คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Wanoh : By ตาเกิ้น
Wanoh
Yixing × Jongdae
lตาเกิ้นl
一
เหตุใดหนอจึงต้องเป็นชั้นสูงสุด....
เฉินครวญอยู่ในใจ ในขณะที่สองขากำลังออกวิ่งอย่างเต็มกำลัง และสองมือกำลังประคองซึ้งไม้ไผ่ที่ภายในเต็มไปด้วยลูกประคบเหม็นฉุนจากห้องยาใต้ดินไปยังชั้นสูงสุดของหอคอยเฟิง* หนึ่งในสองหอคอยสุขสำราญอันเลื่องชื่อของหอคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวง
หอคณิกาแห่งนี้ตั้งอยู่สุดถนนตะวันตก ตรงกลางนั้นเป็นเรือนรับรองแขกขนาดย่อม เป็นที่ที่มีไว้ให้ผู้มาเยือนแจ้งความจำนงต่อเจ้าเรือนว่าต้องการหาความสำราญกับผู้ใด หากเป็นชายก็ให้เลี้ยวซ้ายขึ้นไปหอคอยเฟิง หากเป็นหญิงก็ให้เลี้ยวขวาไปหอคอยมู่ตัน** โดยบ่าวรับใช้จะเป็นผู้ที่จะพาแขกเหล่านั้นไปยังห้องที่จัดไว้อย่างประณีตสวยงามสำหรับการหาความสำราญกับเหล่าคณิกาโดยเฉพาะ
ด้วยงามตระการของสถานที่ และความใส่ใจต่อความสำราญของผู้มาเยือนทำให้หอคณิกาเมฆาเคลื่อนขึ้นชื่อว่าเป็นอันดับหนึ่งเหนือหอนางโลมใดๆ ในเมืองหลวง นอกจากนี้ยังมีอีกเหตุผลนั่นก็คือตัวเหล่าคณิกาเอง ที่มีความงดงามหลากหลาย ไม่ได้มีเพียงชาวฮั่น แต่ยังมีชาวชิลลา*** ชาวไอนุ**** ชาวหู***** หรือแม้กระทั่งชาวเปอร์เซียที่มีดวงตาสีเขียวเหมือนมรกต จึงมีผู้คนมากมายที่พร้อมจะเสียทองหลายสิบหลายร้อยชั่งเพื่อที่จะเข้ามาหาความสำราญในหอนางโลมแห่งนี้
ไม่ใช่แค่เพียงคณิกาในหอที่มาจากหลากรัฐหลายแคว้น แต่บ่าวรับใช้และคนงานในหอนั้นก็มีหลายชนชาติเช่นกัน อย่างตัวเฉินเองนั้นก็มีเชื้อสายชิลลาอยู่ในตัวกึ่งหนึ่ง เพราะมารดาของเขาเป็นชาวชิลลาที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคณิกาอยู่ในหอคอยมู่ตัน ในตอนนั้นนางได้มีโอกาสรับแขกผู้เป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนักและพลาดพลั้งตั้งครรภ์ นางคลอดบุตรออกมาในเก้าเดือนให้หลัง ถึงแม้ว่าจะสามารถคลอดบุตรชายที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ออกมาได้อย่างปลอดภัย แต่เพราะร่างกายอ่อนแอทำให้นางติดโรคระบาด และสิ้นชีวิตลงเมื่อตอนที่ทารกน้อยยังอายุได้เพียงหนึ่งสัปดาห์
เมื่อมารดาตาย และฝ่ายบิดาก็ไม่ยอมรับเป็นบุตร สิทธิ์ขาดในการเลี้ยงดูทารกชายวัยหนึ่งสัปดาห์จึงตกอยู่แก่แม่เล้าหลี่ ผู้ที่เป็นทั้งคนตั้งชื่อให้ และเลี้ยงดูให้เติบใหญ่ จวบจนอายุเจ็ดปีก็ให้ทำงานรับใช้ในหอคอยเฟิงเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน จึงถือได้ว่าเฉินนั้นเป็นคนของหอเมฆาเคลื่อนตั้งแต่กำเนิด
เด็กหนุ่มฝืนใจก้าวเท้าอีกสองครั้งก็พาร่างกายที่โซมไปด้วยเหงื่อขึ้นมาถึงจุดหมาย ใบหน้าผอมเต็มไปด้วยเหงื่อกาฬที่ผุดพรายขึ้นมาจากการออกกำลังขาเมื่อชั่วครู่ เฉินใช้เวลาหอบหายใจอีกเพียงไม่นานก่อนที่ขาสั่นๆ ของตนจะก้าวต่อไปยังห้องที่อยู่สุดโถงทางเดิน เด็กหนุ่มสบถอยู่ในใจเมื่ออากาศที่ร้อนอบอ้าวทำให้ผิวกายชื้นเหงื่อใต้ร่มผ้าของเขาเริ่มคันยิบๆ ส่งผลให้หน้าตาที่ชายคณิกาในหอต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอัปลักษณ์นั้นบิดเบ้อย่างทรมาน แต่ต่อให้ทรมานอย่างไรของในมือก็ไม่สามารถวางลงได้ เขาจึงได้แต่อดกลั้น เดินตัวเกร็งไปตามทางเดินที่ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงได้รู้สึกว่ามันยาวกว่าปรกตินัก แต่อย่างไรเสียโถงทางเดินก็มีอยู่แค่นั้น ฝืนใจเดินไปอีกไม่ถึงสามสิบก้าวก็สุดทาง เฉินอดไม่ได้ที่จะโห่ร้องอยู่ในใจ ก่อนจะเอ่ยปากเรียกคนที่อยู่ข้างในห้องอย่างนอบน้อม
“ลูกประคบจากห้องยาขอรับ”
เสียงขานรับดังออกมาจากข้างใน ไม่นานนักประตูไม้ฉลุลายหงส์ก็เปิดออกด้วยมือของบ่าวประจำตัวของเจ้าของห้องอันเป็นที่คุ้นเคยกันดีเพราะเล่นมาด้วยกันตั้งแต่สมัยเด็ก
“ข้าว่าแล้วว่าต้องเป็นเจ้า” คนแซ่เปี้ยนกระซิบกระซาบ ก่อนจะเดินนำเข้าไปในห้องอันโอ่โถงงดงาม ตามมุมต่างๆ ถูกประดับประดาด้วยเครื่องปั้นลายครามราคาแพง รวมถึงแพรไหมชั้นดีจากดินแดนเปอร์เซียซึ่งแต่ละชิ้นล้วนเป็นของฝากเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้รับมาจากแขกของเจ้าของห้องผู้งดงาม
อันดับสองของหอคอยเฟิง..ลู่หาน
ชายหนุ่มร่างระหงจากภาคกลางที่โดนผู้เป็นบิดาใช้ขัดดอกให้แก่บ่อนพนัน ถูกขายทอดตลาดมาเป็นทาส แต่ด้วยใบหน้าที่สวยหวานราวกับน้ำตาลปั้นและหุ่นแบบบางน่าถนอม ทำให้เมื่อเจ็ดปีก่อนแม่เล้าหลี่ยอมเสียสองตำลึงทองเพื่อซื้อตัวทาสชายสารรูปมอมแมมมาจากโรงซักล้างกลางเมือง และใช้ให้เฉินที่ในขณะนั้นเพิ่งจะรั้งตำแหน่งเจ้าเรือนย่อยได้เพียงสามปี อาบน้ำและชำระกายให้ทาสผู้นั้น
เฉินยังจำได้ดีว่าในตอนนั้นหมดน้ำไปสามถังแล้วบนผิวเนื้อที่เริ่มนวลตาของเด็กหนุ่มร่างผอมเก้งก้างนั้นยังคงหลงเหลือคราบไคลติดกาย จนตอนนั้นเด็กชายถึงกับตั้งคำถามกับตัวเองในใจว่าเหตุใดคนแซ่ลู่ถึงได้เนื้อตัวสกปรกนักทั้งๆ ที่อยู่ในเรือนซักล้างแท้ๆ เชียว!
“คิดอะไรอยู่หรือเฉิน” น้ำเสียงอ่อนระโหยโรยแรงเอ่ยทักเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มคล้ายจะหลุดเข้าไปในภวังค์ความคิดแสนไกล ไหนจะใบหน้ายิ้มๆ ที่ดูอย่างไรก็ไม่น่าไว้ใจนั่นอีก
“เปล่าขอรับ” เด็กหนุ่มตอบปฏิเสธอย่างว่องไว เฉินรีบซ่อนรอยยิ้มไว้ในหน้า ก่อนจะยกของที่ถือมาตั้งแต่ต้นนั้นส่งให้ป๋ายเซียนที่ยืนอยู่ข้างกัน
“อย่าให้ข้ารู้เชียวว่าคิดถึงเมื่อครั้งแรกพบ” คนที่นอนคว่ำหน้าอยู่เอ่ยขึ้นมาราวกับนั่งอยู่กลางใจ เฉินรีบยิ้มประจบก่อนจะเอื้อมมือไปบีบนวดให้อย่างรู้งาน
“เปล่านะขอรับ” เด็กหนุ่มรีบปฏิเสธเสียงอ่อน ก่อนจะเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย เมื่อได้มองเห็นร่องรอยบวมช้ำตามผิวกายของเจ้าของห้องอย่างชัดเจน
“เมื่อคืนเป็นเช่นไรบ้างขอรับ.. หนักหนามากหรือไม่”
ลู่หานหัวเราะกลบเกลื่อน ก่อนจะกล่าวเปลี่ยนเรื่องไปเสียอย่างนั้น “มาปะเหลาะข้าอย่างนี้แสดงว่าเมื่อครู่ต้องคิดถึงอะไรแปลกๆ แน่ๆ.. เจ้าคิดอย่างข้าไหมป๋ายเซียน”
“กระผมก็ว่าอย่างนั้นขอรับ” เฉินร้องอ้าวเมื่อโดนเพื่อนตัวดีหักหลังขึ้นมากะทันหัน ลู่หานหัวเราะเสียงใสเมื่อเห็นเฉินแยกเขี้ยวใส่ป๋ายเซียนที่แลบลิ้นกลับอย่างไม่กลัวเกรง ก่อนจะทำหน้าที่เป็นคนห้ามทัพเมื่อเด็กหนุ่มทั้งสองคนตั้งท่าจะวิ่งไล่กวดกันเสียให้ได้
“หากทำสิ่งใดเสียหายแม้แต่ชิ้นเดียว ข้าจะเฆี่ยนพวกเจ้าให้หลังลาย” ผู้มีศักดิ์เหนือทั้งคู่ขู่ ก่อนจะยิ้มรับเสียงโอดครวญของบ่าวรับใช้ ทางป๋ายเซียนนั้นไม่เท่าไหร่เพราะเพียงแค่อดเล่นสนุก แต่เฉินนั้นถึงกับเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่สหาย แถมท้ายด้วยคำพูดที่จำมาจากโรงงิ้วตรงหัวถนน
“แค้นนี้ต้องชำระ”
........................
หลังจากที่อู้งานไปคุยเล่นอยู่กับลู่หานและป๋ายเซียน เฉินก็กลับลงมาที่ห้องยาอีกครั้งเผื่อว่าจะมีงานอย่างอื่นให้ทำเพิ่มเติม เนื่องจากตัวเขานั้นมีตำแหน่งเป็นถึงเจ้าเรือนย่อย งานเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ตกถึงมือเท่าไหร่ จะมีก็แต่งานหลักซึ่งคือการดูแลชายคณิกาหน้าใหม่ที่นานๆ ทีจะมีเข้ามือสักครั้ง เวลาว่างของเฉินจึงเยอะเสียยิ่งกว่าใคร แต่เพราะเป็นคนที่อยู่นิ่งไม่ได้ เด็กหนุ่มจึงต้องแวะไปห้องโน้น ห้องนี้เพื่อหาอะไรมาทำฆ่าเวลาอยู่เสมอ
“นั่นใครน่ะ.. เฉินเหรอ” น้ำเสียงแหบแห้งของหญิงชราในชุดผ้าป่านเอ่ยทัก เด็กหนุ่มหันกลับไปตามเสียงเรียกก่อนจะพบว่าเป็นป้าเผิงช่างปักผ้าจากห้องตัดเย็บที่เป็นคนเก่าคนแก่ทำงานในหอเมฆาเคลื่อนมาตั้งแต่เปิดกิจการ ซ้ำยังเป็นหนึ่งในคนที่เคยอุ้มชูเลี้ยงดูเฉินมาตั้งแต่เล็ก เด็กหนุ่มจึงรีบปราดเข้าไปประคองหญิงชราที่เดินกระย่องกระแย่งมายังเรือนหน้าด้วยความเป็นห่วง
“ป้าเผิง.. มีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่ขอรับ”
“ก็มีอยู่หรอก..” นางบอกแต่ก็ยังไม่วายเกรงใจ “แต่เจ้ากำลังจะไปที่โรงช่างไม่ใช่หรือ เดี๋ยวข้าไปหาบ่าวสักคนแถวๆ โรงครัวก็ได้” เมื่อครู่เฉินกำลังมุ่งหน้าไปยังโรงช่างจริงอย่างที่ป้าเผิงว่า แต่ก็เป็นเพราะว่าที่โรงช่างนั้นมักจะมีงานมากมายให้เขาสามารถเข้าไปช่วยเหลือได้ตลอดเวลาเพียงแค่นั้น ในเมื่อเวลานี้ป้าเผิงต้องการความช่วยเหลือเขาจึงไม่รอช้าที่จะขันอาสาอย่างกระตือรือร้น
“ไม่เป็นไรหรอกขอรับ ข้ายินดีช่วย” เขาว่าพลางพยุงหญิงชราให้เดินหน้าไปยังห้องตัดเย็บ นางหัวเราะออกมาเบาๆ แต่ก็ยอมเดินตามเขาไปแต่โดยดี
ห้องตัดเย็บนั้นเป็นห้องกว้างๆ ที่เต็มไปด้วยม้วนผ้าอย่างดีและกลุ่มด้ายหลากหลายสีสัน เฉินเลิกคิ้วสูงอย่างประหลาดใจเมื่อพบว่าในห้องมีเพียงป้าหวัง กับป้าเฟิง และบ่าวรับใช้อีกสองคน ถ้านับรวมป้าเผิงอีกคนก็เป็นห้า เหตุใดเรือนตัดเย็บจึงเหลือผู้คนเพียงเท่านี้ ?
“จูเฉียนกลับไปเยี่ยมมารดา ซิ่วอิงป่วยต้องพักรักษาตัว เลยเหลือกันเพียงห้าคน” ป้าเผิงเฉลยเมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของเฉิน ก่อนจะทรุดตัวลงบนเบาะรองนั่ง มือเหี่ยวย่นส่งเข็มเล่มเล็กให้เขา เด็กหนุ่มรับมันมาก่อนจะสนด้ายเข้าไปอย่างรู้งาน ตอนเด็กๆ เขามักจะมานั่งเล่นที่ห้องนี้อยู่เสมอ จึงทำให้มีวิชาติดตัวอยู่บ้าง อย่างการซ่อมแซมเสื้อผ้าแบบง่ายๆ ที่ถึงแม้ว่าฝีมือจะไม่ได้ประณีตนักแต่ก็อยู่ในระดับที่เรียกว่าพอใช้
เฉินค่อยๆ สนด้ายแต่ละสีเข้าไปในเข็มแต่ละเล่มจนกระทั่งหมดกองจึงเอนหลังลงเพื่อพักสายตา และคลายเส้นที่เต้นตุบๆ จากการนั่งเป็นเวลานาน แต่ยังไม่ทันจะหายเมื่อยเอวดีเสียงตึงตังจากประตูห้องก็เรียกความสนใจจากเขาและทุกคนในห้องไปเสียก่อน
“มีใครเห็นพี่เฉินไหมขอรับ” น้ำเสียงแหลมสูงของบ่าวรับใช้รุ่นเล็กเอ่ยถามปนเสียงหอบ เฉินยกมือขึ้นอย่างงงงัน ก่อนจะเอ่ยปากถาม
“ข้าอยู่นี่.. มีอะไร”
“แม่หลี่บอกให้พี่เฉินไปพบขอรับ บอกว่ามีคนใหม่เข้ามา” พูดแค่นั้นเฉินก็เข้าใจ เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนอย่างว่องไวก่อนจะรีบเดินตามคนที่มาตามไปยังเรือนหน้า โดยไม่ลืมที่จะบอกลาป้าเผิงและคนอื่นๆ ในห้องตัดเย็บ
“พี่เฉิน เขาว่าคนนี้.. เป็นลูกขุนนางเชียวนะ” จู่ๆ เด็กชายที่เดินนำหน้าก็ลดความเร็วให้มาเดินเสมอกับเฉินแล้วกระซิบกระซาบข้อมูลที่ได้ยินคนอื่นเล่าต่อกันมาเป็นทอดๆ เฉินเลิกคิ้วอย่างไม่ใคร่จะเชื่อถือนักแต่ก็ถามต่อไปเพราะเริ่มจะอยากรู้ขึ้นมาแล้วเช่นกัน
“แล้วอย่างไรเล่า”
“ก็เห็นว่าบิดาได้รับโทษทัณฑ์ ริบบรรดาศักดิ์ทั้งครอบครัว หนี้สินท่วมหัว จนต้องขายตัวมาเป็นทาสไงพี่เฉิน” บ่าวตัวเล็กเล่าออกมาเป็นฉากๆ เขาก็ได้แต่พยักหน้ารับอย่างปลงๆ ความที่เป็นคนใจอ่อนขี้สงสารเลยนึกเห็นใจเจ้าคนใหม่คนนี้ขึ้นมาครามครัน แต่เช่นไรแล้ววาสนาใครก็วาสนาคนนั้น โชคดีแค่ไหนแล้วที่ถูกแม่เล้าหลี่ซื้อตัวมา ไม่เช่นนั้นแล้วจะไปอดตายอยู่แถวไหนก็สุดจะรู้
เด็กหนุ่มจินตนาการถึงสภาพของคนใหม่ที่ว่านั้นไว้ในใจ ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนผู้นั่นมีชื่อเรียกว่าอย่างไร ไวเท่าความคิดคำถามนั้นก็หลุดออกจากริมฝีปาก
“เจ้านั่นชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร”
“เล่ย” เด็กชายหันมามองตา
เฉินขมวดคิ้วฉับ “คนบ้าอะไรชื่อเล่ย ?”
.........................
เฟิง*= ต้นเมเปิ้ล
มู่ตัน** = ดอกโบตั๋น
ชาวชิลลา*** = ชาวเกาหลีโบราณ
ชาวไอนุ**** = ชนพื้นเมืองกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่ในตอนเหนือของอาณาจักรญี่ปุ่นโบราณ
ชาวหู***** = ชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในแถบมองโกเลีย
.........................
Some forever, not for better
ขอบคุณสำหรับทุกการสนับสนุนค่ะ
ตาเกิ้น
ความคิดเห็น