดมือเข้ามายุ่งเสียจนได้
“นายควรพักบ้าง” ปาร์คชานยอลพูดขึ้นในระหว่างที่เขากำลังคีบเส้นบะหมี่เข้าปาก เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะถามซ้ำเพราะความไม่เข้าใจ
“หมายความว่าไง”
“ก็หมายความว่านายทำงานหนักเกินไปแล้ว” อี้ชิงขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม เขาวางตะเกียบลงบนขอบถ้วย เมื่อรู้สึกว่าเพื่อนตัวสูงเริ่มจะพูดจาไร้สาระ เขารู้ตัวเองดีว่าไม่ได้ทำงานหนัก เขาทำงานแค่ในเวลาเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในแผนก ทำล่วงเวลาบ้างในบางครั้งแต่ก็ไม่บ่อย แล้วคนตรงหน้าเขาเอาอะไรที่ไหนมาพูดกัน
“ฉันไม่ได้ทำงานหนัก” เขาตอบด้วยน้ำเสียงค่อนข้างกระด้าง แต่ปาร์คชานยอลกลับถอนหายใจแล้ววางตะเกียบลงบ้างเช่นกัน
“นายทำ” อี้ชิงกลอกตาอย่างรำคาญใจเมื่อชานยอลเริ่มพูดต่อ “เห็นไหมว่าตอนนี้นายกำลังมีพฤติกรรมก้าวร้าว มันเป็นอาการแรกเริ่มของคนที่มีความเครียดสะสม”
“ฉันเปล่า- -”
“อย่าปฏิเสธเลยชิง คนที่เป็นส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ตัวเองหรอก”
อี้ชิงถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ ความอยากอาหารของเขาหมดลงไปโดยสิ้นเชิงแต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคืออาการปวดหัวจี๊ดๆ อันแสนน่ารำคาญ และความดื้อด้านของปาร์คชานยอลคือต้นเหตุ
“ฉันไม่ได้เครียด” เขากล่าวขึ้นมาอย่างอดกลั้น หน่วยตาเรียวรีมองใบหน้าจริงจังในเรื่องผิดๆ ของเพื่อนซี้ เขาไม่รู้ว่ามันไปเอาความคิดที่ไร้สาระแบบนี้มาจากไหน แต่เขาก็ยังมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้เครียดแน่ๆ
“นายฟังฉันก่อนสิชิง.. นายทำงานแต่ในแลปทั้งวัน เจอแต่กับตัวเลข การทดลอง ต้องเครียดวันละไม่รู้เท่าไหร่ พอเลิกงานปุ๊บนายก็กลับบ้านทันที ฉันชวนไปเที่ยวที่ไหนก็ไม่ไป ขนาดงานเลี้ยงรุ่นนายยังไม่ไป นายรู้ไหมว่าการเก็บตัวก็เป็นหนึ่งในอาการแรกเริ่มของคนที่มีความเครียดสะสม” อี้ชิงสาบานได้ว่าสีหน้าของชานยอลในตอนนี้จริงจังกว่าเวลาทำงานหลายร้อยเท่า แต่ถึงยังไงจางอี้ชิงก็ยังคิดว่าคำพูดที่เพื่อนตัวโตพ่นออกมานั้นเป็นเรื่องที่ถึงจะตะแคงหูตั้งใจฟังอย่างไรมันก็ไร้สาระอยู่ดี
“งี่เง่าน่า”
“ฟังฉันเถอะ ดูนายสิ ทำงานหนักจนแทบจะเหลือแต่หัวอยู่แล้ว!”
“ไร้สาระ.. ฉันสาบานได้เลยว่าฉันแข็งแรงพอจะเตะนายให้คอหักได้ด้วยซ้ำ” อี้ชิงพูดอย่างหัวเสีย ถึงแม้ว่าเขาจะทำงานเป็นนักวิจัยแต่ก็ใช่ว่าร่างกายของเขาจะเล็กลีบซีดเซียวอย่างพวกบ้าการทดลองที่มักจะเห็นกันในหนังSci-fi กลับกันอี้ชิงดูแลตัวเองอย่างดี ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เคร่งครัดเรื่องอาหารการกินแต่เขาก็ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่ได้ผอมแห้งแรงน้อยจนเหลือแต่หัวอย่างที่อีกคนกล่าวหาแต่อย่างใด
“แต่ฉันอยากให้นายได้ไปพักผ่อน” ชานยอลว่าเสียงอ่อย อี้ชิงถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่
“ไม่เป็นไร.. ขอบใจ ตอนนี้ฉันก็มีความสุขดีอยู่แล้ว” เขาโบกมือไปมาคล้ายกับว่าจะปัดเรื่องไร้สาระนี้ให้ปลิวหายไปจากโต๊ะอาหาร เกือบจะได้จับตะเกียบขึ้นมาคีบเส้นบะหมี่อืดพองในถ้วยเขาปากอีกรอบแล้วแต่น้ำเสียงและรอยยิ้มแหยๆของคนที่เป็นเจ้านายก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
“แต่ฉันสั่งลางานนายไปแล้วนะชิง”
“อะไรนะ!”
อี้ชิงร้องเสียงหลง ดวงตาเรียวรีเบิกกว้างจนแทบถลนออกจากเบ้า เกือบจะคว่ำถ้วยบะหมี่ที่เหลือซุปร้อนๆอีกค่อนชามใส่หัวของคู่สนทนาให้สมกับความเป็นห่วงเป็นใยที่หยิบยื่นให้กัน เขาถลึงตาจ้องเพื่อนตัวสูงที่นั่งค่อมไหล่อย่างเกรงๆ ใบหน้าของชานยอลหดจนเหลือสองนิ้ว น่ากลัวว่าถ้าพนักงานในบริษัทมาเห็นคงจะพากันลาออกทั้งก๊กเพราะท่าทางของเจ้านายดูไร้ความน่าเชื่อถือโดยสิ้นเชิง
“ฉ..ฉันบอกว่าฉันมีคำสั่งให้นายไปพักร้อน”
“นานเท่าไหร่” อี้ชิงถามเสียงแข็ง เมื่อคนตรงหน้าอ้อมแอ้มไม่ยอมตอบ มือขาวจึงฟาดลงบนโต๊ะใกล้ๆกับมือของอีกฝ่ายอย่างแรงจนคนเป็นเพื่อนชักมือกลับแทบไม่ทัน
“น..หนึ่ง..หนึ่งเดือน” ชานยอลตอบตะกุกตะกัก ใบหน้าหล่อเหลาบิดเบ้คล้ายคนที่กำลังจะร้องไห้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้อี้ชิงใจอ่อน คำว่าหนึ่งเดือนดังสะท้อนไปมาอยู่ในหัว หนึ่งเดือนเท่ากับสามสิบวัน สั่งให้ลากันอย่างนี้แล้วอี้ชิงจะทำอย่างไร ไม่ใช่ว่าเขาต้องกลับมาทำงานชดวันหยุดจนตายคาจานเพาะเชื้อไปเลยหรือ
อย่าว่าแต่หวังดีเลย.. ทำอย่างนี้มันแกล้งกันชัดๆ!
อี้ชิงถลึงตาจ้องคนตรงหน้าอย่างโกรธเคือง ดวงตาเรียวรีฉายแววดุจนปาร์คชานยอลอยากจะแกล้งตายให้รู้แล้วรู้รอด นึกกลัวเพื่อนตรงหน้าจนฉี่แทบเล็ดแต่ก็ทำใจกล้าพูดข้อต่อรองบางอย่างออกไปเผื่อว่ามันจะช่วยต่อชีวิตได้บ้าง
“ฉ...ฉันไม่นับมันรวมกับวันลาของนายหรอก...”
“........”
“เอ่อ... ฉันให้นายเลือกเองเลยว่าอยากจะไปเที่ยวไหน... เรื่องค่าใช้จ่าย ตั๋วเครื่องบินที่พักอะไรฉันจะออกให้ทั้งหมด”
“........”
ให้มากขนาดนี้แต่จางอี้ชิงยังคงนิ่ง ชานยอลเริ่มวิตกกังวลขึ้นมาจริงๆ เมื่อคนตรงหน้าไม่ยินดียินร้ายกับข้อเสนอที่เขายื่นให้เลยสักนิด ซ้ำยังทำตาดุใส่เสียจนชานยอลทำตัวไม่ถูก ทั้งๆที่คิดไว้แต่แรกแล้วว่าต้องโดนโกรธ แต่ก็ไม่ได้คิดเผื่อไว้ว่าถ้าข้อเสนอที่เตรียมมาง้อไม่ได้ผลจะทำอย่างไรต่อไป ยิ่งอี้ชิงไม่พูดด้วยชานยอลก็ยิ่งเครียด ความกังวลและความกดดันในบรรยากาศที่ค่อนไปทางอึมครึมผลักดันให้ชานยอลนึกไปถึงความปรารถนา และโพล่งมันออกมาด้วยคิดแค่ว่าอยากให้เพื่อนหายโกรธ
“ฉันจะเซ็นอนุมัติใบขออนุญาตบำรุงห้องแลปของนาย.. หายโกรธ โอเคไหม”
“ดีล”
อี้ชิงใช้เสียงเรียบๆตอบกลับมาหน้าตาเฉยจนชานยอลต้องเหลือกตาใส่ ไร้วี่แววของความโกรธเคืองแม้ดวงตาคู่โตจะเพียรหามันจากสีหน้าของอี้ชิงมากแค่ไหน เท่านั้นเขาถึงตระหนักได้ว่าตัวเองเสียรู้ให้เพื่อนตัวขาวไปเสียแล้ว ชานยอลขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างเจ็บใจ อี้ชิงเลิกคิ้วน้อยๆ รอยยิ้มสมใจถูกวาดลงบนริมฝีปาก เขายังรอได้อีกนานสำหรับน้ำเสียงทุ้มต่ำลอดไรฟันอย่างเคืองขุ่นของปาร์คชานยอล
“ดีล”
มันช่างไพเราะอะไรอย่างนี้!
........................
เกาะเล็กๆ ห่างไกลจากแผ่นดินเป็นที่ที่จางอี้ชิงเลือกสำหรับสัปดาห์แรกของการพักผ่อน ก่อนจะบินกลับฉางซาเพื่อไปใช้เวลากับครอบครัวและเพื่อนๆสมัยเรียนมหาวิทยาลัยในอีกสามอาทิตย์ที่เหลือ เขาบอกชานยอลไปอย่างนั้น และแน่นอนว่าชานยอลก็ถามกลับมาทันทีว่าเขาจะไปที่เกาะนั่นทำไม
“มันสงบดี”
เขาจำคำตอบของตัวเองได้ดี ชานยอลเพียงถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อ มันจองตั๋วเครื่องบินให้เขาเรียบร้อยตามที่รับปาก เช่นเดียวกับที่พักบนเกาะซึ่งเขารู้ดีว่าหาได้ยากแสนยากแต่ชานยอลกลับหามาได้
“ฝีมือไง..ฝีมือ” เพื่อนตัวสูงว่าพร้อมกับยักไหล่เป็นเชิงว่าเก๋า จางอี้ชิงหัวเราะเบาๆ เขาไม่คิดจะถามหรอกว่าชานยอลหาที่พักมาได้อย่าไรทั้งๆที่บนเกาะไม่มีโรงแรมเลยสักแห่ง ในเมื่อเขาได้สิ่งที่ต้องการมาแล้วครบถ้วนแล้ว เขาจะถามหาวิธีการทำไมให้เสียเวลา อี้ชิงได้ยินเสียงชานยอลบ่นว่าเขาน่าเบื่อ แต่เขาก็ไม่ใส่ใจ เพราะสิ่งที่น่าสนใจกว่าคือข้อความจากธนาคารที่ส่งมาบอกว่ามีเงินเข้ามาเพิ่มในบัญชีอีกหนึ่งแสนวอนซึ่งคือเงินที่ชานยอลโอนไว้ให้เป็นค่าตั๋วเรือขาไปและกลับที่อี้ชิงต้องไปซื้อเองที่ท่าเรือ รวมถึงค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่นๆ ของเขาตามที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่ต้น แค่นี้เขาก็สบายใจจนน้ำเสียงทุ้มต่ำที่บ่นพึมพำอยู่ตรงหน้าทำอะไรเขาไม่ได้ ในเมื่อเขาได้ทุกสิ่งที่เขาต้องการแล้วเขาจะต้องสนใจเรื่องอื่นอีกทำไม
จริงไหม...
ฝนเม็ดน้อยที่กลั่นตัวลงมาจากก้อนเมฆสีเทาหนาหนักบนฟ้าหยดลงมาตกต้องผิวหน้าของอี้ชิง ก่อนที่เพื่อนๆ อีกหลายร้อยหยดของมันจะช่วยให้ชายหนุ่มหลุดออกมาจากภวังค์ความคิด
“บ้าจริง” เขาสบถอย่างหงุดหงิดก่อนจะวิ่งขึ้นมาจากชายหาด อี้ชิงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ามืดครึ้มที่เมื่อชั่วครู่ยังปราศจากเค้าฝนอย่างประหลาดใจ เขาไม่ได้เตรียมรับมือกับสายฝนในหน้าร้อนไว้เลยสักนิด
อี้ชิงมองไปรอบกายอย่างงุนงงเมื่อบนท้องถนนไม่มีผู้คนเลยแม้แต่คนเดียว บ้านทุกหลังงับประตูหน้าต่างแน่นเพื่อกันละอองฝน จนถึงตอนนี้อี้ชิงก็เปียกน้ำฝนตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาจึงตัดสินใจวิ่งกลับไปยังบ้านพักแทนที่จะไปอาศัยชายคาของบ้านแถวๆนั้นเพื่อหลบฝน เขาวิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ เมื่อฝนเริ่มตกหนัก มวลน้ำเม็ดน้อยที่ตกลงมาจากฟ้าด้วยความเร็วกระแทกผิวเนื้อจนแสบไปทั้งตัว เขาวิ่งเร็วขึ้น เร็วขึ้น เร็วขึ้น ผ่านบ้านสีทึมที่อยู่ภายใต้ม่านน้ำฝนไปอีกหลายหลัง จนกระทั่งบ้านหลังเล็กที่มีหลังคาสีฟ้าและผ้าใบสีส้มปรากฏขึ้นในคลองสายตา
อี้ชิงหอบหายใจอย่างหนักหน่วง หัวใจของเขาเต้นถี่รัวเพราะการวิ่งจนเต็มฝีเท้าในระยะทางที่ห่างไกลกับคำว่าใกล้ เขาค่อยๆ ผ่อนความเร็วลงลงเมื่อมาถึงประตูรั้ว มือขาวตบหน้าอกเบาๆ เมื่อหัวใจเริ่มกลับมาเต้นในจังหวะปกติอย่างช้าๆ อี้ชิงปาดน้ำฝนออกจากใบหน้า และเขาก็เห็นร่างผอมแห้งของคุณเจ้าของบ้านที่นั่งอยู่หน้าประตูไม้บานเก่า พร้อมกับอะไรบางอย่างในมือที่ดูคล้ายกับ....ผ้าขนหนู ?
จางอี้ชิงกระพริบตา
ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนกับว่า...เพิ่งจะวิ่งไปที่หาดแล้ววิ่งกลับมาอีกรอบในวินาทีที่แล้วนี้เอง
........................
ช่วยให้ความเอ็นดู At the end of summer กันเยอะๆนะคะ
ขอบคุณค่ะ
รักตัวโตโต
ตาเกิ้นเอง
ความคิดเห็น